ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 370-2 ดาบสยบดินแดน (2)
บทที่ 370 ดาบสยบดินแดน (2)
หลี่เมี่ยวเจินขี่กระบี่บินโฉบลงมายังหุบเขา
เดิมทีนางตั้งใจจะสุ่มจับทหารม้าของเผ่าอนารยชนมาสักสองถึงสามคน จากนั้นปล่อยข่าวรั่วไหลออกไป ให้พวกมันนำกลับไปรายงานที่เผ่า เท่านี้ก็เสร็จสิ้นภารกิจปล่อยข่าวอย่างง่ายดาย
แต่หลังจากที่เข้าใกล้เขตชายแดนแล้ว นางก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าทหารม้ากลุ่มชิงเหยียนเคลื่อนพลลงใต้ มุ่งหน้าไปยังเมืองฉู่โจว
ตัวนางเองก็เกือบถูกหัวหน้าฝ่ายชิงเหยียนเจอตัว หรือบางทีอาจถูกจับได้แล้ว แต่อีกฝ่ายไม่คิดจะแยแส
นางยังคงมุ่งหน้าบินขึ้นเหนือต่อไปด้วยความระแวดระวัง บนถนนสายหลักที่ห่างออกไปหลายสิบลี้ นางเห็นงูเหลือมยักษ์ลำตัวสีแดงเข้มเลื้อยขึ้นไปบนภูเขา ราวกับถนนสีแดงก็ไม่ปาน
หลี่เมี่ยวเจินใช้ความคิดอนุมานสถานการณ์ตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ สิ่งที่นางอนุมานได้มีเพียงเครื่องหมายคำถามมากมาย จากนั้นนางก็เร่งรุดกลับไปรายงานสิ่งที่พบเจอให้สวี่ชีอันรับทราบ
ด้านในถ้ำ พวกเชินถูไป่หลี่ หลี่ฮั่น และคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ก็รีบออกมาจากถ้ำด้วยสีหน้าหวาดระแวง พอเห็นว่าเป็นหลี่เมี่ยวเจินก็โล่งใจกันเป็นแถว
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองพวกเขาและมองเข้าไปในถ้ำ “ฆ้องเงินสวี่ล่ะ?”
สมุหเทศาภิบาลเจิ้งก้าวออกมาจากถ้ำ และกล่าว “ฆ้องเงินสวี่กล่าวว่าจะไปสืบคดีที่ฉู่โจว ให้พวกข้ารอที่นี่”
“… “
หลี่เมี่ยวเจินอ้าปากพะงาบๆ สีหน้าแข็งทื่อ
ประมาณสามวินาทีให้หลัง ดวงตาของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ก่อนที่ใครจะทันตอบโต้อะไร กระบี่บินก็จากไปเสียแล้ว
‘ไอ้ผู้ชายน่ารังเกียจ ไอ้ผู้ชายน่ารังเกียจ ไอ้ผู้ชายน่ารังเกียจ’…นางขบเขี้ยวเงินของนาง ความคับข้องใจและความหวาดกลัวไหลบ่าท่วมหัวใจของนาง ที่คับข้องใจเป็นเพราะนางรู้สึกว่าเขาโกหกนางอีกแล้ว แม้ว่าการรู้สึกไม่สบอารมณ์เพราะผู้ชายคนหนึ่งมันช่างผิดวิสัยของนางอย่างชัดเจน แต่นางก็ไม่มีกะใจจะขุดคุ้ย
ส่วนความรู้สึกหวาดกลัวนั้นก็มาจากความกลัวว่าจะต้องพบเจอเหตุการณ์เหมือนครั้งอวิ๋นโจวอีกครา
ร่างที่ถูกลูกศรปักทั่วกาย พิงดาบยืนตระหง่านเหนือภูเขาซากศพ ยังติดตรึงในใจของเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ไม่เคยเลือน
จะสืบคดีก็สืบไป อย่าหุนหันพลันแล่น อย่าทำเรื่องโง่ๆ สิ นางรู้จักนิสัยของสวี่ชีอัน จึงกลัวว่าเขาจะต้องมีสภาพเหมือนคราวอวิ๋นโจวอีก
…
‘ปัง!’
เพียงตวัดดาบครั้งเดียวปัดป้องดาบยักษ์ของจี๋ลี่จือกู่ออกไปได้ อ๋องสยบแดนเหนือไม่ยื้อการต่อสู้อีกต่อไป ทะยานขึ้นฟ้าหวนกลับเข้าไปในเมือง กระโจนเข้าหายาโลหิตที่ควบแน่นแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ส่งกลิ่นอายหอมหวนเย้ายวนออกมา
ทันทีที่เขาเข้าใกล้ยาโลหิต ก็มีแสงสีทองสาดส่องมาจากทิศเหนือ อาบร่างอ๋องสยบแดนเหนือจนสว่างไปทั้งร่าง
เกราะหนักของเขาละลายในแสงสีทอง ผิวของเขาแดงเถือกเกิดเป็นรอยไหม้ แต่หาได้หยุดยั้งย่างก้าวของทหารขั้นสามที่มุ่งตรงไปเบื้องหน้า
อ๋องสยบแดนเหนือกางมือออกหมายจะคว้าจับ ยาโลหิตก็ลอยเข้ามาหาเขา
สตรีในชุดกระโปรงสีขาวเหยียดฝ่ามือออก พลังปราณที่บิดเบี้ยวกลายสภาพเป็นฝ่ามือขนาดมหึมา คว้าจับยาโลหิตจากด้านข้าง พยายามที่จะสกัดกั้นเอาไว้
มนุษย์ร่างสีดำประสานมือเข้าด้วยกัน เรียกกระแสน้ำเหนียวข้นน่าสะอิดสะเอียนให้ไหลทะลักออกมากัดกร่อนฝ่ามือยักษ์โปร่งแสง และสลายพลังปราณของมือ
“ฮู่…”
เวลานั้นเอง ในเสี้ยวขณะที่อ๋องสยบแดนเหนือกำลังจะได้ยาโลหิตไปครอง ดาบยักษ์ก็บินวนกลับมาอีกครั้ง เป้าหมายไม่ใช่อ๋องสยบแดนเหนือแต่เป็นยาโลหิตขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่
‘ตู้ม!’
ยาโลหิตระเบิดร่วงลงมาและฝังตัวอยู่ในพื้นดิน ยังคงเปล่งแสงสีเลือดโดยปราศจากความเสียหาย
ยักษ์ร่างน้ำเงินที่สูงกว่าบ้านเรือนย่างสามขุม เอื้อมมือขานเรียกดาบยักษ์ให้หวนคืนมาอยู่ในมือ
ทางทิศเหนือ งูเหลือมยักษ์สีแดงเลื้อยขึ้นไปบนกำแพงเมืองและเคลื่อนไปตามทางเดินบนกำแพงอย่างรวดเร็ว เชิงเทินที่ยกสูงขึ้นมาแตกละเอียดราวกับเศษกระดาษ ผนังที่อยู่ใต้ร่างของมันเกิดรอยร้าวขึ้นไม่หยุด พร้อมจะพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อ
ค่ายกลกำแพงเมืองฉู่โจวถูกทำลายจนสิ้นซาก
นี่เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว แต่เดิมก็ไม่ได้หวังว่าค่ายกลกำแพงเมืองจะสกัดกั้นผู้แข็งแกร่งขั้นสามได้อยู่แล้ว
ผู้นำเต๋านิกายปฐพี ผู้นำคนใหม่แห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ อ๋องสยบแดนเหนือแห่งต้าฟ่ง ยอดฝีมือลึกลับแห่งสำนักพ่อมด ผู้แข็งแกร่งขั้นสามแห่งเผ่าอนารยชน และงูยักษ์แดงแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ…ยอดฝีมือทั้งหมดรวมตัวกันในเมืองฉู่โจว พร้อมด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงที่ห่อหุ้มตัวพวกเขาเอาไว้ ทำให้ชาวยุทธ์ทั้งหลายในเมืองอกสั่นขวัญแขวน ทรุดตัวคุกเข่าอย่างหวาดกลัว
“ที่แท้ก็มีผู้ช่วยนี่เอง”
ยักษ์ร่างน้ำเงินจี๋ลี่จือกู่ถลึงตามองสำรวจภายในทัพของศัตรู และพ่นเสียงอย่างเย็นชา “พ่อมดนั่นดูแล้วไม่เกินขั้นสาม ต่อให้ยกพลมาก็ไม่มีใครประมือด้วยได้ หากเข้าปะทะตัวต่อตัว ข้าต่อสู้ด้วยมือเดียวก็ไม่เพียงพอ ส่วนผู้นำเต๋านิกายปฐพีนั้นพึ่งพาพลังอันน่าขยะแขยงโดยไม่ลังเล ก็เหมือนกับหนอนที่ชอนไชอยู่ในส้วมซึม ถึงจะรังเกียจ แต่ก็ไม่เป็นภัยคุกคามกับเราจนเกินไป”
จู๋จิ่วกระแทกลมหายใจ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แก่นโลหิตของพ่อมดจืดชืด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไร สำนักพ่อมดฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้า เจ้าพ่อมดขั้นสามนี่ข้าจะจัดการมันเอง”
“จี๋ลี่จือกู่ นิกายปฐพีมีเล่ห์กลพิศวง อีกทั้งคนผู้นี้ยังตกสู่ทางมาร ยิ่งยากที่จะรับมือ เจ้าไปจัดการกับอ๋องสยบแดนเหนือเถิด ปล่อยให้ผู้นำเผ่าจัดการกับเต๋ามารนิกายปฐพีแทน”
น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความหยิ่งทะนงตนของจู๋จิ่ว ทำให้พ่อมดลึกลับต้องแค่นหัวเราะออกมา และกล่าวช้าๆ “วันนี้ช่างเหมาะแก่การเล่นแร่แปรธาตุ ประดาบ เฉือนจู๋จิ่วจริงๆ”
อ๋องสยบแดนเหนือระเบิดเสียงหัวเราะในทันใด จากนั้นจู๋จิ่ว จี๋ลี่จือกู่และสตรีในชุดกระโปรงขาวก็พลันเห็นเขายื่นมือซ้ายที่ปราศจากอาวุธออกมา และเอ่ย “ดาบ!”
‘ตู้ม!’ ในป้อมปราการที่ห่างไกลออกไป ลำแสงสีทองพุ่งผ่านมาตกในมือของอ๋องสยบแดนเหนือ
ดาบสีสัมฤทธิ์ลักษณะเรียบง่าย สันดาบสลักด้วยลวดลายโบราณ ตัวดาบเป็นสีทองจางๆ เคลือบไว้ชั้นหนึ่ง ราวกับมีประกายแสงห่อหุ้ม
เสี้ยวขณะที่ดาบสัมฤทธิ์นั้นตกไปอยู่ในมือของอ๋องสยบแดนเหนือ มันก็สั่นสะท้านด้วยความปีติ ราวกับได้พบเจอเจ้าของ
“ดาบสยบดินแดน!”
จี๋ลี่จือกู่กรีดร้อง แววตาปรากฏแววหวาดกลัว ชิงชัง
“ฟ่อ…”
งูเหลือมยักษ์บนกำแพงเมืองชูคอขึ้นสูง แต่แทนที่จะเข้าจู่โจม มันกลับขดตัวอย่างรวดเร็ว ราวกับตกใจกลัวอย่างไรอย่างนั้น
นางปีศาจเก้าหางที่ลอยคว้างกลางอากาศดีดตัวทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้างดงามดูเคร่งเครียดอย่างหาใดเปรียบ สายตาจับจ้องอยู่ที่ดาบสัมฤทธิ์ในมือของอ๋องสยบแดนเหนือ
‘ดาบสยบดินแดนอยู่ที่เมืองหลวงต้าฟ่งไม่ใช่หรือ มันถูกลักลอบส่งมาที่ฉู่โจวตั้งแต่เมื่อไร’ คิ้วเรียวสวยขมวดแน่น ดวงตาฉายแววพรั่นพรึง
อ๋องสยบแดนเหนือถือดาบในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเป็นกระบี่ เขายิ้มอย่างเลือดเย็นพลางกวาดตามองอริยอดฝีมือ แล้วกล่าว “ข้าตัดสินใจว่าจะเลื่อนระดับแล้ว เหตุใดจะไม่เตรียมแผนการรองรับไว้เล่า
“พวกเจ้าค้นหาเมืองฉู่โจวไม่พบก็ไม่เป็นไร ข้าจะได้อาศัยโอกาสเลื่อนระดับเสีย แต่หากพวกเจ้าล่วงรู้ความลับของเมืองฉู่โจว ก็ไม่ใช่ปัญหา ดาบสยบดินแดนเฝ้ารอพวกเจ้าที่นี่อยู่แล้ว
“ตอนนี้ต่อให้พระมเหสีหายสาบสูญ ขาดแก่นวิญญาณของนาง แค่ดึงแก่นวิญญาณของพวกเจ้าสักคนมาทดแทนก็เพียงพอ”
พ่อมดในชุดคลุมและหมวกสีดำแสยะยิ้มเลือดเย็น “วันนี้ข้าดูดวงชะตามาแล้ว ฤกษ์งามยามดี มิฉะนั้นข้าจะมาอยู่ตรงนี้หรือ”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็ยกมือขึ้น เล็งไปที่งูเหลือมยักษ์บนกำแพงเมือง แล้วพูดด้วยท่าทางสบายๆ ว่า “ตายซะ!”
พรวด พรวด พรวด…
ร่างของงูเหลือมยักษ์ไร้เกล็ดขาดออกจากกันไม่หยุด เลือดสดๆ ไหลริน ย้อมกำแพงเมืองจนเป็นสีแดงฉาน
เมื่อขึ้นเป็นพ่อมดระดับสูง วิชาสาปสังหารไม่จำเป็นต้องใช้สื่อกลางก็สามารถโจมตีดวงจิตนับร้อยได้ แน่นอนว่าหากมีเลือดเนื้อและเส้นผมของอีกฝ่าย พลังของวิชาสาปสังหารก็จะยิ่งเห็นผลดียิ่งขึ้น
งูเหลือมยักษ์ไร้เกล็ดคำรามด้วยความเจ็บปวด ชั่วขณะที่เนื้อหนังของมันปะทุออก มันก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที แม้ร่างกายจะไม่ได้รับบาดแผลร้ายแรง แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นสาหัสเกินทานทน
มันเลื้อยไปตามแนวกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว ดีดตัวขึ้น กระโจนข้ามเขตเมืองไปกว่าครึ่ง พุ่งเป้าไปยังพ่อมด ขณะที่พุ่งทะยานไปนั้น ดวงตาที่อยู่ตรงกลางหน้าผากก็สาดแสงสีทองด้วย
พ่อมดชุดดำไม่อาจหลีกหนีแสงสีทองที่รวดเร็วราวสายฟ้าได้ ร่างกายทั้งหมดของเขาถูกอาบด้วยแสงสีทอง แขนขาของเขาเกิดอาการละลาย
พ่อมดหาได้ตื่นตระหนก มือหนึ่งกำคัมภีร์เอาไว้แน่น พลางเรียกภาพลวงตาที่ดูไม่สมจริง แล้วรวมร่างเป็นหนึ่งเดียว ในเวลาเดียวกัน เลือดทั่วกายของเขาก็สูบฉีดแรงขึ้น กล้ามเนื้อขยายใหญ่จนเสื้อคลุมสีดำปริแตก กลายร่างเป็นยักษ์ตัวสูงหลายจั้ง
วิญญาณโลหิตขั้นเก้า กระตุ้นศักยภาพของตนจนถึงขีดสุด อัตราการเติบโตขึ้นอยู่กับพื้นฐานการฝึกตนของแต่ละบุคคล กระตุ้นเลือดลมปราณ ให้พลังชีวิตไม่เป็นรองทหาร ระดับการกระตุ้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานการฝึกตนของแต่ละบุคคลเช่นกัน
ผู้ถวายเครื่องบูชาขั้นห้า สามารถเรียกวิญญาณวีรชนผู้วนเวียนระหว่างสวรรค์และโลก หรือวิญญาณของบรรพชนผู้กล้า มาใช้งานส่วนตัว
หมายเหตุ โดยปกติจะสามารถเรียกได้เฉพาะทหาร เผ่าพันธุ์ปีศาจ และบรรพบุรุษในระบบของตนเองเท่านั้น
ไม่สามารถอัญเชิญวิญญาณวีรชนผู้กล้าของสำนักพุทธได้ หากอัญเชิญวิญญาณผู้กล้าลัทธิขงจื๊อก็จะถูกวิญญาณผู้กล้านั้นตอบโต้กลับ อีกทั้งไม่สามารถอัญเชิญวิญญาณท่านโหราจารย์รุ่นแรกได้ เพราะจะถูกท่านโหราจารย์รุ่นปัจจุบันจัดการ
การอัญเชิญวิญญาณบรรพชนผู้นำเต๋านั้นยังพอเป็นไปได้ แต่อันตรายอย่างยิ่ง เช่นการอัญเชิญวิญญาณผู้นำเต๋านิกายปฐพีที่ตกสู่ทางมาร หรือวิญญาณผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ที่ถูกไฟกรรมพันพัวกาย แต่ไม่เคยอัญเชิญวิญญาณผู้นำเต๋านิกายสวรรค์ได้สำเร็จสักครั้ง
ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด จนเมืองฉู่โจวทั้งเมืองกลายสภาพเป็นซากปรักหักพัง
ไม่มีใครหยิบฉวยยาโลหิต แต่ทุกคนต่างจดจ้องยาโลหิตเป็นตาเดียว ไม่ว่าจะใครก็ตามที่บังอาจหยิบมันขึ้นมา ล้วนดึงดูดการโจมตีจากทุกคน
บนกำแพงเมือง เชวียหย่งซิวผู้กำราบทหารฝ่ายชิงเหยียนได้ด้วยดาบเดียว มิได้โกรธแค้น แต่กลับยินดีเมื่อเห็นเมืองฉู่โจวที่เฝ้าปกปักรักษามานานกว่าสิบปี พังพินาศย่อยยับ
ทำลายมันซะ
เมืองฉู่โจวราบเป็นหน้ากลองโดยฝีมือของเผ่าอนารยชน และเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผู้คนที่อาศัยในเมืองฉู่โจวที่ตกอยู่ใจกลางสมรภูมิรบของผู้แข็งแกร่งระดับสูง ล้วนล้มตายไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก ร่องรอยทั้งหมดถูกฝังกลบในการต่อสู้ครั้งนี้จนสิ้น
เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวอะไรกับเชวียหย่งซิวคนนี้เล่า?
แต่ตัวเขาที่ปกป้องเมืองฉู่โจว สังหารศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่กับอ๋องสยบแดนเหนือ สร้างคุณูปการใหญ่หลวง ชื่อเสียงย่อมเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า
ควันหลงของการต่อสู้ของยอดฝีมือจากหลายฝ่ายตกมาอยู่ที่ตัวเมือง เหล่าทหารที่ประมาทเลินเล่อ ต่างล้มตายจากแรงกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว
หยางเยี่ยนซึ่งนำคณะถอยร่นไปจนถึงตีนกำแพง พยายามจะคลำทางหลบหนีโดยใช้ประตูเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด
…
อ๋องสยบแดนเหนือผู้ชิงความได้เปรียบจากไม้ตายลับดาบสยบดินแดน ฝากรอยแผลมากมายบนร่างของจี๋ลี่จือกู่ ทั้งยังช่วยพ่อมดฉีกทึ้งร่างของงูเหลือมยักษ์เป็นระยะๆ ด้วยดาบสยบดินแดน
“ปัง ฟุ่บ…”
อ๋องสยบแดนเหนือเคลื่อนตัวผ่านหน้ายักษ์ร่างน้ำเงิน ดาบยักษ์ในมือของจี๋ลี่จือกู่พลันถูกทำลาย บนยอดอกปรากฏรอยดาบฝังลึกลงไป มองเห็นอวัยวะภายในได้ลางๆ
บาดแผลยังไม่ทันสมาน เปลวเพลิงสีทองจางๆ ก็ลุกไหม้อย่างเงียบเชียบ กัดกินพลังชีวิตทันที
จี๋ลี่จือกู่แผดเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด
“จู๋จิ่ว คราวนี้คงไม่รอดแล้ว ดาบสยบดินแดนที่เคยสังหารพ่อของข้าในครั้งนั้น มาวันนี้กำลังจะสังหารข้าอีกคน”
จี๋ลี่จือกู่ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ พลางแผดเสียงด้วยความโทสะ
“แหกปากไปเพื่ออะไร เมื่อครั้งนั้นนักรบใต้บัญชาของเจ้า ก็มอดม้วยด้วยคมดาบนี้จนหมดไม่ใช่หรือไง”
จู๋จิ่วโกรธจัด ร่างมหึมาของมันพล่านไปทั่วเมือง พลังอันน่าประหลาดนั้นไม่ใช่สิ่งที่พ่อมดสามารถต่อกรได้ แต่มันรู้ว่าสถานการณ์การสู้รบในครั้งนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อฝ่ายของมันอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสถานการณ์สิ้นหวัง
“ข้าไม่ยอม ข้าจะต้องเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขั้นสองให้ได้ อ๋องสยบแดนเหนือ เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ถ้าตอนนั้นไม่มีเว่ยเยวียนคอยหนุนหลังช่วยเหลือเจ้า ป่านนี้ข้าจับเจ้าฉีกกินได้เป็นร้อยๆ ครั้งไปแล้ว” จู๋จิ่วแผดเสียงคำรามไม่หยุดหย่อน
“เว่ยเยวียนรึ?” อ๋องสยบแดนเหนือปรามาส
“คนขี้ขลาดที่ละทิ้งการฝึกตนอย่างมันเนี่ยนะ ตอนนั้นชื่อเสียงของข้ายังไม่เป็นที่ประจักษ์ จึงร่วมมือกับมันก็เท่านั้น ข้าจำเป็นต้องพึ่งพาการแรงหนุนจากมันด้วยหรือ? น่าขันนัก”
ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนเป้าหมาย ละทิ้งจี๋ลี่จือกู่และหันไปโจมตีจู๋จิ่วแทน ดูเหมือนว่าคำพูดของจู๋จิ่วจะทำให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างแรง
นี่เป็นการไล่ล่าที่ย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง อ๋องสยบแดนเหนือไม่เพียงแต่ต้องการเลื่อนขั้นเข้าสู่ขั้นสองเท่านั้น แต่ยังหมายมั่นว่าจะปราบยอดฝีมือแห่งเผ่าอนารยชน สร้างชื่อให้ระบือไปทั่วใต้หล้า
ผู้คนราวสามแสนแปดหมื่นคนในเมืองเป็นเพียงขั้นบันไดให้เขาไต่เต้าขึ้นไปสู่จุดหมาย เป็นสิ่งที่ต้องเสียสละเพื่อให้ถึงจุดสูงสุด ความตายของพวกเขาถือเป็นคุณูปการต่อตัวเขา
“มาพอดี!”
จู๋จิ่วหันศีรษะไปทันที ดวงตาขีดตั้งของมันระเบิดแสงสีดำปกคลุมอ๋องสยบแดนเหนือ
ร่างของฝ่ายหลังแน่นิ่งไปทันใด ความคิดความอ่านช้าลง ข้อต่อของมือและเท้ากระตุก
หางจิ้งจอกทั้งเก้าของสตรีในชุดสีขาวโบกสะบัดในสายลม นางฉวยโอกาสนี้ ใช้หางเกี่ยวกระหวัดดาบสยบดินแดนเอาไว้ ราวกับหนวดหมึก และกระชากมันออกมาอย่างแรง
จี๋ลี่จือกู่รีบทะยานออกไป พลางยกกำปั้นขึ้น บิดสะโพกและเหวี่ยงหมัดออกไป
ชั่วขณะนั้นเอง กำปั้นที่ปล่อยออกมาด้วยความเร็วเกิดพิกัดเสียดสีกับอากาศ จนเกิดเป็นเปลวไฟลุกโชนขึ้นบนผิวหนัง
อ๋องสยบแดนเหนือถูกต่อยเข้าที่ศีรษะ ร่างของเขากระเด็นออกไปราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ปะทะเข้ากับบ้านเรือนและซากปรักหักพัง
ในตอนนั้นเอง คลื่นเสียงของกำปั้นที่ปล่อยออกมา และเสียง ‘ปัง’ ที่กระทบเข้ากับศีรษะของอ๋องสยบแดนเหนือก็ดังขึ้นตามหลัง
ดาบสยบดินแดนลอยวนและพุ่งทะลุเศษซากที่พังทลายจากระยะไกล
“ฮู่ ฮู่”
จี๋ลี่จือกู่หอบหายใจหนัก อาศัยโอกาสนี้ฟื้นฟูบาดแผลบนร่างกายที่ลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีทองอ่อน
ในที่สุดจู๋จิ่วและสตรีในชุดสีขาวก็มีเวลาพักหายใจหายคอสักครู่หนึ่ง
สถานการณ์ตอนนี้ไม่เป็นใจอย่างยิ่ง หากยังดึงดันจะชิงยาโลหิตให้ได้ ต้องมีคนล้มตายอย่างแน่นอน แต่ถ้าถอยไปทั้งอย่างนี้ หลังจากที่อ๋องสยบแดนเหนือกลืนกินยาโลหิตเข้าไปแล้ว เขาจะฆ่าทุกคนด้วยดาบสยบดินแดน และช่วงชิงแก่นโลหิตของจี๋ลี่จือกู่หรือจู๋จิ่วไป
เขาไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้เลื่อนสู่ขั้นสอง
พวกเขาตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อ๋องสยบแดนเหนือหยัดกายขึ้นยืนเหนือซากปรักหักพัง ปัดเศษฝุ่นออกไปจากตัวและหัวเราะเยาะ “ดาบสยบดินแดนมีจิตวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่ตายแล้ว มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ พวกเจ้าที่สู้อย่างหมาจนตรอก ก็ทำได้แค่ยื้อเวลาตายเท่านั้น”
หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือขวาออกมาราวกับว่าจะแสดงให้ทุกคนได้ประจักษ์ แล้วแผดเสียงคำราม “ดาบจงมา!”
จี๋ลี่จือกู่ จู๋จิ่ว และสตรีในชุดขาวตัวชาวาบไปชั่วขณะ ผู้แข็งแกร่งเช่นพวกเขา ในเวลานี้ยังอดรู้สึกสิ้นไร้ไม้ตอกไม่ได้
ขณะนั้นเอง นิ้วมือเรียวยาวทั้งห้า ก็กำด้ามดาบเอาไว้ แล้วดึงมันออกมา
อ๋องสยบแดนเหนือมองมือขวาของตนที่ว่างเปล่า แล้วหันขวับไปด้วยความประหลาดใจ เพ่งมองในยังที่ที่ไกลออกไป
ใบหน้าเรียบเฉยของอ๋องสยบแดนเหนือฉายแววเกรี้ยวกราด ประหลาดใจและสับสนที่หาชมได้ยากยิ่ง…เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนอื่นที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์สามารถชักดาบสยบดินแดนออกมาได้
ยักษ์ร่างน้ำเงินที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงเกร็งไปทั้งตัว ราวกับเผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่หลังจากพบว่าดาบสยบดินแดนไม่ได้ย้อนกลับมาหาอ๋องสยบแดนเหนือ เขาหันคอไปมองอย่างสงสัยด้วยสายตาอันสับสนงุนงง
พ่อมดและงูเหลือมยักษ์หยุดชะงักไปชั่วครู่ ฝ่ายแรกถอยกรูดไปหลายลี้ สายตาเคลื่อนไปยังทิศทางของดาบสยบดินแดน
ฝ่ายหลังชูคอขึ้น อสรพิษจัดระเบียบลำตัวของตน ดวงตาขีดตั้งสีทองอำไพหรี่ลงอย่างอดไม่ได้ ราวกับรู้สึกว่าดวงตาข้างเดียวช่างมองเห็นไม่ชัดเอาเสียเลย
มนุษย์ร่างดำมะเมื่อมใจกลางดอกบัวจ้องเขม็งไปที่ดาบสยบดินแดน และบุคคลที่ถือมันอยู่
มีเพียงสตรีในชุดขาวเท่านั้นที่เผยสีหน้าอันซับซ้อน มองดูร่างนั้นด้วยความสุขระคนเศร้าโศก
ผู้ที่ถือดาบสยบดินแดนแต่งกายด้วยชุดสีคราม หน้าตาท่าทางดูธรรมดา เขาดึงดาบออกมา ราวกับกระทำสิ่งเล็กน้อยอันไม่สลักสำคัญ
ดวงตาของเขาจับจ้องที่อ๋องสยบแดนเหนือ มุมปากค่อยๆ แสยะขึ้นเผยรอยยิ้มที่คล้ายจะชิงชัง เคียดแค้น และเจ็บปวดอยู่ในที
“ยอดเยี่ยม ข้าเองก็ใช้ดาบนี่ได้เหมือนกันแฮะ”
…………………………….