ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 357 บุตรในเงามืด
บทที่ 357 บุตรในเงามืด
“ตอนที่ดื่มชาเมื่อครู่ ข้าสังเกตเห็นว่าทหารคุ้มกันเมืองให้ความสนใจชายวัยกลางคนที่เดินเพียงลำพังมากเป็นพิเศษ พวกเขาไม่ใช่แค่สอบถามการเดินทาง แต่ยังลูบที่หน้าด้วย” สวี่ชีอันกล่าว
“ลูบหน้ารึ” พระมเหสีชะงักจากนั้นถึงค่อยตอบสนอง นางลดเสียงลงพลางกล่าว “ตรวจสอบว่ามีการปลอมตัวหรือไม่งั้นรึ”
ก็ไม่โง่นี่…สวี่ชีอันพยักหน้า “นี่ต้องไม่ใช่การตามหาท่านแน่ เพราะถูกเผ่าอนารยชนตามล่า ไม่มีทางเดินทางคนเดียวหรอก”
มิน่าเล่าเขาถึงเสนอให้ดื่มชาในซุ้มไม้และพักผ่อน…พระมเหสีกระจ่างแจ้งแล้ว
นอกจากนี้พื้นที่เช่นมณฑลซานหวงซึ่งอยู่ติดกับเจียงโจวนั้น โดยปกติแล้วจะไม่ตกเป็นเป้าของเผ่าอนารยชน การตรวจสอบเข้มงวดเช่นนี้จึงไม่สมเหตุสมผลเลย
“อีกอย่าง จากเรื่องนี้ก็เห็นได้ว่าการสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระแน่นอน มิเช่นนั้นคนของอ๋องสยบแดนเหนือคงไม่ระแวดระวังเช่นนี้” สวี่ชีอันยิ้มเย็น
หากในใจไม่มีสิ่งใด ก็คงไม่หวาดกลัวผู้ชำนาญการไขคดีในตำนานอย่างสวี่ฆ้องเงินเช่นนี้หรอก
ทั้งสองพบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองและขอเข้าพักห้องชั้นหนึ่ง ทันทีที่ประตูปิด พระมเหสีผู้ซึ่งภายนอกดูเชื่อฟังว่าง่ายพลันชักสีหน้าและเอ่ยอย่างโมโห
“เจ้าก็คิดจะเอาเปรียบข้าล่ะสิ เหมือนกับพวกหมกมุ่นในตัณหาที่เขียนอยู่ในหนังสือ ถึงได้จงใจเปิดแค่ห้องเดียว”
หนังสือที่ท่านอ่านชื่ออะไรถึงหยิบยืมมาพูด…สวี่ชีอันยิ้มเยาะ “ถ้าท่านยอมถอดสร้อยข้อมือ ข้าก็ยินดีจะรับใช้พระมเหสีในคืนวสันต์นี้ ส่วนท่าทางของท่านในตอนนี้…”
เขาชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้งข้างหน้าต่างและเอ่ยแซวว่า “…ส่องกระจกก่อนสิ”
พระมเหสีกัดฟันอย่างโกรธเคืองพลางตวัดสายตามองเขาแล้วเหน็บกลับ “ได้ เช่นนั้นคืนนี้เจ้าก็นอนบนเตียงข้า หากเจ้าแตะต้องข้าแม้เพียงนิด เจ้าก็คือเดรัจฉาน
“เอาล่ะ ข้าอยากชำระกายแล้ว เชิญเจ้าออกไปด้วย”
หลายวันผ่านไป นางไม่ได้ระวังตัวกับสวี่ชีอันเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว ด้วยรู้ว่าเขาจะไม่แตะต้องตน แต่นิสัยเย่อหยิ่งและชอบชวนทะเลาะ ทำให้นางยากจะอยู่กับสวี่ชีอันได้อย่างสงบสุข
“คืนนี้ข้าไม่กลับ รีบนอนล่ะ” สวี่ชีอันโบกมือแล้วหมุนกายเดินไปที่ประตู
“เจ้าจะไปไหน” พระมเหสีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เจ้าหนุ่มนี่ก็ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยมานาน อยู่ๆ จะออกไป นางจึงรู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจและไม่รู้จะทำตัวอย่างไร
“มาถึงมณฑลซานหวงทั้งที ข้าอยากไปดูเสียหน่อยว่ามีไก่ซานหวงหรือเปล่า” สวี่ชีอันตอบ
พระมเหสีได้ยินเข้าก็ยิ้มร่าทันที “ข้าไปด้วย ข้าก็อยากกิน”
สวี่ชีอันตอบอย่างมีน้ำโห “ข้าจะไปหอนางโลม!”
“…”
พระมเหสีที่กำลังนั่งหันข้างอยู่ริมขอบเตียงอย่างโกรธเคือง สะบัดหน้าหนีแล้วหันหลังให้เขา
…
ภายในตรอกฝั่งตรงข้ามถนนที่โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ สวี่ชีอันกำลังเฝ้าดูโรงเตี้ยมนานกว่าครึ่งชั่วยาม ไม่พบคนน่าสงสัยสะกดรอยตามและไม่เห็นว่าพระมเหสีแอบหนีออกไป
“ไม่หนีออกมา พระมเหสีผู้นี้สมองมีปัญหาหรือ”
ผลลัพธ์นี้ทำสวี่ชีอันแปลกใจมาก สำหรับเขานี่คือโอกาสหลบหนีที่หาได้ยากยิ่ง ฟ้าสูงแล้วแต่นกจะบิน ทะเลกว้างใหญ่แล้วแต่ปลาจะว่ายวน
ละทิ้งฐานะพระมเหสี ไม่ต้องกังวลว่าจะกลายเป็น ‘วัตถุดิบยา’ อีกต่อไป
นางไม่อยากละทิ้งความสูงส่งและมั่งคั่งจากฐานะพระมเหสีงั้นหรือ เอ๊ะ จากที่อยู่ด้วยกันมาหลายวัน ความจริงนางก็เหมือนเด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้ตื้นลึกหนาบางของโลกใบนี้ นิสัยหยิ่งทะนงและเอาแต่ใจ ไร้ฝุ่นราคีเปื้อนกาย
อีกอย่างความสูงส่งมั่งคั่งจะสำคัญเท่าชีวิตได้หรือ
ดูจากน้ำเสียงที่นางใช้กับไหวอ๋องแล้ว นางไม่ได้มีความรักใคร่ให้สามีผู้สูงศักดิ์คนนั้นเลย…อืม บางคืนนางก็นั่งเหม่อ เผยความรู้สึกแง่ลบและมองโลกในแง่ร้าย…เป็นเพราะสิ้นหวังในโชคชะตาที่ไม่อาจต่อต้านงั้นหรือ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารจริงๆ
สวี่ชีอันเดินไปตามถนนในความมืด เตร่ไปรอบเมืองอยู่นาน ในที่สุดก็หยุดอยู่หน้าหอนางโลมที่ชื่อว่า ‘หอหย่าอินโหลว’
‘หอหย่าอินโหลว’ เป็นเพียงหอนางโลมระดับกลาง แต่ในมณฑลเล็กๆ อย่างซานหวง คงจะเป็นหอนางโลมที่ได้มาตรฐานที่สุดแล้ว
สตรีในชุดสีสันสดใสเดินมาต้อนรับที่หน้าประตูพลางพูดคุยยิ้มแย้ม
บุตรในเงามืดแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้นั้นคือพ่อค้าอาหารทะเลของหอหย่าอินโหลว มีนามแฝงว่าไฉ่เอ๋อร์
บุตรในเงามืดแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกระจายอยู่ทั่วต้าฟ่ง ทั้งสามศาสนา เก้าชนชั้น แทรกซึมอยู่ในทุกอาชีพ เช่นนี้จึงสามารถรวบรวมข่าวสารได้อย่างครอบคลุม
ก่อนออกจากจากเมืองหลวง เว่ยเยวียนได้ให้ใบรายชื่อแก่สวี่ชีอัน ในนั้นมีทั้งชื่อแซ่ ข้อมูล และวิธีติดต่อบุตรในเงามืดทั่วทั้งฉู่โจว
“โอ้ นายท่านผู้นี้ เชิญด้านในๆ”
ทันทีที่เหยียบเข้าไปก็มีแม่เล้าออกมาต้อนรับ สายตาชั่วร้ายสอดส่องไปทั่วร่างของสวี่ชีอัน สวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก
หน้าตาเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือกระเป๋าที่เอวตุงมาก ลูกค้าชั้นดี!
แม่เล้าท่าทางกระตือรือร้น แต่จริงๆ ก็ค่อนข้างระวังกิริยา ด้วยไม่รู้แน่ชัดถึงฐานะของอีกฝ่าย ระดับความกระตือรือร้นจึงยังสงวนไว้ เกรงว่าจะทำให้แขกโมโหโดยไม่ตั้งใจ
ตอนนั้นเอง ก็เห็นสวี่ชีอันเปิดข้อพับแขน
ในหอนางโลม สิ่งนี้แสดงถึงการให้แม่เล้ากอดแขนตน แสดงความสนิทสนม
แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นพวกหื่นกาม…ใบหน้าหนาเข้มของแม่เล้าแย้มยิ้มราวกับได้เจอคนในครอบครัว ก่อนจะคว้าแขนสวี่ชีอันอย่างกระตือรือร้นแล้วพูดเสียงหวาน
“นายท่าน นั่งตรงนี้ก่อน ดื่มชา บ่าวจะไปเลือกหญิงงามให้ท่านสักสองสามคน…”
พูดยังไม่ทันจบ สวี่ชีอันก็โบกมือขัด “ข้ามาหาไฉ่เอ๋อร์”
“ไอหยา บังเอิญนัก ไฉ่เอ๋อร์มีแขกอยู่พอดี ท่านดูแม่นางคนอื่นดีหรือไม่” แม่เล้ายังยิ้มแย้มตามเดิม
“ข้าต้องการแค่ไฉ่เอ๋อร์” สวี่ชีอันหยิบกระเป๋าเงินโยนให้แม่เล้า
“นี่…”
แม่เล้านำสวี่ชีอันขึ้นไปชั้นสองด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ในใจกลับร่าเริงยิ่งนัก เทียบกับเงินตราแล้ว กฎระเบียบจะนับเป็นอะไรได้เล่า
ภายในหอนางโลมมีการต่อสู้กันอย่างใหญ่โตเพื่อแย่งชิงแม่นางคนหนึ่ง การทะเลาะวิวาทไม่ใช่ปัญหา ที่สำคัญที่สุดคือเตะตัวคนก่อปัญหาออกไป แน่นอน คนที่ถูกเตะโด่งออกไปคือคนที่มีเงินน้อยหรือไม่ก็ไร้ภูมิหลัง
ทั้งสองมาถึงหน้าห้องห้องหนึ่งที่มีเสียงชายหญิงกำลังทำกิจกรรมกันดังออกมา เสียงเตียงลั่น ‘เอี๊ยดอ๊าด’
สวี่ชีอันเตะประตูออก ทั้งชายหญิงที่อยู่ในห้องต่างตื่นตระหนก เห็นเพียงชายวัยกลางคนตัวอ้วนตุ้ยกำลังนอนทับสตรีหน้าตาสะสวยร่างกายบอบบางอยู่บนเตียง
ชายผู้นั้นหันมาทางประตูด้วยความตกใจ แล้วตามด้วยสายตาโกรธจัดราวกับจะฆ่าใครตาย เขาตะโกนลั่น “ไสหัวไป”
ตรงกันข้าม พอสตรีรูปงามผู้นั้นเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็ตาเป็นประกายทันที
ไม่เห็นต้องโกรธเลยนี่…เอาเถอะ เรื่องพรรค์นี้ ผู้ชายทุกคนก็ต้องโกรธล่ะนะ สวี่ชีอันก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ทำท่าทางเป็นหนุ่มเจ้าสำราญทำศึกชิงรักหักสวาท คว้าตัวชายผู้นั้นลงจากเตียงแล้วทุบตีชุดใหญ่
“น้องชาย น้องชาย มีอะไรก็พูดกันดีๆ…”
ชายผู้นั้นถูกต่อยสองครั้งพร้อมกับเตะอีกหนึ่งครั้ง ก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังมากจนน่าตกใจ และรู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา จึงร้องขอความเมตตา
“ใส่เสื้อผ้าแล้วไสหัวไป” สวี่ชีอันด่าส่ง
ชายผู้นั้นรีบใส่เสื้อผ้าชั้นใน จากนั้นก็คว้าเสื้อคลุมและกางเกงของตน ก่อนวิ่งออกไปด้วยความตื่นกลัว
แม่เล้าที่ยืนตรงหน้าประตูมองไฉ่เอ๋อร์ด้วยสายตาสงสัย ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
นางไม่รู้จักชายหนุ่มรูปงามผู้นี้
แม่เล้าเองก็ขี้เกียจจะจัดการจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่รบกวนค่ำคืนวสันต์ของทั้งสองท่านแล้ว ไฉ่เอ๋อร์ ดูแลแขกให้ดี”
พูดจบก็ปิดประตู
สวี่ชีอันนั่งลงข้างโต๊ะกลม ขยายขอบเขตการรับเสียง ได้ยินเสียงฝีเท้าของแม่เล้าไกลออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงเหยียบพื้นบันไดไม้…
ไฉ่เอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งเผยเรือนร่างช่วงบนอันขาวผ่อง ใบหน้ายังแดงก่ำ นางกล่าวยิ้มๆ “นายท่าน ยังจะรออะไรเล่า บ่าวกำลังรออยู่บนเตียงอย่างใจจดใจจ่อเชียว”
ขณะที่พูด นางก็ประเมินชายแปลกหน้ารูปงามไปด้วย
สำหรับนาง ผู้ชายบนร่างเปลี่ยนจากชายแก่อ้วนตุ้ยเป็นพี่ชายสุดหล่อดูดีมีระดับเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องดีเหมือนขนมเจียนปิ่งตกจากท้องฟ้า
สวี่ชีอันที่ยืนยันแล้วว่ารอบตัวไม่มีสิ่งใดผิดปกติหันมาจ้องไฉ่เอ๋อร์แล้วพูดสบายๆ “สาวกชุดดำ”
เพียงสี่คำธรรมดา กลับทำให้หญิงสาวบนเตียงหน้าเปลี่ยนสี นางรีบยกผ้าห่มพร้อมลุกจากเตียงแล้วคุกเข่ากับพื้น “ตายร้อยครั้งก็ไม่เสียใจ”
รหัสลับถูกต้อง…ภาพวาดก็ถูกต้อง…สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงจริงจัง “ใส่เสื้อผ้า ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
ไฉ่เอ๋อร์เก็บท่าทางประจบแล้วหยิบกระโปรงมาสวม ตามด้วยชุดตัวใน ไม่นานก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
สตรีผู้ซึ่งภายนอกคือโสเภณีผู้นี้ แท้จริงแล้วคือไฉ่เอ๋อร์ บุตรในเงามืดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล นางทำความเคารพแล้วจ้องมองสวี่ชีอัน “ใต้เท้า ข้าขอดูป้ายคาดเอวของท่านได้หรือไม่”
“ได้”
สวี่ชีอันหยิบป้ายคาดเอวของเขาออกมาวางบนโต๊ะ ป้ายคาดเอวเป็นสีเงิน ด้านหลังเป็นลายหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ป้องกันการปลอมแปลง ด้านหน้าสลักตัวอักษร ‘สวี่’
ไฉ่เอ๋อร์เม้มปาก ละสายตาจากป้ายคาดเอวไปยังสวี่ชีอัน พลางมองเขาด้วยสายตาชื่นชม “ท่าน ท่านก็คือสวี่ชีอัน ฆ้องเงินสวี่?”
สวี่ชีอันยิ้ม “เจ้ารู้จักข้า?”
“ต้องรู้จักอยู่แล้ว หากไม่รู้แม้แต่ว่าที่ทำการปกครองมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์เช่นท่าน ความสามารถในการรวบรวมข้อมูลของบ่าวก็คงต่ำเกินไป”
ไฉ่เอ๋อร์ดูตื่นเต้น “ทุกเรื่องของท่านข้ารู้หมด ท่านเป็นนักกวีแห่งต้าฟ่ง ไขคดีได้ดั่งเทพเจ้า ปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนัก เมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย ล้วนต้องพึ่งท่านพลิกกระแสน้ำจึงทำให้ความวุ่นวายต่างๆ สงบลงได้
“ข้ารู้ด้วยว่าท่านต่อสู้กับพระอรหันต์ในเมืองหลวง แล้วก็ตอนท่านอยู่อวิ๋นโจว ท่านขัดขวางกองทัพกบฏนับหมื่นด้วยตัวคนเดียวจนชื่อเสียงขจรไกลไปทั่ว…”
สวี่ชีอันยิ้มค้าง
จริงๆ เลย ใครกำลังกวนประสาทข้าอยู่กันแน่ แพร่ไปทางเหนือทั้งหมดเลยหรือ ในสายตายอดฝีมือที่มีปัญญาจริงๆ ข้ากลายเป็นตัวตลกโดยสมบูรณ์ไปแล้วกระมัง
“แค่กๆ!”
เขากระแอมไอก่อนจะเอ่ยว่า “หยุดนอกเรื่อง ข้าจะถามเจ้าว่า ระยะนี้ทางเหนือเป็นอย่างไรบ้าง จะมีสงครามใหญ่หรือไม่”
ไฉ่เอ๋อร์ส่ายหน้า “ถึงเผ่าอนารยชนจะรุกรานชายแดน แต่ทั้งหมดก็ถูกทหารม้ากลุ่มเล็กปล้นสะดม ทางตะวันออกปล้นนิดหนึ่ง ทางตะวันตกก็ปล้นนิดหนึ่ง หากมีสงครามใหญ่ ชาวบ้านก็จะอพยพไปทางใต้และต้องผ่านมณฑลซานหวง บ่าวไม่มีทางไม่รู้”
สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วถามอีกว่า “แต่ละที่มีอะไรแปลกๆ บ้างไหม เช่นจู่ๆ ก็มีคนหายเป็นวงกว้าง”
ไฉ่เอ๋อร์ขมวดคิ้วครุ่นคิด “บ่าวไม่ได้รวบรวมข้อมูลเรื่องพวกนี้…แต่พอท่านเอ่ยถึง บ่าวก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งที่แปลกมาก”
สวี่ชีอันเลิกคิ้วและรีบถามต่อ “เรื่องอะไร”
“ไม่นานมานี้บ่าวได้รับแขกท่านหนึ่ง เป็นชายชราที่มีกองคาราวานของตัวเอง เขาจะขายสินค้าไปทุกที่ในฉู่โจวตลอดทั้งปี ครั้งนั้นเขาดื่มหนักแล้วบ่นว่า เขตซีโข่วและสามอำเภอภายใต้การปกครองถูกเจ้าหน้าที่ปิดกั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง ถนนหลวงล้วนถูกปิดหมด เขายังต้องเดินทางเสียเที่ยว วุ่นวายตลอดทาง และเสียเงินไปหลายร้อยตำลึง”
สวี่ชีอันเคาะโต๊ะ “เขตซีโข่วอยู่ตรงไหน”
ไฉ่เอ๋อร์ตอบอย่างเคารพ “ใต้เท้ารอสักครู่”
นางหยิบกล่องออกมาจากใต้เตียง ชั้นล่างสุดคือแผนที่ เมื่อหยิบออกมาก็กางออกบนโต๊ะ ก่อนจะชี้ไปที่จุดหนึ่ง “ตรงนี้คือเขตซีโข่ว”
เขตซีโข่วอยู่ทางตะวันตกสุดของฉู่โจว อยู่ติดกับดินแดนประจิมทิศของสำนักพุทธ เมื่อผ่านเขตซีโขวไปก็เป็นพรมแดนของดินแดนประจิมทิศ จึงเป็นที่มาของชื่อ
เขตซีโข่วไม่มีพรมแดนติดกับทางเหนือ
สงครามไม่มีทางไปถึงที่นั่น เว้นแต่พวกอนารยชนทางเหนือจะอ้อมมา แต่ดินแดนประจิมทิศไม่มีทางให้ยืมเส้นทาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงปิดล้อมเขตซีโข่ว
ข้อสันนิษฐานอันบ้าบิ่นผุดขึ้นในใจสวี่ชีอัน
เขาพยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้ายังมีอะไรจะเสริมอีกหรือไม่”
ไฉ่เอ๋อร์ตอบว่า “ภายนอกไม่รู้ แต่กองกำลังป้องกันของมณฑลซานหวงแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย แต่ก่อนไม่จำเป็นต้องมีเส้นทางเข้าออก แต่ตอนนี้กลับตรวจตราเข้มงวดนัก”
สวี่ชีอันยิ้ม “ใช่เรื่องไม่กี่วันมานี้หรือเปล่า”
ใครจะรู้ว่าไฉ่เอ๋อร์กลับส่ายหน้า “หนึ่งเดือนก่อนก็เป็นเช่นนี้แล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น สวี่ชีอันก็ขมวดคิ้วทันที
……………………………………………………………..