ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 368 การเคลื่อนไหวทั้งสี่ทิศทาง (1)
บทที่ 368 การเคลื่อนไหวทั้งสี่ทิศทาง (1)
พลบค่ำ พระอาทิตย์ยามอัสดงทอแสงแดงฉานดั่งโลหิต
สวี่ชีอันมองเห็นอาหารอันโอชะมากมายอยู่เบื้องหน้า ผู้ร่วมโต๊ะของเขายามนี้มีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีผู้หนึ่ง บุรุษผู้หนึ่งและสตรีหน้าตาหมดจดที่คาดว่าคงจะเป็นสามีภรรยากัน
พวกเขาคือครอบครัวของเจิ้งซิ่งไหว…ตอนนี้ข้ากำลังมองภาพพวกนี้ผ่านสายตาของเจิ้งซิ่งไหวสินะ มองย้อนกลับไปในความทรงจำของเขา…สวี่ชีอันผู้เคยมีประสบการณ์ผ่านวิชาปราณอ่านใจมาครั้งหนึ่ง ตระหนักรู้ได้ในทันที
เขานิ่งเงียบนั่งฟังเจิ้งซิ่งไหวตำหนิบุตรชาย
เจิ้งซิ่งไหวมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนโตมีหน้าที่การงานแล้ว ด้วยการบ่มสอนอย่างดีของเจิ้งซิ่งไหว ชื่อเสียงในแวดวงราชการของเขาจึงดีมาก อนาคตรุ่งเรือง
หากแต่บุตรชายคนรองกลับเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ สำมะเลเทเมาไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรเลย
แต่ด้วยกฎระเบียบอันเข้มงวดของเจิ้งซิ่งไหว บุตรชายคนรองจึงไม่กล้าก่อเรื่องกลั่นแกล้งผู้อื่น
เขากลายเป็นคนไร้ค่าที่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
วันนี้คุณชายรองเจิ้งไปดื่มสุราที่หอนางโลม เขามีเรื่องขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ทางการ จึงถูกทุบตีอย่างรุนแรงกลับมา
เจิ้งซิ่งไหวตำหนิบุตรชาย ใบหน้าฉายชัดถึงความโกรธจัด
คุณชายรองเจิ้งไม่ได้สำนึก เขาเอ่ยเสียงขมขื่น “ท่านพ่อ ข้าเพียงไปแค่หอนางโลมเท่านั้น จะกล้าหาเรื่องใครได้เล่า ข้าไม่ได้เป็นคนเริ่มเสียหน่อย ข้าผิดอะไรกัน”
ใช่ การไปเที่ยวเล่นหอนางโลมจะผิดได้อย่างไร สวี่ชีอันแอบเห็นด้วยกับคุณชายรองเจิ้งอยู่ในใจ
ตอนนั้นเองสะใภ้ก็เอ่ยปากออกมา “ท่านพ่อ ข้าอยากกลับเรือนของตน เดือนหน้านี้ก็จะถึงวันเกิดครบรอบหกสิบปีของท่านพ่อข้าแล้วเจ้าค่ะ”
เจิ้งซิ่งไหวยังไม่ทันได้อ้าปากตอบกลับ บุตรชายคนรองของเขาก็รีบโบกไม้โบกมือ เอ่ย “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ ยามนี้พวกป่าเถื่อนด้านนอกนั่นอยู่ใกล้กับประตูชายแดนฉู่โจวยิ่งนัก สถานการณ์นอกเมืองวุ่นวาย จะทำอย่างไรหากต้องเจอกับพวกเผ่าอนารยชนระหว่างเดินทางกัน”
ใบหน้าของเขาฉายความหวาดหวั่น เอ่ยตำหนิภรรยาที่ไม่รู้จักรักชีวิตกลัวตาย
เจิ้งซิ่งไหวเอ่ยเสียงขุ่น “ขี้ขลาดตาขาวนัก ข้าให้กำเนิดขยะเช่นเจ้าออกมาได้อย่างไร”
แม้สวี่ชีอันจะมองไม่เห็นใบหน้าของเจิ้งซิ่งไหวในยามนี้ แต่เมื่ออยู่ในสภาวะวิชาปราณอ่านใจ เขาก็สัมผัสได้ถึงความโกรธของเจิ้งซิ่งไหว
เขาผิดหวังในตัวบุตรชายคนรองอย่างยิ่ง รู้สึกว่าบุตรชายตรงหน้าช่างไร้ค่า เทียบไม่ได้กับบุตรชายคนโตเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้นเอง บุรุษสวมชุดเกราะผู้หนึ่งก็ปราดเข้ามาภายในห้อง เขาสะพายคันธนูสายหนึ่งไว้ที่หลัง พร้อมกับมีดยาวคาดเอว คนผู้นี้คือหลี่ฮั่นนั่นเอง
หลี่ฮั่นรีบรายงาน “ใต้เท้า ทหารยามรักษาชายแดนบุกเข้ามาในเมืองโดยไม่ทราบสาเหตุ รวบรวมชาวเมืองจำนวนมากไม่รู้ว่าต้องการจะทำสิ่งใดขอรับ”
เจิ้งซิ่งไหวตื่นตกใจ ลนลานซักถามทันที “ทหารพวกนั้นเกณฑ์ชาวเมืองงั้นรึ ทำอย่างไรกัน เป็นคำสั่งของใคร”
รวบรวมผู้คน เพื่อการสังหารหมู่ครั้งใหญ่หรือ สวี่ชีอันคิดในใจ เขาตื่นตัวยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จากนั้นก็ฟังสิ่งที่หลี่ฮั่นกล่าวต่อ
“ราษฎรถูกเกณฑ์มาทั้งสี่ทิศทาง เหนือ ใต้ ออก ตก ครั้งนี้เป็นคำสั่งของผู้บัญชาการเชวียหย่งซิว ตอนนี้เขาควรจะประจำอยู่ที่เมืองทางใต้”
เจิ้งซิ่งไหววางตะเกียบ หยัดกายลุก “เตรียมม้า ข้าจะไปดูกับตาตนเองสักหน่อย แล้วรายงานใต้เท้าจูให้มากับข้าด้วย”
เจิ้งซิ่วไหวควบม้ามุ่งตรงไปยังเมืองทางใต้ โดยมีเค่อชิงแซ่จูติดตามไปด้วย ระหว่างทางก็เห็นว่าเหล่าทหารกำลังรวบรวมชาวเมืองกลุ่มใหญ่จริงๆ ไม่รู้ว่าจะพาพวกเขาไปที่ไหน
“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทำอะไรกัน” เจิ้งซิ่งไหวตวาดลั่น
ทหารพวกนั้นปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่เอ่ยอะไร
เจิ้งซิ่งไหวถามย้ำออกไปอีกครั้ง แต่ก็ยังคงได้คำตอบเป็นความเงียบเช่นเดิม
ลางสังหรณ์บางอย่างคืบคลานเข้ามาในใจ เจิ้งซิ่งไหวไม่รอช้าเลิกสนใจทหารตรงหน้า ก่อนจะสะบัดแส้ในมือลงบนอานม้า รีบห้อตะบึงไปยังเมืองทางใต้ด้วยความรวดเร็ว
เขาไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย เจิ้งซิ่งไหวไปถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว ก็เห็นศีรษะดำๆ ของคนจำนวนมาก ผู้คนพลุกพล่านแออัดกันมากราวแสนคน
ในบรรดากลุ่มคนนั้นมีทั้งชาวบ้านธรรมดา พ่อค้าแม่ขาย จวบจนไปถึงเจ้าหน้าที่ของที่ทำการปกครอง ยามนี้พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่รกร้างแห่งหนึ่งตรงเมืองทางใต้ด้วยสภาพเบียดเสียดแออัด
ทหารหลายพันนายติดอาวุธธนูและหน้าไม้ที่แข็งแรง พวกเขากำลังล้อมคนกลุ่มนี้เอาไว้
เจิ้งซิ่งไหวกวาดสายตามอง สุดท้ายสายตาของเขาก็หยุดลงที่ผู้บัญชาการเชวียหย่งซิวที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าท่าทางองอาจ ด้านข้างของเขายังมีสายลับสวมชุดคลุมดำมากกว่าสิบคนอยู่ด้วย
‘สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือ…’ เจิ้งซิ่งไหวหรี่ตา “เจ้าอารักขา ท่านกำลังทำอะไรกัน”
“ใต้เท้าเจิ้ง ทันมาได้ทันเวลานัก” เชวียหย่งซิวปรายตามอง นัยน์ตาข้างเดียวของเขาฉายแววเย็นชา ก่อนจะกล่าวออกมา “ใต้เท้าเจิ้ง พวกเผ่าอนารยชนบุกโจมตีประตูชายแดนนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งเผา สังหาร และปล้นสะดม ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”
เจิ้งซิ่วไหวไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงถามคำถามนี้ เขาขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเกณฑ์ชาวเมืองให้มารวมตัวกัน”
เชวียหย่งซิวชี้หอกไปทางชาวเมืองหลายแสนคน พลันระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมา
“ย่อมเกี่ยวกันแน่นอน ในฐานะราษฎรของต้าฟ่ง ข้าพยายามทำอย่างดีที่สุดอุทิศตนเองเพื่อความมั่นคงของพรมแดน ผ่านหยาดเลือดเพื่อให้ต้าฟ่งรุ่งเรือง ใต้เท้าเจิ้งคิดว่า ที่ข้าพูดนั้นมีเหตุผลหรือไม่”
“น่าแปลกนัก…”
เจิ้งซิ่งไหวกำลังจะอ้าปากว่าบางอย่าง ฉับพลันก็เห็นว่าเชวียหย่งซิวควบม้าพุ่งไปข้างหน้าพร้อมหันหอกที่อยู่ในมือไปทางชาวเมือง
“อ๊ากกก!”
เขาเสือกหอกยาวเข้าใส่อกของคนผู้หนึ่ง จากนั้นยกหอยลอยขึ้นสูง เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ หลังจากดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างนั้นก็แน่นิ่งไม่ไหวติง
ฉากตรงหน้าพลันวุ่นวายในพริบตา ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มพากันกรีดร้อง หากแต่คนที่อยู่ไกลออกไปยังไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเริ่มมึนงง
ดวงตาของเจิ้งซิ่งไหวเบิกกว้าง “เชวียหย่งซิว เจ้ากล้าสังหารผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร เจ้าเสียสติไปแล้วรึ”
การสังหารหมู่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว…สวี่ชีอันรับรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ด้วยวิชาปราณอ่านใจ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเดือดดาลและความหวาดกลัวของเจิ้งซิ่งไหวในยามนี้ได้อย่างลึกซึ้ง
“ใต้เท้าเจิ้งอย่าเพิ่งวู่วาม ถึงคราวของท่านแล้ว” เชวียหย่งซิวเขย่ามือให้ศพที่อยู่ปลายหอกสั่น แผดเสียงลั่น “ยิง!”
ทหารสวมเกราะหลายพันนายเหนี่ยวคันธนู เล็งเป้าไปยังกลุ่มผู้บริสุทธิ์ที่รวมตัวกัน
‘ฟิ้ว ฟิ้ว ฉึบ…’
ลูกธนูห่าใหญ่พุ่งออกไป ราวกับฝูงตั๊กแตนที่รวมตัวกันเหมือนพายุฝน
ทุกดอกพรากชีวิตแล้วชีวิตเล่าให้ล้มลง เหล่าผู้บริสุทธิ์ต่างร้องไห้โหยหวนด้วยความสิ้นหวัง หลายชีวิตล้มตายราวกับต้นหญ้า ในนี้ยังมีผู้อาวุโสและเด็กจำนวนมากอีกด้วย
กลุ่มคนผู้โชคดีที่หนีรอดมาจาศรห่าใหญ่ลนลานวิ่งเข้ามา หากแต่สิ่งรอพวกเขาอยู่คือคมดาบของเหล่าทหาร ในฐานะทหารของต้าฟ่งนั้น พวกเขาไม่มีความปรานีในการเข่นฆ่าเลยแม้แต่น้อย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย…”
“อย่าฆ่าข้าเลย อย่าฆ่าข้าเลย”
ผู้คนตื่นตระหนก ต่างคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา ไม่เข้าใจว่าทำไมกองทัพของต้าฟ่งถึงต้องสังหารพวกเขา เหตุใดทหารผู้มีหน้าที่รักษาชายแดนของเมืองจึงไม่สังหารพวกอนารยชน แต่กลับหันคมดาบเข้าใส่พวกเขา
‘ฉับ…’
เสียงดาบฟันฉับ ใครคนหนึ่งล้มลงกับพื้น เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น
ทหารพวกนั้นไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย แม้พวกเขาจะคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“พวกเดรัจฉาน พวกเจ้าทำอะไรกัน ข้าเป็นบัณฑิตระดับซิ่วไฉ แต่พวกเจ้ากลับสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ จิตใจโหดเหี้ยมนัก…”
บัณฑิตผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีครามของขงจื๊อใบหน้าซีดเผือด แต่ยังคงลุกขึ้นยืนหยัดอย่างห้าวหาญ เขายืนขึ้นเบื้องหน้าทุกคน ตะโกนใส่พวกทหารเหล่านั้น
‘สวบ’ เสียงดาบแทงทะลุอกของบัณฑิตผู้นั้นอย่างรุนแรง
เลือดอุ่นไหลไปตามคมดาบ ดวงตาของบัณฑิตผู้นั้นเบิกกว้าง และจ้องเขม็งมาทางเขา…
สวี่ชีอันรู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขากำลังสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่ามันเกิดจากร่างของตนเอง หรือมาจากเจิ้งซิ่งไหว ไม่ก็อาจจะเพราะพวกเขาทั้งคู่
“ฆ่าให้หมด อย่าปล่อยให้ใครหลุดรอดไปได้” เชวียหย่งซิวยกหอกขึ้น แผดเสียงคำราม
อย่าปล่อยให้ใครรอดไปได้ รวมไปถึงสมุหเทศาภิบาลเจิ้งที่อยู่ที่นี่
ทหารหลายนายชักดาบออกมา แล้วกรูกันเข้ามาโจมตีสมุหเทศาภิบาลเจิ้งทันที
เค่อชิงแซ่จูผู้นั้นย่อกายลง ก่อนจะรวบรวมพลังปราณไว้ที่กำหมัด หมัดของเขาลุกโหมด้วยเปลวเพลิงโปร่งใส ก่อนจะถูกส่งออกไป
หากแต่สายลับชุดดำกลับไม่ถอย พวกเขาก้าวมาข้างหน้า นิ้วทั้งห้าราวกับกรงเล็บแหลมคม ปัดป้องหมัดที่ส่งเข้ามาได้อย่างแม่นยำ และสุดท้ายหมัดของเค่อชิงแซ่จูก็ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป
“ใต้เท้า รีบไปเร็วเข้า”
หลังจากให้เค่อชิงแซ่จูช่วยถ่วงเวลาไว้ให้แล้ว ทหารองครักษ์ที่เหลือก็รีบพาตัวเจิ้งซิ่งไหวหลบหนีออกมา
ม้าห้อตะบึงตรงไปเบื้องหน้า เจิ้งซิ่งไหวหันหน้ากลับไปมองฉากด้านหลัง ยามนี้ทหารหลายพันนายกำลังยิงธนูทะลุร่างของเหล่าราษฎร ดาบกวัดแกว่งตัดศีรษะของมารดาที่พยายามหาหนทางรอดให้บุตรของตนเอง โดยมีเชวียหย่งซิวนั่งมองภาพทุกอย่างอยู่บนหลังม้าด้วยตาข้างเดียวนั่นอย่างเฉยชา
ผู้คนล้มตายดั่งต้นหญ้า
พวกเดรัจฉาน…สวี่ชีอันได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นในใจ เขาไม่อาจบอกได้ว่าเสียงนั้นเป็นของตนเอง หลี่เมี่ยวเจิน หรือว่าเจิ้งซิ่งไหว
ทหารระหว่างทางละเลยพวกเขา เพียงทำงานคุ้มกันเท่านั้น แล้วจึงพามาส่งยังจุดหมาย
เจิ้งซิ่งไหวรู้ว่าจุดจบของคนเหล่านี้จะต้องเผชิญกับอะไร เขาพยายามสั่งให้ทหารรักษาการณ์ช่วยคนพวกนี้หลายครั้ง แต่ทหารเหล่านั้นกลับปฏิเสธและพาเจิ้งซิ่งไหวกลับไปยังจวน
“ข้าจะไปรวบรวมทหารยามในจวนมา พวกเจ้ารีบไปแจ้งฮูหยินและพวกคุณชาย ว่าให้รีบออกจากเมืองทันที แล้วเราจะสังหารพวกมันเสีย” หลี่ฮั่นผู้สะพายธนูที่หลังคำราม
ไม่นาน ทหารยามในจวนก็รวมตัวกันอยู่ที่ลานเรือนด้านหน้า นอกจากอาวุธและเสื้อเกราะแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้พกสิ่งใดติดตัวมาอีก
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ…เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ หรือว่าพวกเผ่าอนารยชนบุกเข้ามาแล้ว”
คุณชายรองเจิ้งเดินนำพวกสตรีเข้ามา ใบหน้าซีดขาว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวั่นกลัว
“ทหารในเมืองก่อการจลาจลและสังหารชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ พวกเราอยู่นี่ไม่ได้แล้ว ต้องรีบหนีออกจากเมืองโดยเร็ว” เจิ้งซิ่งไหวอธิบายสั้นๆ
กระทั่งตอนนี้ เจิ้งซิ่งไหวก็ยังคงสับสนมึนงง เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเชวียหย่งซิ่วและอ๋องสยบแดนเหนือจึงรวบรวมผู้คนบริสุทธิ์มาสังหาร
แต่ทางการก็มีเรื่องพลิกตลบไปมาเช่นนี้นานแล้ว เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสืบหาความจริง แผนการตอนนี้คือหลบหนีออกจากฉู่โจวเพื่อให้พ้นอันตราย
คุณชายรองเจิ้งแทบจะทรงตัวเองไว้ไม่ได้ ร่างกายของเขาโงนเงนไปมาคล้ายจะล้มพับ หากแต่โชคดีที่ภรรยาของเขาช่วยประคองไว้ได้ทัน
ทุกคนคุ้นเคยกับภาพลักษณ์อันไร้ประโยชน์ของคุณชายรองเจิ้งเป็นอย่างดี เจิ้งซิ่งไหวก็เช่นเดียวกัน
ภายใต้การคุ้มกันของทหาร สมาชิกครอบครัวพวกบรรดาหญิงสาวและเด็กเล็กเข้าไปหลบอยู่ในรถม้า ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็ขี่ม้าควบไปยังประตูเมืองด้วยความเร็ว
“พวกมันไล่ตามมาแล้ว” หลี่ฮั่นตวาดเสียงดัง
สายลับสวมชุดคลุมดำหลายนายไล่ตามมาติดๆ ความเร็วของคนพวกนั้นฉับไวกว่าม้ายิ่ง หลี่ฮั่นหันหลังกลับไป แล้วปลดคันธนูออกจากหลัง เหนี่ยวสายส่งลูกธนูของตนโต้ตอบกลับไป
หากแต่สายลับพวกนี้กลับฝีมือร้ายกาจมาก พวกมันหลบหลีกธนูของหลี่ฮั่นได้ และในพริบตาก็เหวี่ยงหอกยาวเข้าใส่รถม้าทันที
“คุ้มกันฮูหยิน”
เว่ยโหยวหลงผู้สวมเสื้อคลุมสีม่วงชักมีดสั้นของตนออกมาปัดป้องหอกยาวของพวกสายลับชุดดำ เสียงบางอย่างพลันดังลั่น รถม้าสูญเสียการทรงตัวมันโอนเอียงคล้ายจะพังทลาย
ทั้งสองฝ่ายสู้กันจนมาถึงประตูเมือง
เบื้องหน้า ทหารหลายร้อยนายอดทนรอกันตั้งแต่เช้าตรู่ บนกำแพงเมืองก็ยังมีทหารอีกหลายนายรออยู่เช่นกัน
ผู้บัญชาการของเมืองหลวง เจ้าอารักขาเชวียหย่งซิ่วนั่งสง่าผ่าเผยอยู่บนหลังม้า เขามองไปทางทุกคนที่กำลังจะหลบหนีออกจากเมือง แล้วยิ้มเยาะ “ใต้เท้าเจิ้ง เจ้าหนีไม่พ้นหรอก
“บนกำแพงเมืองไม่เพียงแต่มีทหารชั้นยอดเท่านั้น แต่ยังมีศิษย์ที่อ๋องสยบแดนเหนือเป็นผู้ฝึกสอนด้วยตนเองอีกด้วย ไม่มีทางเลยที่ใครหน้าไหนจะหนีออกไปได้”
หนีออกไปก็ไม่ได้ เพราะปิดประตูเมือง อีกอย่างยังมีพวกทหารและองครักษ์คอยเฝ้าอยู่ พวกเผ่าอนารยชนก็ไม่สามารถโจมตีเข้ามาได้เช่นกัน…สวี่ชีอันใช้ความคิด
เขามองภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ในใจวิตกและกระวนกระวายยิ่ง จิตใต้สำนึกบอกเขาว่า ครอบครัวของใต้เท้าเจิ้งผู้นี้ ไม่น่าจะหนีพ้น…
สมุหเทศาภิบาลเจิ้งคุมบังเหียนม้า เอ่ยถามเสียงเข้ม “เชวียหย่งซิ่ว เจ้าคิดจะทำการใดกันแน่ จะก่อกบฏอย่างนั้นรึ”
เชวียหย่งซิ่วยิ้มเยาะ “การสังหารมดตัวจ้อยเช่นพวกเจ้า ถือเป็นการก่อกบฏอย่างนั้นหรือ”
ตาที่เหลืออยู่ข้างหนึ่งของเขาฉายแววดุร้าย ใบหน้าฉายชัดถึงความอำมหิตยกหอกขึ้นคำรามเสียงกร้าว “ฆ่ามัน!”
หมาป่าล้อมหน้า เสือล้อมหลัง สถานการณ์ก็กลายเป็นวิกฤตร้ายแรงในพริบตา เหล่าทหารองครักษ์คุ้มกันสมุหเทศภิบาลเจิ้งและครอบครัวของเขา อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาเป็นตายนี้ คนธรรมดาจะสามารถคุ้มกันคนจำนวนมากได้อย่างไรเล่า
หลังจากรถม้าพลิกคว่ำ การสังหารก็เริ่มขึ้น เหล่าหญิงสาวถูกคมดาบเสือกแทงเลือดสาดกระเซ็น ด้านเชวียหย่งซิ่วก็ยื่นหอกยาวของตนเข้ายั่วแหย่หลานชายตัวน้อยผู้หนึ่งของเจิ้งซิ่งไหว แล้วส่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง
“ใต้เท้าเจิ้ง เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ เจ้าไม่สนพวกเม็ดทรายเล็กๆ ที่พัดผ่านเข้าสู่ดวงตา ปีก่อนเจ้าไม่ไว้หน้าไหวอ๋องแม้แต่น้อย เข้าสืบสวนคดีทางการทหารอย่างเข้มงวดและรุกล้ำเขตค่ายทหาร ทั้งยังสังหารคนใต้ปกครองที่มากความสามารถของข้าไปสามนาย เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าวันนี้จะมาถึง
“เพื่อเป็นการชดใช้ ข้าจะสังหารบุตรหลานของเจ้า รับนี่ไปสิ”
พูดจบ เขาก็โยนศพของเด็กไปทางสมุหเทศาภิบาลเจิ้ง หากแต่นี่กลับเป็นอุบายหนึ่ง เจิ้งซิ่งไหวไม่ทันระวังยื่นมือออกไปเตรียมรับศพของหลานชายเอาไว้ แต่สิ่งที่พุ่งเข้ามาหาเขากลับเป็นหอกยาวของเชวียหย่งซิ่ว
หอกเสียบทะลุ และตรึงร่างนั้นไว้กับพื้น
ทว่า คนผู้นั้นกลับไม่ใช่เจิ้งซิ่งไหว แต่เป็นคุณชายรองเจิ้งเจ้าสำราญผู้แสนจะขี้ขลาดคนนั้น
คุณชายรองเจิ้ง บุตรชายผู้ไม่เอาไหนของเจิ้งซิ่งไหว ยามนี้ใบหน้าของเขาปราศจากสีเลือด ถ้อยคำที่เปล่งออกมาก็แทบฟังไม่ได้ศัพท์ “ทะ…ท่านพ่อ ข้า ข้าเจ็บยิ่ง ขะ…ข้า ข้ากลัวเหลือเกิน…”
เขายังคงเป็นบุตรชายไม่เอาไหนผู้นั้น แม้จะแต่งงานไปแล้วก็ตาม แต่กลับยังคงร้องไห้หาบิดา
แต่ในช่วงเวลาความเป็นความตาย บุตรชายผู้ไร้ประโยชน์นี้กลับผลักบิดาของตนออกไป แล้วใช้ร่างของตนขวางหอกที่พุ่งเข้ามาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของบิดาเพราะความหวาดกลัว หากแต่ในใจนั้น บิดาของเขาก็สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด
จู่ๆ สวี่ชีอันก็สัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่ไหลออกมา เบ้าตาแสบร้อน เขาอยากจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออก ทว่าตอนนั้นเองสวี่ชีอันก็ตระหนักได้ว่าตนเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น คนที่ร้องไห้จริงๆ คือเจิ้งซิ่งไหว
ปราณอ่านใจสิ้นสุดลงเพียงตรงนี้ ภาพตรงหน้ากระจัดกระจาย สิ่งสุดท้ายที่ผ่านเข้ามาในสายตาของสวี่ชีอันก็คือรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวของเชวียหย่งซิ่ว
ฉับพลัน เขาก็ลืมตาตื่น เสียงร้องไห้อันเศร้าสลดของเจิ้งซิ่งไหวดังอยู่ข้างหู ความทรงจำอันโหดร้ายที่สูญเสียบุคคลในครอบครัวไปเช่นนั้นทำให้สมุหเทศาภิบาลเจิ้งใจแตกสลาย จนปราณอ่านใจต้องตัดภาพจบลง
…………………………………………………………….