ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 354 ซักถามคณะทูต
บทที่ 354 ซักถามคณะทูต
“ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ระยะทางของหว่านโจวห่างจากทางเหนือเพียงไม่กี่วัน หากใต้เท้าทั้งหลายไม่เชื่อ ก็เดินทางไปทางเหนือ เพื่อดูด้วยตาตนเองก็ได้”
หนิวจือโจวแก้ตัวติดต่อกัน ขาดก็แต่สาบานต่อเทพเจ้า
หนิวจือโจวมนุษย์ตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ทำให้เขาลำบากใจมากนัก
หลังจากผู้ตรวจสอบหลิวสอบถามอีกครั้งเกี่ยวกับปัญหาของทางเหนือไม่กี่ข้อ รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ลุกขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีไปให้
มองตามหลังหนิวจือโจวขึ้นรถม้าไป ก็พาลูกน้องจากไป รองหัวหน้าศาลต้าหลี่กลับเข้ามายังศาลาพักม้าอีกครั้ง ให้ทหารส่งสารล่าถอย มองทุกคนรอบๆ “ตอนนี้พวกเราจะขึ้นเหนือ หรือจะพักอยู่ที่ศาลาพักม้าอีกสองสามวัน?”
หัวหน้ามือปราบเฉินกรมอาญากล่าวเสียงต่ำ “พักในศาลาพักม้าต่อ คนของไหวอ๋องต้องกลับมาตามหาอีกแน่ พอถึงเวลานั้น พวกเราคงทำได้เพียงขึ้นเหนือไปพร้อมกับพวกเขา”
“แบบนี้ก็ประจวบเหมาะแล้วมิใช่หรือ” ผู้ตรวจการอีกคนที่แซ่โจว หัวเราะกล่าว “พวกเราอยู่ในที่สว่าง ฆ้องเงินสวี่อยู่ที่มืด ชักจูงความสนใจของไหวอ๋อง นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเรา”
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ส่งเสียงทอดถอนใจ “ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพระมเหสีจะเป็นหรือจะตายเยี่ยงไรบ้าง”
เมื่อฟังจบ หัวหน้ามือปราบเฉินกับผู้ตรวจการสองท่านยิ้มเย้ยบนใบหน้า ความเป็นความตายของพระมเหสีกับฉู่เซียงหลง เกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย
คนใช้เลวทรามที่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์เช่นนั้น ตายไปจะดีกว่า
หยางเยี่ยนบอกพวกเขาว่า หลังจากสวี่ชีอันขับไล่ยอดฝีมือของทางเหนือแล้ว ก็เดินทางไปคนเดียว และมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อแอบสืบคดี
แผนนี้ได้รับการเห็นด้วยจากทุกคนอย่างเป็นเอกฉันท์ และสัญญาจะรักษาความลับไว้ เหล่าเจ้าหน้าที่สามกองก็ให้ความร่วมมือเช่นกัน ประเด็นแรก เพิ่งได้รับการช่วยชีวิตจากสวี่ชีอัน ท่าทางที่มีต่อเขาจึงเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง จากความเกลียดชังเป็นความใกล้ชิด
ประเด็นที่สอง การสืบคดีเป็นความลับของสวี่ชีอัน นั่นหมายความว่า คณะทูตสามารถทำงานได้แบบช้าๆ และก็ไม่ใช่เพราะสืบหาหลักฐานอะไร จนดึงดูดการแว้งกัดของอ๋องสยบแดนเหนือได้
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หยางเยี่ยนยังไม่ได้บอกพวกเขา นั้นก็คือการหายตัวไปของพระมเหสี ตามที่หยางเยี่ยนคาดเดา พระมเหสีมีความเป็นไปได้มากว่าสวี่ชีอันจะเป็นผู้ช่วยไว้
นี่คือหลังจากเขาสำรวจตามทิศทางที่สวี่ชีอันจากไป สำรวจไปจนถึงสนามการต่อสู้ พบหญิงรับใช้สลบไม่ได้สติ ข้อสรุปก็เป็นดังนี้
ที่เกิดเหตุนอกจากใยแมงมุมและเหล่าสาวใช้ที่หลงเหลืออยู่ในป่าทึบแล้ว ก็ไม่มีสิ่งตกค้างใดอีก
หยางเยี่ยนปลุกสาวใช้เพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น ตั้งแต่รู้จากปากพวกนางว่าสวี่ชีอันตามมา ภายหลังอาจจะเกิดการต่อสู้ใหญ่ เหตุใดจึงเป็นอาจจะ เพราะสาวใช้เองก็ไม่แน่ใจ
ไม่นานพวกนางก็หมดสติไป
หยางเยี่ยนคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สองทาง ไม่สวี่ชีอันลักพาตัวพระมเหสีกลางทาง เและเริ่มการไล่ล่ายอดฝีมือทางเหนือ หรือไม่ก็สวี่ชีอันต่อสู้และเอาชนะยอดฝีมือทางเหนือ จนช่วยชีวิตพระมเหสีได้สำเร็จ
เขายิ่งคาดเดาว่าเป็นแบบที่หนึ่งมากกว่า เพราะที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการต่อสู้ จึงเป็นไปได้ว่าสวี่ชีอันจะใช้วิชาที่บันทึกไว้ในม้วนตำราลัทธิเต๋า และช่วยชีวิตพระมเหสีได้สำเร็จ
“ยอดฝีมือสี่ท่านจากทางเหนือทะลุเข้าไปยังอาณาจักรต้าฟ่ง ไม่กล้าทำเรื่องชั่วมากนัก นี่จึงเป็นโอกาสอย่างมากแก่สวี่ชีอัน…เขามีม้วนตำราลัทธิเต๋าคอยป้องกันตัว ตัวเขาเองยังมีพลังเทพวชิระของอาณาจักรเสี่ยวเฉิง ไม่ใช่ไม่มีความสามารถป้องกันตัว ยิ่งไปกว่านั้น ประจวบเหมาะในการคว้าโอกาสฝึกฝนเขา ทำให้เขาสัมผัสถึงธรณีประตูเคล็ดวิชาสลายแรง และเลื่อนขึ้นเป็นระดับห้าได้ไวยิ่งขึ้น”
ตอนนั้นหยางเยี่ยนคิดแบบนี้
ครั้งนี้อันตรายมาก แต่ระบบทหารเดิมทีก็คือกระบวนการที่ต้องทะลวงด้วยตนเอง และฝึกฝนด้วยตนเอง ตอนนั้นหยางเยี่ยนเองก็เคยเข้าร่วมสงครามซานไห่ และเขายังเป็นเด็กมาก
ยังคงกล้าถือกระบี่รบราฆ่าฟันในสนามรบ ฝ่าอันตรายที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ยังอยู่รอดได้ และฝึกฝนศิลปะการต่อสู้
แน่นอนว่าสวี่ชีอันสามารถทำได้ ถ้าเขาทำไม่ได้ หากตายไปก็โกรธใครไม่ได้
นอกจากนี้ เขายังแอบเตรียมการทหารสิบนาย ให้คุ้มกันสาวใช้ไปทางทิศใต้เพื่อกลับสู่เมืองหลวง
ตอนนี้คณะทูตมีทหารแค่เก้าสิบนายเท่านั้น รองหัวหน้าศาลต้าหลี่และคนอื่นๆ ไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้ ไม่ใช่พวกเขาไม่ใส่ใจมากพอ แต่พวกเขาไม่เคยสนใจทหารที่อยู่เบื้องล่างเลย
…
ทางเดินระหว่างภูเขาที่คนเดินเท้าเหยียบย่ำ สวี่ชีอันแบกกระบี่ที่ใช้ผ้าห่อไว้ ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยอารมณ์ฮึกเหิม
พระมเหสีที่เส้นผมยุ่งเหยิงค้ำยันด้วยกิ่งไม้ ยกขึ้นอย่างเชื่องช้าอยู่ด้านหลัง สองสามวันมานี้ ชุดสาวใช้ที่นางสวมใส่เปลี่ยนเป็นทั้งยับทั้งสกปรก และร่างกายเริ่มมีกลิ่นเปรี้ยว
ในตอนแรก นางระมัดระวังผมของตนเองอย่างมาก ตื่นนอนในตอนเช้าต้องหวีให้เรียบร้อย ภายหลังก็ไม่สนแล้ว แค่ใช้ไม้เกล้าผมขึ้น เส้นผมห้อยลงมายุ่งเล็กน้อย
มีภาพลักษณ์พระมเหสีที่สูงส่งที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงยากไร้ที่รอดพ้นจากความอดอยากคนหนึ่ง
“ไม่เลวเลยนี่ ติดตามมานานมากแล้ว สองสามวันมานี้กำลังกายของท่านดีขึ้นมาก”
ข้างหน้า สวี่ชีอันหยุดเดิน พลางชื่นชมด้วยรอยยิ้ม
“ข้าได้ยินข้างหน้ามีเสียงน้ำ เร็วเข้า ไปที่นั่นและพักผ่อนเสียหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเจ้าหญิงก็เปล่งประกาย ก่อนจะมืดมนลงอีก นางไม่กล้าอาบน้ำ ยอมดมกลิ่นเหงื่อของตนเองที่น่าขยะแขยงทุกวัน และยอมมองไปรอบๆ อย่างคนตาบอด
มีเหตุผลที่พระมเหสีไม่อาบน้ำ ประการแรก เพื่อป้องกันไม่ให้สวี่ชีอันแอบดู หรือใช้โอกาสในการทำเรื่องลามก และเรื่องบ้าๆ กับนาง
ประการที่สอง ตราบใดที่เธอมีกลิ่นเหม็นแบบนี้ เจ้าหมอนั่นก็ไม่กล้าแตะต้องนาง
‘นับวันข้ายิ่งทนกลิ่นเปรี้ยวบนตัวเจ้าไม่ไหวแล้ว’…นี่คือคำติดปากที่สวี่ชีอันชอบพูดมาหลายวันแล้ว
ไม่นาน ทั้งสองที่อยู่ริมหน้าผาฝั่งซ้ายมือก็เห็นน้ำตกที่เล็กเป็นฝอยห้อยอยู่ มีน้ำตกก็ต้องมีสระน้ำอย่างแน่นอน
เป็นอย่างที่คิด หลังเดินเข้ามาใกล้ ใต้น้ำตกมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ น้ำในสระ วนไหลออกมา มีรูปร่างเป็นลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง
“นับวันข้ายิ่งทนกลิ่นเปรี้ยวบนตัวเจ้าไม่ไหวแล้ว อยากอาบน้ำเสียหน่อยหรือไม่” สวี่ชีอันแนะนำ
“ไม่อาบ” นางปฏิเสธท่าเดียว
“ผู้หญิงสกปรก” สวี่ชีอันถ่มน้ำลาย
‘เจ้าต่างหากที่สกปรก ถุย’…มุมปากของพระมเหสียกขึ้น ภูมิใจในตนเองยิ่งนัก
“เจ้าไม่อาบงั้นข้าอาบเอง”
สวี่ชีอันถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นร่างกายส่วนบนที่แข็งแรง พร้อมกล้ามเนื้อที่ได้สัดส่วน เป็นสัดส่วนที่ดีเยี่ยม เผยให้เห็นความงามของผู้ชายที่ถึงอกถึงใจออกมา
พระมเหสีกลอกตา แล้วเบือนหน้าหนี
เสียง ‘ซ่า’ ที่ลอดเข้ามาในโสต เมื่อหันไปมอง และแน่ใจว่าสวี่ชีอันกระโดดลงไปในสระน้ำแล้ว นางนั่งลงบนหินข้างลำธาร ค่อยๆ ถอดรองเท้างานปักที่สกปรกออก
เท้าเล็กที่ประณีตคู่หนึ่งเผยออกมา นางจับเท้าเล็กมองดูครู่หนึ่ง ฝ่าเท้าเป็นรอยแดง มีแผลพุพองเล็กน้อย
พระมเหสีเม้มริมฝีปาก เกือบอยากจะร้องไห้
แม้สวี่หนิงเยี่ยนจอมขี้เรื้อนจะถูกดึงดูดด้วยความงามของนาง แต่เขายังค่อนข้างจะรักหยกถนอมบุปผา ไม่ได้รีบเร่งออกเดินทาง
ทว่าการบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย เดินเท้ามาห้าวัน สำหรับพระมเหสีที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ช่างเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก
ใช้คำกล่าวที่เข้าใจง่ายๆ คือ ข้าต้องทนทุกข์ทรมานจากการปฏิบัติที่ไม่สมควรต่อความงดงามและฐานะเช่นนี้
พระมเหสีแช่เท้าเล็กๆ สีขาวในลำธาร ต่อมาก็ซักรองเท้าปักลายที่สกปรกให้สะอาด แล้วแขวนไว้บนหิน แสงแดดกลางฤดูใบไม้ผลิกำลังพอดี แต่ไม่อาจทำให้รองเท้าของนางแห้งได้
ณ ที่นี้ พระมเหสีมีความคิดอื่น รองเท้าเปียกแล้ว นางก็สามารถใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการพักผ่อนให้นานขึ้นเสียหน่อยได้
หากเจ้าหมอนั้นไม่เห็นด้วย นางแค่ใช้ให้เขาเช็ดรองเท้าของตนเองให้แห้ง
ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ลำธารที่เย็นยะเยือกแช่อยู่ที่ข้อเท้า นางหรี่ตาและเพลิดเพลินเป็นเวลานาน จากนั้นก็ขยับบั้นท้ายที่อวบอ้วนและกลมกลึง ขยับจากก้อนหินลงมา นางยืนอยู่ในลำธาร ยกกระโปรงขึ้น แล้วมัดไว้แน่นตรงเข่า
ผู้หญิงในยุคนี้ ชายกระโปรงไม่มีละเลยการป้องกันอย่างแน่นอน มีทั้งหมดสามชั้น แบ่งเป็นกางเกงชั้นใน กางเกงผ้าไหมธรรมดา และกระโปรง
พระมเหสีเอนกายประคองน้ำไว้ในอุ้งมือ วักน้ำล้างใบหน้ารูปไข่
สบายจัง…นางหรี่นัยน์ตาพระจันทร์เสี้ยว แสดงอารมณ์เพลิดเพลินออกมา
เวลานี้ นางเห็นข้างหน้าตรงที่สูง ข้างสระน้ำ สวี่ชีอันที่ไม่รู้ว่าขึ้นจากฝั่งตั้งแต่เมื่อใด เจ้าหมอนี่หันหลังให้นาง และหันหน้าไปทางสระน้ำ
สายน้ำใสราวคริสตัลตัดผ่านส่วนโค้งที่สง่างาม ก่อนจะดึงเข้าไปในสระน้ำ
“สวี่หนิงเยี่ยน!”
พระมเหสีกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
…
‘ตุบ’!
ทางเดินบนภูเขา สวี่ชีอันที่เดินอยู่ข้างหน้าถูกหินกระแทกที่ด้านหลังศีรษะ ฆ้องเงินสวี่ผู้มีการป้องกันทางกายภาพไม่มีใครเทียบได้ไม่สนใจ ยังคงเดินไปข้างหน้า
‘ตุบ’ ! หินอีกก้อนหนึ่งกระแทกที่ด้านหลังศีรษะ
“นี่ เจ้าจะหยุดได้หรือยัง” สวี่ชีอันหันหน้ามา จ้องไปที่หญิงสาวที่ชกเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
นางไม่เจ็บมือหรือ
พระมเหสีซ่อนก้อนหินในมือไว้ข้างหลัง มือไขว้หลังไว้บนศีรษะ แสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์ที่อยู่รอบๆ
สวี่ชีอันจ้องไปที่นางหลายครั้ง พระมเหสีรู้จักสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร รู้ว่าตนเองอยู่ในจุดที่เสียเปรียบเมื่ออยู่ในกองทัพ ไม่เคยท้าทายเขาด้วยใบหน้าที่เห็นได้ชัด แต่รอให้สวี่ชีอันหันกลับไป…
‘ตุบ’ !
หินมาอีกแล้ว
ข้าไม่เคยเห็นหญิงสาวที่ขี้งอนเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะทุบได้นานแค่ไหน ถึงเยี่ยงไรผู้ที่เหนื่อยคือเจ้า! สวี่ชีอันบ่นในใจ
ความแข็งแกร่งของนางมีจำกัด หินที่ทุบออกแรงมาไม่มากนัก ด้วยการป้องกันทางกายที่น่าทึ่งของสวี่ชีอัน การโจมตีที่ไม่เจ็บไม่ปวดร้าวเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่ใส่ใจ เขาเพียงแค่รู้สึกรำคาญเท่านั้น
…
หลังจากอยู่ที่หว่านโจวเป็นเวลาสามวัน ศาลาพักม้าก็มีกองทัพมาถึงแล้วหนึ่งกอง จำนวนคนไม่มาก เพียงสองร้อยนายเท่านั้น ทว่านายพลที่นำกองทัพมีตำแหน่งที่สูง ภายใต้การบัญชาการของอ๋องสยบแดนเหนือ นายพลกองพันจู่โจม ระดับสี่พอดี
แม่ทัพแซ่หลี่เป็นชาวฉู่โจว ภายนอกเขามีลักษณะเหมือนชาวทางเหนือ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งมาก ใบหน้าขรุขระ ชุดเกราะที่สวมใส่บนตัวมีสีเข้ม เต็มไปด้วยรอยกระบี่
เป็นหลักฐานของการสู้รบมาอย่างยาวนาน
เขาบุกเข้าไปในศาลาพักม้าพร้อมคนและม้า สายตาอันแหลมคมกวาดมองไปที่หยางเยี่ยน และเจ้าหน้าที่สามกองที่ลงมาข้างล่างหลังจากได้ยินเสียง และถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “พระมเหสีเล่า รองแม่ทัพฉู่เล่า”
ทหารสองแถวด้านหลัง สีหน้าเคร่งขรึม จ้องเขม็งไปยังเจ้าหน้าที่คณะทูต
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่รู้สึกกดดันอย่างยิ่ง สายตาที่บีบคั้นจ้องชายเงอะงะในกองทัพ เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ กล่าว “เจ้าเป็นใคร”
“ฉู่โจว แม่ทัพกองพันจู่โจม หลี่หยวนฮวา” แม่ทัพหลี่พินิจรองหัวหน้าศาลต้าหลี่ “แล้วเจ้าคือใคร”
“ข้ารองหัวหน้าศาลต้าหลี่”
แม่ทัพหลี่พยักหน้า ถามอีกครั้ง “พระมเหสีอยู่ที่ใด”
วันนี้ ทันใดนั้นเขาก็ได้รับคำสั่งจากสายลับของไหวอ๋อง ให้เขาไปที่หว่านโจว เพื่อซักถามกับคณะทูตเกี่ยวกับสถานการณ์ของพระมเหสี หลี่หยวนฮวาผู้นี้เพิ่งรู้ว่าพระมเหสีออกจากเมืองหลวงและมุ่งไปทางเหนือ คิดว่าสายลับขอไหวอ๋องให้เขาไปรับพระมเหสีเป็นแน่
จึงนำทหารม้าสองร้อยนาย พาสายลับของไหวอ๋องท่านนั้น จากเขตฉางเหมินที่อยู่ใกล้เคียงมาในทันที
รอยยิ้มบนใบหน้าของรองหัวหน้าศาลต้าหลี่ค่อยๆ หายไป ถอนหายใจ “คณะทูตถูกสกัดกั้นโจมตีระหว่างทาง ทำให้พวกเราแยกออกจากพระมเหสีเสียแล้ว”
สกัดกั้นโจมตี?!
แม่ทัพหลี่ตะลึงงัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ภายในเขตต้าฟ่ง นึกไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าโจมตีคณะทูต? ไอ้ชั่วฝ่ายใดช่างกล้าหาญเช่นนี้ จุดประสงค์คือสิ่งใด?
ความสงสัยต่างๆ ปะทุขึ้นมา เขาหันหน้า มองไปยังสายลับที่สวมชุดคลุมสีดำ ที่อยู่ข้างกาย
สายลับที่ห่อหุ้มด้วยชุดคลุมสีดำ สวมหน้ากากปกปิดใบหน้าครึ่งบน เผยให้เห็นเพียงกรามสีขาวเท่านั้น เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
แต่แม่ทัพหลี่ไม่ดูถูกนางเพราะเรื่องนี้ เพราะนางคือสายลับธาตุ ‘ดิน’ สายลับในระดับนี้ ไม่ระดับหก ก็ระดับห้า
“ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า แต่ต้องตอบมาทีละคน” สายลับหญิงกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก ภายใต้หน้ากาก ดวงตาที่ลึกล้ำของนางมองดูทุกคน
“เจ้าคือใคร” หัวหน้ามือปราบเฉินจากกรมอาญาเลิกคิ้วขึ้น
ป้ายคำสั่งเหล็กสีดำไหลออกมาจากแขนเสื้อสายลับหญิง สะบัดมือครั้งหนึ่ง ป้ายคำสั่งแอบเข้าไปอยู่ที่พื้นใต้ฝ่าเท้าของหัวหน้ามือปราบเฉิน
บนป้าย แกะสลักคำว่า ‘ดิน’ อยู่หนึ่งคำ
“สายลับที่ไหวอ๋องเลี้ยงดู” ในที่สุดหยางเยี่ยนก็เอ่ยปาก
สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือ..เจ้าหน้าที่สามกองตกตะลึงในใจ และยับยั้งท่าทางที่ไม่พอใจไว้
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ยิ้มหน้าบาน กล่าว “เจ้าอยากถามอะไรหรือ”
สายลับหญิงที่ในชุดคลุมสีดำ เดินผ่านฝูงชนไป ต่างคนต่างขึ้นไปชั้นบน กล่าว “ตามข้ามา”
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการท่านไม่ขยับ ใบหน้าด้านข้างของหยางเยี่ยนไร้อารมณ์ หัวหน้ามือปราบเฉินขมวดคิ้ว ทั้งแอบด่าขุนนางบุ๋นในใจว่าขี้ขลาดด้วยความโกรธ ทั้งกัดฟันตามขึ้นไป
สายลับหญิงสุ่มเลือกห้องมาหนึ่งห้อง หยิบตราประทับสามเหลี่ยมที่อยู่ในเสื้อคลุมออกมา และวางบนโต๊ะเบาๆ
จากนั้นกล่าว “สิ่งที่พวกเราคุยกัน ภายนอกไม่สามารถได้ยิน ข้ามีคำถามสองสามข้ออยากจะถามท่าน”
หัวหน้ามือปราบเฉินพยักหน้า
“ท่านเป็นใคร” หญิงสาวถาม
“หัวหน้ามือปราบกรมอาญา เฉินเลี่ยง” หัวหน้ามือปราบเฉินตอบตามความจริง
มองไม่เห็นความรู้สึกใบหน้าของหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก ริมฝีปากสีแดงเปิดออกเล็กน้อย กล่าว “ท่านรู้ตัวตนที่แท้จริงของพระมเหสีหรือไม่”
หัวหน้ามือปราบเฉินตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วและถามกลับ “ตัวตนที่แท้จริงของพระมเหสีหรือ”
สายลับหญิงไม่ตอบ และถามคำถามต่อไป “เล่าเรื่องที่พวกท่านถูกโจมตีให้ฟังเสียหน่อยสิ”
หัวหน้ามือปราบเฉินอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับกระบวนการหลังจากที่คณะทูตออกจากเมืองหลวง โดยเน้นอธิบายไปที่การโจมตีเป็นหลัก
สายลับหญิงที่อยู่ตรงหน้าได้ฟังเสร็จแล้ว ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน กล่าว “เขาคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดการซุ่มโจมตีคณะทูตที่หาดหลิวซื่อ?”
หัวหน้ามือปราบเฉินพยักหน้า ได้ยินเสียงประหลาดใจในน้ำเสียงของหญิงสาว และกล่าว “เจ้าอาจจะไม่รู้จักเขา จิตใจของคนผู้นี้ทั้งละเอียดอ่อนและอ่อนไหว มีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง…”
สายลับหญิงยกมือขึ้น ขัดจังหวะเขา พลางกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้ารู้จักเขา หากยังไม่รู้จักแม้แต่การตัดสินคดีราวกับเทพเจ้า ฆ้องเงินสวี่ผู้ต้านกบฏนับหมื่นเพียงผู้เดียว เช่นนั้นพวกข้าคงเป็นสายลับที่ไม่มีคุณสมบัติอย่างชัดเจน”
หัวหน้ามือปราบเฉินฟังออก เมื่อนางกล่าวถึง ‘ผู้ต้านกบฏนับหมื่นเพียงผู้เดียว’ ในน้ำเสียงมีการล้อเลียนและเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบังอยู่
“ข้าต้องการสถานการณ์ล่าสุดของเขา หลังจากการต่อสู้พลังเวทของสำนักพุทธ” นางกล่าวเสริม
หลังจากการต่อสู้พลังเวทของสำนักพุทธ…หัวหน้ามือปราบเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าว “แน่นอนว่าข้ารู้เพียงคดีฉ้อโกงการสอบจอหงวน และการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีอิทธิพลมากที่สุด ส่วนเรื่องเล็กน้อยอื่นๆ ข้าไม่ค่อยสนใจเขามากนัก”
สายลับหญิงพยักหน้า ส่งสัญญาณว่าเขาเริ่มกล่าวได้แล้ว
‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้…ด้วยวิชาเวทของลัทธิเต๋าและร่างกายไร้พ่าย เข้าพิชิตลูกศิษย์ชั้นยอดทั้งสองจากนิกายสวรรค์และมนุษย์ด้วยกำลัง’…นางไม่ได้กล่าวเป็นเวลานาน
คดีฉ้อโกงการสอบจอหงวนและการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์เกิดขึ้นล่าสุด ข่าวคราวยังส่งไปไม่ถึงเขตทางเหนือ
“ท่านออกไปได้แล้ว เรียกรองหัวหน้าศาลต้าหลี่เข้ามา” นางกล่าว
หัวหน้ามือปราบเฉินพยักหน้า เปิดประตูจากไปอย่างเงียบๆ ไม่กี่นาทีต่อมา รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ก็เคาะประตู และผลักเข้ามา
สายลับหญิงถามคำถามก่อนหน้านี้อีกครั้ง แต่รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ นางมีเพิ่มเติม กล่าวถาม
“เหตุใดหลังเกิดเรื่องจึงเดินทางไปทางเหนือต่อ และไม่สืบหาการหายตัวไปของฉู่เซียงหลงกับพระมเหสี”
ในการนี้ รองหัวหน้าศาลต้าหลี่เยาะเย้ยกล่าว “ผู้ที่ทิ้งข้าไป เหตุใดต้องอาลัยอาวรณ์ ภารกิจของคณะทูตคือการสืบสวนคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ไม่ใช่คุ้มกันพระมเหสี”
ความหมายของเขาคือ พวกข้าทำดีที่สุดแล้ว ฉู่เซียงหลงไม่มีความเมตตา ก็อย่าโทษพวกเขาว่าไม่ชอบธรรม
สายลับหญิงไม่ได้แสดงความคิดเห็น แต่ขยับศีรษะที่สวมหน้ากากไปมา ส่งสัญญาณว่าเขาสามารถออกไปได้แล้ว
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ลุกขึ้น เดินไปที่ประตู กำลังจะเปิดประตูออกไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของสายลับหญิงลอดเข้ามา “เจ้าคิดว่าสวี่ชีอันคนผู้นี้เป็นคนเช่นไร”
ภายใต้หน้ากาก ดวงตาที่ลึกซึ้งและสงบนั้น จ้องไปที่เงาร่างของรองหัวหน้าศาลต้าหลี่โดยไม่กะพริบตา
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่หรี่ตา ไม่มีแม้แต่ความลังเลใด ส่งเสียงไม่พอใจ กล่าว “ก็แค่ไอ้เด็กโง่เง่าเท่านั้น”
สายลับหญิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถอนสายตาที่จ้องเขม็งนั้นกลับมา
……………………………………………………………..