ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 362 กองทัพปีศาจข้ามพรมแดน
บทที่ 362 กองทัพปีศาจข้ามพรมแดน
หญิงงามในชุดขาวเผยรอยยิ้มจูงใจ “เจ้าลองหาดูก่อนก็ได้ ว่าสถานที่ซึ่งอ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อยู่ที่ใด”
ชายที่มีใบหน้าพร่ามัวส่ายศีรษะ กล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ข้าเดินทางไปทั่วฉู่โจวเพื่อประเมินชะตากรรม แต่ข้ากลับไม่พบสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารหมู่ แต่ความลับสวรรค์บอกข้าว่ามันอยู่ที่ฉู่โจว”
ผู้หญิงในชุดขาวยับยั้งท่าทีอันทรงเสน่ห์ เรียวคิ้วที่ทั้งตรงและยาวย่นเข้าหากันเล็กน้อย กล่าวอย่างไตร่ตรองว่า
“สิ่งที่เขากำลังแข่งกับเราคือเวลา เมื่อกลั่นแก่นโลหิตสำเร็จ ต่อให้พวกเราคิดจะหยุดเขาก็ไม่สามารถทำได้แล้ว ถึงเวลานั้น มีเพียงการสังหารมู่หนานจือเท่านั้นถึงจะสามารถหยุดการเลื่อนขั้นระดับสองของอ๋องสยบแดนเหนือได้ แต่มู่หนานจืออยู่กับเด็กหนุ่มคนนั้น หากต้องการฆ่า โหรอย่างพวกเจ้าก็ลงมือเองเถอะ”
เหอะๆ การถูกคนที่มีโชคชะตาเหนือกว่าแค้นเคือง ช่างเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายเสียจริง
“จริงสิ เจ้าบอกว่าท่านโหราจารย์รู้แผนการของอ๋องสยบแดนเหนือใช่หรือไม่? ถ้ารู้ เหตุใดเขาจึงไม่คิดแยแส? จู่ๆ ข้าก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าที่มู่หนานจืออยู่กับสวี่ชีอัน เป็นเพราะท่านโหราจารย์แอบจุดไฟเติมเชื้อเพลิง”
ชายชุดขาวแค่นหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเดาต่อไปได้ รอให้เจ้าเดาแผนการของเขาออกและความลับสวรรค์รู้สึกซาบซึ้ง ท่านโหราจารย์ก็จะมา ข้ามีวิธีที่จะหนีพ้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับเจ้า คงไม่ต้องการหางจิ้งจอกนี้แล้วกระมัง”
ผู้หญิงในชุดขาวมีท่าทีหวาดกลัวตามคาด ทั้งที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านโหราจารย์มากมายนัก
“สามวัน ภายในสามวันต้องหาสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารหมู่ให้เจอ มิเช่นนั้นทั้งหมดจะกลายเป็นข้อสรุปที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้” ผู้หญิงในชุดขาวกล่าวพึมพำ
“ข้ามีความคิดหนึ่ง”
โหรผู้ไม่เปิดเผยรูปลักษณ์ทอดสายตามองภูเขาและแม่น้ำที่อยู่ไกลออกไป กล่าวต่อจากคำพูดของนาง “สวี่ชีอันรึ?”
“ทั้งใช่และไม่ใช่” นางกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยพลางลูบขนนุ่มของจิ้งจอกขาวหกหาง แล้วกล่าวว่า
“เจ้าคิดว่าโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ของสวี่ชีอันจะสามารถนำทางพวกเราได้ นี่คือลู่ทางของความคิดที่แท้จริง แต่ความคิดของข้า คือดูเหมือนทุกคนล้วนละเลยเว่ยเยวียน เขาเป็นนักวางแผนคนเดียวที่สามารถแข่งขันและเสมอกับท่านโหราจารย์บนกระดานหมากรุกได้ เหตุใดพวกเราถึงไม่จับตามองคณะทูตล่ะ”
ชายชุดขาวทอดถอนใจ “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเขาสามารถแข่งขันและเสมอกับท่านโหราจารย์ ก็ควรรู้ว่าคณะทูตเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ข้าไม่เคยดูถูกเว่ยเยวียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าแค่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับทัศนคติของเขาในเรื่องนี้
“เว่ยเยวียนเป็นบุคคลที่มีความสามารถของอาณาจักร ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก เขามองปัญหาโดยไม่พิจารณาในแง่ของความดีและความชั่วธรรมดาๆ หากอ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนขั้นระดับสอง แดนเหนือของต้าฟ่งก็จะไม่มีเรื่องให้กังวลใจอีกต่อไป เพราะแม้แต่เผ่าคนเถื่อนที่โหดเหี้ยมก็ยังหายใจไม่ทัน
“หลายปีที่ผ่านมาเว่ยเยวียนทั้งต่อสู้ในท้องพระโรง ทั้งบำรุงซ่อมแซมอาณาจักรที่อ่อนแอขึ้นทุกวัน เขาน่าจะคาดหวังที่จะได้เห็นอ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนระดับขึ้น
“แต่ทุกสิ่งที่อ๋องสยบแดนเหนือทำกระทบไปถึงหนอนบ่อนไส้ ไม่รู่ว่าเว่ยชิงอียินยอมพร้อมใจ หรือกำลังแอบแทงข้างหลังอ๋องสยบแดนเหนือกันแน่ หึ เกรงว่ากระทั่งอ๋องสยบแดนเหนือเองก็ยังไม่แน่ใจ”
เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว โหรในชุดขาวก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความระอา “ตอนนี้ไอ้โง่นั่นก็ยังมุ่งหน้าไปทางตะวันตก”
ผู้หญิงในชุดขาวโยนจิ้งจอกขาวหกหางออกจากอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล กล่าวกระซิบว่า “ไปแจ้งกลุ่มปีศาจให้แทรกซึมเข้าฉู่โจวด่วนที่สุด ซ่อนตัวอยู่ในป่าบนภูเขาแล้วรอคำสั่งจากข้า”
จิ้งจอกขาวตัวเล็กน่ารักตกลงมาจากหน้าผา ระหว่างนั้น ร่างที่กลมนุ่มของมันก็พองตัวและเหยียดออกกลายเป็นจิ้งจอกยักษ์ที่มีความสูงหนึ่งฟุตพร้อมร่างกายที่คล่องแคล่วและขาทั้งสี่อันทรงพลัง ส่วนหางจิ้งจอกที่อยู่ด้านหลังก็พองสยายราวกับนกยูงรำแพนหางไม่มีผิด
มันวิ่งบนอากาศด้วยขาอันทรงพลังทั้งสี่ข้างและจากไปไกลด้วยความรวดเร็ว
…
สวี่ชีอันหลับใหลอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้บนถนนสายตะวันตก ในความฝันเขากำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงกับหญิงงามหยาดเยิ้ม ทันใดนั้นนายพลในชุดขาวก็นำกองกำลังทหารและม้านับพันบุกทะลวงเข้ามา
‘ฟู่…’
สวี่ชีอันลืมตาขึ้น เงาของต้นไม้สั่นไหว แสงสว่างแตกดับ หญิงงามในความฝันก็ค่อยๆ ทับซ้อนกับพระมเหสีที่เป็นดั่งดอกถานฮวาชั่วค่ำคืนในคืนนั้น
สิ่งนี้ทำให้เขาแยกไม่ออกว่าตนเองไม่ได้ไปที่สำนักสังคีตนานเกินไป หรือว่าพระมเหสีมีเสน่ห์มากเกินไปกันแน่
ผู้หญิงคนนี้เป็นเหมือนยาพิษ เพียงแค่ได้มองก็ติดอยู่ในสมองตลอดไป จะลืมก็ลืมไม่ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็หันไปมองพระมเหสีที่กำลังพิงต้นไม้หลับใหล และใบหน้าที่งดงามปานกลางของนาง ทันใดนั้นจิตใจของสวี่ชีอันก็สงบลงมาก
เป็นช่วงเวลาที่คุณธรรมของนักปราชญ์ผุดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจ
“เฮ้ๆ ตื่นได้แล้ว”
สวี่ชีอันสะกิดปลุกพระมเหสีให้ตื่น เมื่อเห็นนางลืมตาขึ้นด้วยความสะลึมสะลือก็กล่าวเร่งรัดว่า
“เราจะไปให้ถึงเมืองต่อไปก่อนมื้ออาหารกลางวัน พวกเราจะเปลี่ยนที่กินกันสักหน่อย จะได้ถือโอกาสดูด้วยว่าจะฆ่าเผ่าคนเถื่อนหรือสายลับของสามีเจ้าได้อีกกี่คน”
พระมเหสีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า ‘สามีเจ้า’ สามพยางค์นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีใจสักนิด นางจึงกลอกตาแล้วยิ้มเยาะด้วยความไม่ชอบใจ
แต่เมื่อสวี่ชีอันย่อตัวลง นางก็ปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังของเขาอย่างเชื่อฟัง
พระมเหสีแสดงท่าทีเย่อหยิ่งอยู่สักพักหนึ่ง แขนเรียวโอบรอบคอของเขา มองทิวทัศน์ที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางกระซิบถามว่า
“นี่ เจ้าเคยต่อสู้กับไหวอ๋องหรือไม่ เจ้าเตรียมตัวรับมือกับเขาอย่างไร”
แม้ว่าตอนนี้จะถูกดึงดูดด้วยอารมณ์ที่เขาแสดงให้เห็นในชั่วขณะหนึ่ง แต่พระมเหสียังประจักษ์ชัดในความเป็นจริงและเกิดความสงสัยอย่างมากว่าสวี่ชีอันจะจัดการกับอ๋องสยบแดนเหนืออย่างไร
ถ้าสวี่อันกล่าวว่าข้าวางแผนจะฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือด้วยดาบเล่มเดียว
งั้นนางก็จะตัดสินใจเกลี้ยกล่อมเขาไม่ให้ทำเรื่องโง่ๆ ด้วยการส่งตัวเองไปตายเช่นนี้
สวี่ชีอันกลับกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าจะแทงภรรยาเขาด้วยดาบขาวสะอาด และดึงดาบที่อาบเลือดออกมา”
“?”
พระมเหสีชะงักไปชั่วขณะก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เรียวคิ้วทั้งสองข้างเหยียดตรงและกำหมัดแน่นก่อนจะเขกศีรษะเขาอย่างแรง
‘ตุบ ตุบ ตุบ’
เสียงทุบตีดังตลอดทั้งทาง
…
เขตป้องกันฉู่โจว
หยางเยี่ยนพาหลิวยวี่สื่อมาหยุดอยู่นอกค่ายทหาร เรียกกันว่าค่ายทหาร แต่ไม่นับว่าเป็นกระโจมตามความหมายปกติ
นอกจากกระโจมซึ่งเป็นที่อยู่ของทหารแล้ว กองทัพทหารที่ประจำการตามสถานที่ต่างๆ ล้วนมีค่ายทหารของตัวเองซึ่งไม่ต่างจากบ้านพักอาศัยทั่วไป
โดยปกติจำนวนทหารยามในโจวเฉิงจะมีห้าถึงหกพันนาย ส่วนจำนวนทหารยามที่ชายแดนของโจวเฉิงจะมีตั้งแต่หนึ่งถึงสองหมื่นนาย
และโจวเฉิงซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนเหมือนฉู่โจวเช่นนี้ ประกอบกับมีอ๋องสยบแดนเหนืออีกปัจจัยหนึ่ง จำนวนทหารยามจึงเพิ่มขึ้นถึงสามหมื่นหกพันนาย
ทหารยามสามหมื่นหกพันนายนี้ เป็นทหารที่อ๋องสยบแดนเหนือสามารถควบคุมสั่งการได้โดยตรงโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ส่วนกองกำลังเว่ยและกองกำลังสั่วในสถานที่ต่างๆ ของฉู่โจว ในฐานะอ๋องสยบแดนเหนือซึ่งเป็นแม่ทัพแห่งฉู่โจวก็สามารถควบคุมพวกเขาได้เช่นกัน แต่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ
ฉู่โจวล้วนต้องมีประทับตราของผู้บัญชาการ!
หยางเยี่ยนและหลิวยวี่สื่อนั่งอยู่บนหลังม้าและอาบแดดเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ม้าที่อยู่ข้างใต้ต่างก็ร้อนจนส่งเสียงร้องออกมาทางจมูก
หลิวยวี่สื่อเอนกายอยู่บนหลังม้าด้วยริมฝีปากแห้งแตกและกระสับกระส่ายก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “ฆ้องทองคำหยาง พวก…พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ข้าตากแดดจนจะกลายเป็นคนแดดเดียวอยู่แล้ว”
ขณะนั้นเอง ทหารยามนายหนึ่งที่ถือดาบอยู่ในมือเดินออกมาและกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “ท่านผู้บัญชาการเชิญท่านทั้งสองเข้าไปขอรับ”
หลิวยวี่สื่อโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก เขาพ่นลมหายใจออกมาราวกับใกล้จะหมดแรงและแทบจะกลิ้งลงจากหลังม้า
ทั้งสองตามทหารยามเข้าไปในค่ายทหาร เดินผ่านที่อยู่อาศัยของทหารทีละหลัง จนมาถึงบริเวณจวนหลังใหญ่ที่มีทางเข้าสองทาง
เมื่อเข้าไปในห้องโถงก็เห็นผู้บัญชาการเขตฉู่โจว หรือเจ้าอารักขาเชวียหย่งซิว
เชวียหย่งซิวมีผิวพรรณที่ดีมาก หน้าตาหล่อเหลาและไว้เคราสั้น เพียงแต่เขาตาบอดข้างหนึ่ง เหลือเพียงตาอีกข้างที่เฉียบแหลมและเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
เขานั่งตัวตรงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ถือถ้วยชาอยู่ในมือพลางจ้องหยางเยี่ยนด้วยดวงตาข้างเดียวที่คมกริบ “นี่ไม่ใช่บุตรกาฝากของเว่ยเยวียนหรอกรึ เจ้ามาทำอะไรที่ค่ายทหารของข้า?”
บุตรกาฝากก็คือบุตรบุญธรรม เพียงแต่บุคคลที่อยู่เบื้องหน้าทำให้เขารู้สึกราวกับถูกยั่วเย้าและเหน็บแนมเล็กน้อย
หยางเยี่ยนผู้มีใบหน้าเรียบนิ่งย่อมไม่เกิดความโกรธด้วยเหตุนี้อย่างแน่นอน เขากล่าวอย่างสงบโดยไม่กะพริบตาสักนิด “สืบสวนคดี”
เชวียหย่งซิวแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า “สืบสวนคดีอะไรรึ?”
หยางเยี่ยนกล่าวอย่างไม่แยแส “สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ข้าต้องการดูบันทึกการเข้าออกของทหารฉู่โจว”
ที่เขาเริ่มตรวจสอบจากทหารยามของฉู่โจวก่อน ก็เพราะการเดินทางไปถึงแดนเหนือของกลุ่มภารกิจย่อมต้องมาที่เขตฉู่โจวก่อนถึงจะใกล้เคียงกับหลักการที่สุด และกองทัพทหารและม้าสามหมื่นหกพันนายล้วนเป็นคนสนิทของอ๋องสยบแดนเหนือ
นอกจากนี้ยังเป็นกำลังหลักของฉู่โจวด้วย
เผ่าคนเถื่อนสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ อ๋องสยบแดนเหนือต้องส่งทหารออกไปทำสงครามอย่างแน่นอน เช่นนั้นบันทึกการเข้าออกก็คือหลักฐาน การระดมกองทัพเป็นงานที่ยุ่งยากและน่าเอือมระอา
ไม่ใช่พูดว่าออกจากค่ายก็จะออกจากค่ายได้เลย ทั้งสัมภาระที่เกี่ยวข้อง อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ล้วนสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทั้งหมด
แต่เนื่องจากเขตฉู่โจวที่ถูกควบคุมดูแลโดยอ๋องสยบแดนเหนือก็อาจจะไม่หลงเหลือเบาะแสใดๆ แล้ว แต่อย่างไรก็ยังต้องตรวจสอบ มิเช่นนั้นกลุ่มภารกิจก็จะทำได้เพียงดื่มชาและนอนหลับอยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้าเท่านั้น
“สังหารเลือดหมู่สามพันลี้อะไรกัน!”
เชวียหย่งซิวตบโต๊ะเสียงดังและยืนขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หลิวยวี่สื่อสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
เจ้าอารักขาท่านนี้เดินดุ่มๆ ไปที่เบื้องหน้าหยางเยี่ยนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะชี้ไปที่จมูกของเขา พลางก่นด่าอย่างสาดเสียเทเสีย “ข้าติดตามอ๋องสยบแดนเหนือและปกป้องฉู่โจวมานานกว่าสิบปี เพียงแค่เจ้าที่เป็นลูกกาฝากของสุนัขรับใช้เว่ยพูดว่าจะตรวจสอบก็ตรวจสอบได้เลยงั้นรึ?”
หยางเยี่ยนไม่ตอบและมองเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“ในขณะที่ข้าสังหารศัตรูอยู่แนวหน้าในสนามรบและปกป้องชายแดน พวกเจ้ากำลังนอนอยู่บนเตียงของหญิงงามในเมืองหลวงอยู่เลย ตอนนี้วิ่งมาพูดกับข้าว่าสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อะไรกัน ถุย! ไสหัวกลับไปบอกเว่ยเยวียนเถอะ บอกพวกขงจื๊ออวดดีที่จับได้แต่ด้ามพู่กันด้วยว่า หากคิดจะใส่ร้ายข้าหรือไหวอ๋อง ก็ฝันไปเถอะ”
เจ้าอารักขาเชวียหย่งซิวกล่าวยิ้มเยาะ “ตอนนี้มาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น”
หลิวยวี่สื่อที่กำลังบึ้งตึงด้วยความโกรธชี้เชวียหย่งซิวและกล่าวตำหนิว่า “เจ้าอารักขา พวกเราได้รับราชโองการให้สอบสวนคดี เจ้ากล้าขัดพระบัญชารึ?”
เชวียหย่งซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มมุ่งร้าย “หลังหลิวยวี่สื่อกลับไปเมืองหลวงแล้ว ก็สามารถฟ้องร้องให้ข้าออกจากตำแหน่งได้”
บ้าบิ่นอะไรเช่นนี้
กล้ามเนื้อแก้มของหลิวยวี่สื่อกระตุกด้วยความโกรธ แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้ เขาไม่ใช่หัวหน้าผู้รับผิดชอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ตรวจการ อย่างไรเขาก็ไม่มีสิทธิ์จัดการกับเจ้าอารักขาท่านนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมีเรื่องกับฝ่ายตรงข้ามในเขตฉู่โจวได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีกองกำลังหนุน สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ มีเพียงฟ้องร้องเจ้าอารักขาท่านนี้อย่างห้ำหั่นหลังจากที่กลับเมืองหลวงไปแล้ว
“ไปกันเถอะ!”
หยางเยี่ยนหมุนตัวกลับและเดินออกไป
“….”
ความโกรธของหลิวยวี่สื่อพุ่งขึ้นจนแทบจะถึงขีดสุด เขาถูกแสงแดดแผดเผาอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง กว่าจะเข้ามาในค่ายทหารก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายลงเอยด้วยการที่อีกฝ่ายจงใจให้พวกเขาเข้ามาและฉวยโอกาสทำให้อับอายอย่างโหดเหี้ยม
จะสอบสวนคดี แต่กระทั่งจุดเริ่มก็ยังไม่มี
“เดี๋ยว!”
จู่ๆ เชวียหย่งซิวก็ตะโกนเรียกทั้งสอง เมื่อหยางเยี่ยนหันกลับไป เขาก็กระตุกยิ้มที่มุมปากและกล่าวว่า “หยางเยี่ยน เจ้าปกป้องพระมเหสีไม่ได้ ซ้ำร้ายยังถูกเผ่าคนเถื่อนลักพาตัวไป จนถึงตอนนี้ก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ไหวอ๋องโกรธมากแต่กลับไม่กล่าวโทษเจ้าเพราะเห็นแก่หน้าเว่ยเยวียน แต่หากเจ้ายอมรับผิดและคุกเข่าสำนึกที่นอกค่ายทหารเป็นเวลาสองชั่วยาม ข้าก็จะยกเว้นให้พวกเจ้าตรวจสอบบันทึกการเข้าออกของทหาร”
ในขณะที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ เชวียหย่งซิวก็ยกยิ้มยั่วยุที่มุมปากอย่างไม่สะทกสะท้าน
“รังแกกันเกินไปแล้ว” หลิวยวี่สื่อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ขณะนั้นก็คิดอยากจะแสดงความขิงก็ราข่าก็แรงของขุนนางบุ๋นให้ทหารที่หยาบคายคนนี้ได้สัมผัสสักหน่อย ว่าหญิงทุกคนในตระกูลของเขาสูญเสียความบริสุทธิ์ไปโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร
แต่กลับถูกหยางเยี่ยนขัดขวางด้วยสายตา
ทั้งสองหันหลังเดินจากไปท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเชวียหย่งซิวที่ดังกึกก้องอยู่เบื้องหลัง
“รังแกกันเกินไป รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ…” หลิวยวี่สื่อโกรธจนหัวใจเต้นเร็วอย่างฉับพลัน กล่าวด้วยริมฝีปากอันสั่นเทาว่า
“หลังจากกลับไปเมืองหลวง ข้าจะทำให้ผู้ชายชั้นต่ำคนนี้รู้ถึงความเก่งกาจของปัญญาชนที่จับด้ามพู่กัน”
หยางเยี่ยนกล่าวอย่างสงบ “เขาจงใจยั่วโมโหข้า เขาต้องการฆ่าพวกเรา”
หลิวยวี่สื่อตกตะลึง “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
หยางเยี่ยนไม่ตอบและเหยียบขึ้นหลังม้าพลางกล่าวเสียงทุ้มว่า
“สังหารเลือดหมู่สามพันลี้อาจรับมือยากกว่าที่เราคิด สวี่ชีอันตัดสินใจถูกแล้ว ไปแดนเหนืออย่างลับๆ และแยกตัวออกจากกลุ่มภารกิจ หากเขายังอยู่ในกลุ่มภารกิจ เขาก็จะทำอะไรไม่ได้เลย
“นิสัยของเขาที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง ก็สามารถตกหลุมพรางของเชวียหยงซิ่วได้อย่างง่ายดาย ที่นี่ เขาไม่สามารถต่อสู้กับเจ้าอารักขาและอ๋องสยบแดนเหนือได้ หากลงสนามก็มีแต่ความตายที่รอเขาอยู่เท่านั้น”
ใบหน้าของหลิวยวี่สื่อซีดขาวลงอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็พยายามระงับอารมณ์ทั้งหมดลงก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ด้วยสติปัญญาของสวี่อวิ๋นหลัว คงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นกระมัง”
หยางเยี่ยนส่ายศีรษะ “ไม่มีวิธีการยั่วยุแบบเรียบง่ายอย่างแน่นอน…”
แต่ถ้าเป็นแบบฆ้องเงินสกุลจูในตอนนั้น สวี่ชีอันจะยังทนได้หรือไม่?
หลิวยวี่สื่อไม่ได้ถามคำถามใดๆ เพิ่มเติม ไม่ใช่เพราะเขาเข้าใจว่าหยางเยี่ยนหมายถึงอะไร แต่เพราะสัญชาตญาณขุนนางบุ๋นอันเฉียบแหลมของเขา เขาจึงตระหนักได้ว่าสังหารเลือดสังหารหมู่สามพันลี้นั้นยุ่งยากกว่าที่คณะภารกิจคาดไว้
มิเช่นนั้นเจ้าอารักขาจะมีเจตนาฆ่าได้อย่างไร?
…
“ข้าจะเล่าเรื่องตลกให้เจ้าฟัง”
สวี่ชีอันที่กำลังเดินป่าอยู่บนภูเขาพร้อมกับแบกพระมเหสีอยู่บนหลัง เปิดปากพูดอย่างนุ่มนวล
ไม่ใช่เพราะศีรษะถูกกระแทก แต่สวี่ชีอันสรุปแล้วว่าพระมเหสีคนนี้ขี้เหนียว ขี้ขลาดและหยิ่งผยอง…สองอย่างหลังไม่สำคัญเท่าใดนัก เพียงแต่นางขี้เหนียวถึงเพียงนี้ อืม…นางจึงประชดประชันด้วยการไม่เปิดปากพูดเสียนาน
สวี่ชีอันรู้สึกเบื่อหน่ายจึงคิดหาบทสนทนาขึ้นมา
พระมเหสีเห็นเขาโอนอ่อนก็ตอบรับเพียงคำว่า “อืม” ก่อนจะเชิดคางขึ้นพลางกล่าวว่า “ข้าจะลองฟังก่อน”
“กาลครั้งหนึ่ง มีมดตัวหนึ่งชอบเล่นขาของมันมาก วันหนึ่งมันเห็นกิ้งกือก็ดีใจสุดขีดและกล่าวว่า ‘โอ้โหบร๊ะเจ้า’ ขาพวกนี้ข้าสามารถเล่นได้เป็นปีเลย”
พระมเหสีตะลึงงันครู่หนึ่งก่อนจะค้นพบความลึกซึ้งในนั้นจึงระเบิดหัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ขึ้นมา “ข้าไม่เคยเห็นกิ้งกือมาก่อนแต่คงเป็นแมลงที่มีขาเยอะใช่หรือไม่ ดังนั้นมดน้อยจึงตกตะลึงมาก”
“ใช่แล้วๆ”
“แล้วบร๊ะเจ้าหมายถึงอะไร?”
“…ก็เป็นคำที่ใช้แสดงความตกใจน่ะ”
พระมเหสีพยักหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อแสดงว่าตนเองได้เรียนรู้แล้ว ส่วนในใจก็อภัยให้สวี่ชีอันไปแล้วเช่นกัน
สวี่ชีอันเดินทางด้วยการแบกนางไว้ด้านหลังตลอดทั้งทางแต่จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลงในหุบเขาแห่งหนึ่ง
“เป็นอะไรไป?” พระมเหสีเอ่ยปากถาม
“ปวดฉี่” สวี่ชีอันตอบกลับอย่างสงบ
พระมเหสีถ่มน้ำลาย ก่อนจะลงจากหลังของเขาและหันหน้าไปทางอื่น
สวี่ชีอันชำเลืองมองนางด้วยความประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้คิดว่าตนเองจะฉี่ต่อหน้านางจริงๆ รึ? คิดอะไรอยู่นะ ช่างวิปลาสเสียจริง
เขาเดินตรงเข้าไปในป่าทึบที่อยู่ข้างหุบเขา ในขณะที่กำลังเตรียมปลดเข็มขัดกางเกงและระบายความหดเกร็งของกระเพาะปัสสาวะ จู่ๆ เสียงกรีดร้องของพระมเหสีก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ในขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็ตรวจจับได้ถึงเสียงการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วและหนักแน่นดังมาจากที่ไกลๆ
เขารีบรัดเข็มขัดกางเกงและพุ่งตัววิ่งออกจากป่าอย่างรวดเร็ว เห็นพระมเหสีที่มีท่าทางราวกับจะร้องไห้กำลังวิ่งตามเขาเข้ามาในป่าทึบด้วยความตื่นตกใจ
“สวี่ชีอัน บร๊ะเจ้า…” พระมเหสีตะโกนเสียงดัง
ช่างเป็นพระมเหสีที่เรียนรู้ได้เร็วจริงๆ…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะทอดสายตามองออกไปไกล ทันใดนั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมพระมเหสีจึงมีท่าทีตกใจมาก
ด้านหน้ามีงูยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งมีความยาวกว่าสิบฟุตกำลังเลื้อยเข้าไปในหุบเขา พุ่มไม้แตกออกตามทางเดินและทิ้ง ‘รอยเท้า’ ไว้อย่างชัดเจน
ข้างหลังงูยักษ์มีม้าสีดำตัวสูงกว่าสองเมตร บนหน้าผากมีเพียงเขาเดียว ดวงตาสีแดงก่ำและเท้าทั้งสี่กีบที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิง หนูยักษ์ตัวสูงเท่าคน มีกล้ามเป็นมัดๆ เดินนำฝูงหนูที่ขนัดแน่น จิ้งจอกขาวสี่หางที่มีรูปร่างคล้ายกับม้าทั่วไปเดินนำฝูงจิ้งจอกที่ขนัดแน่นเช่นกัน
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ในป่าข้างหุบเขาทั้งสองข้างยังมีสัตว์หลายชนิดนับไม่ถ้วนซุ่มซ่อนอยู่ในนั้น มีทั้งลิง ภูตปีศาจภูเขา แกะสีฟ้า เสือและแมวป่า…ยังมีสัตว์ร้ายอีกมากมายที่สวี่ชีอันไม่รู้จัก
กองทัพปีศาจกำลังเดินทางข้ามพรมแดน!
“เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ…”
สวี่ชีอันดึงพระมเหสีมาไว้ข้างหลังทันทีราวกับกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพปีศาจที่เป็นศัตรูตัวฉกาจ
สถานการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้คาดเดาไม่ได้ สวี่ชีอันไม่คาดคิดว่าตนเองจะพบกับกองทัพปีศาจขนาดใหญ่เช่นนี้ เขาสงสัยว่าเผ่าปีศาจตรงมาหาเขาแต่การเดินทางของตนเองไม่มีความแน่นอนและไม่เป็นจุดสนใจ เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกกองทัพขนาดใหญ่ไล่ตามเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม หากเผชิญหน้าแล้วก็ต้องเผชิญหน้า
เวลานี้งูยักษ์ที่นำทางอยู่ข้างหน้าส่งเสียงขู่ฟ่อยาวและหยุดเดิน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องสวี่ชีอันด้วยม่านตาแนวตั้งที่เฉียบแหลมและดุร้าย
ผู้นำขบวนอย่างจิ้งจอกสี่หาง ม้าดำและหนูยักษ์ทยอยกันกรีดร้องเพื่อส่งสัญญาณบางอย่าง จากนั้นสัตว์ทุกชนิดในป่าก็แผดเสียงคำรามดังก้องสะท้อนไปทั่วผืนป่า
จากนั้นกองทัพปีศาจทั้งหมดก็หยุดเดิน
แนวสายตานับไม่ถ้วนจากฝั่งตรงข้ามพุ่งผ่านป่าทึบออกมาและเล็งเข้าที่ร่างของสวี่ชีอันเป็นตาเดียว เจตนาร้ายนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาราวกับกระแสน้ำ ซึ่งวิกฤตทั้งหมดนี้ถูกตรวจจับโดยสัญชาตญาณของนักรบ
พระมเหสีตกใจจนหน้าถอดสี เรียวขาทั้งสองข้างสั่นไหว กอดท่อนแขนของสวี่ชีอันอย่างแน่นแฟ้น ราวกับว่าผู้ชายคนนี้เป็นที่พึ่งพิงเดียวของนาง
สมองของสวี่ชีอันหมุนโคจรด้วยความเร็วสูง กำลังพิจารณาว่าจะจัดการกับสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้อย่างไร
พิจารณาจากกลิ่นอายของความขนัดแน่น ปีศาจเหล่านี้ล้วนไม่ใช่มือสมัครเล่น ข้าบุกเดี่ยวตะลุยฆ่าคนเดียวยังแทบไม่ไหว นับประสาอะไรกับการปกป้องพระมเหสี…ไม่ว่าพวกมันจะตรงมาหาข้าหรือไม่ก็ตาม ด้วยพฤติการณ์ของเผ่าปีศาจ หากมีโอกาสล่าเหยื่อได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ย่อมไม่ปล่อยผ่านอย่างแน่นอน
“พวกนี้คือเผ่าปีศาจแดนเหนือรึ? กองทัพปีศาจรวมตัวกันที่ฉู่โจว งั้น…จะเกิดการจลาจลครั้งใหญ่ในฉู่โจวหรือไม่?”
‘ฟู่…’ หน้าอกของสวี่ชีอันกระเพื่อมขึ้นลง เขาแตะพื้นผิวของหินหยกเบาๆ แล้วดาบโลหะเล่มยาวสีดำและตำราวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อก็โผล่ออกมา
มือข้างหนึ่งคว้าตัวพระมเหสีไว้ ส่วนมืออีกข้างถือดาบเล่มยาว เขาค่อยๆ ยกตำราขึ้นมาคาบไว้ที่ปาก กองทัพปีศาจที่อยู่รอบๆ ส่งเสียงคลุมเครือดังระงมไปทั่ว
“ในบรรดาพวกเจ้า ใครคือผู้นำปีศาจ?”
งูยักษ์พูดภาษามนุษย์ จ้องสวี่ชีอันด้วยสายตาเยือกเย็น “เจ้าเป็นใคร?”
ไม่รู้จักข้า…แสดงว่าไม่ได้ตรงมาหาข้า…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวว่า “ข้าเป็นแค่ทหารในยุทธภพ ข้าไม่มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับพวกเจ้า”
เขาเลือกที่จะระบุทัศนคติอันชัดเจนของตนเองก่อน
ตอนนี้เขาเน้นเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างความสงบสุข การสู้รบและฆ่าฟันไม่ใช่เรื่องดี
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินนิสัยของเผ่าปีศาจผิดไป เสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังระงมออกมาจากป่า
“กินเขาเลย กินเขาเลย”
“พลังเลือดลมอันทรงพลังนี้เติมเต็มเลือดเนื้อเราได้”
“ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างคนนั้นดูสดและน่าอร่อยมาก กินเป็นอาหารว่างได้”
“กินเขาเลย กินเขาเลย หักกระดูกและดูดกินเขาซะ”
คลื่นแห่งความมุ่งร้ายท่วมท้นและทรงพลังอย่างยิ่งราวกับมันสามารถผลักภูเขาพลิกทะเลได้
สีเลือดบนใบหน้าของพระมเหสีจางลงราวกับดอกไม้เล็กๆ ในสายลมหนาวที่น่าสงสาร
งูยักษ์แลบลิ้นแผล็บๆ รูม่านตาอันเยือกเย็นค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความปรารถนาที่จะลิ้มรส พวกมันรับคำสั่งขององค์หญิงให้แทรกซึมเข้าไปในฉู่โจว เป็นการสมควรกว่าที่จะไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ
แต่เลือดลมของชายผู้นี้ช่างเย้ายวนเสียจริง
ดูเหมือนไม่มีทางยุติความขัดแย้งลงได้เลย…ประจวบเหมาะกับที่ยากระตุ้นกำลังของไต้ซือเสินซูมาถึงพอดี…สวี่ชีอันทอดถอนใจก่อนจะชี้ดาบไปที่หว่างคิ้วของเขา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“พวกเจ้าแน่ใจรึว่าจะกินข้า!”
จุดเคลือบประกายสีทองปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว ก่อนแผ่กระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว แสงสีทองเจิดจ้าเปล่งความหมายอันทรงพลังซึ่งสะท้อนอยู่ในสายตาของปีศาจทั้งปวง
“พลังเทพวชิระงั้นรึ?!”
เสียงโห่ร้องด้วยความหวาดกลัวดังก้องไปทั่วป่าทึบ กลุ่มปีศาจตกอยู่ในความโกลาหลทันทีทันใด
ผู้นำเผ่าปีศาจหลายตนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
…………………………………………………