ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 366 ถูกซุ่มโจมตี
บทที่ 366 ถูกซุ่มโจมตี
“ก่อนอื่น พวกเราต้องวิเคราะห์เหตุจูงใจในการก่อเหตุโจมตีก่อน อืม…ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือเป้าหมายของอีกฝ่าย”
เมื่อพูดถึงขอบเขตเนื้อหาของวิชาเอก สวี่ชีอันก็พูดจาอย่างฉะฉาน “บุคคลผู้นั้นที่อ้างตัวว่าเป็นบุคคลของสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจว หลังจากที่เขาหนีออกจากเมืองฉู่โจว ก็ยังคงแอบร่วมมือกับคนอื่นๆ เพื่อพยายามทำให้เรื่องนี้เผยแพร่ออกไป
“หลังจากที่การส่งข่าวล้มเหลว เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งเจ้าปรากฏตัวออกมา ทำให้เขาคิดว่าจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินเป็นบุคคลที่สามารถไว้ใจได้ เป็นหญิงที่กล้าหาญคุณธรรมสูงส่งและทรงเกียรติภูมิ ด้วยเหตุนี้จึงส่งคนมาติดต่อเจ้า”
หลี่เมี่ยวเจินพูดออกมา “ก็พูดเกินไป ประจบสรรเสริญเยินยอข้าเกินไป”
สวี่ชีอันส่ายหัว แสดงออกถึงความจริงใจอย่างยิ่ง “ข้าไม่ได้ประจบท่าน จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินเป็นคนที่กล้าหาญที่ข้าเลื่อมใสที่สุด”
หลี่เมี่ยวเจินทำเสียงฮึดฮัดออกจมูก
ซูซูที่อยู่ข้างๆ เหลือบไปที่สวี่ชีอัน คิดในใจว่า ‘ผู้ชายคนนี้ช่างเก่งในการเกลี้ยกล่อมหลอกล่อสาวๆ เสียจริง’ ตั้งแต่อาจารย์ลงเขามาเพื่อฝึกฝน สิ่งที่นางภาคภูมิใจมากที่สุดก็คือฉายา ‘จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน’ ของตนเอง
แม้ว่านางจะแสร้งทำเป็นหยิ่งยโส แต่ซูซูก็รู้ว่าคำพูดของสวี่ชีอันนั้นเข้าไปถึงส่วนลึกของหัวใจของอาจารย์
สวี่ชีอันกล่าวต่อ “เจ้าเป็นคนนอก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะวางแผนการที่ไม่ดีต่อเจ้า กลับยังคงตามหาเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ ดังนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเจตนาของเขานั้นคือเพื่อที่จะเปิดเผยเรื่องราวการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือ
“เขาไม่ได้เปิดเผยให้แก่พวกเผ่าอนารยชนรู้ นี่ก็แฝงความหมายว่าเขาไม่รู้ว่าเผ่าอนารยชนยังคงโลภมากและกระหายเลือดอยู่ พร้อมทั้งยังกำลังขัดขวางการเลื่อนตำแหน่งของอ๋องสยบแดนเหนือ เช่นนี้ก็สามารถรู้ได้ว่าเขานั้นเป็นเหยื่อที่ถูกลากให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้เล่นเกมกระดานนี้”
“นอกจากนี้ ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปของคนเหล่านี้ยังมีอย่างแรงกล้า ยิ่งเขาระมัดระวังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าเขายิ่งอยากมีชีวิตอยู่มากเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็คงจะแพร่กระจายข่าวออกไปอย่างไม่สนใจเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ราคาที่ต้องแลกก็คือการถูกสายลับสอดแนมของอ๋องสยบแดนเหนือตามหาเพื่อฆ่าปิดปาก”
‘ถูกต้องเลย เป็นการวิเคราะห์ที่สมเหตุสมผล’ หลี่เมี่ยวเจินฟังไปพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย
“ดังนั้น เขาจึงคิดว่าข้าจะสามารถช่วยส่งข่าวให้ได้ เขาน่าจะเคยลองอยู่ครั้งหนึ่ง แต่เหล่าคนในยุทธภพที่ช่วยส่งข่าวให้เขา ล้วนถูกฆ่าตัดตอนในเขตชานเมืองชั้นนอกของเมืองหลวงและนั่นก็คือร่างศพไร้วิญญาณที่ข้าพบอยู่ที่ข้างถนน”
รายละเอียดถูกต้องแล้ว นี่ทำให้หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกสบายใจราวกับเห็นแสงของดวงจันทร์ออกมาจากความมืดมิด
สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวหนีรอดพ้นจากหายนะการสังหารหมู่ จากนั้นก็ซ่อนตัวพลางแอบส่งคนในยุทธภพออกไปเพื่อส่งข่าวและนำข่าวกลับมายังเมืองหลวง
แต่คนในยุทธภพเคราะห์ร้ายถูกไล่ล่าสังหารตายอยู่นอกเมืองหลวง และถูกตนเองพบเข้าอย่างไม่ตั้งใจ
สวี่ชีอันที่เอียงศีรษะเอามือเท้าคางอยู่ก็พูดขึ้น
“เจิ้งซิ่งไหวไม่กล้าเขียนเอกสารราชการก็เข้าใจได้ เพราะจะถูกสกัดไว้ได้…ที่ไม่กล้าเผยแพร่ในฉู่โจว นี่ก็สามารถเป็นที่เข้าใจได้เช่นกัน ฉู่โจวเป็นอาณาบริเวณของอ๋องสยบแดนเหนือ ง่ายต่อการหาเรื่องตายให้กับตัวเอง
“สิ่งที่ข้าคิดไม่ออกก็คือชายที่ตายอยู่ข้างถนนผู้นั้น ใกล้จะเข้ามาถึงเมืองหลวงอยู่แล้ว พูดกันตามหลักการที่ว่าในเมื่อเขาสามารถหลบหนีไปยังเขตเมืองหลวงได้สำเร็จแล้ว ก็ไม่ยากที่จะเข้าเมืองนี่นา อำนาจในเมืองหลวงนั้นซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไม่เหมือนกับที่ฉู่โจวที่ไม่ว่าที่ไหนก็เต็มไปด้วยสายลับและผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องสยบแดนเหนือ”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าว “นอกจากนี้ก็ยังเป็นไปได้ที่พวกเขาคิดแต่จะนั่งเฝ้าข้างโคนต้นไม้เพื่อรอจับกระต่ายที่จะมาวิ่งชนต้นไม้ตาย จึงดักซุ่มล่วงหน้าอยู่แถวรอบๆ เมืองหลวงเพื่อรอซุ่มโจมตี”
สวี่ชีอันพยักหน้า เขารีบร้อนจะพักผ่อน ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับประเด็นนี้นัก เขาลุกขึ้นและเดินพุ่งตรงไปที่เตียงของหลี่เมี่ยวเจิน
“ข้าจะนอนสักพัก ฟ้ามืดแล้วจึงค่อยเรียกข้า”
“เจ้า…” หลี่เมี่ยวเจินอ้าปากค้าง อยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้เท่านั้น
‘เจ้าคนนี้เป็นอะไรไปนะ นี่เตียงของหญิงสาว คิดบอกอยากจะนอนก็นอนได้เลยอย่างนั้นหรือ?’
‘ช่างเถอะ เด็กสาวในยุทธภพไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเช่นนี้ เดี๋ยวค่อยเรียกให้เสี่ยวเอ้อมาเปลี่ยนเครื่องนอนและผ้าคลุมเตียงให้ก็แล้วกัน’ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางปลอบใจตนเอง
เอนหลังนอนนี่มันสบายอย่างที่คิดไว้จริงๆ และด้วยสภาพร่างกายของข้าตอนนี้ อาการปวดเอวปวดหลังนี่ก็ควรที่จะฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว…ผลกระทบของวรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อนั้นช่างน่ากลัวเสียจริง
อืม กลิ่นหอมเลือนๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น หลี่เมี่ยวเจินดูไม่เหมือนผู้หญิงที่ใช้น้ำหอมที่มีส่วนผสมของชาดสีแดงก่ำ หรือว่ามันคือกลิ่นแตงหอมของสาวน้อยที่เป็นตำนานที่เขาเล่าขานกันงั้นหรือ?
หลังจากแตงเติบโต ก็เรียกได้เพียงว่ากลิ่นกายเท่านั้น
สวี่ชีอันรีบดึงสติกลับมา พร้อมกับให้ตนเองรีบๆนอนหลับไป
…
ระเบียงทางเดียวกันนั้น ซึ่งแยกมาจากห้องที่ยาวกว่าสิบเมตร จ้าวจิ้นกำลังกังวลอย่างหนักมาตลอดทั้งวัน
ติดตามสังเกตเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงเวลานี้ ตลอดจนรวบรวมข้อมูลข่าวสาร เขาเชื่อว่าจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินท่านนี้ที่ปรากฏตัวบนท้องฟ้าเป็นตัวปลอมที่มาแทน ซึ่งนี่สามารถใช้หลักสองประการมายืนยันได้
ประการแรก คือการปล้นสะดมของเผ่าอนารยชนแดนเหนืออย่างกำเริบเสิบสาน เหล่าจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพก็ทยอยแห่ตามกันมา พวกเขาบางคนเคยเจอจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินมาแล้ว หรือไม่ก็เคยได้ยินเรื่องกระบี่บินอันขึ้นชื่อของนาง
ประการที่สอง คือเกิดขึ้นในการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ของเมืองหลวง ถึงแม่ว่าเพิ่งจะสิ้นสุดลงได้ไม่นาน แต่ก็เตรียมการต่อสู้ล่วงหน้ามามากกว่าหนึ่งเดือน สำหรับตัวตนที่แท้จริงของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินนั้นได้รับการตัดสินจากยุทธภพมาตั้งนานแล้ว
แต่เขาก็ยังซ่อนความประหม่าและวิตกกังวลไว้ไม่ได้ ตนเองเป็นคนเปิดเผยความลับใหญ่ออกไปเอง แต่ตลอดมากลับไม่เคยได้รับคำตอบที่ถูกต้อง ในช่วงเวลาที่รอคอยอย่างขมขื่นนั้นคือความทรมานที่สุด
เวลานี้เขาเหลือบเห็นแก้วชาบนโต๊ะที่ถูกเททิ้งไว้อย่างกะทันหัน นั่นทำให้เขาตกใจกลัว
เมื่อหันไปมองร่องรอยน้ำที่ไหลออกมา มันกลายเป็นคำ ‘มาที่ห้องข้า’ สี่คำปรากฏขึ้น
จ้าวจิ้นแสดงสีหน้าประหลาดใจ เขารีบลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู พร้อมหยุดพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบความกังวลใจและระงับจิตใจที่เต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง
พยายามทำตนเองให้ดูเหมือนสงบที่สุด
จากนั้นเขาก็ก้าวเดินโดยไม่หยุดฝีเท้าแต่ก็ไม่ให้ดูเหมือนว่ารีบร้อน เดินไปที่ห้องของหลี่เมี่ยวเจินอย่างธรรมชาติ พร้อมกับเคาะประตูเบาๆ
ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ
ในห้องที่กว้างขวางและสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินและสาวใช้ที่สวยมีเสน่ห์ของนางก็นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ แสงเทียนได้สาดย้อมไปที่ใบหน้าที่สวยงามของพวกนางจนเป็นสีส้มนวลดูอบอุ่น
จ้าวจิ้นคุ้นชินกับเสน่ห์ของสาวสวยทั้งสองมานานแล้ว เขามองข้ามมันไปโดยอัตโนมัติ พลางกวาดสายตาไปที่ชายคนหนึ่งที่นอนราบอยู่เตียงที่อยู่ด้านหลังนางสองคน
‘นี่…เขาก็คือสหายร่วมทางของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินที่บอกหรือ? คาดไม่ถึงว่าจะสามารถนอนบนเตียงของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินได้ ดูแล้วเหมือนกับว่าความสัมพันธ์คงจะไม่ใช่แค่ผิวเผิน’ จ้าวจิ้นตกตะลึง หลังจากนั้นก็เห็นว่าหลี่เมี่ยวเจินตื่นขึ้นมาแล้ว เขาก็ร้องตะโกนไปทางเตียง
“เจ้าลุกขึ้นมาหาข้า มีคนมาหาแล้ว”
ชายที่อยู่บนเตียงขยับตัว ดูเหมือนกับว่าจะตื่นแล้ว ทันใดนั้นก็พลิกตัวและลุกขึ้นนั่ง พลางมองไปที่จ้าวจิ้น
‘ตึง ตึง ตึง’
จ้าวจิ้นก้าวถอยหลังอีกครั้งด้วยความตกใจ ชายคนนั้นเอียงศีรษะ หรี่ตา และมองเขาอย่างเย็นชา
‘หรี่ตามองก็ยังพอช่างมันได้ แต่นี่ยังเอียงศีรษะเพื่อมองหน้าอีก เจ้าคนนี้นี่มันคนพาลประเภทไหนกัน’
“เจ้าคือจ้าวจิ้น?” ชายคอคดเอ่ยขึ้น
“ใช่…ข้านี่แหละ”
เวลานี้ จ้าวจิ้นอาศัยแสงเทียนเพื่อดูใบหน้าของชายคนนั้นอย่างชัดเจน ใบหน้ารูปหล่อไร้ที่ติราวกับเจ้าชายรูปงามที่สุดในกลียุค
ดูแบบนี้แล้ว กลับเหมาะสมกับจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินราวกับกิ่งทองใบหยกอย่างเกินความคาดหมาย
“ข้ามีหนึ่งคำถามอยากจะถามเจ้า” ชายคอคดกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
จ้าวจิ้นพยักหน้า
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคอคดผู้นั้นจ้องมาที่เขาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เจ้าตัดสินหรือมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจิ้งซิ่งไหวพูดเป็นความจริง?”
หัวใจของหลี่เมี่ยวเจินสั่นระรัว เนื่องจากจ้าวจิ้นไม่เคยมีประสบการณ์กับการสังหารหมู่ในเมือง เขาจะตัดสินได้อย่างไรว่าที่เจิ้งซิ่งไหวพูดเป็นจริงหรือเท็จ? ถ้าหากเขาเพียงแค่ฟังคำพูดของเจิ้งซิ่งไหวเพียงแค่ฝ่ายเดียว เช่นนั้นเรื่องในวันนี้ก็คงจะถูกเลื่อนพิจารณาไป
จ้าวจิ้นพูดเสียงต่ำ “ข้ามีน้องชายร่วมสาบานอยู่คนหนึ่ง เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยอยู่ในจวนของสมุหเทศาภิบาลเจิ้ง เป็นเขาและแขกอีกมากมายที่คุ้มกันส่งสมุหเทศาภิบาลเจิ้งให้หนีออกจากเมืองฉู่โจว”
ต้าฟ่งแบ่งอาณาเขตออกเป็นสิบสามทวีป โดยภายใต้ทวีปจะถูกจัดการให้เป็นรัฐ เขต และอำเภอ แต่เดิมชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของฉู่โจวคือ ‘ทวีปฉู่’ และต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นฉู่โจว
ทวีปอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
ในฐานะที่สมุหเทศาภิบาลเจิ้งเป็นขุนนางผู้ควบคุมดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนและการบริหารงานของรัฐในทวีป มีตำแหน่งสูงและมากด้วยอำนาจ จวนของเขาจึงดูแลเกื้อหนุนผู้มีฝีมือสูงจำนวนมาก
หากผู้ที่สังหารหมู่ในเมืองไม่ใช่อ๋องสยบแดนเหนือ สวี่ชีอันก็คิดว่าที่เขาเคราะห์ดีหลบหนีออกจากเมืองฉู่โจวได้ก็สมเหตุสมผล
“วันนั้น น้องชายร่วมสาบานของข้าผู้นั้นมาหาข้าเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากที่ข้าได้รู้เรื่องนี้ก็รู้สึกว่ายากที่จะเชื่อ ดังนั้นจึงแอบไปที่เมืองฉู่โจวอย่างลับๆ และพบว่าที่นั่นก็ปกติดี สภาพการณ์ไร้แววของการสังหารหมู่ในเมืองโดยสิ้นเชิง”
“เช่นนั้นเจ้าจะตัดสินว่าการสังหารหมู่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จอย่างไร?” หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว
“แต่ข้าก็มาพบหลังจากนั้นแบบคาดไม่ถึง ว่าในเมืองยังมีสมุหเทศาภิบาลเจิ้งอยู่อีกหนึ่งคน แล้วในโลกนี้จะไปมีสมุหเทศาภิบาลสองคนได้อย่างไรกัน? ข้าสงสัยและไม่แน่ใจ จึงยินยอมรับปากคำข้อร้องของน้องชายร่วมสาบานไป พร้อมกับแอบปกป้องดูแล พลางดึงพวกผู้คนในยุทธภพที่ไว้ใจได้เข้ามาเป็นพวก พยายามนำเรื่องนี้ให้แพร่กระจายออกไปให้ได้
“ในระหว่างกระบวนการนี้ พวกข้าก็ค้นพบว่าถนนราชการรอบๆ เมืองฉู่โจว ทั้งเขตและอำเภอล้วนถูกปิดล้อมทั้งหมดและมีการนำกองกำลังทหารมาตรวจสอบทั่วทุกพื้นที่ มีสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือแอบแฝงติดตามมาด้วย ข้าจึงเพิ่งจะรู้ได้ว่าสิ่งที่ใต้เท้าสมุหเทศาภิบาลเจิ้งได้พูดไว้ นั่นสามารถเป็นความจริงได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว
“ประมาณครึ่งเดือนก่อน พี่น้องกลุ่มแรกของพวกข้าได้แอบหนีออกจากฉู่โจวไปอย่างเงียบๆ และต้องการที่จะไปเมืองหลวงเพื่อฟ้องร้อง แต่ผลสุดท้ายก็คือเงียบหายไปไร้วี่แววข่าวคราว” จ้าวจิ้นถอนหายใจพลางพูด
ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายอยู่แวบหนึ่ง
‘ไม่ได้พูดปด’ คำพูดที่ดวงวิญญาณพูดไว้ในวันนั้นคือ ‘สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ขอให้ท้องพระโรงส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามอ๋องสยบแดนเหนือ’
สวี่ชีอันพูดอย่างไตร่ตรอง “สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองฉู่โจว เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้ามีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของสมุหเทศาภิบาลเจิ้งคนนั้น?”
จ้าวจิ้นส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่รู้ ใต้เท้าเจิ้งก็เป็นปริศนาเช่นกัน เขาเห็นกับตาตัวเองว่าเชวียหย่งซิวเป็นคนนำกองกำลังไปสังหารหมู่ชาวเมือง แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นพวกข้าก็แอบเข้าไปในเมืองฉู่โจวอีกครั้ง แต่กลับพบว่าที่นั่นได้รับการฟื้นฟูสู่สภาพเดิมเรียบร้อยแล้ว”
อะไรนะ! คำอธิบายง่ายๆ แต่กลับทำให้สวี่ชีอันมึนงงจนหนังศีรษะชา และก็รู้สึกหนาวเย็นไปทั้งแผ่นหลัง
คณะทูตไม่ได้เกิดเหตุสุดวิสัย และเดินทางมาถึงเมืองฉู่โจวตั้งนานแล้ว ถ้าหากว่าที่นั่นมีปัญหาจริง จากสติปัญญาของหยางเยี่ยนก็น่าจะสามารถสังเกตเห็นได้…ไม่ใช่สิ หยางเยี่ยนเป็นเพียงทหารธรรมดาๆ อาจจะไม่สามารถเห็นเงื่อนงำหรือระแคะระคายอะไร ต้องรู้ก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์หญิงของอาณาจักรหมื่นปีศาจ หรือกลุ่มโหรลึกลับก็ต่างกำลังตามหาสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือใช้สังหารประชาชน
ตกลงแล้วอ๋องสยบแดนเหนือใช้วิธีการใดเพื่อปกปิดเรื่องทั้งหมดนี้?
“ประสบการณ์ความรู้ของข้านั้นยังไม่เพียงพอ ไม่มีปมของเรื่องเลยแม้แต่น้อย ต้องพบสมุหเทศาภิบาลเจิ้งก่อนเป็นอันดับแรกค่อยว่ากัน เขาคือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่างๆ” สวี่ชีอันนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง เอียงศีรษะและหรี่ตา
“ตัวจริงของเจิ้งซิ่งไหวอยู่ที่ไหน”
เมื่อปัญหาทุกอย่างมาถึงจุดวิกฤติ จ้าวจิ้นกลับนิ่งเงียบ เขาเหลือบไปที่สวี่ชีอันและก็เหลือบมองไปที่หลี่เมี่ยวเจินด้วยความลังเล
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วพลางพูด “เจ้าไม่เชื่อใจข้า?”
จ้าวจิ้นส่ายหัว “ข้าเชื่อในจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินจริงๆ”
ขณะที่พูด เขาเหลือบมองไปที่สวี่ชีอัน เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายคอคดคนนี้เลย แม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนร่วมทางของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน แต่ในใจเขาก็ยังคงมีความระแวงและสงสัยอยู่
นี่คือธรรมชาติของมนุษย์
สำหรับคนที่ไม่ได้คุ้นเคย ก็เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อใจได้อย่างเปิดเผยได้ทั้งหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องความปลอดภัยของสมุหเทศาภิบาลเจิ้ง
หลี่เมี่ยวเจินจ้องชายที่อยู่ข้างหลังเธออย่างโกรธเคือง พร้อมกับหันหน้ามาพูดอธิบาย “เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขา”
จ้าวจิ้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองสวี่ชีอันอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง พลางลองพูดทดสอบหยั่งเชิง “ชื่อจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินนี้ได้มาจากไหน?”
ซูซูเท้าเอวของนางและพูดอย่างภาคภูมิใจ “ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่ง เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”
‘ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่ง?’
ประโยคนี้ คล้ายดั่งว่ามีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นข้างหูของจ้าวจิ้น ใบหน้าเฉื่อยชาของเขานั้นตื่นตะลึง เขาตะลึงและงงเป็นไก่ตาแตก
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที อารมณ์ดีใจจนแทบบ้าก็ท่วมท้นขึ้นในใจ คล้ายดั่งเรือที่ล่องลอยอยู่ในความมืดได้พบกับประภาคาร เหมือนดั่งนักเดินทางที่หลงทาง แต่ได้พบกับแสงเทียน
ในใจของจ้าวจิ้นก็ผุดความตื่นเต้นขึ้น ‘ในที่สุดก็ตามหาใต้เท้าบุคคลซึ่งรับผิดชอบจัดการบริหารจนพบ’
ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่ง ผู้ซึ่งเติบโตในการตรวจสอบข้าราชสำนักมาหลายปี ได้แก้ไขคดีแปลกๆ มานับไม่ถ้วน และได้สร้างวีรกรรมความดีความชอบในการสู้รบของท้องพระโรงเอาไว้ บุคคลนี้เป็นตัวแทนของ สำนักโหราจารย์และสำนักพุทธในพิธีต้าวฮวด พยายามตีฝ่ายอรหันต์ของสำนักพุทธอย่างสุดความสามารถ
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับชายผู้นี้ไม่ได้มีวงจำกัดอยู่แค่ในเมืองหลวงมาตั้งนานแล้ว
เกี่ยวกับคุณงามความดีในเรื่องของการต่อสู้ที่กดดันระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ของหลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่น เขาที่ทำให้การต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์นั้นไม่ลามไปทางเหนืออยู่ครู่หนึ่ง แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวต่อ “เจ้าน่าจะรู้เรื่องการมาถึงแดนเหนือของคณะทูตใช่หรือไม่”
จ้าวจิ้นจำใจต้องละสายตาจากสวี่ชีอันและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ก็มาเพื่อตรวจสอบคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้นี่”
หลี่เมี่ยวเจินยิ้มและชี้ไปทางสวี่ชีอัน “ขุนนางผู้รับผิดชอบในการดำเนินการก็คือเขา เพื่อที่จะสืบสวนคดีอย่างลับๆ เขาแอบออกจากขบวนคณะทูตระหว่างทางและแอบย่องเข้าไปทางเหนือ”
‘ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง’ จ้าวจิ้นไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกต่อไป พลางกำมืออย่างตื่นเต้น และพูดกดเสียงต่ำ
“ใต้เท้าสวี่ ท่านเป็นคนที่จ้าวโหม่วเคารพและเลื่อมใสที่สุด ท่านพยายามสู้สำนักพุทธอย่างสุดฝีมือเพื่อนำศักดิ์ศรีชัยชนะมาให้ราชสำนัก และผู้คนจากทั่วยุทธภพล้วนกล่าวถึงท่าน แต่ข้าคิดว่า สิ่งที่ทำให้คนเลื่อมใสท่านที่สุดก็คือตอนที่อยู่อวิ๋นโจว วีรกรรมที่สกัดกั้นทหารกบฏนับหลายหมื่นนายโดยเพียงผู้เดียว ทุกครั้งที่นึกถึง ก็ทำให้จ้าวโหม่วที่เลือดร้อนอารมณ์เดือดพล่าน บุรุษควรจะเป็นเช่นนี้”
โครงเรื่องนี้ข้ามผ่านมันไปไม่ได้แล้วใช่หรือไม่?
สวี่ชีอันเกือบปิดหน้าของตัวเองเพราะหลี่เมี่ยวเจินที่เป็นหนึ่งในบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องราวต่างๆ เช่นกัน กำลังส่งสายตาดูถูกมาทางเขา ทำให้สวี่ชีอัน รู้สึกอับอายจนไม่รู้จะมุดตัวไปหลบตรงไหน
‘บุคคลนี้ชอบพูดโอ้อวดมาแต่ไหนแต่ไร เป็นจุดอ่อนที่แก้ไม่หาย อีกทั้งยังลากข้าเข้าไปขายหน้าด้วยอีก จนไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเขาต่อภายในพรรคฟ้าดิน’ หลี่เมี่ยวเจินเบิกตาจ้องมองไปที่เขา พึมพำในใจอย่างไม่พอใจ
“แค่กแค่ก!”
เขากระแอม พลางพูดเบาๆ “คนเก่งจริงจะไม่ยกเรื่องเก่ามาพูด พูดคุยเล่นนินทาให้น้อย พวกเรารีบไปพบสมุหเทศาภิบาลเจิ้งเถอะ เมี่ยวเจิน เจ้าใช้กระบี่บินพาพวกข้าออกไปวนรอบๆ ถนนอยู่สองสามรอบ”
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าข้ากำลังถูกคนคอยติดตามจับตามองหรือ? แต่ลูกสมุนปีศาจน้อยของข้าไม่ได้บอกข้อมูลอะไรกับข้าเลย”
สวี่ชีอันพ่นลมหายใจพลางพูด “นั่นก็หมายความได้เพียงว่าระดับการซุ่มโจมตีของอีกฝ่ายนั้นสูงมาก ลองคิดดู ในเมื่อสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือสังหารตัดตอนผู้คนที่ส่งสารในยุทธภพได้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องมีความสามารถในการควบคุมความคิดของสมุหเทศาภิบาลเจิ้งได้แน่ และเจ้าเพิ่งปรากฏตัวในเวลานี้พอดี สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือคงไม่เพิกเฉยต่อเจ้าแน่ เป็นไปได้สูงที่พวกนั้นตั้งใจทำเป็นไม่มองเจ้า และแอบหลอกให้สมุหเทศาภิบาลเจิ้งออกมา
“โชคดีที่พี่จ้าวระมัดระวังและแอบแฝงตัวอยู่ข้างกายเจ้าตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ได้มาหาที่นี่อย่างกะทันหัน แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ก็เกรงว่าพี่จ้าวที่อยู่ข้างใน และทุกคนในยุทธภพที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าล้วนกำลังอยู่ภายใต้การตรวจสอบ บางทีในอีกไม่กี่วัน สายลับของอ๋องสยบแดนเหนืออาจจะมาหาถึงที่”
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกับจะรู้อะไรบางอย่าง และพยักหน้าช้าๆ
“ไม่แปลกใจเลยที่วันนั้น หลังจากที่ข้าสกัดกั้นพ่อค้าหน้าเลือดที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาธัญพืช รัฐบาลก็เริ่มตัดสินใจวางแผนที่จะฆ่าข้า แต่ต่อมากลับเปลี่ยนใจและแอบมาพูดคุยกับข้าอย่างลับๆ โดยหวังว่าข้าจะเก็บอาการไว้ได้บ้าง”
ในเวลานั้น ทันทีที่นางนำซูซูเก็บลงในถุงหอม และเอาแต่คิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ว่าจะเอนกายพิงกระบี่บินที่เพิ่งไป ‘ร่าเริง’ บินวนเวียนอยู่รอบห้องแล้วกลับมาอยู่ข้างๆโต๊ะ
หลี่เมี่ยวเจินโบกมือ พร้อมกับเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น หน้าต่างก็เปิดออก กระบี่บินก็รีบบินออกไป
“ไป!”
นางกระโดดออกไปทางนอกหน้าต่างก่อน ตามด้วยสวี่ชีอันและจ้าวจิ้น ทั้งสามคนเหยียบไปที่สันกระบี่พร้อมกัน โดยที่หลี่เมี่ยวเจินอยู่ข้างหน้า สวี่ชีอันอยู่ตรงกลาง จ้าวจิ้นอยู่ด้านหลัง
กระบี่บินลากนำทั้งสามลอยตรงคนขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในเวลานี้เอง ภาพที่ตรงกันก็ลอยปรากฏขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน ทางด้านล่างก็มีลูกธนูที่มีอานุภาพทรงพลังยิงปะทะมาอย่างดุเดือด
ลูกธนูนี้แฝงไว้ด้วยซึ่งกำลังบางอย่าง พลังที่บ่งบอกว่าจะไม่มีวันยอมแพ้หากไม่สามารถยิงทะลุข้าศึกได้
“ไปทางซ้าย!”
สวี่ชีอันพูดเสียงดัง
หลี่เมี่ยวเจินไม่ทันได้คิดอะไร ก็ควบคุมกระบี่บินให้ลอยไปทางซ้าย ครู่ต่อมาก็มีลำแสงพุ่งเข้ามาเจาะทะลุตรงตำแหน่งที่ทั้งสามคนเพิ่งจะอยู่เมื่อครู่นี้
หลังจากที่ลูกธนูยิงอากาศที่ว่างเปล่า ก็มีอีกดอกหันกลับมาพลางล็อกเป้ามาที่ทั้งสามคนอีกครั้ง เสียงหวีดแหวกอากาศดังขึ้น
“เป็นทหารขั้นสี่” หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เร็ว เร็วเข้า บินสูงขึ้นหน่อย อย่าให้ทหารระดับสี่เข้าใกล้ตัวได้เด็ดขาด” สวี่ชีอันรู้สึกมึนงงจนหนังศีรษะชา
……………………………………………………………