ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 353 คณะทูตมาเยือนแดนเหนือ
บทที่ 353 คณะทูตมาเยือนแดนเหนือ
สร้อยข้อมือถูกปลดออกจากข้อมือสีขาวราวหินนั้น ในสายตาของสวี่ชีอันที่เห็นจากรูปลักษณ์ใบหน้าที่สะท้อนในเงาน้ำก็คือหญิงวัยกลางคนที่ดูธรรมดาสามัญ หลังจากนั้นไม่นานภาพลวงนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป และรูปลักษณ์ใบหน้าเดิมของนางก็ปรากฏขึ้น
ดวงตากลมโตและมีเสน่ห์ของนาง สะท้อนแสงไฟราวกับอัญมณีที่สดใสที่แช่อยู่ในทะเลสาบน้ำตื้น เป็นประกายระยิบระยับเย้ายวน
นางเงยหน้าขึ้นอย่างเขินอาย ขนตาของนางสั่นระริกเบาๆ เป็นความงามที่นำพาซึ่งความสลับซับซ้อน
ริมฝีปากของนางนั้นอวบอิ่มและแดงระเรื่อ มุมปากนั้นละเอียดงดงามราวกับงานแกะสลัก คล้ายกับผลเชอร์รี่ที่เย้ายวนชวนให้หลงใหลที่สุด ดึงดูดให้บุรุษเข้าไปอิงแอบใกล้ชิด
นางสวยดั่งหญิงงาม แต่ทว่าบุคลิกนิสัยนั้นกลับยิ่งมีเสน่ห์ยิ่งกว่า ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่อยู่บนภาพวาด
“…”
สวี่ชีอันเคยได้พบเจอคนที่สวยเพริศพริ้งที่สุดและก็รู้ว่าพระมเหสีของอ๋องสยบแดนเหนือนั้นถูกยกย่องให้เป็นหญิงที่สวยที่สุดอันดับหนึ่งในต้าฟ่ง ดังนั้นนางจึงมีความพิเศษเหนือผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้เห็นตัวจริงของหญิงที่เป็นตำนานเล่าขานกันว่าสวยที่สุดอันดับหนึ่งในต้าฟ่ง สวี่ชีอันกลับรู้สึกมีแรงดึงดูดพรั่งพรูออกมาอย่างรุนแรง ในใจนั้นมีบทกวีลอยขึ้นมาทันทีโดยอัตโนมัติ
เมฆาดุจอาภรณ์บุปผาดั่งหญิงงาม ลมวสันต์พัดผ่านรั้วเม็ดน้ำค้างปรากฏกาย
หากมิใช่พานพบที่ภูผาหยก คงเป็นใต้แสงจันทรา ณ บึงเหยา ที่พบพาน
“คืนมา…ส่งคืนมาให้ข้า” นางใช้น้ำเสียงที่สะอื้นไห้และวิงวอน
สวี่ชีอันมองไปที่นางอย่างเงียบๆ ไม่หยอกล้อต่อและยื่นกำไลข้อมือส่งคืนให้
พระมเหสีคว้าไว้อย่างรวดเร็วพร้อมสวมใส่ใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็มีคลื่นแสงและเงาคล้ายคลื่นน้ำสั่นสะท้อนขึ้นมาอีกครั้งอย่างฉับพลัน จากนั้นนางก็กลับกลายเป็นหญิงชราสามัญธรรมดาอีกครั้ง
อายุราวสามสิบต้นๆ ใบหน้าสามัญธรรมดา บุคลิกนิสัยธรรมดาทั่วไป
พระมเหสีสัมผัสลูบใบหน้าของนางและถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงซ่อนมือขวาของตนที่สวมสร้อยข้อมือไว้ข้างหลังอย่างแน่นหนา ก้าวถอยหลังไปทีละก้าวและมองที่สวี่ชีอันอย่างระวังตัว
นางรู้ว่าเสน่ห์ความงามของตนเอง สำหรับผู้ชายนั้นคือสิ่งยั่วยวนที่ไม่อาจต้านทานได้
บนโลกนี้ผู้ที่สามารถอดทนต่อสิ่งเย้ายวนได้ ชายที่เพิกเฉยไม่สนใจไยดีตัวนาง นางเพิ่งเคยพบเจอเพียงแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือคนที่หลงใหลในการฝึกฌาน จักรพรรดิหยวนจิ่งที่อายุยืนเหนือสิ่งอื่นใด
อีกคนหนึ่งคือผู้ที่หลงใหลในศิลปะการต่อสู้ ไหวอ๋องผู้ที่วางแผนการที่ไม่ดีต่อนาง
สำหรับสวี่ชีอัน ภาพพจน์ที่ติดอยู่ในความทรงจำของพระมเหสีที่มีต่อเขา ตราบาปที่อยู่บนร่างกายของเขานั้นคือวีรบุรุษหนุ่มผู้เจ้าชู้หมกมุ่นในกามตัณหา
มีข่าวลือเกี่ยวกับบุคคลนี้ว่าวนเวียนอยู่ที่สำนักสังคีตตลอดทั้งวัน พัวพันลึกซึ้งกับคณิกามากหน้าหลายตา วีรบุรุษหนุ่มกับการใช้ชีวิตแบบตามใจไร้กฎเกณฑ์เป็นการสะท้อนเติมเต็มซึ่งกันและกัน และมักจะถูกผู้คนพูดถึงอย่างออกอรรถรสไม่หยุดหย่อน
แต่สิ่งที่พระมเหสีกลัวที่สุดก็คือความเจ้าชู้หมกมุ่นในกามตัณหา
นี่ก็สวยเกินห้ามใจเกินไปแล้ว แต่ทว่าไม่ถูกต้อง…ปัญหาไม่ใช่ว่านางสวยหรือไม่สวย นางเป็นหญิงประเภทที่หาพบเจอได้น้อยจริงๆ นั่นทำให้ข้าคิดถึงหญิงที่เป็นรักแรกพบ…
ในหัวของสวี่ชีอัน ก็มีความคิดถึงโลกเดิมของเขาก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้น
เขาคิดว่ามันถูกต้องและเหมาะสมมากกับความงามของพระมเหสี แต่สิ่งที่ทำให้สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างจังนั่นก็คือเสน่ห์ที่แปลกประหลาดเฉพาะตัวของนาง ซึ่งเป็นความอ่อนโยนที่หัวใจชายสามารถสัมผัสได้จริงๆ
นี่ก็คือคนที่งดงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่งหรือ? อ่า เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจจริงๆ
สวี่ชีอันถือกิ่งไม้พลางเขี่ยๆ กองไฟ เขาไม่ได้มองไปที่พระมเหสีที่ระมัดระวังและเตรียมป้องกันอย่างเต็มที่อีก สายตาเขามองไปที่กองไฟพร้อมเอ่ยพูด
“กำไลข้อมือเส้นนี้คือตอนที่ข้าชนะการแข่งโยนธนูลงหม้อแล้วได้มาให้เจ้านี่นา มันมีผลในการป้องกันลมหายใจและเปลี่ยนรูปลักษณ์”
พระมเหสีตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงการเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังของนางตอนถอดสร้อยข้อมือ คาดว่าเขาน่าจะอนุมานได้จากสิ่งนี้ นางจึงพยักหน้า
สวี่ชีอันกล่าวต่อ “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าพระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในต้าฟ่ง ตอนแรกข้าก็ไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ข้าได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าแล้ว ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจทอดอารมณ์…สมควรแล้ว”
คิ้วโก่งเรียวของพระมเหสีขมวดเล็กน้อย “ถอนหายใจ?”
ถ้าหากเป็นผู้หญิงนางอื่นพูดเช่นนี้ พระมเหสีคงคิดว่าพวกนางนั้นอิจฉา ก็ยังอาจจะยังดูสมเหตุสมผลอยู่ แต่ประโยคนี้ออกมาจากปากผู้ชาย มันจึงดูแปลกมากๆ
สวี่ชีอันพยักหน้า “เพราะข้ารู้สึกว่า สระน้ำของข้า…ผู้หญิงเหล่านั้นที่ข้ารู้จัก แต่ละนางล้วนแต่เป็นหญิงงามที่มีความโดดเด่นกว่าใคร มีลักษณะความงามที่แตกต่างกันราวกับดอกไม้นับร้อยหลากสีสันที่เบ่งบาน ที่เรียกว่าพระมเหสีก็เป็นเพียงแค่ดอกไม้ดอกหนึ่งที่สีสันสดสวยเช่นเดียวกัน”
แต่เขาก็ยอมรับว่าโฉมหน้าที่มีเสน่ห์เย้ายวนแสนพิเศษที่เห็นในเวลาอันสั้นเมื่อครู่นั้น พระมเหสีท่านนี้ได้เผยให้เห็นเสน่ห์ของสตรีเพศที่ทรงพลังอย่างมหาศาล
แม้ว่าเขาจะผ่านประสบการณ์กองทหารปืนใหญ่มานาน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้หลงใหล แต่เมื่อครู่เขากลับรู้สึกว่าก็มีแรงกระตุ้นอยู่ชั่วขณะ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นของสัญชาตญาณชาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พระมเหสีก็ยิ้มเย้ยหยัน
เหล่าผู้หญิงที่มีความเจ้าชู้หมกมุ่นในกามตัณหาติดตัวเช่นนั้นจะนำมาเปรียบเทียบกันกับตัวนางได้อย่างไร จริงอยู่ที่ถึงแม้คณิกาในสำนักสังคีตนั้นจะสะสวย แต่ถ้าหากต้องนำหญิงสาวโสเภณีเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับตัวนาง ก็คงจะเป็นการดูถูกเหยียดหยามกันเกินไปหน่อย
ที่เมืองหลวง พระมเหสีรู้สึกว่าลูกสาวคนโตและลูกสาวคนที่สองของจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้เต็มใจที่จะเชิดหน้าชูตานางและต้องการกีดกันนาง ส่วนราชครูลั่วอวี้เหิงผู้ออดอ้อนฉอเลาะที่สุด ก็สามารถแข่งขันกับนางเรื่องความสวยความงามได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เทียบเท่านางไม่ได้ สำหรับผู้หญิงคนอื่นๆ นางอาจจะไม่เคยพบเห็นพวกเขามาก่อน หากว่าหน้าตาสวยสดงดงามแต่มีฐานะต่ำต้อย
เมืองหลวงก็คือภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งพระมเหสีคือความเงียบเหงาและความอ้างว้างบนยอดเขา นางชำเลืองมองเล็กน้อย อย่างมากที่สุดก็มองเห็นเพียงหัวของฮว๋ายชิ่งและหลินอัน บางครั้งก็มองดูใบหน้าครึ่งหนึ่งของลั่วอวี้เหิง แน่นอนว่ายังมีอีกหนึ่งคน ถ้าคนคนนั้นอยู่ในช่วงวัยที่กำลังเป็นหนุ่มสาว พระมเหสีรู้สึกว่าบางทีคนคนนั้นอาจจะสามารถแข่งขันกับนางได้
นางคือฮองเฮาแห่งต้าฟ่ง
ในบรรดาผู้หญิงที่สวี่ชีอันคบหาด้วย แน่นอนว่าไม่รวมฮว๋ายชิ่งและหลินอัน รวมถึงราชครู ดังนั้น พระมเหสีจึงพูดดูถูกเหยียดหยามเขาด้วยเสียงฮึดฮัดออกจมูก และเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส
“เกือบสิบวันแล้วที่ออกจากเมืองมา ปลอมตัวเป็นสาวใช้ก็ลำบากมากเลยทีเดียว ข้าอดทนกับเจ้าก็ลำบากมากเช่นกัน” สวี่ชีอันยิ้มพลางพูด
“หมายความว่าอย่างไร?” พระมเหสีตกตะลึง
“คืนนั้นที่พวกเราอยู่บนดาดฟ้าเรือ ข้าคิดจะหยิบสร้อยข้อมือของเจ้าแล้ว แต่ก็ดันเกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมา ท้ายที่สุด ถึงอย่างไรข้าก็เป็นขุนนางบัญชาการ ต้องพิจารณาถึงส่วนรวมอยู่แล้ว”
พระมเหสีสีหน้าไร้ความรู้สึก มองที่เขาด้วยความประหลาดใจพลางพูด “เจ้า…เจ้าเดาออกได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือว่าข้าคือพระมเหสี?”
หลอกลวงกันแน่ๆ เห็นชัดว่านางเองก็ปลอมตัวมาอย่างดี และในตอนกลางคืนนางมักจะปรบมือชื่นชมให้กับฝีมือการแสดง คิดว่าตัวนางเองนั้นสวมบทบาทเป็นสาวใช้ได้อย่างฝีมือยอดเยี่ยม ใครก็ไม่สามารถที่จะจำนางได้
“จะพูดให้ถูกก็คือตอนที่เจ้าอยู่ในวังและใช้ทองทุบข้า ข้าก็เริ่มสงสัยแล้ว และตอนที่ยืนยันตัวตนที่แท้จริงของเจ้าได้เลย ก็คือตอนที่พวกเราพบกันบนเรือราชการ ตอนนั้นข้าจึงเข้าใจได้ทันที ว่าเจ้าคือพระมเหสี คนที่อยู่บนเรือนั้นก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิด” สวี่ชีอันยิ้มพลางพูด
หลังจากสละทิ้งเรือและเดินทางไปบนบก เมื่อได้เห็นพระมเหสีตัวปลอม ในใจของสวี่ชีอันก็ไม่ได้รู้สึกถูกรบกวนหรือกระทบใดๆ และนั่นยิ่งทำให้แน่ใจได้ว่านางเป็นตัวปลอม
เหตุผลนั้นง่ายมาก เมื่อก่อนเขาเคยเขียนบันทึกมาก่อน และเคยบันทึกคุณสมบัติพิเศษของพระมเหสีไว้ในสมุดบันทึกนั้น
‘ข้า…ข้าเปิดเผยตัวตนเร็วขนาดนั้นเลยหรือ’ พระมเหสีอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกเมื่อนึกถึงการแสดงของตัวนางเองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ความรู้สึกอับอายเอ่อท่วมท้นจนแทบอยากจะขุดดินเพื่อฝังกลบตัวเองไป
“พูดกับเจ้าเรื่องพวกนี้แล้ว ก็อยากจะบอกกับเจ้าว่า ถึงแม้ว่าข้าจะเจ้าชู้ ก็ลองถามพวกผู้ชายดูว่ามีใครบ้างที่ไม่เจ้าชู้ แต่ข้านั้นไม่เคยบังคับขืนใจผู้หญิง พวกเรายังต้องมีการเดินทางไปทางแดนเหนือและต้องการความร่วมมือจากเจ้า” สวี่ชีอันพูดให้นางคลายกังวล
สวี่อวิ๋นหลัวแห่งต้าฟ่งไม่เคยบังคับผู้หญิง เว้นเสียแต่ว่าพวกนางคิดอยากจะเปิดใจเอง
‘ยังไงก็หนีไม่พ้นโชคชะตาที่ต้องขึ้นทางเหนือ’ พระมเหสีเม้มริมฝีปาก รู้สึกหดหู่เล็กน้อยและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถาม “พวกเราจะนัดพบกับคณะทูตเมื่อใด?”
ชายหนุ่มอวิ๋นหลัวเงยหน้าขึ้น แสงไฟสะท้อนบนใบหน้าของเขา มุมปากของเขากระตุกยกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายที่คาดเดาไม่ได้ “ใครบอกว่าเราจะนัดพบกับคณะทูตล่ะ?”
…
คืนนี้ ตราบใดที่ต้นไทรยังส่งเสียง ‘กรอบแกรบ’ จากการที่ใบไม้สั่นเสียดสีกันดังขึ้น ก็คือไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
ยามเช้าตรู่ แสงแรกของรุ่งอรุณสาดส่องลงบนใบหน้าของนาง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู นางตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ เห็นว่ากองไฟได้ดับลงแล้ว และมีหม้อเหล็กขนาดใหญ่วางอยู่บนนั้น พร้อมกับกลิ่นหอมของข้าวต้มที่ลอยมาเตะจมูก
ท้องของพระมเหสีร้องคำรามอยู่สองครั้ง นางมาอยู่ข้างๆ กองไฟโดยยากที่จะซ่อนความประหลาดใจและดีใจของนางไว้ได้ พลางเปิดฝาหม้อเหล็ก ข้างในนั้นมีข้าวต้มปริมาณมากพอสำหรับสามถึงห้าคน
นอกจากนี้ ด้านข้างนั้นยังมีชามและตะเกียบที่ถูกล้างอย่างสะอาดสะอ้านวางไว้คู่กัน
‘เขาไปเอาหม้อจากไหนมาต้มข้าวต้ม ไม่สิ เขาไปเอาข้าวมาจากไหน? ไปเอาชามและตะเกียบที่สะอาดสะอ้านมาจากไหน’ พระมเหสีจัดการตักข้าวต้มให้ตัวเองเต็มชาม พร้อมกับซดทานอย่างเพลิดเพลิน
ข้าวต้มข้นๆ หอมหวาน อุณหภูมิที่กำลังอุ่นพอดีไหลลงท้องของนาง พระมเหสีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น
‘เมื่อวานแทะขากระต่ายหมดไปสองขา ก็ทำให้กระเพาะรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก กลางดึกจึงลุกขึ้นมาดื่มน้ำก็พบว่าโดนเจ้านั่นดื่มไปหมดแล้ว ตอนนี้ปากคอแห้งผาก ท้องก็ว่าง’
ข้าวต้มที่หอมหวานชามนี้ ก็ดีกว่าอาหารเลิศรสชั้นดีทั้งหลายเสียอีก
ในเวลานี้ เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากระยะไกล เป็นสวี่ชีอันที่กลับมาพร้อมเหยียบย่ำอยู่บนทุ่งหญ้า เขาเปลี่ยนเป็นใส่ชุดธรรมดาและสวมหมวกขนสัตว์ราวกับว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“ฝั่งทางนั้นมีแม่น้ำสายเล็กอยู่ แถวนี้ไม่มีใครเลย เหมาะแก่การอาบน้ำ” สวี่ชีอันนั่งลงข้างนาง โยนสบู่และแปรงสีฟันขนสัตว์ให้ แล้วพูด
“เจ้าอยากจะอาบน้ำหรือไม่?”
สองมือเล็กของพระมเหสีถือชามไว้ พลางมองไปที่สวี่ชีอันอย่างครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นก็ส่ายหัวเล็กน้อย
“ไม่สกปรกหรือ?” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะอย่างไรร่างกายของพระมเหสีก็เป็นร่างของหญิงสาว ไม่นึกเลยว่าจะไม่สนใจความสะอาดได้ขนาดนี้
“เจ้านั่นแหละสกปรก” พระมเหสีไม่ยอมรับแล้วพูดเสียดสีย้อนกลับคนที่ไม่รู้จักกันดี
นางจะไม่อยากอาบน้ำได้อย่างไร เช่นนั้นก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนเจ้าชู้แบบนี้อย่างนั้นหรือ? ถ้าหากว่าเขาแอบเป็นถ้ำมองอยู่ข้างๆ หรือถือโอกาสนี้มาอาบด้วยกัน
‘จริงสิ สตรีงามที่ไม่ได้เข้าห้องอาบน้ำ ข้ารู้สึกว่าต่ำต้อย’ สวี่ชีอันนำแปรงสีฟันขนสัตว์และสบู่กลับคืนมา
พระมเหสีก็รีบพูดอย่างรวดเร็ว “การล้างปากเป็นสิ่งจำเป็น”
นางมีความอยากอาหารเพียงเล็กน้อย และหลังจากทานข้าวต้มไปหนึ่งชามก็รู้สึกอิ่มแน่น นางพินิจพิเคราะห์แปรงสีฟันขนสัตว์ พลางเดินไปทางริมแม่น้ำ
สิ่งที่สงสัยหลักๆ คือสงสัยว่าแปรงสีฟันนี้ถูกสวี่ชีอันใช้มาก่อนแล้วหรือยัง แต่นางก็ไม่มีหลักฐาน
หลังจากนางแปรงฟันเสร็จและกลับมา หม้อและชามก็หายไปแล้ว สวี่ชีอันนั่งยองๆ อยู่ข้างกองขี้เถ้า พลางจ้องมองที่แผนที่อย่างใช้สมาธิ
“พวกเราจะไปที่ไหนกันต่อ” นางเอ่ยถาม
“มณฑลซานหวง”
สวี่ชีอันไม่ได้ตั้งใจจะสร้างสถานการณ์ พร้อมพูดอธิบาย “นี่คือที่ที่อยู่ติดกันกับฉู่โจวและเจียงโจว มีบุตรในเงามืดที่ได้รับการฝึกฝนโดยหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ ข้าจะไปหาเขาก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อสืบเสาะหาข้อมูล จากนั้นจึงค่อยๆ เจาะลึกและเข้าไปในฉู่โจว”
กรณีเรื่องราวสลับซับซ้อนของการสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ดูเหมือนว่าจะยังมีอีกหนึ่งความจริงที่ยากจะปกปิดอยู่ภายใต้เบื้องหลังนี้ และสวี่ชีอันคิดว่าการสืบสวนอย่างลับๆ นี้เป็นวิธีที่เหมาะสมแล้ว
คำพูดที่โม้โอ้อวดเกินขอบเขตจะทำให้ทั้งตนเองและสหายตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย
คณะทูตที่นำโดยหยางเยี่ยนเป็นแค่ฉากภายนอกที่บังหน้าไว้
เป็นแผนที่มั่นคงและโจมตีได้อย่างมั่นใจ…พระมเหสีพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถามอีกครั้ง “คนเหล่านั้นถึงไหนกันแล้ว”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” สวี่ชีอันพูดสกัดนางอย่างไร้ความปรานี
ทั้งสองออกเดินทางต่อไป หลีกเลี่ยงการใช้ถนนสายหลัก และเลือกใช้เส้นทางเล็กระหว่างภูเขา ตามแนวสันเขาหรือไม่ก็ข้ามยอดเขาโดยตรง
ตลอดทั้งวัน หญิงผู้น้อยใจนางนี้ก็ไม่เอ่ยอันใดกับเขาอีกเลยแม้แต่ประโยคเดียว
การเดินทางผ่านขุนเขาก็มีข้อดีเช่นกัน คือวิวทิวทัศน์ระหว่างทางก็ไม่เลวนัก ด้วยภูเขาป่าเขียวขจี น้ำใสและเมฆขาวที่ลอยลมอยู่
บางครั้งการที่ได้เห็นต้นสนสีเขียวชอุ่มที่ยืนหยัดอยู่บนขอบหน้าผา เรียงสูงโปร่งราวกับหลังคา และทั้งยังได้เห็นดอกไม้ป่าเบ่งบานเรียงรายอยู่ริมข้างทาง เรียบง่ายและแข็งแกร่ง
สวี่ชีอันเป็นบุรุษที่ทะนุถนอมและอ่อนโยนต่อสตรี ไม่ได้เดินเร็วนัก ทั้งยังหยุดพักเป็นครั้งคราว เลือกสถานที่ที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และพักผ่อนเอ้อระเหยอย่างสบายๆ เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม
เขาพูดคุยกับนางเกี่ยวกับประสบการณ์ในการเลี้ยงปลาของเขา ซึ่งมักจะเรียกรอยยิ้มเยาะเย้ยถากถางจากพระมเหสีได้อยู่บ่อยครั้ง
…
หลังจากผ่านไปห้าวัน คณะทูตก็เข้าสู่แดนเหนือและมาถึงเมืองที่ชื่อหว่านโจว
หว่านโจวเป็นเมืองเล็กๆ ที่ใหญ่กว่าอำเภอและเล็กกว่าจังหวัด หว่านโจวเป็นดินแดนที่มีที่ดินอุดมสมบูรณ์และเหมาะแก่การเพาะปลูก นับเป็นยุ้งฉางแห่งหนึ่งของฉู่โจว
รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของที่นี่ไม่แตกต่างจากที่ราบตอนกลางของเมืองหลวงมากนัก เพียงแต่ว่าขนาดนั้นยากที่จะเปรียบเทียบกันได้ และเนื่องจากบริเวณใกล้เคียงไม่มีท่าเทียบเรือ ดังนั้นระดับความเจริญรุ่งเรืองจึงยังจำกัดอยู่
หลังจากที่หยางเยี่ยนแสดงเอกสารต่อราชสำนักแล้ว ทหารผู้รักษาประตูเมืองสูงสุด ก็ได้นำพาหัวหน้าและคณะไปที่จุดพักเปลี่ยนม้าด้วยตัวเอง
คณะทูตเพิ่งจะได้พักผ่อนที่จุดพักเปลี่ยนม้า หยางเยี่ยนที่ได้อาบน้ำร้อนและกำลังจะนั่งดื่มชา เจ้าเมืองหว่านโจวก็มาถึงแล้ว
แซ่ของใต้เท้าจือโจวคือหนิว แต่ร่างกายของเขากลับห่างไกลกับคำว่า ‘วัว’ มากนัก เขามีร่างที่สูงและผอม ไว้เคราเหมือนแพะภูเขา สวมเสื้อคลุมสีครามปักลายนกกระยาง ด้านหลังมีขุนนางสองนายตามประกบมาด้วย
“ขุนนางชั้นผู้น้อยไม่รู้ว่ามีเหล่าขบวนใต้เท้าเดินทางกันมามากมาย ต้องขออภัยหากไม่ได้ออกมาต้อนรับ หรือขาดตกบกพร่องประการใดไปบ้าง”
ท่าทางหนิวจือโจวอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก และหลังจากแสดงความเคารพต่อผู้ตรวจการของศาลต้าหลี่ทั้งสองและหยางเยี่ยนแล้ว เขาก็เอ่ยถาม “ขอถามสักหน่อย ใต้เท้ามากันหลายท่านเช่นนี้ด้วยเรื่องอะไรหรือ?”
หยางเยี่ยนไม่ถนัดในการพูดคุยเข้าสังคมอย่างเป็นทางการ จึงไม่ได้ตอบกลับ
ผู้ตรวจการของศาลต้าหลี่หยิบเอกสารที่เขาเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยออกมา พลางยื่นส่งให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พูดจากันเพียงไม่กี่คำก็เริ่มสนิทชิดเชื้อกันกับจือโจวแล้ว
หลังจากที่หนิวจือโจวและผู้ตรวจการของศาลต้าหลี่กล่าวทักทายกันเสร็จเรียบร้อย เขาจึงได้เปิดเอกสารที่อยู่ในมือและอ่านอย่างละเอียด
หลังจากอ่านเอกสารแล้ว สีหน้าของหนิวจือโจวก็แสดงออกอย่างแปลกประหลาด ถึงขั้นที่รู้สึกว่ามันเหลวไหล สายตาของเขากวาดมองไปยังฝูงชนและพูดหยั่งเชิง “ขอถามหน่อย ผู้ใดคือสวี่อวิ๋นหลัว?”
ผู้ตรวจตราศาลต้าหลี่ถอนหายใจ และกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “คณะทูตถูกศัตรูซุ่มโจมตีระหว่างทาง สวี่อวิ๋นหลัวจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะปกป้องทุกคน พวกข้าได้ส่งคนกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว”
หนิวจือโจวตกใจมากจนหน้าถอดสี “คาดไม่ถึงเลยว่ามีเรื่องนี้ด้วย? ขโมยที่ไหนมันกล้าดักซุ่มโจมตีคณะทูตของราชสำนัก ช่างกำเริบเสิบสานอย่างไม่ยำเกรงต่อสิ่งใดเสียจริง”
ผู้ตรวจการสกุลหลิวโบกมือ พลางพูด “เรื่องนี้อย่าพูดถึงเลยจะดีกว่า ใต้เท้าหนิว พวกข้ามาเพื่อสืบสวนคดีนี้ และมีเรื่องจะถามพอดี”
หนิวจือโจวรีบน้อมคำนับอย่างรวดเร็ว “ใต้เท้าโปรดถาม”
ผู้ตรวจตราหลิวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “การต่อสู้ในฉู่โจวเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อได้ยินดังนั้น หนิวจือโจวก็ถอนหายใจ พลางพูด “ปีที่แล้วทางเหนือนั้นหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวัน ทำให้พวกสัตว์หนาวตายกันนับไม่ถ้วน หลังจากเริ่มฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ คนป่าเถื่อนก็มักจะบุกเข้าชายแดน และเผา ฆ่า ปล้นตลอดทาง โชคดีที่อ๋องสยบแดนเหนือมีทหารและนายพลภายใต้บัญชาการจำนวนมาก จึงทำให้ไม่สูญเสียไปเลยสักกำแพงเมืองเดียว พวกป่าเถื่อนทางใต้ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาในฉู่โจว เป็นได้แค่เพียงสามัญชนคนยากไร้ทั่วไปตามเขตชายแดนเท่านั้น”
ไม่ใช่สามัญชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมือง เหล่าคนที่ถูกพวกป่าเถื่อนทางใต้ปล้นคือสามัญชนที่อยู่ในหมู่บ้านและชุมชนเล็กๆ
เหล่าคณะทูตทุกคนต่างมองหน้ากัน หัวหน้ามือปราบเฉินแห่งกรมอาญาก็ขมวดคิ้วก่อนพูด “สังหารเลือดหมู่สามพันลี้เกิดขึ้นที่ใด”
หนิวจือโจวยิ้มเจื่อนๆ และกางมือออก พลางพูด “นี่เป็นคำพูดที่ช่างเหลวไหลไร้ความน่าเชื่อถือจริงๆ ใต้เท้าทุกท่านควรทราบ ยุทธศาสตร์ทางการเมืองทั้งหมดของฉู่โจวมีไม่เกินแปดพันลี้ ถ้าหากมีเรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ เช่นนั้นขุนนางระดับล่างจะสามารถมายืนคุยกับเหล่าใต้เท้าที่นี่ได้อย่างไรกัน”
หลิวยวี่สื่อหัวเราะเยาะ “ทุกคนล้วนเป็นปัญญาชน หนิวจือโจวไม่จำเป็นต้องใช้กลอุบายกลอันชาญฉลาดเหล่านี้”
‘สังหารเลือดหมู่สามพันลี้’ เป็นหนึ่งตำนานที่มีจุดกำเนิดมาจากยุคโบราณสมัยสงครามระหว่างรัฐ มีขุนพลฆาตกรกระหายเลือดคนหนึ่ง เมื่อประเทศมหาอำนาจถูกทำลายจนดับสูญ เขาก็ได้รวบรวมนำทัพกำลังทหารไปสังหารเลือดหมู่สามพันลี้
คนรุ่นหลังทำให้เรื่องนี้เป็นตำนาน และนำมาใช้บรรยายเหตุการณ์เรื่องราวการสังหารหมู่ที่โหดเหี้ยมอำมหิต
แม้ว่าพวกป่าเถื่อนทางใต้จะก่อความวุ่นวายแก่สามัญชนที่อยู่แถบชายแดน ทั้งเผา ฆ่า และปล้นสะดม แต่อ๋องสยบแดนเหนือก็ได้ส่งข่าวกลับมายังแดนเหนือ โดยบอกแค่ว่าพวกป่าเถื่อนทางใต้กำลังก่อความวุ่นวายแถวเขตชายแดน แต่ทั้งหมดนั้นก็ได้ถูกกำลังทหารของเขาตีขับไล่ออกไปจนหมดสิ้น ซึ่งข่าวของการได้ชัยชนะก็ถูกกระจายอย่างต่อเนื่อง
ถ้าหากว่าพวกป่าเถื่อนทางใต้ลงมือทำจริงๆ การกระทำอันป่าเถื่อนโหดเหี้ยมอำมหิตของ ‘สังหารเลือดหมู่สามพันลี้’ นั่นก็คือเรื่องหลอกลวงที่อ๋องสยบแดนเหนือสร้างขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางทหาร เท่ากับบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง
………………………………………………………