ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 368-2 การเคลื่อนไหวทั้งสี่ทิศทาง (2)
บทที่ 368 การเคลื่อนไหวทั้งสี่ทิศทาง (2)
เสียงร้องไห้เริ่มจากเสียงหวีดแหลมสูง จากนั้นจึงค่อยๆ กลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เจิ้งซิ่งไหวจึงยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตา เบ้าตาของเขาแดงก่ำ ก่อนจะประสานมือคำนับ
“ข้าน้อยเสียมารยาทนัก
“โปรดอภัยให้ด้วย”
สวี่ชีอันกอบหมัดคำนับตอบกลับ แล้วพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาพลางเอ่ยถาม “แล้วเรื่องหลังจากนั้นเล่า”
หลี่ฮั่นเอ่ยเสียงแข็งกร้าวกลับมา “เราต้องเสียสละนักสู้ขั้นสองและขั้นสี่ไปเพื่อหลบหนีออกจากเมือง จากนั้นเราก็ซ่อนตัวอยู่ทางทิศตะวันตก แอบติดต่อกับคนภายนอกบ้าง และพยายามเปิดโปงแผนการชั่วร้ายของอ๋องสยบแดนเหนือ”
ถ้าอย่างนั้น นอกจากเจิ้งซิ่งไหวแล้ว ก็มีแต่ครอบครัวของเขาเท่านั้นที่เสียชีวิตในเมืองฉู่โจวสินะ…สวี่ชีอันกวาดสายตามองทุกคนตรงหน้า เอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย”
อากาศด้านในนี้แปลกประหลาดและน่าอึดอัดยิ่ง คล้ายกับหมอกควันที่เกิดจากการก่อไฟทำให้ไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม สวี่ชีอันรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจไม่ออก
เขาไม่สนใจสีหน้างงงันของทุกคนที่มองตามมา เพียงหยัดกายลุกแล้วหันหลังเดินมาจนถึงปากถ้ำ ผลักกิ่งไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขามากีดขวางทางเดินออกไปเบาๆ แล้วเดินออกไป
สวี่ชีอันยืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาเงียบสงบ เขาสูดลมหายใจลึกเข้าปอด แต่ก็พบว่าสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกจนทำให้ตนอึดอัดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับอากาศ หากแต่เกิดจากความเศร้าสลดที่ยากจะทำใจให้สงบได้
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วมาจากด้านหลัง
“ข้าอยากจะไปที่ฉู่โจว” หลี่เมี่ยวเจินกดเสียงต่ำ
ความเคียดแค้นนั้นปราศจากสุ้มเสียง ใบหน้าของนางราบเรียบไร้อารมณ์ทุกข์สุข มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ฉายชัดถึงความมุ่งมั่น
“ข้าอยากจะไปดูที่ฉู่โจวสักหน่อย ความโกรธครอบงำจิตใต้สำนึกของเรา ก่อนไปที่นั่น พวกเรามาทำความเข้าใจมันอีกสักคราเถอะ คิดพิจารณาเรื่องคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้กันอีกรอบให้ถี่ถ้วนก่อน”
สวี่ชีอันมือหักกิ่งไม้แห้ง แล้วเค้นเสียงลอดไรฟันกล่าวออกไป
“อ๋องสยบแดนเหนือสังหารคนทั้งเมืองเพื่อปรับแต่งแก่นโลหิต แต่การปรับแก่นแท้โลหิตจำต้องใช้เวลา ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะสังหารชาวเมืองฉู่โจว เพื่อปกปิดความคิดของตนเอาไว้ไม่ให้ทุกคนได้รู้
“ข้าเคยสังหารสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือมาก่อน และเคยเรียกวิญญาณมาถามไถ่สถานการณ์ หากแต่สายลับนั่นกลับไม่รู้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือใช้สถานที่ใดสังหารผู้คน เมื่อดูจากความทรงจำของสมุหเทศาภิบาลเจิ้งแล้ว พบว่ามีทหารและสายลับจำนวนมากที่เข้าร่วมในการสังหารหมู่ครั้งนั้น”
หลี่เมี่ยวเจินคิ้วขมวด “เจ้าหมายความว่า ทั้งทหารและสายลับพวกนั้น อาจโดนปรับเปลี่ยนความทรงจำ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “มีความเป็นไปได้ พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองทำเรื่องใดลงไป และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ย่อมไม่มีทางที่ทหารจะทำมัน เพราะฉะนั้น ต้องมีใครบางคนคอยช่วยเหลืออ๋องสยบแดนเหนืออยู่อีกแน่นอน ย่อมมีขุมพลังระดับใหญ่ที่คอยหยิบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
“คนผู้นั้นแข็งแกร่งนัก เขายังมีความสามารถในการฟื้นฟูเมืองฉู่โจวให้กลับมาเป็น ‘ดังที่เป็นอยู่’ ได้ แต่ข้าไม่มั่นใจนักว่าเขาใช้วิธีใด ด้านชายแดนทางเหนือก็ถูกพวกเผ่าอนารยชนรุกรานเข้ามามากมาย พวกเขาทั้งหมดกำลังสืบสวนเรื่องนี้ อ๋องสยบแดนเหนือต้องทราบเรื่องแน่นอน ตราบใดที่เขาสามารถปรับแต่งแก่นแท้โลหิตได้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว และด้วยวิธีนี้ จากความสามารถของพวกเราก็ยากเหลือเกินที่จะสร้างความแตกต่าง…
“เมี่ยวเจิน ข้าอยากให้เจ้าช่วยส่งสาส์นออกไป แจ้งแก่เผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจ”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้ารับคำ นางสามารถขี่กระบี่บินไปได้ และนี่เป็นวิธีที่สะดวกมากสำหรับการส่งสาส์น
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นสบตานาง พลางเอ่ยต่อ “ข้าจะอยู่ที่นี่คอยดูแลใต้เท้าเจิ้ง รอจนเจ้ากลับมาแล้วค่อยไปยังฉู่โจวด้วยกัน”
หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจ “เจ้าต้องรอข้าด้วยล่ะ”
“เวลาไม่ค่อยท่า รีบไปเถอะ”
“ได้”
หลี่เมี่ยวเจินเรียกกระบี่บินเข้ามา แล้วกระโดดร่างขึ้นไปอยู่บนด้ามกระบี่ ออกบินสู่กลางอากาศ
สวี่ชีอันเดินกลับไปที่ถ้ำ แล้วหันมองสมุหเทศาภิบาลเจิ้งและคนอื่นๆ ทีละคน เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ใต้เท้าเจิ้ง ทุกท่านจงอยู่ที่นี่เพื่อรอข่าวจากข้า”
ดูเหมือนสมุหเทศาภิบาลเจิ้งจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ลนลานถาม “เจ้าจะทำอะไรหรือ”
“ไปที่ฉู่โจว เพื่อสืบสวนคดีนี้”
นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ สมุหเทศาภิบาลเจิ้งและคนอื่นๆ ต่างพยักหน้าเล็กน้อยรับคำ
สวี่ชีอันกวาดสายตามองพวกเขา เอ่ยต่อ “ทุกท่านปกป้องใต้เท้าเจิ้งเป็นอย่างดียิ่ง ซื่อสัตย์ ไม่หวาดหวั่น ข้าน้อยขอชื่นชมจากใจจริง ใต้หล้ามีนักสู้เช่นพวกท่านจึงทำให้ผู้คนมีความหวังกับชีวิต
“สวี่โหม่วสัญญาว่าผู้กระทำเรื่องนี้จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงถึงขั้นสุด และจะมอบความยุติธรรมให้กับผู้คนในฉู่โจวให้ได้”
เจิ้งซิ่งไหวหยัดกายลุก กอบหมัดคำนับ “เช่นนั้น ข้าน้อยถึงตายก็ไม่เสียใจ”
หลี่ฮั่นและคนอื่นๆ ก็กอบหมัดคำนับเช่นกัน พร้อมเอ่ยเป็นเสียงเดียว “ถึงตายก็ไม่เสียใจ”
…
เช้าตรู่ สวี่ชีอันก็มาถึงเมืองเล็กๆ เขามองหาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในละแวกนั้น
หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขอให้เสี่ยวเอ้อช่วยนำถังน้ำมาให้ใบหนึ่ง สวี่ชีอันปิดประตู หยิบเศษซากของหนังสือปฐพีออกมา เขาสะบัดมือทีหนึ่ง ร่างของพระมเหสีที่กำลังนอนหลับอยู่ก็ปรากฏขึ้นบนเตียงนุ่ม
“ตื่นได้แล้ว…”
สวี่ชีอันตบแก้มของนางเบาๆ ฉับพลันเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีเพียงกลิ่นอาหารเท่านั้นที่จะทำให้นางตื่นขึ้นมา สวี่ชีอันจึงจงใจส่งพลังปราณกลิ่นหอมหวานคล้ายอาหาร เพื่อบังคับให้นางรีบตื่นขึ้นทันที
พระมเหสีพึมพำเล็กน้อยก่อนลืมตาตื่น รูม่านตาของนางค่อยๆ ขยายออกทีละนิด แต่เมื่อเห็นว่าเป็นสวี่ชีอันที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าก็พลันแข็งค้าง รีบเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงคล้ายกระต่ายน้อยที่กำลังตื่นตูม
นางก้มลงสำรวจตนเอง ก่อนจะหันมองรอบๆ เอ่ยเสียงดัง “เจ้า เจ้า นี่เจ้า…ทำอะไรข้า!”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง พยายามทำท่าทางดุร้ายให้คนที่กำลังมองอยู่รู้สึกหวาดกลัว
หากแต่สวี่ชีอันที่เห็นท่าทางของนางในยามนี้กลับอยากจะหัวเราะออกมา ในใจอยากจะแกล้งต่ออีกสักนิดแต่เขาก็แค่ยักไหล่ให้นางเท่านั้น แล้วเอ่ยตอบ “ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า ข้าก็แค่ปล่อยให้เจ้าหลับเฉยๆ เท่านั้น”
“ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าตีข้าจนหมดสติ เพราะฉะนั้นต้องวางแผนทำอะไรไม่ดีกับข้าแน่นอน” นางตอบเสียงแข็ง
เจ้าจะไปรู้อะไรกัน หากอยู่ในห้องนอนบางทีอาจมีคนพังประตูเข้ามาง่ายๆ ก็ได้…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ จากนั้นจึงเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าจะคิดอะไรก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
เขารออยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง จนกระทั่งเสียงหวานของพระมเหสีดังออกมาจากข้างใน “ผู้แซ่สวี่”
สวี่ชีอันผลักบานประตูเข้ามาอีกรอบ
พระมเหสีนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้งกำลังแปรงผม ศีรษะของนางหันไปทางด้านข้าง ใช้หางตามองเขาเล็กน้อย “เจ้าคงไม่ได้ตีข้าจนหมดสติจริงๆ สินะ”
นางจ้องมองร่างของตนในกระจก ยังคงจดจ่อกับการแปรงผม
ดูเหมือนว่านางจะเชื่อมั่นได้แล้วว่าเข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เช่นนั้นความกรุ่นโกรธในใจจึงลดลงไปหลายส่วน
สวี่ชีอันยกถังไม้เข้ามา เทน้ำลงไปข้างในนั้น จากนั้นจึงเทโอสถบางอย่างจากขวดสีแดงลงไป เขาจุ่มใบหน้าของตนลงไปในนั้นเป็นเวลานาน
กระทั่งผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ใบหน้าของสวี่ชีอันก็เริ่มเห่อร้อน เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นผู้อื่นแล้ว
บุรุษผู้นี้รูปงามมากจนแม้แต่กู่เทียนเล่อยังต้องอับอาย เขางดงามเสียยิ่งกว่าใครในใต้หล้านี้…อย่างน้อยสวี่ชีอันก็คิดเช่นนั้น
เขาผลักพระมเหสีออกไปให้พ้นทาง แล้วส่องกระจกมองใบหน้าที่คุ้นเคยด้วยความตะลึงงัน
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็บ่นพึมพำเบาๆ “นานมากแล้วสินะ…”
พระมเหสีมองมาที่เขา แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าปลอมกายเป็นใครกัน ด้วยภาพลักษณ์อันไม่ธรรมดาเช่นนี้ เหมาะหรือสำหรับการไม่เป็นที่ดึงดูดสายตา”
พูดจบ นางก็เห็นว่าสวี่ชีอันกำลังเหลือบมองมาทางตนด้วยความหงุดหงิด
แค่พูดออกมาว่าหล่อไม่ได้หรือไงกัน สวี่ชีอันคร้านจะต่อปากต่อคำกับพระมเหสี สุดท้ายจึงตอบกลับไปว่า “ข้าจะไปสืบคดี พาเจ้าไปด้วยไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เลยทำเช่นนี้”
เขานิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกดเสียงต่ำลง “อ๋องสยบแดนเหนือคือผู้สังหารชาวเมืองฉู่โจว”
‘กึก!’
หวีไม้หล่นลงบนพื้น พระมเหสีกลับมาได้สติ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสยดสยองและความเศร้าโศก ก้มหน้าลงเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว “ฉู่…ฉู่โจวอย่างนั้นหรือ?”
ไม่ว่าใคร ก็ล้วนไม่อยากเชื่อเมื่อได้ยินข่าว
พระมเหสีเองก็เช่นกัน
สวี่ชีอันเริ่มเล่าเรื่องของเจิ้งซิ่งไหวให้นางฟัง เขาอธิบายมันออกมาอย่างเรียบง่าย
พระมเหสีพึมพำ “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบเขา และเกลียดพวกเขาที่ทำราวกับข้าเป็นสิ่งของ แต่ว่าข้าเองก็ยังชื่นชมเขาอยู่ในใจ เขาเป็นนักวรยุทธ์อันดับหนึ่งของต้าฟ่ง เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และกลยุทธ์เยี่ยมยอด คอยพิทักษ์ดินแดนให้ราษฎรของต้าฟ่งมานานกว่าสิบปี…
“แต่ข้ากลับคิดผิด เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว เขาปกป้องชายแดนไม่ใช่เพื่อราษฎร แต่เพราะต้าฟ่งเป็นของตระกูลเขา และพวกเขาจะไม่ยอมให้คนนอกได้เข้ามาฉกฉวยประโยชน์
“ทำนองเดียวกันนั้น ในสายตาของพวกเขา ผู้คนก็ไม่ต่างไปจากสิ่งของที่สามารถแลกเปลี่ยนและสังเวยได้ เมื่อเขาต้องการ เขาก็สามารถเสียสละได้โดยไม่ลังเลใจ”
นางรู้มานานแล้วว่าอ๋องสยบแดนเหนือเข่นฆ่าผู้คน เพียงแต่เมื่อได้ยินสวี่ชีอันเล่าถึงขั้นตอนสังหารอันเหี้ยมโหดนั่น พระมเหสีก็ยังอดตกใจไม่ได้
ความโหดร้ายของอ๋องสยบแดนเหนือไม่สามารถให้อภัย และเชวียหย่งซิ่วเองก็สมควรถูกลงดาบนับพันครั้งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นถึงนักวรยุทธ์ขั้นสามของต้าฟ่ง ทั้งยังเป็นองค์ชายของต้าฟ่งด้วย แล้วใครกันจะลงโทษเขาได้
ใครกันที่จะทำให้เขายอมสารภาพบาปออกมา
ตอนนั้นเอง สวี่ชีอันก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าจะออกไปสองสามวัน เจ้ารอข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ อย่าออกไปไหน”
กล่าวพลาง สวี่ชีอันก็วางเศษซากของหนังสือปฐพีไว้บนโต๊ะ “ช่วยดูแลมันให้ข้าสักระยะหนึ่งด้วย”
เมื่อใช้วิชาไต้ซือเสินซูปล่อยหมัด สิ่งของทั้งหมดในร่างกายของเขามีความเสี่ยงที่จะสูญหาย รวมทั้งเสื้อผ้า
เศษซากของหนังสือปฐพีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เดิมทีเขาไม่อยากให้พระมเหสีเห็นมัน และแผนการที่ดีที่สุดคือควรจะมอบมันให้หลี่เมี่ยวเจิน หากแต่พระมเหสียังคงนอนหลับอยู่ในนั้น นางไม่ใช่สิ่งของ และนางก็ไม่สามารถอยู่ในหนังสือได้ตลอดเวลา
เพื่อไม่ให้หญิงงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่งต้องหิวโหยตาย เขาจึงทำได้เพียงตัดสินใจใช้วิธีนี้ โชคดีที่พระมเหสีไม่ใช่คนที่จะเฉลียวใจมากนัก สำหรับนางแล้วเศษซากของหนังสือปฐพีอาจเป็นแค่กระจกบานเล็กๆ ที่มีฝีมือหยาบกระด้าง
พระมเหสีไม่ได้มองไปทางกระจกหยกชิ้นนั้นเลย นางถามด้วยความสงสัย “เจ้าจะไปที่ไหน”
ฉับพลัน ในหัวของสวี่ชีอันก็ปรากฏภาพผู้คนที่ล้มตายลงดั่งต้นหญ้า ก่อนภาพจะตัดสลับไปเป็นใบหน้าของบัณฑิตผู้นั้นที่ถูกดาบแทงทะลุอก มารดาที่พยายามหอบบุตรในอ้อมกอดวิ่งหนี เด็กทารกผู้ถูกสังหารด้วยปลายหอก และภาพของคุณชายรองเจิ้งที่ทรุดร่างลงกับพื้น…
“ข้าบอกไปแล้ว ว่าข้าจะลากตัวอ๋องสยบแดนเหนือมารับโทษให้ได้ เขาไม่คู่ควรกับแก่นโลหิต ข้าจะให้เขาและเชวียหย่งซิวชดใช้”
สวี่ชีอันมองนางนิ่งๆ ใบหน้าปราศจากแววทุกข์สุข หากแต่สายตากลับมุ่งมั่น “ข้าจะไปฉู่โจว”
พระมเหสีสบตาเขา เพียงเท่านั้นก็รู้ว่าตนไม่อาจห้ามบุรุษตรงหน้าไว้ได้เลย นางกัดริมฝีปากของตนเบาๆ เอ่ยตอบเสียงแผ่ว “เจ้าจะต้องกลับมานะ เจ้า เจ้ารับปากข้าสิ”
“ข้ารับปาก”
สวี่ชีอันพยักหน้า หยัดกายขึ้นแล้วเดินออกไป
“สวี่ชีอัน”
นางตะโกนเรียกเขาอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเร่งรีบจนกระแทกมันไปหนึ่งครั้ง แต่ก็ยังคงรีบวิ่งตามออกไป แล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา
“วีรบุรุษหนุ่มมีศีลมีสัตย์ คบหามิตรผู้องอาจ มีน้ำใสใจจริงต่อกัน ถึงยามโกรธเคืองเดือดดาล ลุกขึ้นมาพูดเพื่อความเป็นธรรม ชีวิตและความตายไม่อาจแยกจาก คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง”
‘คำสัญญาของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง เพราะฉะนั้นเจ้าจะต้องกลับมา’
…
ภูเขาถัวเทียน
‘หวูด หวูด’ เสียงแตรดังก้อง
ทหารม้าชั้นยอดสองหมื่นนายจากกลุ่มชิงเหยียนรวมตัวกันอยู่บนที่ราบเชิงเขา พวกเขานั่งอยู่บนหลังม้าศึกร่างกำยำองอาจ พร้อมโบกสะบัดดาบโค้งในมือ
ไกลออกไปจากเสียงแตรที่มองไม่เห็นนั้น มีพระราชวังโอ่อ่าตระการตา
‘หวูด หวูด หวูด….’
เสียงฝีเท้าหนักดังมาแต่ไกล ยักษ์สีน้ำเงินร่างสูงใหญ่ย่ำเท้าออกมาจากวัง ทุกย่างก้าวของมันทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย ในมือยังถือดาบด้ามใหญ่ที่คนธรรมดาไม่สามารถใช้การได้ไว้ด้วย
ทหารม้าของกลุ่มชิงเหยียนเฝ้ามองผู้นำของพวกเขาเงียบเชียบ สถานที่แห่งนี้เงียบสงัดมีเพียงเสียงฝีเท้าหนักๆ เท่านั้น
ยักษ์สีน้ำเงินยกดาบใหญ่ขึ้นแล้วคำราม “ในเมืองฉู่โจว”
“ในเมืองฉู่โจว”
“ในเมืองฉู่โจว”
ทหารม้าชิงเหยียนยกดาบโค้งขึ้น โบกสะบัดไปมาและกู่ร้องคำรามพร้อมเพรียงกัน
…
ภูเขาใหญ่ดำทมิฬทางตอนเหนือ ทั่วทั้งขุนเขาล้อมรอบด้วยเมฆหนา
โหรสวมชุดขาวพิสุทธิ์ยืนอยู่บนขอบหน้าผา ใบหน้าขาวซีดของเขากำลังก้มลงมองเบื้องล่าง หุบเขาแห่งนี้ถูกปกคลุมไว้ด้วยหมอกหนาทึบตลอดทั้งปี ต้นหญ้าไม่ได้เติบโตขึ้นเลยสักนิ้วเดียว ไร้ซึ่งการมีอยู่ของชีวิต
“จู๋จิ่ว”
สิ้นเสียงของโหรผู้นั้น หมอกหนาทึบก็พลันสั่นกระเพื่อม ราวกับผ้าคลุมหน้าของหญิงสาวที่กำลังร่ายระบำ
ภายในชั้นหมอก เงาสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าของโหรผู้นั้น
หมอกหนาจางหายไป กลายเป็นศีรษะของงูยักษ์สีแดงฉานตัวหนึ่ง ลำตัวของมันไร้เกล็ด เหนือหน้าผากมีตาดวงหนึ่งที่ยังปิดอยู่
ลำตัวของมันสูงใหญ่ถึงยอดเขา โหรชุดขาวเบื้องหน้ากลายเป็นจุดเล็กจุดหนึ่งในชั่วพริบตา
ตำนานเล่าขานกันในสมัยโบราณว่า มีเทพเจ้าและปีศาจผู้ครองดินแดนหนาวเหน็บทางตอนเหนือ งูเทพตัวนั้นมีตาข้างเดียว กายแดงฉาน ลำตัวเป็นมันวาวไร้เกล็ด ดวงตาของมันจะลืมตื่นขึ้นในตอนกลางวัน และปิดลงในยามค่ำคืน
หัวหน้าเผ่าพันธุ์ปีศาจเหนือจู๋จิ่ว เป็นลูกหลานของเทพเจ้าและปีศาจนั้น
“ในเมืองฉู่โจว” โหรชุดขาวส่งเสียงหัวเราะก้อง
ดวงตาบนหน้าผากของงูยักษ์พลันเปิดออก ตอนนั้นเองแสงสีทองก็ส่องผ่านท้องนภา ทอดผ่านไปไกลหลายสิบลี้
…
เหนือหน้าผาสูงชัน สตรีหน้าตางดงามหมดจดผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นางยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า จนแขนเสื้อปลิวไสว เผยให้เห็นลำแขนขาวซีดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ร่มผ้า
อินทรีดำบินว่อนอยู่พลันโฉบลงมาบนแขนนั้นทันที เกาะนิ่งอยู่บนแขนของหญิงสาว รีบรายงาน “คนผู้นั้นส่งข่าวมาแล้ว ในเมืองฉู่โจว”
หญิงงามในชุดขาวพลิ้วไหวกล่าวเสียงหวาน “ดูเหมือนว่าเขาไม่เพียงแต่ต้องการแก่นโลหิตเท่านั้น แต่ยังต้องการชีวิตของอ๋องสยบแดนเหนือด้วย ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป ทหารปีศาจทั้งหมด โจมตีฉู่โจว”
………………………………………………………….