ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 365 พบปะ
บทที่ 365 พบปะ
หลังจากฟังจ้าวจิ้นอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นจบแล้ว หลี่เมี่ยวเจินก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่ จนแทบอยากจะหยิบกระบี่บินไปสังหารอ๋องสยบแดนเหนือและเจ้าอารักขาเชวียหย่งซิวเสียเดี๋ยวนี้
แต่นางไม่ใช่ไก่อ่อนหลี่เมี่ยวเจิน เหมือนตอนที่เพิ่งลงจากเขาอีกต่อไป ประสบการณ์โชกโชนที่ผ่านมาตลอดหนึ่งปีครึ่ง หล่อหลอมให้นางมีสติและรอบคอบขึ้นมาก
“ข้ารู้แล้ว อยากให้ข้าช่วยเจ้าก็ย่อมได้ แต่ข้าต้องรอจนกว่าสหายข้าจะมาถึง กว่าจะถึงตอนนั้น เจ้าจงอาศัยอยู่ในโรงเตี้ยมและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
หลี่เมี่ยวเจินหันไปมองจ้าวจิ้นที่นั่งอยู่ข้างเตียง และกล่าวอีกว่า “เข้าใจหรือไม่”
จ้าวจิ้นไม่ได้พูดปด แต่สิ่งที่เขาพูดอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ซึ่งก็ไม่ได้มีความย้อนแย้งอะไร
นางก้าวสู่ระดับสี่แล้ว แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ในระดับที่สูงกว่า หลี่เมี่ยวเจินรู้ดีว่าระดับของตนเองมีข้อจำกัด หากเข้าไปแทรกแซงอาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นได้
“ได้!” จ้าวจิ้นพยักหน้าเป็นสัญญาณ ว่าตนเองไม่มีความเห็นใดๆ อีก
ทันทีที่พูดจบ เขาก็เห็นหลี่เมี่ยวเจินที่อยู่ในห้องเมื่อครู่ หายตัวไปอย่างแปลกประหลาด จากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงและเพิ่งตื่น ที่พื้นข้างเตียงยังมีขี้เถ้าของยันต์ที่ถูกเผา
วิธีการของนิกายสวรรค์ช่างน่าทึ่งจริงๆ…
อีกด้านหนึ่ง หลี่เมี่ยวเจินกลับไปที่ห้อง และหยิบกระจกที่ทำจากหยกขนาดเล็กออกมา ก่อนจะใช้นิ้วเขียนข้อความลงไปแทนพู่กันว่า “นักบวชเต๋าจินเหลียน ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
หลังจากนักบวชเต๋าจินเหลียนปิดกั้นการสื่อสารของสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่ม หลี่เมี่ยวเจินก็ส่งสารไปอีกว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องติดต่อสวี่ชีอันด่วน”
‘ไม่ใช่เรื่องดีที่สมาชิกของพรรคฟ้าดินจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากเกินไป…’
นักบวชเต๋าจินเหลียนบ่นพึมพำในใจ พลางทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ซื่อสัตย์ เปิดการสื่อสารส่วนตัวให้กับหลี่เมี่ยวเจินและสวี่ชีอัน
“สวี่ชีอัน เจ้าอยู่ที่ใด รีบมาที่เขตซานโข่ว ข้ามีเบาะแสเรื่องอ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารหมู่ประชาชน”
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันที่กำลังดื่มชา และคุยเล่นกับพระมเหสีอยู่ที่ลานบ้านก็รู้สึกใจสั่นจากการมาถึงของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขาจึงใช้เหตุผลในการไปเข้าห้องน้ำเป็นข้ออ้าง เพื่อปลีกตัวออกไปชั่วคราว
“เจ้าพบเบาะแสอะไร”
“สวี่ชีอัน วิธีการของเจ้าได้ผลมาก จู่ๆ วันนี้ก็มีบุคคลนามว่าจ้าวจิ้น หนึ่งในบรรดาคนในยุทธภพ และอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า มาหาข้าเป็นการส่วนตัวและเปิดเผยข้อมูลภายในเรื่องการสังหารประชาชนของอ๋องสยบแดนเหนือ”
เดี๋ยวนะ เจ้ามีลูกน้องภายใต้การควบคุมของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด เจ้าเป็นหัวหน้าพี่ใหญ่โดยธรรมชาติไม่ใช่รึ
สวี่ชีอันตอบกลับว่า “เขาแทรกซึมมาอยู่ข้างเจ้านานเท่าใดแล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินส่งสารอธิบายว่า “ก็ไม่กี่วันมานี้ นับๆ ดูแล้วเขาน่าจะมาหาข้า หลังจากที่ข้าสร้างชื่อให้ตัวเองได้ไม่นาน แต่เขาไม่ได้เปิดเผยตัว เพียงแค่บอกว่าเขาชื่นชมชื่อเสียงของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินมานานแล้ว ก็เลยอยากติดตามข้าผู้ซึ่งมีวีรกรรมที่กล้าหาญ เจ้ารู้หรือไม่ ไม่ว่าข้าจะไปที่ใดก็มักจะมีพวกยอดฝีมือแย่งกันบากหน้ามาขออาศัยข้า แต่ข้าก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องจริงจังอะไร และยอมรับเขามา”
ไม่ ข้าไม่รู้ เปรียบเทียบกันแล้ว เจ้าโคตรเป็นตัวหลักเลย ร่างอันบอบบางของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินท่วมท้นไปด้วยจิตวิญญาณของทรราช ยอดฝีมือทุกคนต่างก็ให้การยกย่องและก้มหัวเคารพ…
สวี่ชีอัน “งั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว เขากลัวว่าจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินจะเป็นตัวปลอม เป็นสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือที่กำลังวางเบ็ดล่อเหยื่อ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจจับตามองเจ้าอย่างใกล้ชิด ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาต้องแสดงความเคารพเลื่อมใส และชื่นชมเจ้ามาก อีกทั้งคอยถามคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าไม่หยุดหย่อน”
หลี่เมี่ยวเจินอ้าปากค้าง เขาเดาออกทั้งหมด เพราะความจริงจ้าวจิ้นชื่นชมนางอย่างเปิดเผย และยังแสดงความกระตือรือร้นในการถามข้อมูลของนางกับคนอื่นๆ ในกลุ่มอย่างแข็งขัน
เดิมทีหลี่เมี่ยวเจินคิดว่าจ้าวจิ้นสนใจในตัวนาง หากลองถามผู้ชายในยุทธภพว่ามีคนใดไม่เคารพจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินบ้าง นางรู้สึกชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติมานานแล้ว
แต่เมื่อสวี่ชีอันชี้ให้เห็นในตอนนี้ นางก็เพิ่งจะตระหนักได้ในทันใด
ได้รับบทเรียนอีกแล้ว…
มุมมองการมองปัญหาของข้าแตกต่างกับเขาอย่างมาก สมแล้วที่เป็นสวี่ชีอัน
หลี่เมี่ยวเจินตกตะกอนครู่หนึ่งก่อนจะส่งสารต่อไป “จ้าวจิ้นบอกว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเขาคือสมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว และผู้คนที่อ๋องสยบแดนเหนือเข่นฆ่าก็คือทั้งเมืองฉู่โจว”
‘ปัง’
ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหล่นกระทบเกิดเสียงดังสนั่น
สมองของสวี่ชีอันราวกับถูกกระแทกด้วยค้อนอย่างแรง สติลอยเคว้งอยู่ในความว่างเปล่าจนคิดอะไรไม่ออกและตกตะลึงอยู่กับที่
เมืองฉู่โจว?!
อ๋องสยบแดนเหนือสังหารทั้งเมืองฉู่โจว…
เขากล้าทำได้อย่างไร
เขาบ้าไปแล้วรึ
ฉู่โจวเป็นเมืองหลักของรัฐโจวทั้งหมด เป็นที่รวบรวมบุคคลที่มีความสามารถ และทุกแขนงอาชีพที่ยอดเยี่ยมของรัฐโจว เขาสังหารคนทั้งเมือง งั้นโชคชะตาของฉู่โจวก็ถึงคราวอวสาน
ผ่านไปเป็นเวลานาน สวี่ชีอันสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะโค้งตัวลงไปหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมา และส่งสารว่า “เป็นไปไม่ได้ หากเป็นเมืองฉู่โจวก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปิดบังจากพวกอนารยชน เหล่าข้าราชการเมืองฉู่โจว ประชาชนทั่วไปในตลาด จอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครรู้ มันไม่สมเหตุสมผล”
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ตอบกลับเขา ราวกับนางกำลังครุ่นคิดอยู่เช่นกัน
เวลานี้ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็สื่อสารมาว่า “หากเป็นเมืองฉู่โจวก็เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นๆ คาดไม่ถึงไม่ใช่รึ เจ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เผ่าอนารยชนคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทุกคนต่างก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เฮ้อ เมื่อครู่อาตมาก็เหมือนกัน คิดว่าเมี่ยวเจินถูกหลอกแล้ว แต่เมื่อคิดอีกมุมหนึ่ง อะไรที่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกไม่ใช่รึ ว่าเผ่าอนารยชนมีโหรคอยให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ อ๋องสยบแดนเหนือมีกลอุบายเช่นนั้น ถึงสามารถปิดบังสวรรค์ข้ามทะเลได้”
สวี่ชีอันถูใบหน้าเพื่อระงับความโกรธที่พลุ่งพล่าน ก่อนจะส่งสารกลับไปว่า “แต่เขาจะซ่อนตัวจากกองกำลังของทุกฝ่ายได้อย่างไร มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้บอกพวกเจ้า พวกที่เหลือของอาณาจักรหมื่นปีศาจก็เข้าร่วมด้วย เผ่าอนารยชน โหรลึกลับ และเศษซากของอาณาจักรหมื่นปีศาจ ทั้งหมดล้วนเป็นกองกำลังสุดยอดของจิ่วโจว คิดจะปิดบังพวกเขา แค่คิดก็รู้แล้วว่ายากเพียงใด”
หลี่เมี่ยวเจินใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์โดยการแสดงความคิดเห็นของตนเอง “หรือคนที่ทำคือโหร เจ้าเคยบอกว่าโหรสามารถปิดบังสวรรค์ และทำให้ผู้คนเพิกเฉยต่อบางเหตุการณ์หรือบางคนได้”
สวี่ชีอันปฏิเสธการคาดเดาของหลี่เมี่ยวเจินโดยไม่คิดแม้แต่น้อย “ประการแรก หากปิดบังสวรรค์ คดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ก็จะไม่ปรากฏขึ้น กระทั่งอ๋องสยบแดนเหนือเองก็จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย ประการที่สอง การปิดบังสวรรค์คือการทำให้ผู้คนลืมความทรงจำที่เกี่ยวข้อง หรือเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่การลบร่องรอยทั้งหมดไปอย่างสมบูรณ์ ให้ข้าเปรียบเทียบ หากเจ้าหลี่เมี่ยวเจินทุบทำลายตำหนักกระดิ่งทองโดยมีโหรปิดบังสวรรค์ให้เจ้า จักรพรรดิและคนอื่นๆ ในราชสำนักก็จะลืมว่าเจ้าเป็นคนทำลายตำหนักกระดิ่งทอง และรู้สึกสับสนกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตำหนักกระดิ่งทอง แต่เรื่องที่ตำหนักกระดิ่งทองถูกทำลายไปแล้วย่อมไม่มีวันเปลี่ยน ไม่มีทางที่จะลบร่องรอยได้“
หลี่เมี่ยวเจินเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่โหรที่เป็นคนปิดบังเรื่องราว หากโหรเป็นผู้ลงมือจริง จนถึงตอนนี้ราชสำนักก็คงยังไม่รู้เรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้
และในความเป็นจริง เมืองฉู่โจวก็กลายเป็นซากปรักหักพัง กลายเป็นเมืองผีไปแล้ว
ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้เรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ แต่กลับไม่มีใครสามารถหาที่ตั้งของมันได้ ซึ่งมีความขัดแย้งกันพอสมควร
ในขณะที่ความคิดโลดแล่นไปอย่างรวดเร็ว นางก็เห็นสวี่ชีอันส่งสารเป็นคำถามมาว่า “สมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหวหนีออกมาได้อย่างไร”
หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับทันทีว่า “ตามที่จ้าวจิ้นบอก คนที่ก่อเหตุสังหารหมู่ในวันนั้นไม่ใช่อ๋องสยบแดนเหนือ แต่เป็นผู้บัญชาการเชวียหย่งซิว วันนั้นอ๋องสยบแดนเหนือนำทัพไปสกัดกั้นเผ่าอนารยชน ไม่ได้อยู่ที่ฉู่โจว”
นี่เป็นการสร้างหลักฐานว่าตนเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นกระสุนหมอกควันกำบังตนเอง แต่อย่างไรอ๋องสยบแดนเหนือก็เป็นจุดสนใจของทุกฝ่าย เขาออกจากฉู่โจว ก็หมายความว่าเขานำพาสายตาที่จ้องมองเขาส่วนใหญ่ไปด้วยเช่นกัน
ทุกอย่างล้วนชี้ไปที่ผู้บัญชาการ ที่คว้าโอกาสสังหารหมู่ชาวบ้านในเมืองฉู่โจว
สวี่ชีอันส่งสารว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อใด”
หลี่เมี่ยวเจิน “ประมาณหนึ่งเดือนที่แล้ว”
เมื่อเดือนที่แล้ว…ไฉ่เอ๋อร์บุตรในเงามืดที่อยู่ในหอนางโลมมณฑลซานหวงเคยบอกว่า ประมาณหนึ่งเดือนที่แล้ว จู่ๆ มณฑลซานหวงก็ดำเนินการตรวจสอบการเข้าออกเมืองอย่างเข้มงวด ในตอนแรกข้าคิดว่ากำลังตามหาข้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่พวกเขากำลังตามหาคือสมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจว
ในขณะที่ความคิดของสวี่ชีอันเปลี่ยนไป เขาก็ถามอีกว่า “จ้าวจิ้นนั่น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยรึ”
หลี่เมี่ยวเจินส่งสารว่า “จ้าวจิ้นมีสหายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแขกที่อยู่ในจวนของเจิ้งซิ่งไหว หลังจากเกิดเหตุ เจิ้งซิ่งไหวก็หนีไปซ่อนตัวโดยมีทหารรักษาพระองค์คุ้มกันตลอดทาง เขาแอบสรรหาทหารที่มีความชอบธรรมอย่างลับๆ และพยายามเปิดเผยพฤติกรรมอันป่าเถื่อนของอ๋องสยบแดนเหนือ แต่กลับไม่มีข่าวคราวแม้แต่นิดเดียว”
สวี่ชีอันมีรายละเอียดมากมายที่ต้องการถาม แต่การถูกกั้นด้วยหนังสือปฐพีทำให้เขาพูดไม่ถนัดนัก ทันใดนั้นเขาก็ส่งสารว่า “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ อย่างเร็วก็ครึ่งวัน อย่างช้าก็พรุ่งนี้”
หลังจากส่งสารแล้ว สวี่ชีอันก็เก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพี และกลับเข้าไปในลานบ้านทันที
พระมเหสีที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ มือหนึ่งประคองพวงแก้ม อีกมือหนึ่งกำลังถือพู่กันวาดภาพบนโต๊ะ พลางฮัมเพลงด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนหวาน
“พระมเหสี ข้ารู้สถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือเข่นฆ่าผู้คนแล้ว” สวี่ชีอันนั่งลงที่โต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ใช่เขตซีโข่วหรอกรึ” พระมเหสีถามกลับ
สวี่ชีอันส่ายศีรษะและจ้องใบหน้าธรรมดาของสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เราอยู่ข้างนอกมาเนิ่นนาน ตลอดเวลาที่ผ่านมายังอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในที่สุดตอนนี้ก็ถึงเวลาพบกับสามีของเจ้า ความคับแค้นทั้งหมดต้องถูกชำระ”
พระมเหสีหุบยิ้มลง และมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คำพูดของเจ้าฟังดูแปลกๆ…”
จู่ๆ ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง ม่านตาสะท้อนภาพผู้ชายอันตรายที่อยู่ตรงข้าม กวัดแกว่งฝ่ามือและฟันเข้าที่ต้นคอของนาง
เนื่องจากพระมเหสีไม่ได้ป้องกันบริเวณต้นคอ นางจึงถูกโจมตีเข้าเต็มๆ และสลบล้มลงบนโต๊ะภายใต้เสียงอุทานอัน ‘นุ่มนวล’
หลังจากพระมเหสีหมดสติแล้ว สวี่ชีอันก็ยังไม่วางใจ เขาจึงรินสุราอีกแก้วหนึ่ง และกรอกเข้าไปในปากของพระมเหสี
“น่าจะเพียงพอที่ทำให้นางหลับไปสองวัน”
เขาหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาอย่างไร้ซึ่งความกังวล และใส่นางเข้าไปด้านใน จากนั้นเขาก็ฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วจุดไฟเผาด้วยพลังปราณ
“ข้ามีปีกล่องหนที่สามารถบินได้เป็นพันลี้” สวี่ชีอันกล่าวอย่างใจเย็น
‘ฟิ้ว…’
ปีกล่องหนคู่นั้นสยายออก เกิดเป็นกระแสลมม้วนตัวปั่นป่วนอยู่ในอากาศ
สวี่ชีอันกระพือปีกที่มองไม่เห็น พร้อมกับเม็ดฝุ่นใต้เท้าที่ลอยตัวขึ้นไปในอากาศ เขาทะยานขึ้นไปด้านบนเข้าสู่ท้องนภาอย่างรวดเร็ว หลังจากถึงความสูงระดับหนึ่งแล้ว เขาก็ม้วนตัวอย่างกะทันหัน และบินตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ…
ท้องฟ้ากว้างไร้ขอบเขต ภูเขาและแม่น้ำทั้งหมดอยู่เบื้องล่าง แม่น้ำคดเคี้ยวยาวเหยียดราวกับเข็มขัดเงิน ยอดเขาเรียงกันเป็นลูกคลื่น เผยให้เห็นความสูงตระหง่านที่แตกต่างกัน
วรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อแทบจะเป็นกลโกงทั้งหมด เขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ก็บินจากตะวันตกเฉียงใต้อันไกลโพ้นถึงฉู่โจวที่อยู่ทางเหนือได้แล้ว
ทิวทัศน์ด้านล่างช่างงดงามและมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง อันที่จริง หากพาพระมเหสีขึ้นมาเที่ยวเล่นบนท้องฟ้าก็คงเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมไม่น้อย แต่ตอนนี้ข้าต้องไปทำภารกิจ จึงพานางไปด้วยกันไม่ได้อีก เฮ้อ ดูเหมือนช่วงนี้ข้าจะคิดถึงนางอยู่บ่อยๆ แต่เห็นได้ชัดว่าข้าไม่ได้ต้องการนางสักนิด…
สวี่ชีอันกล่าวพึมพำในใจ เขาเลือกบินลงสู่ภูเขาลูกที่ไม่มีคนอยู่ จากนั้นก็กางแผนที่ พลางกวาดสายตามอง ก่อนจะค้นพบว่าตนเองยังอยู่ห่างจากเขตเป่ยซานกว่าแปดสิบลี้
ครั้งนี้เขาไม่ใช้วรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อ และเลือกที่จะเดินเท้าไป ประการแรกคือมันสิ้นเปลืองกระดาษมากเกินไป ประการที่สองคือไหล่ของเขาจะทนไม่ไหว
การสะท้อนกลับของวรยุทธ์ลัทธิขงจื้อมีความเกี่ยวข้องกับขนาดของพลังในการใช้ทักษะ
วรยุทธ์อย่างการบินเช่นนี้ มากที่สุดคืออาการปวดไหล่และต้นคอที่เกิดหลังจากการใช้ ทำให้จำเป็นต้องเอียงต้นคอไว้
เขามาถึงเขตเป่ยซานก่อนพลบค่ำ ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของสวี่เอ้อร์หลาง สวมหมวกขนมิงค์ ลำคอคดเอียง
หลังจากสอบถามคนทั่วไปเพื่อหาที่ตั้งของโรงเตี้ยม ไม่นานเขาก็มาถึงที่ จึงลงมือเคาะประตูห้องของหลี่เมี่ยวเจิน
‘ก๊อก…’
หลี่เมี่ยวเจินเปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนที่ห่างหายกันไปนานก็รู้สึกปลื้มปีติมาก แต่เพื่อนคนนี้กลับเอียงศีรษะและเหล่ตาอันคมกริบมองนางด้วยความเย็นชา
“เจ้าเป็นอะไรไป” หลี่เมี่ยวเจินก้าวถอยหลัง พลางขมวดคิ้ว
“ข้าคอเคล็ด” สวี่ชีอันเอียงศีรษะกล่าว
“??” หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ถามอะไรมากนัก นางนำทางเขาเข้ามาด้านใน ก่อนจะสั่งให้ซูซูที่กำลังป้องปากหัวเราะคิกคักรินน้ำชาให้เขา
“เวลากระชั้นเข้ามาแล้ว เรามาสรุปสั้นๆ กันเถอะ”
สวี่ชีอันจงใจแสร้งทำถ้วยชาหลุดมือ ทันทีที่ถ้วยชาพลิกคว่ำ น้ำชาร้อนจัดก็สาดลงบนหน้าอกของซูซู
หน้าอกอันอวบอิ่ม และตั้งตระหง่านของหญิงชราฟีบลงราวกับยางที่ไม่มีลม
ซูซูกระทืบเท้าและกล่าวอย่างโกรธเคือง “นายท่าน ดูเขาสิ ดูเขาสิ ทันทีที่พบกันเขาก็รังแกข้าเลย”
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองสวี่ชีอันอย่างหมดหนทาง ก่อนจะหยิบข้าวเหนียวบดและกระดาษออกมา พลางกล่าวว่า “เจ้าเอานี่ไปแปะหน้าอกเจ้าเสียเถอะ อันที่จริงแบบนี้ก็ไม่เลวนะ เจ้าจะได้ไม่เที่ยวอ่อยผู้ชายไปทั่ว”
ซูซูยังคงมองเต้านมปลอมนี้ด้วยความไม่พอใจ…
หลังจากส่งซูซูออกไปแล้ว หลี่เมี่ยวเจินก็ถามว่า “เจ้ามีแผนอะไร”
สวี่ชีอันเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ และกล่าวโดยไม่ลังเล “แน่นอนว่าต้องไปพบสมุหเทศาภิบาลคนนั้นสักหน่อย”
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวว่ามันจะเป็นกับดักรึ”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “มันจะไม่เกิดขึ้น”
น้ำเสียงอันแน่วแน่ของเขาทำให้หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกสนใจขึ้นมา นางจึงรีบถามด้วยความกระตือรือร้นว่า “อย่างไรเล่า”
นางชอบฟังตรรกะของสวี่ชีอัน เพราะนางสามารถเรียนรู้จากมันได้ทีละนิด
………………………………………………