ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 367 วิชาปราณอ่านใจ
บทที่ 367 วิชาปราณอ่านใจ
หากมีนักวรยุทธ์ขั้นสี่เข้ามาใกล้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะสังหารผู้อื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ในพริบตา และยังสามารถทำให้เรื่องนี้สัมฤทธิ์ผลได้
ความสามารถของนักวรยุทธ์ขั้นสี่จะมีความแข็งแกร่งได้นั้นขึ้นอยู่กับสองเงื่อนไขคือฮว่าจิ้นและเจตจำนงของพวกเขา
นักวรยุทธ์ที่สามารถใช้ฮว่าจิ้นได้ นับว่าเป็นผู้ที่มีทักษะทางกายภาพยอดเยี่ยม ไม่ต้องเอ่ยถึงหลี่เมี่ยวเจิน แม้กระทั่งสวี่ชีอัน หากต้องพบเจอกับนักวรยุทธ์ที่ใช้ฮว่าจิ้นได้จริง เกรงว่าก็คงพ่ายแพ้ให้พวกเขาเช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพื้นฐาน ‘เจตจำนง’ ของขั้นสี่เลยเช่นกัน
แน่นอนว่า ผู้หนึ่งคือนักบุญหญิงแห่งนิกายสวรรค์ ส่วนอีกผู้หนึ่งคือฆ้องเงินแห่งต้าฟ่ง ทั้งสองย่อมมีกลอุบายในการรับมือกับอีกฝ่าย เพียงแต่ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะต่อสู้กันจนตัวตาย
นักวรยุทธ์ขั้นสี่ ใช่ว่าจะสามารถสังหารได้ภายในชั่วอึดใจ แค่เพียงพริบตาที่พวกเขาถูกปิดล้อม ทั้งสามก็จะไร้หนทางรอด บรรดาสายลับ เจ้าหน้าที่ และทหารคนอื่นๆ จะรีบปราดเข้ามาจนไร้หนทางหลบหนี
สวี่ชีอันไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเขาได้ เขาม้วนหนังสือขงจื๊อและกายสีทองซ่อนไว้ พยายามหลบเลี่ยงพวกนักวรยุทธ์ขั้นสี่
‘ชิ้ง!’
หลี่เมี่ยวเจินชักกระบี่ออกมา พุ่งตรงเข้าไปกลางท้องนภา หลบเลี่ยงลูกศรที่พุ่งเข้าใส่
ที่ด้านล่าง ร่างหนึ่งรีบพุ่งกายวิ่งไปตามขอบสันของหลังคาเรือน เขาเกาะกระโดด ปีนป่ายรวดเร็วยิ่งพร้อมสะพายคันธนูสายหนึ่งไว้ที่ด้านหลัง และตอนนั้นเองชายผู้สวมชุดคลุมดำนี้ก็ยกคันศรขึ้น แล้วเหนี่ยวสายธนูออกไป
หลี่เมี่ยวเจินทะยานร่างอยู่กลางอากาศถูกศรสองดอกโฉบเฉี่ยวผิวกายเล็กน้อย และหลังจากที่เพิ่งจะหลบลูกศรที่พุ่งเข้ามายังศีรษะได้ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงลมแหวกอากาศ ลูกศรห่าใหญ่กำลังพุ่งเข้ามา
ชายชุดดำผู้นั้นยิงศรออกมาทั้งสิ้นสิบสามดอก ปลายศรแหลมคมเหล่านี้เปรียบเสมือนกระบี่บินที่พุ่งเข้าหาพวกสวี่ชีอันจากทุกทิศทาง บ่งบอกถึงความตั้งใจจริงที่จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสามารถสังหารพวกเขา
หลี่เมี่ยวเจินยามนี้ประหนึ่งกำลังร่ายรำ นางขี่กระบี่บินท่าทางแช่มช้า พลิกกายตลบ…หลบหลีกลูกศรที่พุ่งเข้ามาทีละดอกด้วยท่วงท่าสง่างาม
แต่เมื่อชายชุดดำผู้นั้นยังคงเหนี่ยวสายธนู ยิงศรออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสามก็คล้ายกับติดอยู่ในกลางสมรภูมิศรห่าใหญ่
‘ฟิ้ววว…ฉับ’
สวี่ชีอันปรบมือชื่นชมให้กับทักษะการขี่กระบี่บินอันน่าทึ่งของหลี่เมี่ยวเจิน ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดว่าจะหาทางหลบหนีสถานการณ์ที่ด้านล่างนั้นอย่างไร
หนังสือเวทมนตร์ขงจื๊อก็ใช้การไม่ได้ ไต้ซือเสินซูก็มาช่วยไม่ได้อีก ด้วยไม่รู้ว่าที่ด้านล่างนั่นมีสายตามากน้อยเท่าไรคอยจับจ้องอยู่…
พลังเทพวชิระยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง หากนำมาใช้จริงคงได้เผยตัวตนเป็นแน่ ดาบเดียวตัดฟ้าดินก็คงไม่ได้เช่นกัน…
สวี่ชีอันเพิ่งจะค้นพบตอนนั้นเองว่า สิ่งที่ตนร่ำเรียนมานั้นยังน้อยมากเหลือเกิน ใช้การไม่ได้สักอย่าง
“ช้าก่อน แม้หนังสือเวทมนตร์ขงจื๊อจะใช้การไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเวทมนตร์อื่นจะใช้ไม่ได้นี่…” ดวงตาของสวี่ชีอันพลันสว่างวาบ
เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นมา เขาก็เห็นอาคารที่เท้าของชายชุดดำนั้นพังทลายลงไป อีกฝ่ายทะยานตัวขึ้นไปบนท้อง นภาม้วนกายหนึ่งตลบ และตอนนั้นเองลูกศรดอกหนึ่งก็พุ่งไปที่ปลายเท้าของเขา
เขาย่ำลงไปบนศรที่พุ่งเข้ามาหาดอกแล้วดอกเล่า ระหว่างนั้นก็ยังคงเหนี่ยวสายยิงศรออกไป ไม่ปล่อยให้หลี่เมี่ยวเจินได้หยุดพักหายใจเลยแม้แต่อึดใจเดียว
เกรงว่านี่คงจะเป็นทักษะชั้นยอดของนักวรยุทธ์ขั้นสี่แล้ว…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ตอนนั้นเอง หลี่เมี่ยวเจินก็หยิบยันต์อักขระแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ปากบริกรรมคาถาบางอย่าง ก่อนจะสะบัดยันต์แผ่นนั้นออกไป
‘ฉ่า’ เสียงอักขระยันต์มอดไหม้กลางอากาศ จากนั้นเปลวเพลิงก็ขยายวงกว้างขึ้น ก่อตัวรวมกันเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ สว่างเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์
เปลวไฟสว่างไสวสาดแสงส่องสะท้อนไปยังเมืองเบื้องล่าง ทำให้คนพาลเข้าใจผิดว่ารุ่งอรุณใกล้จะมาเยือนแล้ว
กลิ่นเหม็นไหม้ลอยแตะปลายจมูกสวี่ชีอัน เขาหันหน้ามองก็เห็นว่ายามนี้ขนตาของจ้าวจิ้นหายไปแล้ว ผมของอีกฝ่ายเริ่มหยิกและกลายเป็นสีน้ำตาล
เกรงว่าขนตาและผมของข้าก็ไม่น่าจะอยู่แล้วเช่นกัน…ให้ตายเถอะ ผมของข้าผิดอะไรด้วย ใต้หล้านี้มีตั้งหลายสิ่งอย่าง แล้วเหตุใดถึงได้พุ่งเป้ามาที่ข้าเล่า… เมื่อนึกถึงผมบนศีรษะของตนตอนนี้ และขนตาที่ไม่น่าจะเหลือแล้ว สวี่ชีอันก็อดเศร้าใจไม่ได้
ผมของหลี่เมี่ยวเจินเองก็ชี้ตั้ง นางรีบเอามือมาลูบมันให้เรียบดังเดิม
ลูกไฟกลุ่มนี้ดุจดั่งอุกกาบาต มันพุ่งเข้าใส่ชายชุดดำ
ชายชุดดำทะยานกายเข้าไปกลางอากาศ เข้าเหยียบลงบนลูกธนูดอกหนึ่งเพื่อเบี่ยงกายหลบลูกไฟที่พุ่งเข้ามา แล้วปล่อยให้ลูกไฟผ่านร่างของตนไปตกลงสู่ชาวเมืองเบื้องล่าง ไม่สนใจจะหยุดมันแม้แต่น้อย
หลี่เมี่ยวเจินคิ้วขมวดมุ่น นางยืดมือออกไปก่อนจะกำหมัดแน่น
‘เปรี้ยง!’
เปลวไฟพลันส่งเสียงระเบิดกึกก้องกลางอากาศ ฉากนี้คล้ายกับดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ จากนั้นกลุ่มไฟก็ขยายวงกว้าง และก่อนที่เพลิงทมิฬนั่นจะตกลงสู่พื้น พวกมันก็มอดดับลงแล้ว
ชายชุดดำสบโอกาส กระโจนเข้าไปกลางอากาศแล้วย่ำลงบนธนูอีกดอกหนึ่ง ระยะห่างระหว่างทั้งสองพลันลดลงอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวเขาก็ขยับเข้ามาใกล้แล้ว ชายผู้นั้นคาดว่าตนจะสามารถจัดการกับหลี่เมียวเจิน ทำให้นางตกลงไปได้ทันที และอย่างมากที่สุดที่หลี่เมี่ยวเจินจะทำได้ก็คือปล่อยให้สหายทั้งสองหนีเอาตัวรอดไปก่อน หรือไม่ทั้งหมดก็ต้องสู้อย่างจนตรอกอยู่ที่นี่
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายชุดดำที่กำลังโจมตีอย่างดุดันในยามนี้ หลี่เมี่ยวเจินกลับไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางสงบราบเรียบราวภูผาแกร่ง ตวัดกระบี่ขึ้นฟ้า แล้วกดเสียงต่ำ
“เข้ามา!”
‘ครืน!’
เมฆพลันปกคลุมทั่วท้องนภา เสียงอสนีบาตสั่นสะเทือนลั่น กลุ่มเมฆดำก่อตัวรวมกัน จากนั้นสายฟ้าพร่างพรายก็ฟาดฟันลงมา
สายฟ้าฟาดลงมารวดเร็วยิ่ง กลางอากาศเช่นนี้ไม่ใช่สถานที่สู้รบที่นักวรยุทธ์เช่นเขาคุ้นชินแม้แต่น้อย ครั้งนี้ชายชุดดำไม่ได้หลบหลีก มันจึงฟาดลงบนศีรษะของเขาเต็มๆ
‘เปรี้ยง เปรี้ยง!’
หากแต่ตอนนั้นเอง สายฟ้าก็พลันถูกบดบังด้วยบางอย่างที่มองไม่เห็น ส่วนโค้งละเอียดอ่อนกำลังเคลื่อนไหวไปมา
‘เขาสูบพลังปราณเพื่อสกัดกั้นอสนีบาตสายนี้ที่ฟาดเข้ามา’
จ้าวจิ้นหน้าเปลี่ยนสีทันที สายฟ้ารุนแรงเช่นนี้ก็ยังไม่อาจหยุดอีกฝ่ายได้ ด้วยระยะห่างอันน้อยนิดในยามนี้ เพียงชั่วอึดใจชายชุดดำก็เข้ามาประชิดพวกเขาแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว ในเมื่อไร้ทางเลือก เช่นนั้นก็ทำได้เพียงสู้จนตัวตาย ความสามารถในการต่อสู้ของนางและสวี่ชีอันอาจมากพอที่จะจัดการกับศัตรูตรงหน้ายามนี้ได้
ตอนนั้นเอง นางก็ได้ยินสวี่ชีอันเอ่ยขึ้น “บินต่อไป!”
หลี่เมี่ยวเจินไม่ลังเล สลัดความคิดที่จะต่อสู้ทิ้งไปทันที ขี่กระบี่บินมุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง
ยามนี้ ชายชุดดำอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่จั้งแล้ว เขารวบรวมพลังปราณ ท่าทางพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
‘แกรก!’
นิ้วสั่นเทาของสวี่ชีอันฉีกกระดาษออกมาแผ่นหนึ่งแล้วเผามัน เขาใช้กายปิดกั้นการเผาไหม้ของกระดาษไว้ แล้วเอ่ยเสียงดัง “หากไม่ฝืนลิขิตแห่งฟ้า สวรรค์ย่อมเมตตาต่อสรรพชีวิต!”
ชายชุดดำที่กำลังจะปราดเข้ามาร่างกายพลันแข็งค้าง รูม่านตาของเขาหดแคบ ความตั้งใจในการต่อสู้หายวับ ความสำนึกผิดได้ก่อเกิดขึ้นในจิตใจของเขา
สำนึกถึงผิดบาปที่ไล่ตามสังหารคนทั้งสามเบื้องหน้า และสำนึกในบาปที่กระทำเอาไว้ก่อนหน้านี้
ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวเพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่เจตจำนงอันแข็งแกร่งในจิตใจของเขาจะหายไป
หากแต่ทุกอย่างกลับสายไปแล้ว ลูกศรทั้งหมดเสียการควบคุมและตกลงมา เขาเห็นเพียงเงาร่างของหลี่เมี่ยวเจินและสหายของนางห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จากนั้นทั้งหมดก็หายลับไปในกลีบเมฆด้วยความเร็ว
“สำนักพุทธอย่างนั้นหรือ?”
ชายชุดดำเค้นเสียงลอดไรฟันด้วยความเคียดแค้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
…
หลี่เมี่ยวเจินบินข้ามทะเลหมอกอยู่นานหลายเค่อ นางหันกลับไปมองทางด้านหลังอีกครา ก่อนจะบินต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ในท้ายที่สุดทั้งหมดก็ฝ่าทะเลหมอกออกมาแล้วกลับคืนสู่โลกเช่นเดิม
“เมื่อครู่คือสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือใช่หรือไม่” นางเอ่ยถาม
“คาดว่าคงเป็นสายลับระดับสวรรค์” จ้าวจิ้นตอบกลับ “ผู้ที่มีการบ่มเพาะเช่นนี้ย่อมเป็นสายลับระดับสวรรค์อย่างแน่นอน ฆ้องเงินพูดถูกแล้ว พวกเราถูกสะกดรอยตาม”
เขาเอ่ยต่อด้วยความโล่งอก “โชคดีที่มีท่านทั้งสอง มิเช่นนั้นจ้าวโหม่วคงหามีชีวิตรอดไม่”
เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินและฆ้องเงินเป็นประจักษ์แก่สายตาแล้ว เขาก็มั่นใจในการกระทำต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ตราบใดที่พวกเขาทั้งสองเต็มใจช่วยเหลือ พวกเขาก็ยังมีความหวังที่จะแจ้งเรื่องกลับไปยังเมืองหลวงได้ แล้วให้ราชสำนักเป็นผู้ลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือ
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น จากคำชี้แนะของจ้าวจิ้น หลี่เมี่ยวเจินก็ร่อนกายลงยังด้านนอกหุบเขาแห่งหนึ่ง หากแต่เท้าเพิ่งจะแตะพื้นเท่านั้น สวี่ชีอันก็สังเกตได้ถึงสายตาของศัตรูที่กำลังจดจ้องมาทางตน
นี่คือสัญชาตญาณของนักวรยุทธ์ที่มีความสามารถหลอมวิญญาณ สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาและความคิดของศัตรูที่อยู่ใกล้ๆ ได้
หากแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดจากสัมผัสนี้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายยังไม่มีความตั้งใจที่จะลงมือ… สวี่ชีอันมองไปทางด้านข้างเงียบๆ เขาเหลือบมองจ้าวจิ้น
อีกฝ่ายพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย แล้วออกเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นจึงเลียนเสียงของนกฮูก
รอไม่นาน เสียงร้องแบบเดียวกันก็ดังมาจากทางด้านในหุบเขาด้วย
ไม่กี่อึดใจ เงาร่างสูงใหญ่กำยำก็เดินออกมาจากในป่าทึบพร้อมกับมีดยาวที่เอว ด้านหลังของเขายังสะพายคันธนูสายหนึ่งเอาไว้ นี่เป็นแบบฉบับของนักวรยุทธ์ทางแดนเหนือ
“พี่จ้าว ในที่สุดท่านก็กลับมา”
ผู้ที่มาเป็นบุรุษไว้หนวดเคราผู้หนึ่ง สูงราวเจ็ดฉื่อ มัดกล้ามของเขากำยำรัดแน่นเสื้อผ้า รูปลักษณ์หยาบกร้าน ท่าทางแข็งแรงองอาจเยี่ยงคนจากทางเหนือ
เขายืนห่างออกไปไกลเล็กน้อย ใช้สายตาพินิจสวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจิน “พวกเขาเป็นใคร”
จ้าวจิ้นอธิบาย “ท่านนี้คือจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินหลี่เมี่ยวเจิน นักบุญหญิงนิกายสวรรค์ ส่วนท่านนี้ก็คือฆ้องเงินสวี่ชีอันผู้เลื่องชื่ออย่างไรเล่า”
“ท่านทั้งสอง เขาคือพี่น้องร่วมสาบานของข้านามว่าหลี่ฮั่น เป็นนักวรยุทธ์ขั้นหก”
บุรุษรูปร่างกำยำที่มีคันธนูพาดหลังพิจารณาทั้งสองอย่างรอบคอบ เอ่ย “พวกเจ้ามีหลักฐานพิสูจน์ตัวตนหรือไม่”
หลี่เมี่ยวเจินตบถุงหอมเบาๆ ฉับพลันควันสีเขียวสายหนึ่งก็ลอยออกมากลางอากาศ พร้อมกับเสียงร่ำไห้ของภูตผีที่ดังตามมา
“วีธีควบคุมผีสางเช่นนี้ นอกจากสำนักพ่อมดแล้ว ก็มีเพียงลัทธิเต๋าเท่านั้นที่ทำได้” ชายร่างกำยำที่มีธนูพาดหลังมองไปทางสวี่ชีอันแล้วกอบหมัดคำนับทันที
“ข้าไม่อาจประมาท จำต้องรอบคอบเช่นนี้ พี่ชายโปรดเข้าใจด้วย…ท่านมีอะไรมาพิสูจน์หรือไม่ว่าตนคือฆ้องเงิน”
สวี่ชีอันไม่ได้กล่าวตอบ เพียงแต่หยิบป้ายคาดเอวประจำกายโยนออกไป เอ่ย “มอบสิ่งนี้ให้กับเจิ้งซิ่งไหว เขาย่อมรู้จักตัวตนของข้าดี”
คนทั่วไปในยุทธภพอาจไม่รู้จักป้ายคาดเอวของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หากแต่เจิ้งซิ่งไหวผู้เป็นสมุหเทศาภิบาลของอี้โจว ย่อมไม่มีทางไม่รู้จักแน่นอน
บุรุษร่างกำยำหยิบป้ายคาดเอวขึ้น ใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่”
เขาก้าวเข้าไปในหุบเขาทันที และหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อ สวี่ชีอันก็มองเห็นแสงจากคบเพลิงที่กำลังเคลื่อนเข้ามาหาตน
ผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย ผู้ที่เดินนำเป็นชายชราท่าทางสะอาดสะอ้าน อายุราวห้าสิบต้นๆ ใต้คางไว้เคราแพะเล็กน้อย ความประทับใจครั้งแรกที่เขามอบให้คนที่พบเจอคือความสง่างามแบบคนสมัยก่อน ซึ่งแสดงถึงความเคารพน่ายำเกรงของการเป็นผู้นำ
ด้านหลังของเขาติดตามด้วยคนในยุทธภพอีกหกคน หากแต่หนึ่งในนั้นกลับทำให้สวี่ชีอันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก รูปร่างของเขาผอมสูง ถุงใต้ตาดำคล้ำ ดูคล้ายกับเขาปล่อยปละละเลยตนเองมากเกินจนร่างนั้นไร้จิตวิญญาณ
บรรดาห้าคนที่เหลือคือหลี่ฮั่นพี่น้องร่วมสาบานของจ้าวจิ้น รวมไปถึงบุรุษอีกสามคน และสตรีอีกหนึ่งคน
ในตอนที่สวี่ชีอันมองไปทางพวกเขา ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาทางเขาและหลี่เมี่ยวเจินเช่นกัน
ผู้เฒ่าที่เดินนำมาจดจ้องสวี่ชีอันไม่วางตา ก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านคงเป็นสวี่อวิ๋นหลัวกระมัง”
“ถูกแล้ว!”
สวี่ชีอันผงกศีรษะ ใช้มือป้องแก้มของตนเล็กน้อยแล้วถูมันเบาๆ จากนั้นใบหน้าแท้จริงของเขาก็ปรากฏขึ้น
“เป็นสวี่อวิ๋นหลัวจริงๆ” หลี่ฮั่นยิ้มยินดี
ดูเหมือนว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเคยเห็นภาพเหมือนของสวี่ชีอันมาก่อน พวกเขาต่างถอนหายใจโล่งอก ในใจคิด ‘สมกับเป็นสวี่อวิ๋นหลัวจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะเอียงหน้าปรายสายตามองผู้คนเช่นนั้น กิริยามารยาทอันเย่อหยิ่งนี้แตกต่างไปจากคนทั่วไปหลายส่วนนัก’
“ข้าเจิ้งซิ่งไหวสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจว” ผู้เฒ่าค้อมกายคำนับ “ที่ตรงนี้ไม่เหมาะกับการพูดคุย เชิญด้านในเถอะ”
สวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินเดินตามพวกเขาเข้าไปในหุบเขา ภายในนั้นมีถ้ำกว้างแห่งหนึ่งซึ่งตัดผ่านไปสู่ใจกลางของหุบเขาโดยตรง
จ้าวจิ้นย้ายร่างไปอยู่ตรงกิ่งไม้ปากทางเข้าถ้ำ แสร้งพรางกายได้อย่างแนบเนียน
กองไฟกองหนึ่งลุกโชนอยู่ที่ด้านใน แม้พื้นดินจะเกลื่อนไปด้วยกระดูก แต่หญ้าแห้งก็ถูกใช้ปูเป็นเตียงนอนอย่างเรียบง่าย นอกจากนี้ ที่นี้ยังมีหม้อเหล็ก และเมล็ดข้าวเป็นเสบียงเก็บเอาไว้
หลังหลบหนีออกจากเมืองแล้ว พวกเขาก็หลบซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาสินะ…สวี่ชีอันกวาดสายมองไปรอบๆ ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงข้างกองไฟตามคำเชื้อเชิญของเจิ้งซิ่งไหว
“พวกเขาทั้งหมดเป็นแขกในบ้านของข้า เมื่อตอนที่พวกข้าหลบหนีในคราวแรก เรามีกันมากกว่ายี่สิบคน แต่ตอนนี้เหลือเพียงหกคนเท่านั้น” เจิ้งซิ่งไหวเริ่มแนะนำ…
บุรุษร่างผอมสูงนี้มีนามว่าเชินถูไป่หลี่ เป็นนักวรยุทธ์ฮว่าจิ้นขั้นห้า หลังจากขั้นสี่ทั้งสองคนสิ้นไปแล้ว เขาจึงกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
บุรุษสามคนที่เหลือนั้น ชายร่างอ้วนคนแรกท่าทางแข็งแรงมีนามว่าเว่ยโหยวหลง เขามีฐานการฝึกตนขั้นหก สวมชุดคลุมสีม่วงสกปรก และอาวุธคือมีดตัดฟืน
ส่วนคนผู้นี้คือถังโย่วเซิ่นผู้ทำหอก เขามีรอยแผลเป็นที่แก้มซ้าย เมื่อมองผู้คน สายตาของเขาดุจมีดแหลมคม ทำให้สวี่ชีอันอดนึกถึงเจียงลวี่จงที่มีสายตาแหลมคนดุจเหยี่ยวไม่ได้
ตามคำบอกเล่าของเจิ้งซิ่งไหว ได้ความว่าถังโย่วเซิ่นเกิดในกองทัพ หากแต่เขากลับถูกไล่ออกเพราะเขาทำให้ผู้บังคับบัญชาขุ่นเคือง และหลังจากนั้นเจิ้งซิ่วไหวก็เลือกเขามา จนสุดท้ายเขาได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
บุรุษคนสุดท้ายสะพายดาบยาวไว้ด้านหลัง องคาพยพบนใบหน้างดงามยิ่ง เขามีนามว่าเฉินเซียน สตรีที่หน้าตางดงามผู้นั้นคือภรรยาของเขา ทั้งสองใช้ดาบเช่นเดียวกัน
นอกจากหลี่ฮั่นน้องชายร่วมสาบานของจ้าวจิ้นแล้ว นี่ก็ครบหกคนพอดี
สวี่ชีอันกวาดสายตามองทุกคน จากนั้นก็เหลือบมองไปทางหลี่เมี่ยวเจินเล็กน้อย นางคลายเชือกสีแดงบนถุงหอมออก ปล่อยควันสีเขียวออกมา
ในหมอกเขียวหนาทึบนี้พลันปรากฏเค้าร่างของชายคนหนึ่ง เขาพึมพำบางอย่าง “สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ขอราชสำนักส่งกองทัพไปปราบปราม…”
เขาพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เว่ยโหยวหลงวางมีดตัดฟืนลง นัยน์ตานั้นจ้องไปยังดวงวิญญาณตรงหน้า สีหน้าฉายแววโศกเศร้า
“เขามีนามว่าเฉียนโหยวอี้ เป็นน้องชายที่เติบโตมาด้วยกันในยุทธภพกับข้า พวกเราเคยเป็นผู้คุ้มกันด้วยกัน แต่หลังจากข้ามารับใช้ใต้เท้าเจิ้ง เขาก็ยังคงยืนหยัดเส้นทางในยุทธภพต่อไป
“หลังจากการสังหารหมู่ในฉู่โจว พวกข้าทั้งหกคนรวมถึงใต้เท้าเจิ้ง ก็โดนอ๋องสยบแดนเหนือตามล่า ไม่สามารถเดินทางไปไหนไกลได้ และคนที่ข้าคิดถึงเป็นคนแรกก็คือเขา
“เขายังคงเป็นพี่ชายคนเดิมในตอนนั้น เป็นพี่ชายที่เต็มใจจะรับมีดแทนสหาย”
เอ่ยถึงตรงนี้ เบ้าตาของเขาก็แดงก่ำ เว่ยโหยวหลงยกมือขึ้นกุมใบหน้า
คนอื่นก็ก้มหน้าก้มตาลงเช่นกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
เจิ้งซิ่งไหวถอนหายใจพลางกล่าว “พวกข้าขอให้จอมยุทธ์หลายคนในยุทธภพช่วยยื่นมือมาช่วยเหลือ อ้อนวอนให้พวกเขาไปยังเมืองหลวงเพื่อเปิดเผยความโหดร้ายของอ๋องสยบแดนเหนือ แต่ไม่คิดเลยว่า…”
“เหตุใดถึงไม่เปิดเผยเรื่องราวของอ๋องสยบแดนเหนือที่ทางการฉู่โจว” สวี่ชีอันเอ่ยถาม
“เปล่าประโยชน์ เช่นนั้นรังแต่จะทำร้ายคนอื่น ข่าวจะแพร่สะพัดออกไปรวดเร็วยิ่ง อีกอย่างพวกเขาก็จะบอกว่าตอนนี้ฉู่โจวก็ดีอยู่แล้ว…ใครจะไปเชื่อเล่า หากทำไปก็มีแต่จะดึงดูดความสนใจคนของอ๋องสยบแดนเหนือให้ออกมาตามล่า…”
เจิ้งซิ่งไหวส่ายหน้า แววตาฉายชัดถึงความเจ็บปวดและหวาดหวั่น ไม่ใช่ว่ากลัวการลอบสังหารโดยสายลับ แต่กลัวสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองฉู่โจว
แท้จริงแล้ว เผ่าอนารยชนและเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างมองหาสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือใช้สังหารผู้คน หากแต่น่าเสียดาย เมื่อเจ้าไม่รู้จักการต่อสู้ในระดับนี้ ตราบใดที่ข่าวแพร่ออกไป ราชสำนักก็ไม่มีความจำเป็นที่จะส่งเรื่องให้ศาลสืบสวนคดี
สวี่ชีอันพยักหน้ารับ ยอมรับคำอธิบายของสมุหเทศาภิบาล
“พวกเจ้าน่าจะรู้แล้วกระมังว่าราชสำนักส่งหน่วยภารกิจมาสืบสวนคดีเรื่องนี้” สวี่ชีอันถามหยั่งเชิง
“พวกข้าได้ยินที่จ้าวจิ้นบอกแล้ว เขาส่งจดหมายกลับมาเป็นประจำ แต่พวกข้าไม่กล้าเข้าไปหาหน่วยภารกิจนั่นหรอก เพราะกลัวว่าอาจจะถูกฆ่าปิดปาก อ๋องสยบแดนเหนือกล้าสังหารผู้คนกลางเมืองแน่นอน เช่นนั้นย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงคณะภารกิจ” หลี่ฮั่นผู้สะพายคันธนูไว้ที่หลังเอ่ยเสียงขุ่นเคือง
“ข้าจะรับผิดชอบการดำเนินการนี้เอง” สวี่ชีอันเน้นย้ำถึงฐานะของตนเอง
ทุกคนสีหน้าปลื้มปีติ เมืองหลวงอยู่ห่างจากฉู่โจวหลายพันลี้ หากแต่พวกเขากลับรู้จักชื่อเสียงของสวี่อวิ๋นหลัวเป็นอย่างดี มันดังกระฉ่อนกึกก้องราวอสนีบาต
สวี่อวิ๋นหลัวสามารถไขคดีประหลาดได้ กอปรกับเหตุการณ์ต่อสู้ของสำนักพุทธที่พิธีต้าวฮวดนั้น ชื่อเสียงของเขาก็ยิ่งกระฉ่อนเลื่องลือ สวี่อวิ๋นหลัวไม่ได้อาศัยอยู่ในฉู่โจว หากแต่ฉู่โจวกลับมีตำนานของเขาเล่าขาน
เจิ้งซิ่งไหวหยัดกายลุก จัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย ก่อนกอบหมัดคำนับ “สวี่อวิ๋นหลัวโปรดช่วยชาวเมืองฉู่โจวด้วย”
สวี่ชีอันไร้ท่าทีตอบสนอง แต่ถามกลับไปว่า “ใต้เท้าเจิ้งคิดอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้หรือ จากคำบอกเล่าของท่าน ฉู่โจวเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นเช่นนี้ แล้วจะสงบสุขได้อย่างไร”
เจิ้งซิ่งไหวชะงักไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเขียว “ข้าเองก็สับสนและงุนงงเช่นกัน”
ใบหน้าของเชินถูไป๋หลี่และคนอื่นๆ ก็ฉายชัดถึงความงงงัน
สวี่ชีอันหันมองไปทางหลี่เมี่ยวเจิน ส่งกระแสจิต “ข้าใช้วิชามองปราณ พวกเขาไม่ได้โกหก แต่ว่า…สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง นอกจากใช้วิชามองปราณแล้ว เจ้ามีวิธีใดที่จะจับความเท็จได้หรือไม่”
ทหารหยาบกร้านย่อมไร้หนทางเลือก ทำได้เพียงเอ่ยขอความช่วยเหลือจากนักบุญหญิง
หลี่เมี่ยวเจินใคร่ครวญ ก่อนจะส่งกระแสจิตตอบกลับมา “มีวิชาหนึ่งเรียกว่าวิชาปราณอ่านใจ สามารถหลอมรวมวิญญาณของทั้งสองฝ่ายเอาไว้ด้วยกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความทรงจำ ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินมันมาก่อนหรือไม่”
วิชาปราณอ่านใจอย่างนั้นหรือ
สวี่ชีอันนิ่งชะงัก อดนึกถึงวันนั้นที่เขาซื้อเรือนโดยได้รับความช่วยเหลือจากไฉ่เวยไม่ได้ เขาเห็นใจผีสาวในบ่อน้ำตนหนึ่ง จนได้เห็นเรื่องราวของเจ้ากรมพรรคฉีที่สมคบคิดกับสำนักพ่อมด
ในเวลานั้น เขาเข้าและออกภาพความทรงจำนั้นนับไม่ถ้วนผ่านมุมมองของพ่อมดนามว่าธัมลาฮา
แม้ว่าจะไม่มีความรู้สึกที่แท้จริง และมันคล้ายกับการดูหนังผ่านสายตาของคนผู้หนึ่ง แต่ก็ยังสร้างเงาทางจิตวิทยาขนาดมหึมาได้
แต่วิธีนี้ไม่ได้สิ ข้ามีความลับตั้งมากมาย หากใช้วิชาความเห็นใจครั้งหนึ่งแล้ว ก่อนที่อ๋องสยบแดนเหนือจะตามหาตัวเจอ ข้าเองก็ต้องฆ่าปิดปากพวกเขาด้วย…สวี่ชีอันส่งกระแสจิตกลับไป
“ไม่มีวิธีที่จะเห็นใจอีกฝ่ายแค่เพียงฝ่ายเดียวหรือ ข้าไม่อยากแบ่งปันความทรงจำของตนให้ผู้อื่นได้เห็น”
หลี่เมี่ยวเจินผุดยิ้ม ส่งกระแสจิตกลับมาด้วยความมั่นใจ “ย่อมมี”
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึก เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นภาพการสังหารในวันนั้นเถอะ
“ใต้เท้าเจิ้ง ข้าอยากจะเห็นภาพการสังหารในวันนั้น ท่านโปรดให้ความร่วมมือด้วย” สวี่ชีอันพูดจบก็หันมองไปทางหลี่เมี่ยวเจิน
นักบุญหญิงนิกายสวรรค์เอ่ยสำทับ “หลับตาลง แล้วนึกถึงรายละเอียดการสังหารในวันนั้น”
เจิ้งซิ่งไหวพยักหน้า ยืดหลังตรงนั่งลงบนพื้นแล้วหลับตา หวนนึกถึงค่ำคืนอันโหดร้ายและเหตุการณ์นองเลือดที่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นตอนกลางดึกบ่อยๆ
หลี่เมี่ยวเจินหยิบยันต์อักขระออกมาจากแขนเสื้อสามใบ แล้วติดมันไว้ที่หน้าผากของตน สวี่ชีอัน และเจิ้งซิ่งไหว จากนั้น นางจึงจับไหล่ของสวี่ชีอันเอาไว้
สวี่ชีอันรู้สึกคล้ายกับตนเองกำลังกระโดด เขาก้มหน้าลง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเขาและหลี่เมี่ยวเจินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
ถอดจิตออกจากร่างรึ? หากแต่เขายังไม่ทันได้ถามอะไรออกไป ยันต์อักขระบนหน้าผากของเจิ้งซิ่งไหวก็คล้ายกับมีพลังดึงดูดมหาศาล กลืนกินเขาและหลี่เมี่ยวเจินเข้าไป
……………………………………………………………….