ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 356 มณฑลซานหวง
บทที่ 356 มณฑลซานหวง
หมายเลขสอง ‘ข้ากำลังตรวจสอบคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อยู่ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนมันไว้ แต่ว่าสวี่ชีอัน อย่างไรก็ตาม ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ว่าคดีนี้แปลกมาก
‘ข้าบินข้ามพรมแดนฉู่โจวมาสามวันสามคืนแล้ว แต่ก็ไม่พบสถานที่แห่งนั้นที่ใช้ในการสังหารหมู่สามพันลี้ แต่ข้ากลับพบเรื่องประหลาดบางอย่าง อืม…ข้าบังเอิญพบกับทหารม้ากลุ่มเล็กๆ จึงถามไถ่ แต่พบว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้เลยแม้แต่น้อย’
หลี่เมี่ยวเจินมุ่งขึ้นทางเหนือด้วยกระบี่บิน เร็วกว่าสวี่ชีอันยิ่ง หากจะเปรียบเทียบแล้วก็คือ หนึ่งล่องเรือสำราญ หนึ่งเหาะเหินกลางอากาศ
สวี่ชีอันถ่ายทอดข่าวสาร ‘ข้าทราบเรื่องนี้แล้ว คดีนี้ไม่ง่ายเหมือนที่คิดไว้’
หลี่เมียวเจินตื่นตระหนก ‘เอ๋? เจ้ารู้อยู่แล้วหรือ สมกับเป็นเจ้าจริงๆ’
‘ข้าไม่ได้เก่งกาจอย่างที่เจ้าคิด ข้าเหมือนกับเจ้า สังหารผู้คนและร่ายมนตร์วิญญาณ แต่เจ้าจัดการกับกลุ่มทหารม้าของคนเถื่อน ส่วนข้าก็จะจัดการกับหัวหน้าคนเถื่อน’ สวี่ชีอันยังคงถามต่อไป
‘ยังเจอสิ่งอื่นอีกหรือไม่?’
หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับมาผ่านทางหนังสือ ‘ใช่ ข้าพบว่าสินค้าในฉู่โจวถูกมาก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าพักในโรงเตี๊ยม กินอาหาร หรือซื้อสิ่งของต่างๆ เงินเพียงห้าตำลึงกลับใช้ได้นานยิ่ง หากเปลี่ยนเป็นเมืองหลวงต้าฟ่ง เงินห้าตำลึงคงหายวับไปกับตา’
‘เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร’ ใบหน้าของสวี่ชีอันฉายแววตกตะลึง ใช้เวลาหลายอึดใจกว่าจะมีท่าทีโต้ตอบ หลี่เมี่ยวเจินหมายความว่า เงินไม่กี่ตำลึงก็สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายงั้นหรือ
‘เจ้าพูดเรื่องนี้หมายความว่ายังไงกัน แล้วราคาที่ถูกที่สุดในฉู่โจวเป็นอย่างไร? หรือนี่จะเป็นการระบายความขุ่นเคืองในใจผ่านการจับจ่ายใช้สอยที่หญิงสาวชอบใช้?’
สวี่ชีอันขมวดคิ้วใส่กระจก ‘เมี่ยวเจิน ข้าไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด’
หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับ ‘โดยปกติหากเกิดสงครามขึ้นในพื้นที่ ราคาอาหารท้องถิ่นและสิ่งอื่นๆ จะเพิ่มขึ้น แต่ข้าตรวจสอบราคาธัญพืชในหลายมณฑลและในฉู่โจวแล้ว มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น’
สวี่ชีอันเข้าใจทันที ความหมายของนางก็คือ ราคาของในฉู่โจวค่อนข้างคงที่ ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าคนเถื่อนจะบุกรุกชายแดนเข้ามา เผา ฆ่า และปล้นสะดม แต่ฉู่โจวก็เป็นพื้นที่ค่อนข้างเล็ก จึงไม่ส่งผลอะไร
หมายเลขสาม ‘เมืองนี้ถูกยึดครองแล้วหรือไม่?’
หมายเลขสอง ‘ข้าไม่เห็นมัน อีกอย่างถ้าเมืองชายแดนถูกยึดครอง พวกคนเถื่อนจะไม่เพียงแต่เข้ามาปล้นสะดมชายแดน แต่ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าไปในดินแดนฉู่โจวด้วย
หากไม่โจมตีเมือง แต่เข้าปล้นราษฎรที่ชายแดน ไม่เข้าไปลึกในดินแดนอื่น อืม…อาจเพราะเกรงกลัวบางอย่างก็ได้ ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมสงครามโบราณต้องต่อสู้กันจนตัวตาย ถ้ายึดเมืองไม่ได้ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะมันเทียบเท่ากับการคืนหลังให้ศัตรู
สวี่ชีอันดูละครโทรทัศน์เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก และมักจะรู้สึกว่าคนในสมัยก่อนเสียสติมาก ทำไมพวกเขาต้องต่อสู้เพื่อเมืองจนตัวตายด้วย โจมตีเมืองเล็กเมืองรอง หรือแม้กระทั่งเมืองหลวง
โลกของเด็กมักจะเรียบง่ายเสมอ…เขาถอนหายใจในใจ และมองหลี่เมี่ยวเจินในกระจกหยกอีกครั้ง
‘สวี่ชีอัน ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ข้าไม่รู้ว่าจะตรวจสอบมันอย่างไร’
แม้จะมองผ่านหนังสือบนพื้น แต่ก็ยังมองออกถึงความทอ้แท้ใจและหงุดหงิดของหลี่เมี่ยวเจิน
นางตัดสินใจสนทนากับสวี่ชีอันเป็นการส่วนตัวเพื่อถามเขาว่าจะดำเนินการสืบสวนคดีต่อไปอย่างไร
ความสงสัยของหลี่เมี่ยวเจินไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้้ หลี่เมี่ยวเจินสงสัยจริงๆ ว่า สังหารเลือดหมู่สามพันลี้นั้นเกิดจากวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือของตัวตนและต้นกำเนิดที่ไม่รู้จัก
เอ๊ะ เมื่อคิดอย่างนี้ การตัดสินใจของเว่ยกงและการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิหยวนจิ่งที่ในท้องพระโรง จะเป็นการด่วนตัดสินหรือไม่
แม้ว่าคดีนี้จะต้องถูกสอบสวนแน่นอน แต่การส่งคณะทูตโดยตรงออกไปนั้นค่อนข้างเกินจริงไปเล็กน้อย การดำเนินการปกติควรจะส่งคนจำนวนน้อยไปตรวจสอบก่อน หรือส่งสายลับออกไป…
อย่างไรก็ดี หากคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ไม่มีอยู่จริง แล้ววิญญาณที่เหลือจะอธิบายอย่างไร?
ศพนี้ถูกหลี่เมี่ยวเจินพบเข้าที่ข้างถนนริมทาง หากนางไม่ได้เป็นศิษย์ลัทธิเต๋า จะเรียกวิญญาณได้หรือ และในเวลาไม่กี่วัน วิญญาณของผู้ตายก็จะหายวับไป
ดังนั้นจึงไม่น่าจะจัดเรียงกันได้
‘ผู้ตายมาจากทางเหนือ ด้วยเรื่องคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ เขาจึงเดินทางหลายพันลี้ไปยังเมืองหลวงเพื่อร้องเรียนต่อราชสำนัก แต่กลับถูกใครบางคนสกัดกั้น และสังหารโดยศพอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปแปดสิบลี้’
‘แท้จริงแล้ว ข้าไม่มีความคิดแปลกใหม่ใดเลย… หากตอบกลับแบบนี้ ภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและสูงส่งของข้าจะลดน้อยลงหรือไม่?’
หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน สวี่ชีอันก็มีความคิดหนึ่งเข้ามา เขาตอบกลับไป “เมี่ยวเจิน เจ้าเจอศพพวกนั้นระหว่าง ทาง ศพพวกนั้นที่เจอเป็นคนในยุทธภพถูกหรือไม่
หมายเลขสอง ‘อืม นี่คือสิ่งที่เจ้าวิเคราะห์ออกมา’
หมายเลขสาม ‘เจ้าเคยคิดไหมว่าถ้าเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้เกิดขึ้นที่ทางเหนือจริงๆ ใครจะกล่าวโทษอ๋องสยบแดนเหนือเป็นคนแรก’
หมายเลขสามสอง ‘แน่นอนว่าเป็นขุนนางจากทางเหนือ อืม…ขุนนางในพื้นที่บังเอิญพบเข้ากับการสังหารหมู่สามพันลี้’
หมายเลขสาม ‘เยี่ยมมาก เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงพบศพของคนในยุทธภพเล่า’
หมายเลขสอง ‘เยี่ยมหรือ?’
หมายเลขสาม ‘นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ เหตุใดถึงเป็นศพของคนในยุทธภพ’
หลี่เมี่ยวเจินมีประสบการณ์มากมายในด้านนี้ ตอบกลับมาทันที ‘ทุกครั้งที่จางอี้ฆ่าสุนัข ในใจของผู้คนในยุทธภพล้วนเดือดดาล จึงเป็นเรื่องปกติกระมังที่พวกเขาจะไปยังเมืองหลวงเพื่อร้องเรียน’
สวี่ชีอันหัวเราะเบาๆ ‘หากเป็นเช่นนี้จริง เขาจะไม่โดนสกัดกั้นหรือ จะไม่มีใครสังเกตเห็นคนยุทธภพผู้หนึ่งเลยหรือ แม้ว่าเขาจะมาถึงเมืองหลวงก็ตาม คงไม่มีทางได้เข้าไปร้องเรียนหรอกกระมัง’
‘ข้าจะไม่บอกเจ้าเกี่ยวกับความลับที่น่าสงสัยในคดีนี้ ว่ากันไปตามสถานการณ์แล้ว สามัญชนผู้หนึ่งจะกล้ากล่าวหาเชื้อพระวงศ์โดยไร้หลักฐานหรือ เชื่อข้าเถอะว่าศาลจะไม่สนใจ’
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความสงสัยบางอย่างก็แวบเข้ามาในใจของสวี่ชีอันอีกครั้ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิหยวนจิ่ง เว่ยกง หรือขุนนางในราชสำนัก ดูเหมือนพวกเขาจะรีบเร่งเล็กน้อยในการส่งภารกิจไปทางเหนือ…
หลี่เมี่ยวเจินยังคงเฉียบแหลม เมื่อพูดถึงก็เข้าใจในทันที แล้วรีบตอบรับ ‘เจ้าหมายถึง แท้จริงแล้วขุนนางในท้องที่เป็นผู้เขียนจดหมายกล่าวโทษ แต่พวกเขาประสบอุบัติเหตุ จึงส่งสหายผู้นั้นมายังเมืองหลวงให้ไปยื่นคำร้อง ตัวของคนผู้นั้นอาจจะพกบางอย่างไว้ สุดท้ายเขาเลยถูกสังหาร’
หลังจากวิเคราะห์ถึงสิ่งนี้ หลี่เมี่ยวเจินก็คล้ายกับดวงตากระจ่างชัด ความคิดเริ่มลื่นไหล
‘แท้จริงแล้วข้าเองก็คิดบางอย่าง เพียงแต่ว่ายังไม่แน่ขัด และข้าก็คิดออกหลังจากที่เขาเอ่ยถึงมัน…’ หลี่เมี่ยวเจินกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
‘เช่นนั้นข้าควรตรวจสอบอย่างไร’
หลังจากส่งข้อความออกไปเช่นนั้น ในใจคิดว่า ‘หลี่เมี่ยวเจินเอ๋ยหลี่เมี่ยวเจิน เจ้าจะกล้าเกินไปแล้ว ดูเหมือนเจ้าไร้ความสามารถอย่างไรอย่างนั้น และเจ้าต้องพึ่งพาเขา!’
ในขณะที่กำลังหงุดหงิดนั่นเอง สายตาก็พลันจ้องไปที่กระจกหยกเขม็ง
หมายเลขสาม ‘ง่ายมาก เจ้าซ่อนตัวอยู่ในฐานะของเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ และเดินไปรอบๆ แม่น้ำฉู่โจวในฐานะเยี่ยงจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน ดีกว่าที่จะทำสิ่งที่กล้าหาญมากขึ้น’
หัวใจของหลี่เมี่ยวเจินสั่นไหว ‘เจ้าหมายถึง…’
สวี่ชีอันอธิบาย ‘เราเพิกเฉยมาโดยตลอดแล้ว คนข้างหลังต้องตายเยี่ยงคนข้างถนน คนข้างหลังต้องลำบาก จนต้องปล่อยให้คนในยุทธภพมาส่งข้อความ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เขาต้องซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรอข่าวแน่นอน’
เขาไม่จำเป็นต้องไปร่วมกลุ่มปฏิบัติภารกิจเลย เพราะทันทีที่กลุ่มภารกิจเข้าสู่เขตแดนทางเหนือแล้ว เกรงว่าจะต้องถูกตรวจสอบทีละขั้นตอนเป็นแน่ แม้แต่วงศ์ตระกูลของเว่ยกงยังก็ยังใช้ภารกิจในการตกปลา เมื่อเทียบกับของกลุ่มภารกิจแล้ว เขาคิดว่าเขามีแนวโน้มที่จะพบกับคนของยุทธภพมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้น่าจะตรวจสอบได้จากศพของสหายผู้นั้น
แน่นอนว่า หลักฐานทั้งหมดนี้เป็นของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่คิดจะฟ้องร้องต่อราชสำนัก
‘ใช่ ข้าไม่คิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้…สมกับเป็นเจ้า!’ ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินทอประกาย ‘ข้าเข้าใจแล้ว รอกระทั่งมีเบาะแส จะติดต่อเจ้ามาอีกครั้ง’
สวี่ชีอันพูดต่อทันที ‘ได้ ข้ายังมีอีกเรื่องหยึ่งที่อยากถาม อืม ก่อนที่คนผู้นั้นจะเสียชีวิต เขามีอาการทางจิตและคลุ้มคลั่ง ไม่สามารถทำการสื่อสารได้ แล้วหลังจากนั้นเขาฟื้นตัวได้หรือไม่ ใช้เวลานานเท่าไร’
หลังจากเงียบไปไม่กี่อึดใจ หลี่เมี่ยวเจินก็ตอบกลับ ‘วิญญาณไม่บุบสลายหรือ’
สวี่ชีอันกล่าวตอบ ‘วิญญาณทั้งสามยังสมบูรณ์ดี’
แล้วเหตุใดวันนั้นถึงเอาศพไปด้วย? จุดประสงค์เพียงเพื่อรวมจิตวิญญาณของโหรชุดขาวหลังจากเจ็ดวัน หลังจากเจ็ดวันให้หลัง วิญญาณมนุษย์จะไหลออกจากร่าง และหลอมรวมเข้ากับวิญญาณเร่ร่อนในใต้หล้า
ในเวลานี้ จิตจะหลุดพ้นจากอวิชชาเหมือนแต่ก่อน
ร่างที่หลี่เมี่ยวเจินพบข้างถนน วิญญาณเดิมน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นเขาจึงไม่สมบูรณ์ และเนื่องจากฆาตกรเป็นนักวรยุทธ์และไม่เก่งในการทำลายวิญญาณ เขาจึงทิ้งวิญญาณที่เหลือไว้เบื้องหลัง
หมายเลขสอง ‘เรื่องนี้ไม่ยาก ราวสองสามวันคงจัดการได้’
หมายเลขสาม ‘เรื่องนี้ไม่เร่งด่วน เราจะคุยกันหลังจากเจอกัน’
หลังจากการติดต่อนั้นจบลง สวี่ชีอันก็ดื่มโจ๊กที่ยังอุ่นอยู่ ซ่อนเศษกระจกหยกไว้ แล้วเดินออกจากถ้ำหน้าผา
“ข้ากินเสร็จแล้ว”
พระมเหสีที่แอบโยนไก่ย่างทิ้งไปเอ่ยเสียงดัง
“อืม” สวี่ชีอันตอบรับคำหนึ่ง แสร้งทำเป็นไม่เห็นการกระทำของนางเมื่อครู่ จากนั้นจึงเดินไปตามเส้นทางบนภูเขาด้วยกันกับนาง
ต้นไม้เขียวชอุ่ม นกกำลังร้องเพลง ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมรัญจวน นอกจากบรรยากาศสองข้างทางแล้ว ก็ยังมีเสียงใบไม้ดังกรอบแกรบให้ได้ยินเป็นระยะ บางครั้งเสียงนั้นทำให้พระมเหสีตกใจบ้าง แต่นางก็ยังคงชอบทิวทัศน์ที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติเช่นนี้
พวกเขาค่อยๆ เข้าใกล้เขตมณฑลซานหวง หมู่บ้านรอบๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวี่ชีอันและพระมเหสีแวะทานอาหารกลางวันที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง โจ๊กหนึ่งและผักดองหนึ่งถ้วย
ครอบครัวนี้มีกันทั้งหมดห้าคน เป็นผู้อาวุโสสองคน คู่สามีภรรยาอีกหนึ่ง และเด็กหนึ่งคน
พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านอิฐ สวมเสื้อผ้าปะชุน ชายชรารูปร่างผอมแห้ง และเด็กก็ใบหน้าซีดเซียว
พวกเขากำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวันที่ลานเรือน ก็พลันได้ยินเสียงของเด็กดังออกมาจากด้านในตัวเรือนว่า “ท่านแม่ ข้าหิวมาก”
“มิใช่ว่าได้กินไปแล้วรึ” หญิงผู้เป็นมารดากระซิบ
“เมื่อก่อนมีหนึ่งชามเต็ม เหตุใดวันนี้เหลือแค่ครึ่งชามเล่า” เด็กน้อยเอ่ยเสียงเศร้า
“วันนี้มีแขก ถึงกินน้อยก็ไม่อดตายหรอก” ชายผู้เป็นบิดาเอ่ยตำหนิ
เด็กน้อยกลัวบิดาของตน รีบก้มหน้าก้มตาลงไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
“คนทางเหนืออัธยาดียิ่ง…”
พระมเหสีกระซิบ “เจ้าดูเรือนพวกเขาสิ อยู่กันก็เยอะ ข้าว่าพวกเขาคงต้องกินโจ๊กทุกวันแน่ เพราะไม่มีโอกาสได้กินข้าวขาว หลังจากอยู่ในเมืองหลวงมานาน ข้าก็ลืมไปแล้วถึงความทุกข์ยากของราษฎร”
สวี่ชีอันถอนหายใจ พลางกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกรึ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะอิ่มหนำสมบูรณ์กันหรือ แค่กินให้อิ่มท้องได้ก็นับว่าดีมากแล้ว”
พระมเหสีเม้มปาก เอ่ยเบาๆ “เจ้ามีเงินติดตัวหรือไม่”
ต้องมีสิ ของของข้าทั้งหมดอยู่ในเศษกระจกหยก…สวี่ชีอันพลันเข้าใจความหมายของนางทันที “เจ้าจะยืมเงินข้ารึ”
นางพยักหน้า
“เท่าไร?” สวี่ชีอันถามกลับ
พระมเหสีไตร่ตรอง ตอบ “หนึ่งร้อยตำลึง ให้มากกว่านี้ไม่ได้หรอก ไม่เช่นนั้นจะเปิดเผยฐานะของข้า “
สวี่ชีอันใบหน้าแข็งทื่อ ถามย้ำอีกครั้ง “เท่าไรนะ”
“อ้าว มากไปหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ห้าสิบตำลึง” ดวงตากลมโตงดงามคู่นั้นกะพริบปริบๆ
พวกนางใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายนัก สวี่ชีอันตบฝ่ามือนางเบาๆ เอ่ยเสียงเข้ม “หนึ่งตำลึง ให้มากกว่านี้ไม่ได้”
ความเมตตาของผู้อื่นไม่ควรได้รับการตอบแทนเลยรึ? พระมเหสีมองเขาด้วยความประหลาดใจ ขมวดคิ้วเอ่ย “ข้าจะคืนให้เจ้า เจ้าอย่าตระหนี่ไปเลย”
สวี่ชีอันถอนหายใจ “พวกเราตอนนี้เป็นสามัญชน หนึ่งตำลึงก็เยอะมากแล้ว หากให้มากกว่านี้จะไม่สมเหตุสมผล ตราบใดที่สายลับแดนเหนือ หรือคนของอ๋องสยบแดนเหนือมาสำรวจที่นี่แล้วถามความเจอ พวกเราจะถูกเปิดเผย”
เงินหนึ่งตำลึงไม่มากและไม่น้อย เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับครอบครัวยากจนให้ได้กินปลาและเนื้อสักสองสามวัน
พระมเหสีพยักหน้ารับ ยอมรับคำพูดของสวี่ชีอัน
จากนั้น ใบหน้าของนางก็ฉายแววยินดี “หลังจากข้ามาถึงมณฑลซานหวงแล้ว ข้าอยากจะอาบน้ำ ข้าไม่สามารถทนกลิ่นนี้บนร่างกายได้อีกแล้ว”
สวี่ชีอันไม่สนใจนาง เขานั่งบนม้านั่งเล็กๆ ตรงลานเรือน แหงนมองท้องฟ้าสีครามพลางเอ่ยเบาๆ “ส่วนข้าอยากกินโยเกิร์ตหลังอาหารจัง”
…
หลังจากกินโจ๊กเสร็จแล้ว เขาก็เรียกชายเจ้าของเรือน “ขอบคุณมาก…พวกข้าจะเข้าเมืองไปเยี่ยมญาติ แต่กลับไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวไปด้วย”
สวี่ชีอันหยิบเงินออกมา แล้วยื่นให้ชายคนนั้น “น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”
“นี่…นี่มัน…” ชายคนนั้นตะลึง เขาเคยเห็นเหรียญทองแดง แต่น้อยนักที่จะได้เห็นเหรียญเงิน
ทั้งสองผลักมือกันไปมาครู่หนึ่ง พระมเหสียืนอยู่ข้างๆ สวี่ชีอันเห็นภาพนั้น ในใจมีความสุขอย่างมาก มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย
ชายจิตใจแม้จะกะลิ้มกะเหลี่ยไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าชายพวกนั้นที่เต็มไปด้วยอุบาย โหดร้าย และกระหายเลือด
หลังจากทั้งสองจากไปแล้ว ชายผู้นั้นถือเงินไว้ในมือแล้วเข้าไปในเรือนด้วยความตื่นเต้น แล้วยกมันให้คนในครอบครัวดูราวกับถือสมบัติล้ำค่า
“พวกเขา พวกเขามอบเงินตำลึงนี้ให้เรา” ชายคนนั้นพูดเสียงดัง
ชายชราเอื้อมมือสั่นเทาออกไป แล้วลูบหัวเด็กน้อย “พรุ่งนี้เจ้าก็ให้ท่านพ่อของเจ้าซื้อเนื้อให้กินเถอะ”
ใบหน้าของคนในครอบครัวเปี่ยมด้วยความยินดี ต่างซาบซึ้งในน้ำใจครั้งนี้ยิ่ง
…
“เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงไม่แนะนำฐานะของข้าสักนิด”
ทั้งสองเดินไปตามถนนหลัก พระมเหสีเอ่ยเสียงขุ่นเบาๆ
“อะไร” สวี่ชีอันไม่ได้ตอบโต้
พระมเหสีถลึงตาใส่เขาแล้วไล่ตามไป “เจ้าบอกว่าจะไปเยี่ยมญาติในเมือง แต่ก็ข้ามข้าไป เหอะ!”
สวี่ชีอันนึกออกแล้ว เขาถามกลับ “เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่างไรถึงจะเหมาะ เจ้าดูภรรยาข้าสิ สภาพเจ้าไม่คู่ควรกับใบหน้างดงามของข้าตอนนี้หรอก หรือจะให้บอกว่าน้องสาว นั่นก็ดูจะเกินไปหน่อย เพราะมองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ญาติกัน หรือจะให้บอกว่าสาวใช้ สภาพยาจกเช่นเราทั้งคู่ในตอนนี้ คงไม่เหมาะกระมัง”
“เช่นนั้นก็บอกว่าข้าเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า” พระมเหสีเท้าสะเอวแล้วยืนขวางทาง
“หลบ เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกว่าเป็นท่านยายเสียเลยล่ะ” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขุ่น
…
ก่อนพลบค่ำ พวกเขาก็มาถึงมณฑลซานหวง แต่ไม่ได้เข้าเมืองทันที ทั้งสองแวะดื่มชาสมุนไพรหนึ่งถ้วยที่ศาลานอกเมือง เมื่อมาถึงเขตมณฑลซานหวง ก็นับว่ามาถึงเขตแดนเหนือแล้วจริงๆ
เข้ามาในมณฑลซานหวง สวี่ชีอันก็พบกับบุตรในเงามืดแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาสอบถามข้อมูล
มณฑลซานหวงมีขนาดเล็ก มีประชากรน้อยกว่าหนึ่งแสนคน เมื่อพวกเขาเข้าไปในเมือง ทั้งสองก็ถูกตรวจสอบเล็กน้อยและให้แสดงใบผ่านเข้าเมือง
พระมเหสีรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที ด้วยกลัวว่าตนเองอาจจะเข้าเมืองไม่ได้ นางไม่มีใบเข้าเมืองนั้น
‘ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าจะเข้าเมืองได้อย่างไร’ หัวใจของนางกระตุกวูบ ซึ่งหมายความว่านางต้องหาทางไปต่อ มีความเป็นไปได้ว่าสวี่ชีอันอาจจะไขคดีนี้ไม่ได้
ชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกว่าอนาคตข้างหน้ามืดมนยิ่ง
“มี”
สวี่ชีอันหยิบกระดาษใบหนึ่งขึ้นมา พร้อมกับยื่นให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ทหารยามกวาดสายตามอง แล้วส่งมันคืนให้สวี่ชีอัน เอ่ย “เข้าไปได้”
พระมเหสีก้มหน้า เดินตามแผ่นหลังของสวี่ชีอันไปทีละก้าว กระทั่งพ้นประตูเมืองมาได้สักพักแล้ว นางจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาแล้วเอ่ยถาม
“เจ้าเอามันมาจากไหน”
“ข้าออกไปขโมยมันมาตอนที่เจ้าหลับ” สวี่ชีอันตอบกลับ
“โชคดีที่เจ้ามี…” พระมเหสีขมวดคิ้วเล็กน้อย จาากนั้นก็ได้ยินสวี่ชีอันถอนหายใจออกมา เอ่ย “สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก คนของสามีของเจ้า คิดว่าข้ามาทางเหนือเพียงลำพัง”
“?”
เครื่องหมายคำถามแวบเข้ามาในหัวของพระมเหสี เป็นเรื่องโกหกกระมัง พวกเขาลอบเดินทางมา ไม่มีใครล่วงรู้ แล้วคนของไหวอ๋องรู้ได้อย่างไรว่าสวี่หนิงเนี่ยนกำลังไปทางไปทางแดนเหนือ
อีกอย่าง สวี่ชีอันรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
คนปัญญาเฉียบแหลมเช่นนาง มองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“แต่โชคดีที่พวกเขาไม่รู้ว่าเจ้าอยู่กับข้า” สวี่ชีอันกล่าวอีกครั้ง
“เหตุใดถึงเอ่ยเช่นนั้น?” พระมเหสีเม้มริมฝีปาก หันศีรษะไปด้านข้าง ดวงตาคู่งามของนางหลุบลงต่ำ
นางชอบฟังเรื่องราวการไขคดีของสวี่ชีอันมาโดยตลอด และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยความเพลิดเพลิน นางรู้สึกทึ่งเสมอเมื่อได้รับรู้ถึงการไขคดีอย่างเฉียบแหลมของเขา และแน่นอนว่าพระมเหสีไม่เคยบอกเรื่องพวกนี้ให้สวี่ชีอันรู้
…………………………………………………………