ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 352 กระชากสร้อยข้อมือ
บทที่ 352 กระชากสร้อยข้อมือ
“สังหารเลือดสามพันลี้…”
ท่าทางของจาเอ๋อร์มู่ฮายังคงเฉื่อยชาและเขาตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “อะไรคือสังหารเลือดสามพันลี้…”
ข้าถามคำถามไม่ถูกต้องอย่างนั้นเหรอ? สวี่ชีอันขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “การสังหารเลือดสามพันลี้ที่ต้าฟ่ง ใช่ฝีมือของคนป่าเถื่อนอย่างพวกเจ้าลงมือหรือไม่”
จาเอ๋อร์มู่ฮามองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่าและพึมพำ “ข้าไม่ทราบ”
สวี่ชีอันหายใจเข้าลึกๆ และถามคำถามเดิมกับเทียนหลางอีกครั้ง ทว่าคำตอบก็ยังเหมือนเดิม
เขาไม่ยอมแพ้ จึงถามไปที่ถังซานจวินต่อ “การสังหารเลือดสามพันลี้ที่ต้าฟ่ง เป็นฝีมือเผ่าปีศาจทางเหนือของพวกเจ้าหรือไม่”
ถังซานจวินดูว่างเปล่าและตอบว่า “ไม่ทราบ”
ไม่ทราบ?
ไม่ทราบ!
สวี่ชีอันถอนหายใจหนักอีกครั้ง รูม่านตาของเขาขยายออกเล็กน้อย เขานั่งพักสักครู่แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ฉู่เซียงหลง เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับการสังหารเลือดสามพันลี้บ้าง”
ฉู่เซียงหลงที่ดูเนือยๆ ได้ยินคำพูดนั้นแล้วตอบโดยไม่รู้ตัว “เว่ยเยวียนพยายามใส่ร้ายไหวอ๋อง โดยใช้เรื่องศพและวิญญาณมาทำให้กลัว จากนั้นส่งฆ้องเงินสวี่ชีอันไปที่ชายแดน พยายามสร้างข้อกล่าวหาและใส่ร้ายไหวอ๋อง”
ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำ อย่ามาพูดไร้สาระ…สวี่ชีอันปฏิเสธสามครั้งในใจติดต่อกัน
นี่คือสิ่งที่ฉู่เซียงหลงคิดอย่างนั้นหรือ เขาเชื่อว่าสิ่งที่เรียกว่าการสังหารเลือดสามพันลี้นั้นเป็นแผนของเว่ยกงและพวกข้าราชการในท้องพระโรง โดยมุ่งเป้าไปที่อ๋องสยบแดนเหนือ
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้ภารกิจนี้คุ้มกันพระมเหสี
เมื่อพูดมาแบบนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็มีความคิดนี้เช่นกัน นี่เป็นการกระทำที่เป็นไปตามแผนอย่างนั้นหรือ? หากมองด้วยมุมมองนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งและอ๋องสยบแดนเหนือ พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกัน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน
พวกคนป่าเถื่อนและเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการสังหารเลือดสามพันลี้ แต่ฉู่เซียงหลงรองแม่ทัพของอ๋องสยบแดนเหนือ คิดว่ามันเป็นแผนที่เว่ยกงและข้าราชการในท้องพระโรงได้วางแผนไว้ พูดง่ายๆ ก็คือ เขาไม่รู้เกี่ยวกับการสังหารเลือดสามพันลี้เลย
ถ้าอย่างนั้น ใครกันแน่ที่เป็นคนร้าย?
ฟู่… คดีนี้เริ่มน่าสงสัยและทำให้สับสน สวี่ชีอันไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหันกลับไปถามต่อ
“พวกเจ้าวางแผนที่จะกลับไปทางเหนือแล้วจัดการกับข้าอย่างไร”
สำหรับคำถามนี้ฉู่เซียงหลงตอบอย่างตรงไปตรงมา “เฝ้าระวังหรือไม่ก็กักบริเวณ รอให้ผ่านช่วงนี้ไปเสียก่อน พวกเจ้าค่อยกลับไปที่เมืองหลวง”
นี่ช่างเป็นวิธีที่ง่ายและมักง่ายเสียจริง สวี่ชีอันถามอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าอ๋องสยบแดนเหนือเป็นคนเช่นไร”
ฉู่เซียงหลงตอบอย่างไม่ลังเลใจ “อุกอาจ เข้มแข็ง ดีต่อพี่น้อง เป็นผู้นำที่สมควรจะได้รับความจงรักภักดี”
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สวี่ชีอันก็ถามคำถามที่ชั่วร้ายออกมา “เจ้าคิดว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะก่อกบฏหรือไม่”
“ไม่มีทาง!” คำตอบของฉู่เซียงหลงกระชับและตรงประเด็น
“ทำไมล่ะ” สวี่ชีอันต้องการฟังความคิดเห็นของรองแม่ทัพท่านนี้
“ไหวอ๋องมีคุณสมบัติเป็นแม่ทัพโดยเนื้อแท้ เขาชอบต่อสู้ในสนามรบ แต่เขาไม่ชอบท้องพระโรง ไหวอ๋องเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก นอกเหนือจากสนามรบ ในใจของเขามีแต่เรื่องการฝึกซ้อมเท่านั้น” ฉู่เซียงหลงกล่าว
อืม ก็ใช่ แม้ว่าบัลลังก์เป็นสิ่งที่น่าดึงดูด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการตำแหน่งนั้น ถ้าไหวอ๋องเป็นคนแข็งแกร่งแล้วล่ะก็ บัลลังก์ของจักรพรรดิก็จะกลายเป็นทาสของเขา
สวี่ชีอันยอมรับคำกล่าวนี้อย่างไม่เต็มใจ ทว่าไม่เชื่อทั้งหมดในสิ่งที่เขาได้ยิน เขาต้องติดต่ออ๋องสยบแดนเหนือด้วยตัวเองเพื่อหาข้อสรุป
เขาไม่ได้ถามคำถามอีก ก้มศีรษะเล็กน้อย และเริ่มระดมสมองเพื่อใช้ความคิดอีกรอบ
“สองเรื่องนี้ ข้ายังคงคิดไม่ออกจริงๆ ประการแรก หากพระมเหสีเป็นที่ต้องการมากขนาดนี้ ทำไมจักรพรรดิหยวนจิ่งถึงประทานให้อ๋องสยบแดนเหนือแทนที่ตนเองจะเก็บไว้เอง? ประการที่สอง แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋องจะเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน แต่เนื่องจากลักษณะที่น่าสงสัยของจักรพรรดิองค์เก่า จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้นี้ไม่ไว้วางใจอ๋องสยบแดนเหนือ
“มันเป็นเรื่องของอำนาจจักรพรรดิ ไม่ต้องพูดถึงพี่น้อง พ่อลูกก็ไม่อาจเชื่อใจกันได้ แต่ดูเหมือนว่าจักรพรรดิคนก่อนจะสนับสนุนการเลื่อนยศของอ๋องสยบแดนเหนือขึ้นสู่ระดับสอง แม้กระทั่งการส่งพระมเหสีไปหาอ๋องสยบแดนเหนือ นั่นก็เพื่อวันนี้”
สำหรับคำถามแรก สวี่ชีอันเดาว่าแก่นแท้ทางจิตวิญญาณของพระมเหสีจะมีผลต่อพวกทหารเท่านั้น และการฝึกฝนของจักรพรรดิหยวนจิ่งคือระบบลัทธิเต๋า
ในโลกของระบบที่มีความแตกต่างกันนี้ ระบบต่างๆ มีความแตกต่างกันอย่างมาก บางสิ่งซึ่งเป็นยาชูกำลังที่ดีสำหรับระบบใดระบบหนึ่ง สำหรับระบบอื่น อาจไม่มีอะไรที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือแม้แต่เป็นพิษอย่างรุนแรง
แน่นอนว่าการคาดเดานี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน
สำหรับคำถามที่สอง สวี่ชีอันยังไม่เจอเบาะแส
คำถามของฉู่เซียงหลงจบลง เขาหันความสนใจไปที่ดวงวิญญาณอีกสองดวงที่เหลือ คนหนึ่งคือพระมเหสีจอมปลอมที่เสียชีวิตอย่างน่าเวทนา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นโหรชุดขาว
โหรชุดขาวคนนี้ดูแล้วเหมือนจะเฉื่อยชากว่าคนอื่นๆ ทั้งยังเอาแต่พึมพำอะไรบางอย่างในปากตลอดเวลา
“เจ้าชื่ออะไร” สวี่ชีอันลองถาม
“สวีเซิ่งจู่…” ขณะที่โหรชุดขาวพึมพำกับตัวเอง เขาก็ใช้เวลาในการตอบคำถามของเขา
ที่แท้ เจ้าก็คือสวีเซิ่งจู่ ข้าคิดไปเองว่านี่เป็นชื่อหัวหน้าที่อยู่เบื้องหลัง…สวี่ชีอันรู้สึกผิดหวัง
ผู้ชายคนนี้ใช้วิชามองปราณเพื่อสอดแนมไต้ซือเสินซู การรับรู้ในจิตใจของเขาก็มีระดับต่ำ ซึ่งแสดงว่าระดับของเขาไม่สูง จึงสามารถสรุปได้ง่ายๆ ว่ามีกลุ่มหรือผู้เชี่ยวชาญอยู่เบื้องหลังเขา
“เจ้าเป็นคนของกลุ่มใด”
“…”
“พวกเจ้าทำงานให้ใคร”
“…”
“เจ้าชื่ออะไร”
“สวีเซิ่งจู่…”
นี่ นี่มันไม่สามารถสื่อสารกันได้เลย นอกจากสามารถจำชื่อตัวเองได้แล้ว คำถามอื่นๆ เขาไม่สามารถตอบได้เลย นี่มันไม่ต่างอะไรกับเด็กสามขวบเลยนะ…ปากของสวี่ชีอันกระตุก
“ข้าจำได้ว่ายังมีถุงเครื่องหอมในหนังสือปฐพี เป็นของหลี่เมี่ยวเจิน…” สวี่ชีอันหยิบเศษกระดาษของหนังสือปฐพีออกมา กระแทกที่ด้านหลังกระจก จากนั้นถุงเครื่องหอมก็หล่นลงมา
ถุงเครื่องหอมนี้พูดแต่ประโยคเดิมๆ “สังหารเลือดสามพันลี้” ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือของจิตวิญญาณ
ในตอนเริ่มต้น เว่ยเยวียนหยิบถุงเครื่องหอม และรายงานเกี่ยวกับอ๋องสยบแดนเหนือที่ท้องพระโรง หลังจากนั้น ถุงเครื่องหอมก็ถูกส่งกลับไปยังสวี่ชีอัน ซึ่งเขาเก็บมันไว้และลืมส่งคืนให้กับนางฟ้าแห่งนิกายสวรรค์
ถุงเครื่องหอมชนิดนี้เป็นอาวุธวิเศษขนาดเล็กที่หลี่เมี่ยวเจินประดิษฐ์ขึ้นเอง มีผลในการบำรุงดวงวิญญาณและกักขังวิญญาณ เว้นแต่จะเป็นวิญญาณเก่าที่ได้รับการสังเวยและขัดเกลา มิฉะนั้น วิญญาณใหม่ที่เพิ่งตาย จะไม่สามารถทะลุออกมาจากถุงเครื่องหอมได้
“โหรผู้นี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคต แม้ว่าเขาจะสติไม่ดีไปแล้วก็ตาม อืม เก็บไว้ก่อน แล้วส่งมอบให้หลี่เมี่ยวเจินเลี้ยงดู เทพธิดาผู้สง่างามแห่งนิกายสวรรค์ ต้องมีวิธีการในการฟื้นฟูวิญญาณนี้ให้มีสติกลับมาเหมือนเดิม
“นี่คือข้อดีของการมีความสัมพันธ์ที่ดี ไม่สิ นี่เป็นการประสบความสำเร็จของสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจกันมาก ถึงจะได้รับประโยชน์ที่ควรได้รับ…ถุงเครื่องหอมนี้เก็บวิญญาณได้ เรียกมันว่าหยินหนางก็แล้วกัน”
สวี่ชีอันนำโหรและวิญญาณของผู้อื่นใส่ในถุงเครื่องหอม จากนั้นจึงใส่ร่างของพวกเขาลงในเศษหนังสือปฐพี และจัดการกับที่เกิดเหตุ
โชคดีที่ไม่มีการสู้รบที่ดุเดือดที่นี่ เพราะไต้ซือเสินซูบดขยี้พวกเขาอย่างรุนแรงและว่องไว ซากศพทั้งหมดจึงถูกกำจัดทิ้ง
ท้ายที่สุด สวี่ชีอันไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับสาวใช้เหล่านี้
“ฆ่าดีหรือไม่ ผู้ที่จัดการกับเรื่องใหญ่ย่อมไม่ลังเลที่จะจัดการกับจุดเล็กๆ ถึงแม้พวกนางไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องใดขึ้น แต่พวกนางก็รู้ว่าต้องสกัดกั้นยอดฝีมือจากแดนเหนือ
“ทว่าพวกนางไม่ได้โหดร้ายถึงขั้นนั้น และไม่ได้ทำร้ายข้า พวกนางล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์…”
สวี่ชีอันชั่งน้ำหนักเป็นเวลานาน จนในที่สุดก็เลือกที่จะปล่อยสาวใช้เหล่านี้ไป ด้านหนึ่ง เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและการกระทำอันโหดเหี้ยมทารุณเช่นการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้
ในทางกลับกัน เขาไม่มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะฆ่าคนเพื่อปกปิดความผิด
เว้นเสียแต่ว่าเขาตั้งใจจะซ่อนพระมเหสีไว้จนตาย ไม่ปล่อยให้นางได้เห็นแสงสว่าง หรือขโมยทรัพย์สิน และเก็บวิญญาณของพระมเหสีไว้กับตนเอง
หากเป็นเช่นนั้น การฆ่าคนเพื่อปกปิดความจริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น มิฉะนั้นเขาคงไม่อาจรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัวได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะนิสัยของสวี่ชีอันแล้ว เขาไม่มีทางทำอย่างนั้น
จากแผนการติดตามผลของเขา พระมเหสีต้องมีจุดประสงค์อื่น ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่สำคัญมาก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถซ่อนนางเอาไว้ได้
เพราะเหตุนี้ เขาจึงไม่มีแรงจูงใจในการฆ่าคนเพื่อปกปิดความจริง
“แม้ว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้าเพื่อปิดปาก แต่การหลบหนีก่อนเวลาอันควรของเจ้าจะส่งผลต่อแผนการติดตามผลของข้า ดังนั้น…หลับให้สบายอยู่ที่นี่เถอะ ตื่นแล้วค่อยแยกย้ายกันไป”
…
ลมในตอนกลางคืนค่อนข้างเย็น หญิงคร่ำครึผล็อยหลับไป เมื่อนางตื่นขึ้น ก็รู้สึกสบายตัวและเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น
นางไม่ได้นอนหลับสบายอย่างนี้มาหลายวันแล้ว ทั้งยังเหนื่อยมากจนต้องการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่
นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาของนาง คือต้นไทรขนาดใหญ่ที่มีใบไม้ปลิวไสวในยามราตรีดังกรอบแกรบ
ขณะนี้นางนอนอยู่ใต้ต้นไม้ บนทุ่งหญ้า นำเสื้อคลุมมาห่ม มีกองไฟอยู่ด้านข้าง ส่งเสียงเปลวไฟแตก ‘เปรี๊ยะ’ อยู่บ่อยครั้ง อุณหภูมิกำลังพอดี
ดวงตาของนางนิ่งสนิทอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนางลืมตาจนมองเห็นอย่างชัดเจนและกลับมามีสติรู้ตัวอีกครั้ง หญิงสาวผู้สูงส่งคนนี้ก็ลุกขึ้นอย่างว่องไวราวกับปลาคาร์ป…
อีกแง่หนึ่ง นี่ถือเป็นสัญชาตญาณการตื่นรู้ของร่างกาย
สิ่งแรกที่นางทำคือตรวจสอบร่างกายของตนเอง เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของนางถูกสวมใส่อย่างเรียบร้อยก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยสายตาหวาดกลัว
จากนั้น นางเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างกองไฟ แสงไฟอบอุ่นสะท้อนบนใบหน้าราวกับหยกของเขา
“ตื่นแล้วหรือ”
สวี่ชีอันที่กำลังย่างกระต่ายอยู่ในมือไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เพียงเอ่ยเบาๆ ว่า “กระติกน้ำอยู่ข้างเจ้า เจ้าสามารถดื่มได้หากเจ้ากระหายน้ำ รอต่อไปอีกสองเค่อ เจ้าสามารถกินเนื้อกระต่ายได้”
ความทรงจำก่อนที่จะหมดสติฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หญิงคร่ำครึเบิกตากว้าง มองดูสวี่ชีอันอย่างไม่เชื่อสายตา
“เจ้าช่วยข้าอย่างนั้นหรือ”
“ใช่”
สวี่ชีอันคิดจะเปิดเผยตัวตน แต่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหัว จ้องมองมาที่เขาอย่างระมัดระวัง
“เป็นไปไม่ได้ สวี่ชีอันไม่ได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดเจ้าถึงต้องสวมรอยเป็นเขาด้วย ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
นางปกปิดหน้าอกอันหนักหน่วงไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งควานหาข้างลำตัว พยายามหาอาวุธบางอย่างเพื่อใช้ในการป้องกันตัว ในที่สุดก็คว้ากระติกน้ำรอไว้
หาก ‘สวี่ชีอัน’ กล้าเข้ามาใกล้ นางจะใช้สิ่งนี้ตีหัวเขา
ขี้สงสัยพอสมควร สมองคงไม่กระทบกระเทือนหรอกกระมัง…สวี่ชีอันกลอกตาไปที่นางและพูดอย่างหงุดหงิด
“ครั้งแรกที่เราพบกันคือในร้านอาหารข้างสนามประลองประตูเมืองทิศใต้ ข้าหยิบเงินของเจ้าขึ้นมา และเจ้าก็ดูถูกข้าอย่างรุนแรงว่าข้าอยากได้เงินเจ้า แถมข้ายังถูกทุบตีด้วยกระเป๋าเงินด้วย
“ครั้งที่สองที่เราพบกันคือข้างสนามประลองที่ประตูเมืองทิศใต้ ข้าปกป้องเจ้าโดยไม่คำนึงถึงอันตราย แต่เจ้าก็ยังทุบตีข้า”
ด้วยเสียงอู้อี้ กระติกน้ำก็ตกลงสู่พื้น หญิงวัยกลางคนจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็กล่าวกระซิบเบาๆ ว่า “เป็นเจ้าจริงๆ สินะ”
สวี่ชีอันพยักหน้า
นางจ้องไปที่ชายหนุ่มข้างกองไฟด้วยความตกตะลึง สีหน้าที่กลับมาเป็นปกติปรากฏขึ้นแทนที่สีหน้าที่ซับซ้อน
“ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเจ้า ส่วนคนอื่นๆ ข้าไม่สามารถช่วยไว้ได้” สวี่ชีอันอธิบายอย่างไม่แยแส
“จริงสิ โอ้…”
นางทำหน้าเศร้าพร้อมพูดเสียงต่ำ “พระ พระมเหสีสิ้นแล้ว…”
สวี่ชีอันเหลือบมองไปที่นางอย่างเฉยเมย พูดเสียงดังว่า “อืม” ก่อนจะกล่าวต่อไป “หญิงผู้นี้นำหายนะมาสู่บ้านเมืองและราษฎร เพียงแค่ตาย ทุกอย่างก็จบ ตายไปน่ะดีแล้ว ปล่อยให้นางตายเสียอาจเป็นเรื่องที่น่ายินดี”
ทันใดนั้นนางก็เบิกตากว้างและจ้องไปที่สวี่ชีอัน “เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร พระมเหสีทำร้ายประเทศและประชาชนที่ไหนกัน นางเป็นเพียงผู้หญิงที่น่าสงสาร”
“น่าสงสารตรงไหนล่ะ” สวี่ชีอันยิ้ม
“เหอะ!” นางเชิดกรามขาวผ่องราวหิมะของนาง หันศีรษะหนีไปแล้วพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้าเป็นแค่ทหารหยาบกระด้าง จะรับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของพระมเหสีได้อย่างไร บอกไปก็เปล่าประโยชน์”
หลังจากพ้นอันตรายแล้ว จิตวิญญาณอันหยิ่งผยองก็กลับคืนมาอีกครั้ง ขี้ขลาดตาขาวแต่ยังหยิ่งผยอง…สวี่ชีอันบ่นในใจ แล้วหันกลับมาสนใจเนื้อกระต่ายย่างต่อไป
ในตอนแรก หญิงวัยกลางคนนั่งเงียบๆ ใต้ต้นไทรอยู่ห่างๆ จากสวี่ชีอัน
แต่เมื่อเนื้อกระต่ายส่งกลิ่นหอมมากขึ้นเรื่อยๆ นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมกับขยับตัว ย้ายตำแหน่งไปอยู่ข้างกองไฟ กอดเข่าเอาไว้ และจ้องไปที่กระต่ายย่างอย่างกระตือรือร้น
เหมือนแมวที่กำลังรอกินปลา
หลังจากที่กระต่ายสีน้ำตาลถูกย่างจนสุด สวี่ชีอันก็โรยผงปรุงรสไก่ ก่อนจะฉีกขาหลังสองข้างออกแล้วยื่นให้กับนาง
สายตาของหญิงคร่ำครึเป็นประกาย นางแทบรอไม่ไหวที่จะรับมันมาแล้วกัดเข้าไป
‘ฟู่’…นางถูกเนื้อร้อนลวกริมฝีปาก ถึงกระนั้นนางก็หิวโหยเสียจนไม่อยากคายออกมา ปากเล็กๆ ของนางอ้าออกเล็กน้อย ส่งเสียง “ฟู่ๆ” ไม่หยุด
ผงปรุงรสไก่ดับกลิ่นคาวของเนื้อกระต่ายได้อย่างหมดจด ทั้งยังช่วยเพิ่มความสดใหม่ นอกจากนี้สวี่ชีอันยังย่างเนื้อได้กรอบและอร่อยมากอีกด้วย ทำให้นางซึ่งปกติแล้วเกลียดเนื้อที่มีกลิ่นคาว สามารถกัดกินเนื้อขากระต่ายทั้งสองข้างจนหมดเกลี้ยง
หลังจากนั้นนางก็กลับไปนั่งอยู่ใต้ต้นไทร หยิบกระติกน้ำขึ้นมาจิบ
รู้สึกราวกับชีวิตได้เติมเต็ม
หลังจากดื่มและรับประทานอาหารจนอิ่มแล้ว นางก็เดินกลับไปที่กองไฟและกล่าวด้วยความโล่งใจว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าตอนที่ข้ากำลังรู้สึกท้อแท้ เมื่อได้กินเนื้อกระต่ายเข้าไป กลับรู้สึกราวกับเป็นคนที่มีความสุขจนล้นปริ่ม”
ความคิดของเจ้าที่ว่าหากข้ามแม่น้ำมาได้แล้วและรื้อสะพานนั้น เป็นความคิดที่คล้ายกับข้าตอนเข้าสู่ยุคปราชญ์…สวี่ชีอันรู้สึกว่าแท้จริงแล้วชีวิตของนางเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ทั้งยังน่าขบขันไม่น้อย
“นี่ กำไลลูกประคำของเจ้าน่าสนใจมาก” ดวงตาของสวี่ชีอันมองไปที่ข้อมือขาวเนียนราวหิมะของนาง ก่อนกล่าวออกอย่างไม่ระมัดระวังคำพูด
สีหน้าของนางซีดเผือด รีบพับแขนเสื้อลงเพื่อซ่อนมัน แล้วพูดว่า “แค่ของราคาถูกทั่วไป”
เขาคงไม่ทันสังเกตหรอกใช่หรือไม่ เขาต้องไม่ทันสังเกตเห็นมันอย่างแน่นอน ใครจะจำสร้อยข้อมือธรรมดาๆ เส้นหนึ่งได้ เวลาก็ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว
“ขอข้าดูหน่อยสิ” สวี่ชีอันเอื้อมมือออกไปเพื่อคว้าข้อมือของนาง
“เจ้า เจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไร”
หญิงคร่ำครึหน้าซีดด้วยความตกใจ บุรุษผู้นี้หยาบคายถึงขั้นกล้าจับข้อมือของนางเชียวหรือ
นางรีบซ่อนมือไว้ข้างหลัง พลางถอยหลังออกไป ไม่ยอมเปิดเผยกำไลข้อมือให้อีกฝ่ายเห็น
ทว่าสวี่ชีอันคว้าข้อเท้าของนางไว้แล้วลากกลับมา
หญิงคร่ำครึพยายามเตะขาอย่างรุนแรงและกรีดร้อง
ฉากนี้ดูเหมือนชายหนุ่มบ้าเลือดกำลังพยายามจะขืนใจหญิงสาวอย่างไรอย่างนั้น
“ให้ข้าดูสร้อยข้อมือหน่อย ข้าไม่ขโมยหรอก” สวี่ชีอันสงสัยว่า “เหตุใดเจ้าต้องแสดงปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ด้วย”
“ไม่ให้ ไม่ให้ ไม่ให้…” นางปฏิเสธเสียงดัง
“อ๊ะ!”
สิ้นเสียงกรีดร้อง กำไลข้อมือเส้นนั้นถูกกระชากจนหลุดออกไปเสียแล้ว
………………………………………….