ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 350-2 แผนการของสวี่ชีอัน (2)
บทที่ 350 แผนการของสวี่ชีอัน (2)
เทียนหลางถอดคันธนูแข็งบนหลังลง ดึงลูกธนูขนนกและง้างสาย คันธนูแข็งขนาดใหญ่โค้งเป็นจันทร์เต็มดวงในพริบตา
‘ผึง’…ในเสียงดีดสายที่สั่นเทิ้ม ลูกศรกลายเป็นลำแสง ฉู่เซียงหลงกัดฟันตัดสินใจเด็ดขาด ยกหญิงสาวขึ้นบ่าทำเหมือนนางเป็นโล่
‘ฉึก!’
คันธนูพลันวกกลับ จมหายเข้าไปในดินเหนียวข้างกายโดยหลบเลี่ยงพระมเหสี
‘ผึงๆๆ…’
เทียนหลางผู้มีดวงตาตั้งตรงที่หว่างคิ้วปล่อยธนูไม่หยุด ลูกธนูไม่พุ่งตรงก็เปลี่ยนทิศทางโจมตีฉู่เซียงหลงจากทุกมุม ทว่าตราบใดที่เขาใช้พระมเหสีมาขวางอย่างไร้ความปรานี ลูกธนูก็จะหลบเลี่ยงไปเอง
ฉู่เซียงหลงก้มหน้าวิ่งตะบึงโดยไม่ใช้ตามอง ใช้เพียงสัญชาตญาณที่นักรบมีในช่วงวิกฤตมาจับลูกธนู
พื้นดินระเบิดเป็นหลุมลึกไม่หยุด ซึ่งเกิดจากลูกธนูตกลงข้างกาย บางคราลูกธนูก็พุ่งทะลวงโล่พระมเหสีผู้นี้และยิงใส่ร่างของเขา ก็ทำให้ฉู่เซียงหลงซวนเซเพียงเล็กน้อย
ทว่าในใจฉู่เซียงหลงกลับเป็นกังวลอย่างมาก
“เทียนหลางอยู่ระดับสี่ ในลูกศรมีจิตสังหารแฝงอยู่ อย่างมากที่สุดหากถูกลูกธนูสิบดอก กระดูกเหล็กผิวทองแดงของข้าก็จะถูกทำลาย หากพลาดถูกลูกธนูสองดอกยิงใส่ตำแหน่งเดียวกันพร้อมกัน ดอกที่สามก็จะทำลายการป้องกันของข้าได้…”
ทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี…
สถานการณ์เกินจะควบคุม พระมเหสีตัวจริงกลายเป็นลูกไก่ในกำมือ เช่นนั้นเขาจะมิอาจหลบหนีได้ เพราะศัตรูคงไม่แบ่งทัพตามจับเหล่าสาวใช้ที่หลบหนีไปและหันกลับมารุมฆ่าเขาสุดกำลัง
ทันใดนั้นฉู่เซียงหลงก็มองเห็นชั้นน้ำค้างแข็งปกคลุมป่ารกทึบเบื้องหน้า ราวกับครอบคลุมไปด้วยกองหิมะ
เมื่อมองดูดีๆ แท้ที่จริงมันคือกอใยแมงมุม ใยแมงมุมพวกนี้ไม่มีพิษแต่กลับมีความเหนียวมหาศาล
หากเขาพุ่งเข้าไปในนั้นโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ร่างกายจะต้องเปื้อนไปด้วยใยแมงมุมและต้องถ่วงการเคลื่อนไหวเป็นแน่
เทียนหลางตั้งใจต้อนข้ามาทางนี้ เขาวางกับดักไว้ตั้งนานแล้ว…ระหว่างที่จุดประกายความคิด ฉู่เซียงหลงก็พบว่าด้านซ้ายเป็นทุ่งราบ ด้านขวาเป็นเทือกเขา เขาเลือกเทือกเขาในทันที
มองข้ามความเฉื่อยและวกกลับไปทางด้านซ้าย พยายามหลบหนีเข้าไปในภูเขา
วิธีการรับมือกับม้าเร็วที่ดีที่สุดก็คือการซ่อนตัวอยู่ในป่ารกทึบเพื่อเลี่ยงการมองเห็น
บัดนี้สัญชาตญาณอันตรายของทหารทำให้เขาจับทางลูกธนูที่คาดว่าจะพุ่งมาได้ แล้วกระโดดหลบไปด้านข้างทันทีโดยไม่คิดไตร่ตรองให้มาก
‘เคร้ง’… ‘ฉึก’…สองเสียงที่แตกต่างดังขึ้น ลูกธนูดอกหนึ่งยิงเข้าที่กลางสันหลังของฉู่เซียงหลงจนหักออก ดอกที่สองตามมาติดๆ และยิงเข้าที่ตำแหน่งเดียวกัน
ลูกธนูดอกที่สองทะลุกลางสันหลัง
“โอ้…”
ฉู่เซียงหลงยังไม่ตาย ยังมีพลังชีวิต
เทียนหลางบังคับให้แมงมุมขนร่อนลงสู่พื้นและเดินไปตรงหน้าฉู่เซียงหลง สบตาเขาพร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา “โชคดีเสียจริง ลูกธนูสองดอกเมื่อครู่ไม่ได้เล็งมาที่เจ้า เจ้ากระโจนมาเอง อย่าได้เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของทหารจนเกินไป มันจับเพียงการโจมตีที่เป็นอันตรายและฉับพลันเท่านั้น ในพริบตานั้นหากมีอีกการโจมตี มันจะมิอาจเตือนล่วงหน้าได้”
“เจ้าวางแผนไว้ทั้งหมดแล้ว…” ฉู่เซียงหลงจ้องมองเขาเขม็ง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ล่าจะวางกับดักมิใช่หรือ” น้ำเสียงของเทียนหลางนิ่งเฉย ไม่มีความโอหังแม้แต่น้อย
เขาแบก ‘พระมเหสี’ ที่ตระหนกจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัวกลับไปที่ข้างกายแมงมุมขนและพานางไปอยู่กับสาวใช้คนอื่นๆ
จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างกายแมงมุมขน ลูบหลังมันและเฝ้ารออย่างเงียบๆ
ผ่านไปพักหนึ่งหญิงสาวชุดกระโปรงแดง ยักษ์จาเอ๋อร์มู่ฮา และถังซานจวินที่กลายร่างเป็นมนุษย์ก็มารวมตัวกัน พลังปราณที่ฝ่าเท้าของทั้งสามปะทุขึ้น ส่งพวกเขาลอยขึ้นสู่อากาศ
ทั้งสามลอยลงมาไม่ไกลนัก
“เจ้าดูจะจนมุมมากเสียเหลือเกิน สามคนร่วมมือกันก็ฆ่าหยางเยี่ยนไม่ได้งั้นหรือ” เทียนหลางเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
สายตาของเขาหยุดลงบนร่างของหญิงสาวกระโปรงแดงอยู่พักหนึ่ง แล้วกวาดมองเอวของทั้งสาม ไร้หัวของหยางเยี่ยน
“เสียท่าเข้าให้แล้ว ในบรรดาคณะทูตมีของแรงอยู่” หงหลิงอธิบายด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“มีของแรงงั้นหรือ” เทียนหลางขมวดคิ้ว
“บาดแผลของข้าหยางเยี่ยนเป็นคนทำ พวกเขาทั้งสองก็ถูกพันธนาการไว้” หงหลิงเอ่ยฮึดฮัด
เทียนหลางเพ่งสายตาสงสัยไปที่ถังซานจวินและจาเอ๋อร์มู่ฮา
“ฆ้องเงินคนหนึ่ง พลังก็นับว่าไม่เท่าไร แต่กลับมีพลังเทพวชิระคุ้มกายาของสำนักพุทธ ราวกับเป็นจอมยุทธ์ภิกษุ” จาเอ๋อร์มู่ฮาเอ่ย
“บนตัวเขามีคัมภีร์ที่ลัทธิขงจื๊อบันทึกวิชาระบบต่างๆ ช่างรับมือยากยิ่งนัก พวกเราสองคนร่วมมือกันก็มิอาจเอาชนะได้” ถังซานจวินบุคลิกอ่อนโยนที่อยู่ในชุดคลุมสีดำ ม่านตาตั้งตรงดูเยือกเย็นไร้อารมณ์
เทียนหลางพยักหน้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หันไปมองพระมเหสีที่ใส่หมวกคลุมพร้อมเอ่ย “นี่เป็นตัวปลอม ตัวจริงน่าจะอยู่ในหมู่สาวใช้เหล่านี้”
หงหลิงเลิกผ้าคลุมหมวกของพระมเหสีตัวปลอมออก เผยใบหน้าอันงดงาม ใบหน้าของพระมเหสีตัวปลอมซีดขาว ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไหล่ทั้งสองสั่นระริก
‘แผล็บ…’
ปากเล็กของหงหลิงแลบปลายลิ้นยาวออกมา แล้วเลียแก้มของพระมเหสีตัวปลอม จากนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมเอ่ย “บอกข้ามาว่าพระมเหสีตัวจริงคือใคร”
น้ำเสียงของนางอ่อนหวาน เพียงแต่พูดภาษาทางการของต้าฟ่งไม่ค่อยได้มาตรฐานเท่าไรนัก
“ขะ ข้าไม่รู้…”
พระมเหสีตัวปลอมตัวสั่นหงึกๆ ใบหน้าสวยซีดเผือด เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ข้าเป็นสาวใช้ที่คอยรับใช้พระมเหสี พระ พระมเหสีตัวจริงไม่อยู่ที่นี่”
หญิงสาวกระโปรงแดงทอดถอนใจ “ข้าไม่พอใจคำตอบนี้นัก จะจับเจ้าจูบเสีย”
นางก้มหน้าประกบริมฝีปากของพระมเหสีตัวปลอม จูบแลกลิ้นกับนางอย่างดุเดือดต่อหน้าชายทั้งสาม
ดวงตาของพระมเหสีโค้งมนในทันใด แขนขาชักกระตุกอย่างรุนแรงราวกับได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส แก้มของนางซูบลงอย่างรวดเร็ว เลือดเนื้อมลายหายกลายเป็นศพแห้งซูบผอมติดกระดูก
หญิงสาวกระโปรงแดงถอนใจยาวอย่างพอใจ ใบหน้าขาวใสเปล่งปลั่ง
เมื่อเห็นฉากนี้เหล่าสาวใช้ที่ถูกพันธนาการด้วยใยแมงมุมต่างหน้าซีดเผือด บางคนสั่นเทาราวกับชักกระตุก บางคนร้องไห้ฟูมฟาย กลัวว่าจะถึงตาตนเป็นคนต่อไป
พระมเหสีก็อยู่ในนั้น นางมองสาวใช้ประจำตัวตายอย่างน่าสลดด้วยความตะลึง นอกจากความโศกเศร้าเสียใจ ในใจก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
เพราะนางรู้ดีว่าผลสุดท้ายนางจะต้องเผชิญกับสิ่งใดเมื่อตกไปอยู่ในมือของเผ่าอารยชน บางทีความตายก็อาจเป็นเพียงความเพ้อฝัน
‘ไม่มีผู้ใดช่วยข้าได้ ไม่มีผู้ใดจะช่วยข้าจากเงื้อมมือของสี่ผู้แข็งแกร่งจากทางเหนือได้ เว้นเสียแต่ไหวอ๋องจะมาเอง’…พระมเหสีคิดอย่างสั่นเทา
ในที่สุดก็มาถึงขั้นนี้อยู่ดี ยามออกจากเมืองหลวงจิตใจร้อนรุ่ม ทั้งหวาดกลัวที่ใกล้จะได้พบอ๋องสยบแดนเหนือและความสับสนเป็นกังวลรู้สึกไม่สบายใจกับเส้นทางด้านหน้า
กระทั่งได้พบกับฆ้องเงินตัวเล็กๆ ที่ดาดฟ้าเรือ จู่ๆ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เพียงรู้สึกว่าระหว่างการเดินทางทุกอย่างจะราบรื่น
ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาดนัก เมื่อคิดจนถึงท้ายที่สุดน่าจะเป็นผลศึกของเจ้าหนุ่มนี่ที่กล้าแกร่งจริงๆ ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยจากก้นบึ้งหัวใจ
จากนั้นเรือพระที่นั่งก็ถูกซุ่มโจมตีที่หาดหลิวซื่อ ความกังวลกลายเป็นจริง หัวใจของนางกระตุกในทันใด
เมื่อไม่นานมานี้ก็หยั่งเชิงสวี่ชีอันอย่างระแวดระวัง ถามเขาว่าจะทอดทิ้งพระมเหสีหรือไม่
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่นางมีท่าทางเป็นหญิงอ่อนแอ การพึ่งพาผู้ชายจะเป็นอารมณ์แบบใดกันนะ
คำตอบของเขาช่างน่าผิดหวัง
กระทั่งตอนนี้พระมเหสีไม่มีความหวังใดๆ คนที่จะช่วยชีวิตนางจากเงื้อมมือของทหารระดับสี่ทั้งสี่คนโดยลำพังได้ในต้าฟ่งมีน้อยนับนิ้วได้ ไม่สิ น่าจะมีเพียงอ๋องสยบแดนเหนือผู้เดียวเท่านั้น
และตอนนี้ตัวเขาก็อยู่ทางเหนือ
ดูเหมือนว่าทางด้านคณะทูตนั้นดูจะปลอดภัยดี เพราะคนเหล่านี้ทำอะไรสวี่ชีอันไม่ได้ เขา เขาบังคับให้ระดับสี่ทั้งสองคนถอยกลับได้…ดวงตาของพระมเหสีเอ่อล้นด้วยน้ำตา ในใจค่อยๆ ได้รับการปลอบประโลม
“รองแม่ทัพฉู่ ทำไมเจ้าไม่บอกข้ามาล่ะว่าผู้ใดคือพระมเหสี” หงหลิงใช้มือยกฉู่เซียงหลงที่หายใจรวยริน แล้วโยนเขาต่อหน้าเหล่าสาวใช้
สายตาของฉู่เซียงหลงมองผ่านสาวใช้ทั้งหลายพร้อมแสยะยิ้ม “ใครบอกพวกเจ้าว่าพระมเหสีอยู่ที่นี่กัน พระมเหสียังไม่ได้ออกจากเมืองหลวง พวกเจ้าถูกหลอกแล้ว”
ในใจพระมเหสีพรั่งพรูความโศกเศร้า แม้รองแม่ทัพผู้นี้จะน่ารังเกียจ ทว่าซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อไหวอ๋อง
ถังซานจวินเอ่ยอย่างน่าสะพรึง “เช่นนั้นข้าจะกินหญิงสาวเหล่านี้ให้หมด”
“กินสิ รีบกินเร็ว! ”
ฉู่เซียงหลงผ่อนลมหายใจหนัก พร้อมเอ่ยเย้ยหยัน
ในใจพระมเหสีดิ่งลง ฉู่เซียงหลงอยากให้นางตาย สิ่งที่ไหวอ๋องไม่ได้รับ ต่อให้ทำลายก็มิอาจตกไปอยู่ในมือของเผ่าอารยชนทางเหนือได้
“เขาโกหก”
เสียงดังขึ้นจากในป่าทึบ ทุกคนหันหน้าไปมอง ชายหนุ่มในชุดขาวเดินออกมา มือไพล่หลังพร้อมด้วยรอยยิ้มจางๆ
“เจ้ามาพอดี”
‘ยักษ์’ จาเอ๋อร์มู่ฮาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มดัง “ลองใช้วิชามองปราณของเจ้าดูสิว่าคนใดคือพระมเหสี”
“มองไม่เห็น” โหรชุดขาวส่ายหน้า
“อาวุธเวทมนตร์ที่ปิดกั้นกลิ่นอายงั้นหรือ” เทียนหลางทำท่าราวกับครุ่นคิดบางอย่าง
“ใช้สมองของพวกเจ้าคิดดูสิ พระมเหสีงามล่มเมือง พวกแต้มชาดเครื่องหอมธรรมดาเหล่านี้จะเทียบได้อย่างไร นางจะต้องพกอาวุธเวทมนตร์ปิดกั้นกลิ่นอายติดตัวด้วยเป็นแน่”
โหรชุดขาวเชิดคางขึ้นราวกับจะดูถูกมันสมองของเผ่าอารยชนและยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจตรงนั้น แล้วเอ่ยเย้ยหยัน
“ลองใช้สมองเบาปัญญาของพวกเจ้าคิดดูดีๆ อีกครั้งสิ แค่ปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกนางออกให้หมดก็รู้ว่าใครคือพระมเหสีแล้วมิใช่หรือ”
“ความคิดดี! ” หงหลิงหัวเราะคิกคัก
“โหรเช่นพวกเจ้าแต่ละคนล้วนหยิ่งผยองจนน่ารังเกียจ แต่ความคิดของเจ้าข้าถูกใจนัก จุ๊ๆ ได้ยินว่าพระมเหสีเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง สุภาพสง่าเลิศล้ำ ข้าก็อยากเห็นว่าเมื่อปลดเสื้อผ้าของนางออกจนหมด ดูสิว่านางจะยังสูงส่งได้อย่างไร ดูสิว่านางต่างจากพวกเราที่แต้มชาดเครื่องหอมธรรมดานี้อย่างไร”
พระมเหสีกัดริมฝีปากแน่น แววตาสิ้นหวัง
ในเวลานี้ได้มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากที่ห่างไกลตอบกลับหญิงกระโปรงแดง
“น่าจะต่างที่เลี่ยมด้วยเพชรกับเลี่ยมด้วยแก้วกระมัง”
‘ใครกัน’…หงหลิงกับเทียนหลางกับคนอื่นๆ หันกลับไปในทันที เห็นชายหนุ่มสวมหมวกขนมิงค์และมีดยาวที่เอวยืนอยู่ท่ามกลางพงหญ้าห่างออกไปนับสิบเมตร
เขาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไร
พริบตาที่เห็นสวี่ชีอัน ดวงตาสีดำฉ่ำวาวของพระมเหสีพลันเป็นประกายขึ้น เป็นประกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนราวกับดวงดารา
ทว่าก็ผันเปลี่ยนเป็นความกังวลและร้อนใจในเวลาต่อมา
เขามาทำอะไร รนหาที่ตายหรืออย่างไร
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าเอง”
หงหลิงจ้องมองเขาอย่างสงสัยและประหลาดใจ จากนั้นสายตามองไปรอบด้านแล้วยิ้มหวานพร้อมเอ่ย “หยางเยี่ยนล่ะ หยางเยี่ยนไปซ่อนตัวอยู่ไหนกัน พวกเจ้าทั้งสองช่างไม่กลัวตายกันจริงๆ ยังจะกล้ามาหาเรื่องใส่ตัวอีก”
“เขาเป็นใคร” เทียนหลางขมวดคิ้ว
“คือฆ้องเงินที่เอ่ยถึงเมื่อครู่ แม้จะยังฝึกฝนไม่สูงนัก ทว่าใช้ม้วนคัมภีร์ของลัทธิขงจื๊อในการสู้ รับมือได้ยากยิ่ง” ม่านตาตั้งตรงของถังซานจวินเยือกเย็น น้ำเสียงน่าสะพรึง
เทียนหลางที่มีดวงตาตั้งตรงที่หว่างคิ้วยิ้มเยาะ “ม้วนคัมภีร์ของลัทธิขงจื๊อเป็นของดี มีมันอยู่ก็สามารถสำแดงฤทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ยามที่รับศึก”
ยักษ์จาเอ๋อร์มู่ฮาพยักหน้า สำหรับสิ่งนี้เขากับถังซานจวินตระหนักลึกซึ้งที่สุด ความโลภก็ยิ่งมากขึ้น
หงหลิงยกมือขึ้น ชูสามนิ้วอันขาวผ่องขึ้น เลียริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปลิดชีวิตเขาภายในสามลมหายใจ อย่าให้โอกาสเขาได้ใช้วรยุทธ์ มิเช่นนั้นแม้พวกเราจะชิงม้วนคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อมาได้ก็แบ่งไม่พออยู่ดี”
ถังซานจวินเย้ยหยัน “ผู้ใดตัดศีรษะ ผู้นั้นจะได้ครึ่งหน้า”
ยักษ์จาเอ๋อร์มู่ฮา เทียนหลาง และหงหลิงพยักหน้าช้าๆ “ไม่มีปัญหา”
ถังซานจวินกล่าวเสริมอย่างเยือกเย็น “ไม่รู้ว่าม้วนคัมภีร์จะมีวิชาของลัทธิเต๋าหรือวิชาเลี้ยงปีศาจของพ่อมดหรือไม่ ข้าจะเลี้ยงเขาให้เป็นผีดุร้าย ทรมานไว้ข้างกาย ให้เขาไม่ได้ไปผุดไปเกิดอีกชั่วนิรันดร์”
เจ้าหนุ่มนี่เพิ่งจะทำให้เขาขายขี้หน้าไปเมื่อครู่
ยอดฝีมือระดับสี่ราวกับกำลังมองเหยื่อ ทั้งยังเป็นเหยื่อที่หายากและน่าโหยหาอีก
“พวกเจ้าอย่ารีบร้อน ข้าขอดูก่อนว่าบนร่างของเขาแปลกประหลาดอย่างไร” โหรชุดขาวหัวเราะพร้อมเอ่ย “กล้าบุกเดี่ยวมาถึงที่นี่ จะต้องพึ่งพาบางสิ่งเป็นแน่ บางทีนี่อาจเป็นเพียงหนึ่งตัวตน”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ใช้วิชามองปราณมองพิจารณาสวี่ชีอัน
เมื่อได้ยินบทสนทนาของเหล่ายอดฝีมือทางเหนือ พระมเหสีก็ตกตะลึงพร้อมกรีดร้อง “สวี่ชีอัน เจ้าหนุ่มไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแบบเจ้า เศษสวะแบบเจ้ารีบไสหัวไปเสีย…”
เสียงของนางพลันถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรีดร้อง
โหรชุดขาวผู้นั้นยกสองมือขึ้นปิดตา เลือดสดไหลซึมออกจากง่ามนิ้วของเขา
พระมเหสีมองโหรชุดขาวอย่างงงวย ไม่รู้ว่าเขาเจอกับสิ่งใด
“นะ หนีเร็ว พา พาข้าหนีไปด้วย…” โหรชุดขาวใช้แรงทั้งหมดที่มีเอ่ยประโยคนี้ลอดออกมาตามไรฟัน
หงหลิง ถังซานจวิน เทียนหลาง และจาเอ๋อร์มู่ฮา ยอดฝีมือทั้งสี่หน้าเปลี่ยนสี
……………………………………………………….