ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 371 มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ (1)
บทที่ 371 มนุษย์ไร้วิถี สวรรค์ลงทัณฑ์ (1)
ชายที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันราวกับซ่อนตัวอยู่ในฉู่โจวมานานแล้ว และกำลังรอเพียงโอกาสแย่งชิงดาบสยบดินแดนในชั่วขณะนี้เท่านั้น
เขาสวมชุดคลุมสีคราม ผมยาวสีดำขลับถูกมัดรวบด้วยปิ่นหยกเนื้อหยาบ
แม้ว่าเขาจะมีใบหน้าธรรมดา แต่เมื่อได้จับดาบสยบดินแดนและเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งหกคนในที่นี้ ท่าทางที่นิ่งสงบไม่สะทกสะท้านและสายตาอันดุร้ายไม่แยแสของเขา ก็ทำให้ทุกคนที่มองอยู่พลันรับรู้ถึงความแข็งแกร่งในทันที
นี่คือบุคคลที่สามารถต่อกรกับยอดฝีมือระดับสูงทั้งหกคนได้
‘สมควรตาย อ๋องสยบแดนเหนือไม่ใช่แค่ต้องการกลั่นยาโลหิตเท่านั้น แต่ยังมีแผนเตรียมไว้มากมาย โดยการเรียกยอดฝีมือระดับสูงมาเยอะแยะเพื่อซุ่มโจมตีข้ากับจู๋จิ่ว…’ สีหน้าของหัวหน้ากลุ่มชิงเหยียนเปลี่ยนไปทันใด เขาก้าวถอยหลังแล้วยื่นฝ่ามือออกมา
พายุโหมพุ่งออกมาจากฝ่ามือ บนกำแพงเมืองที่อยู่ไกลออกมา ดาบทหารที่บ้างก็แตกหักบ้างก็อยู่ในสภาพดีลอยมาบรรจบกันที่จี๋ลี่จือกู่ ราวกับฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ
‘ชิ้ง ชิ้ง…’ ฝูงปลาเหล็กที่เกิดจากมีดดาบกลายเป็นสายน้ำเหล็กสีแดงชาดอันเจิดจ้าทันทีที่ได้สัมผัสกับพายุหมุน
สายน้ำเหล็กยังคงควบแน่นไม่หยุดพร้อมขจัดสิ่งเจือปนออก แล้วรวมกันเป็นดาบยักษ์ที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจใช้งานได้ มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับบานประตู
“ราชวงศ์ของต้าฟ่งมีจอมยุทธ์ระดับสูงด้วยหรือ เป็นบุคคลระดับสูงที่เลื่อนขั้นหลังจากศึกที่ด่านซานไห่อย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้ บุคคลเช่นนี้ไม่มีอยู่ในต้าฟ่งนี่นา แต่ถ้าหากเขาไม่ใช่คนในราชวงศ์ แล้วเหตุใดจึงสามารถใช้ดาบสยบดินแดนได้กัน?”
งูยักษ์จู๋จิ่วเลื้อยไปมาและทำลายบ้านเรือนหลายต่อหลายหลัง ร่างกายที่ชูคออยู่เหนือกำแพงเมืองจ้องมองชายหนุ่มในชุดครามด้วยความหวาดกลัว
จู๋จิ่วเอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในใจของทุกคนออกมา พวกเขาจึงหันไปมองชายหนุ่มในชุดครามผู้นั้นโดยพร้อมเพรียงกัน
แต่คำตอบสำหรับพวกเขาคือความเงียบ
พ่อมดผู้เต็มไปด้วยจิตโลหิตและมีจิตวิญญาณศึกล่องลอยอยู่เหนือศีรษะเริ่มทำการพยากรณ์ จากนั้นเขาก็พบว่าอ๋องสยบแดนเหนือ จี๋ลี่จือกู่ จู๋จิ่ว และผู้นำเต๋านิกายปฐพีล้วนกำลังมองเขาอยู่
…พ่อมดระดับสูงอ้าปากเอ่ยเนิบนาบ “ทำนายไม่ได้ บนตัวเขามีอาวุธเวทมนตร์ที่ปกปิดความลับของสวรรค์เอาไว้”
‘อาวุธเวทมนตร์ที่ปกปิดความลับของสวรรค์?’
ยอดฝีมือทั้งหลายมองไปยังชายในชุดครามผู้นั้นด้วยความหวาดกลัวเต็มเปี่ยม และยิ่งสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของเขามากเข้าไปใหญ่
บนตัวของเขามีกลิ่นอายเลือนรางของหนังสือปฐพีอยู่ เขาเป็นเจ้าของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…ที่ใจกลางดอกบัวสีดำ เงาร่างสีดำที่มีของเหลวเหนียวข้นพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย ของเหลวที่ราวกับน้ำมันจึงดันตัวเขาขึ้นจากดอกบัว แล้วยืนจ้องสวี่ชีอันด้วยสายตามุ่งร้ายอยู่บนฟ้า พลางส่งเสียงคำราม
“เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นใคร…”
ยอดฝีมือทั้งหลายชะงักงัน ท่าทีของผู้นำเต๋านิกายปฐพีทำให้พวกเขาตกใจ จากคำที่กล่าวออกมา เหมือนกับว่าเขาทั้งรู้จักและไม่รู้จักคนผู้นั้น
พ่อมดระดับสูงขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักเขาหรือ? คนผู้นั้นมาจากที่ใด”
เงาร่างดำมืดไม่สนใจ แต่ยังคงจ้องมองสวี่ชีอันเขม็งด้วยสายตาดุร้ายและไม่เป็นมิตร เขามองลงมาจากข้างบนแล้วตะโกนลั่น “จินเหลียนอยู่ที่ใด จินเหลียนอยู่ที่ใด”
จินเหลียน?!
‘เขาไม่ใช่จินเหลียนหรือ จินเหลียนที่ตกสู่ทางมาร…’ พ่อมดระดับสูงขมวดคิ้วมุ่น
‘คนผู้นี้ไม่เพียงแต่จับดาบสยบดินแดนได้ แต่คล้ายจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับนิกายปฐพีเสียด้วย ดูจากท่าทีของผู้นำเต๋านิกายปฐพีแล้ว เหมือนจะเป็นอริมากกว่ามิตร…’ จี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่วไม่รู้เรื่องความลับภายในของนิกายปฐพี จึงเข้าใจว่าฐานะของแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้ลึกลับยิ่งกว่าเดิม
สตรีในชุดกระโปรงสีขาวจดจ้องไปที่ตัวของเขาและเริ่มรู้สึกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว นางไม่รู้เลยว่าสวี่ชีอันและผู้นำเต๋านิกายปฐพีเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา “จินเหลียนเคยขอร้องข้าให้ช่วยเขาชำระล้างสำนักและสังหารผู้นำเต๋าที่ตกสู่ทางมาร ข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธ กล่าวแค่ว่าหากในอนาคตมีเวลาว่างก็จะช่วยอย่างแน่นอน จินเหลียนยินดีตอบรับเชียวล่ะ”
“!”
เงาร่างมืดมิดถอยหลังหลายสิบจั้งแล้วจ้องเขม็งไปที่เขาอย่างดุร้าย ราวกับเป็นสัตว์ร้ายกินคนแต่กลับกลัวความแข็งแกร่งของนักล่าอย่างไรอย่างนั้น
‘เฮยเหลียนคือผู้นำเต๋านิกายปฐพี เขาเป็นยอดฝีมือระดับสองขั้นสูงสุด แต่คนผู้นี้กลับพูดอย่างง่ายดายว่าจะ ‘ชำระล้างสำนัก…’ จู๋จิ่วและจี๋ลี่จือกู่ใจตกไปที่ตาตุ่ม คนแข็งแกร่งเช่นพวกเขากลับไม่กล้าจะประมาทสักนิด
ไม่ใช่แค่เพราะอีกฝ่ายกำลังถือดาบสยบดินแดนอยู่หรอก แต่ยังเป็นเพราะความลึกลับและความแข็งแกร่งของตัวเขาด้วยที่ทำให้จอมพลังจากแดนเหนือทั้งสองรู้สึกรับมือได้ยาก
‘เขาไม่ได้พูดเลื่อนเปื้อนไปอย่างนั้นจริงๆ หรือ อืม ดูจากท่าทีของเฮยเหลียนแล้ว ราวกับว่าจินเหลียนไม่ได้ตกสู่ทางมารอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่รู้รายละเอียด แต่ในเมื่อจินเหลียนที่เฮยเหลียนกล่าวถึงผู้นั้นได้ไปขอร้องยอดฝีมือลึกลับผู้นี้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาคงเก่งกาจอย่างที่พูดจริงๆ…’ พอคิดถึงตรงนี้ พ่อมดระดับสูงก็รู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา
พ่อมดที่เชี่ยวชาญการทำนายทุกคนจะไม่ปลอดภัยหลังจากพบว่าเรื่องราวต่างๆ อยู่เหนือดวงชะตา
…
การต่อสู้ดุเดือดจบลง ความเงียบงันทางด้านนี้ดึงดูดความสนใจของชาวยุทธ์ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองและทหารคุ้มกันเมืองทั้งหลายทันที
ในฐานะที่ฉู่โจวเป็นเมืองหลักเมืองหนึ่ง ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ชาวยุทธ์ที่เข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้จึงมีจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าผู้ที่สิ้นชีพไปในการต่อสู้เมื่อครู่จะมีจำนวนมาก แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่ยังรอดชีวิตอยู่
เมืองฉู่โจวกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขามองไม่เห็นสมรภูมิรบ แต่คลื่นการต่อสู้อันรุนแรงน่าสะพรึงนั้นกลับหยุดลงดื้อๆ และคืนสู่ความสงบเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการคาดเดาจากผู้รอดชีวิตมากมาย
“จะ จบแล้ว? ใครชนะกันน่ะ เป็นพวกชนเผ่าอานารยชนหรือว่าอ๋องสยบแดนเหนือ?”
“ก็ต้องเป็นอ๋องสยบแดนเหนือสิ ต้องเป็นอ๋องสยบแดนเหนืออย่างแน่นอน หากเขาแพ้ พวกเราคงไม่อาจมีชีวิตรอด”
“มาดูสิ”
“เจ้าไม่ห่วงชีวิตแล้วหรือ จริงสิ เกิดอะไรขึ้นกับชาวบ้านในเมืองฉู่โจวกัน?”
กองทหารของชนเผ่าและทหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจล้อมกองทัพต้าฟ่งเอาไว้ แต่สถานการณ์การรบยังไม่ถึงขั้นรุนแรงเพราะตอนนี้กำแพงเมืองได้ถูกทำลายแล้ว อีกทั้งผู้นำและชินอ๋องของแต่ละฝ่ายก็กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในเมือง
พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากันถึงตาย อย่างมากก็แค่ดูเชิงเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นทหารที่ผ่านศึกมามากมายหรือว่าเป็นทหารชนเผ่าที่ดุดันต่างก็รักชีวิตตัวเองและไม่ต้องการเสียสละอย่างกล้าหาญทั้งนั้น
ดังนั้นทหารของแต่ละฝ่ายจึงมีเวลาว่างมาชมดูการเคลื่อนไหวในเมืองได้
เชวียหย่งซิวยืนอยู่บนกำแพงเมืองและมองดูชายชุดครามที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาด้วยความไม่สบายใจ เขาแยกไม่ออกว่าเป็นฝ่ายเว่ยเยวียนหรือไม่ เพราะการแต่งกายของอีกฝ่ายก็คล้ายคลึงกับรูปแบบการแต่งกายของเว่ยเยวียนอย่างยิ่ง ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ
หรือว่าจะเป็นจอมพลังระดับสูงที่เข้ามาแทรกแซงเพราะปัจจัยที่ไม่แน่นอนหลายอย่าง
หรืออาจจะใช่ทั้งสองอย่าง
‘เมืองฉู่โจวจะต้องกลายเป็นซากปรักหักพังแน่ คนที่ยังรอดตายอยู่ในเมืองก็จะต้องตกตายในที่สุด รวมถึงคณะทูตด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะสามารถปกปิดความจริงเรื่องการสังหารล้างเมืองด้วย ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานและมีอ๋องสยบแดนเหนือคอยปกป้องข้าอยู่ ยิ่งรวมกับฐานันดรกงอันยิ่งใหญ่ ทายาทของแม่ทัพผู้ก่อตั้งดินแดน และคุณงามความดีที่คุ้มกันชายแดนทางเหนือมาหลายปีของข้า ไม่ว่าจะเป็นเว่ยเยวียนหรือหวางเจินเหวินก็ทำอะไรข้าไม่ได้’
‘หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้นะ แต่คนผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงหยิบดาบสยบดินแดนขึ้นมาได้ ราชวงศ์มีบุคคลระดับสูงแบบนี้ด้วยหรือ ไม่รู้ว่าท่าทีของเขาเป็นอย่างไร อืม ไหวอ๋องเป็นชินอ๋องของต้าฟ่ง การเลื่อนขั้นสู่อันดับสองของเขาสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ในเมื่อคนผู้นี้สามารถหยิบดาบสยบดินแดนได้ ก็แสดงว่าเขาอยู่ฝ่ายต้าฟ่งสินะ’
‘คาดว่าคงจะชื่นชมความก้าวหน้าของอ๋องสยบแดนเหนือและอาจมาให้การสนับสนุนด้วย’
ความคิดของเชวียหย่งซิวแล่นวาบ เขาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียต่อไป
อีกด้านหนึ่ง หยางเยี่ยนกระโดดขึ้นหลังคาสูงแล้วมองไปยังสมรภูมิที่อยู่ไกลๆ
เพราะมีสายตาที่สามารถมองได้ไกล เขาจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงในที่นั้นได้อย่างชัดเจน และเห็นชายชุดครามนิรนามผู้นั้นกำลังถือดาบสยบดินแดนอยู่
หยางเยี่ยนมองไปที่ร่างนั้น แววตาฉายความงุนงงสับสนอย่างชัดเจน
“ฆ้องทองคำหยาง เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดการต่อสู้จึงหยุดลงเล่า เจ้ามองเห็นสิ่งใดหรือ”
ที่ใต้หลังคา เลขาธิการศาลต้าหลี่ตะโกนถามเสียงดัง
ทหารและผู้คุ้มกันในคณะทูตต่างเฝ้าระวังอยู่ทุกทิศทางเพื่อกันไม่ให้เผ่าพันธุ์ปีศาจ ชนเผ่าป่าเถื่อน หรือแม้แต่ทหารของอ๋องสยบแดนเหนือเข้ามาโจมตี
หยางเยี่ยนถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “มียอดฝีมือลึกลับคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาถือดาบดาบสยบดินแดนเอาไว้”
“อะไรนะ?”
ผู้ตรวจการทั้งสองและเจ้ากรมศาลต้าหลี่ต่างก็ตกตะลึง
ดาบสยบดินแดนปรากฏขึ้นในฉู่โจวตั้งแต่เมื่อใดกัน ไม่ใช่ว่ามันถูกสยบอยู่ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอมาตลอดหรอกหรือ
แถมยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นยังถือดาบสยบดินแดนเอาไว้ด้วย
เป็นไปได้อย่างไร
เมื่อครั้งนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นคนมอบดาบสยบดินแดนให้กับอ๋องสยบแดนเหนือด้วยองค์เอง นอกจากเหตุผลที่เขาเป็นยอดฝีมือที่มีพลังต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งในตอนนั้นแล้วก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้ที่ไม่ใช่คนในราชวงศ์ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากดาบสยบดินแดน
ดาบสยบดินแดนคือดาบประจำตัวของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่ง มันพิชิตดินแดนไปกับเขาทั่วทุกทิศและมีโชคชะตาแห่งต้าฟ่งสถิตอยู่ในนั้น
กระบี่เทพเล่มนี้มีจิตวิญญาณ
“แล้ว แล้วคนผู้นั้นเป็นใครกัน?” เจ้ากรมศาลต้าหลี่เอ่ยเสียงสั่น
หยางเยี่ยนส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบา “เขา…ทำให้ข้านึกถึงเว่ยกงในตอนนั้น เว่ยกงที่เข้าร่วมศึกในด่านซานไห่”
เมื่อพูดจบเขาก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ได้เอ่ยอธิบายอะไรอีก
“ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นเป็นมิตรหรือศัตรู?” หลิวยวี่สื่อเอ่ยถาม
“ไม่รู้เลย” หยางเยี่ยนส่ายหัวแล้วกล่าวเสริม
“แต่ในเมื่อเขาสามารถถือดาบสยบดินแดนได้ เช่นนั้น…เช่นนั้นก็คงเป็นหนึ่งในแผนการของอ๋องสยบแดนเหนือ”
เจ้ากรมศาลต้าหลี่หรี่ตาลง
หลิวยวี่สื่อกัดฟันเอ่ย “ดังนั้น แปลว่าการสังหารล้างเมืองเป็นแผนการที่คิดมาแล้ว เพื่อผลักดันไหวอ๋องและให้เขาเลื่อนสู่ขั้นสองสินะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถจับดาบสยบดินแดนและสังเวยชีวิตสามแสนแปดหมื่นคนได้ คนทั้งสามแสนแปดหมื่นคน มีทั้งเด็กและหนุ่ม มีทั้งสามีภรรยา ลูกชายลูกสาว คนแก่คนเฒ่า สุดท้ายก็ตายเช่นนั้น ตายกันหมด…เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย”
การต้องมองเห็นคนทั้งเมืองถูกสังเวยเลือดนั้น มีพลังรุนแรงกว่าการอ่านเอกสารราชการธรรมดาๆ เสียอีก
ทุกอย่างนี้ล้วนเกือบทำให้หลิวยวี่สื่อเกิดจิตมารเสียแล้ว
…
อ๋องสยบแดนเหนือหรี่ตา เขากลอกตาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ามาขัดจังหวะชะงักนิ่งของเราได้พอดี ชนเผ่าและปีศาจทางเหนือบุกเข้ามาในชายแดนของต้าฟ่งแล้วฆ่าชิงทรัพย์ปล้นสะดม ตอนนี้เป็นโอกาสแล้ว ฆ่าพวกมันซะ แล้วชายแดนทางเหนือของต้าฟ่งจะสงบสุขตลอดไป”
เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ในเมื่อได้รับการยอมรับจากดาบสยบดินแดน ก็ย่อมไม่ใช่คนจากชนเผ่าหรือเผ่าปีศาจแน่
เขาจึงดึงความเกลียดชังและใช้ความแค้นเนิ่นนานระหว่างต้าฟ่งกับสองชนเผ่านั้นมาโน้มน้าวยอดฝีมือลึกลับผู้นี้ให้ร่วมมือสังหารจี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่วด้วยกันกับเขา
ส่วนเรื่องการสังหารหมู่นั้น รอให้เขาหาวิธีชิงดาบสยบดินแดนมาได้แล้วค่อยว่ากันอีกที
เมื่อได้ยินอ๋องสยบแดนเหนือกล่าวเช่นนั้น จี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่วก็หันเหความสนใจไปที่สวี่ชีอันราวกับเจอศัตรูตัวฉกาจทันที พวกเขาเตรียมตัวป้องกันไม่ให้คนผู้นั้นถือดาบสยบดินแดนโจมตีเข้ามา
“ข้ามาฆ่าเจ้าต่างหาก!”
ชายชุดครามเอ่ยขึ้น คำพูดนี้สร้างความตกตะลึงให้กับยอดฝีมือระดับสูงทั้งหลายในที่นั้น ซึ่งต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
รอยยิ้มบนใบหน้าของอ๋องสยบแดนเหนือค่อยๆ เลือนหายไปแล้วจดจ้องเขาด้วยสายตาคมกริบ “เจ้าว่าอะไรนะ”
สวี่ชีอันไม่สนใจเขา เขาค่อยๆ ลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศสูง จากนั้นอักขระสีดำสนิทคล้ายเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว
ร่างกายของเขาเริ่มโป่งพองขึ้น เสื้อผ้าก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ผิวหนังที่เปิดเผยสู่ภายนอกเป็นสีดำสนิทราวกับมิใช่มนุษย์ มันเต็มไปด้วยพลังระเบิดราวกับตีหลอมขึ้นจากเหล็กวิเศษ
สวี่ชีอันในชั่วขณะนี้ดูชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าผู้นำเต๋านิกายปฐพีเสียอีก ทั่วร่างของเขามีเปลวไฟมารสีดำสนิทราวกึ่งเทพกึ่งมารลุกโชนอยู่
“นะ นี่มัน…เทพจากที่ใดกัน?”
สีหน้าของพ่อมดระดับสูงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
จิ่วโจวมีจอมยุทธ์ระดับสูงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
บนกำแพงเมืองและในเมือง ชาวยุทธ์ที่ยังเหลือรอด ชนเผ่าที่ยังคงอยู่ในการต่อสู้ ทหารชายแดนเหนือ และเผ่าพันธุ์ปีศาจ ต่างก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ชั่วร้ายและแกร่งกล้าได้ทันที
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาแทบจะกุมดาบไว้ไม่อยู่ ในใจผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา
‘อ๋องสยบแดนเหนือ สมควรตายนัก!’
กลางอากาศ สวี่ชีอันที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีดำสนิทราวกับกึ่งเทพกึ่งมารเอ่ยด้วยเสียงดังราวกับฟ้าร้อง เหมือนกำลังกล่าวโองการที่ประกาศโดยทวยเทพ
“อ๋องสยบแดนเหนือ เจ้ายึดถือประโยชน์ส่วนตนเพราะต้องการเลื่อนสู่ขั้นสอง จึงสังหารหมู่ชาวบ้านสามแสนแปดหมื่นคนในฉู่โจว ชีวิตเหล่านั้นล้วนสิ้นไปก็เพราะเจ้า ชาวแดนเหนือเคารพรักเจ้าดุจดั่งเทพเจ้า และมองเจ้าเป็นผู้คุ้มครองชายแดนผู้ช่วยชาวเมืองให้รอดพ้นจากกีบเท้าเหล็กของชนเผ่าป่าเถื่อน แล้วเจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดให้สร้างศพเดินได้ หลอมกลั่นแก่นโลหิตโดยใช้วิชาลับของสำนักพ่อมด และทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้มาตลอดหนึ่งเดือน อ๋องสยบแดนเหนือ เจ้าคู่ควรกับชาวต้าฟ่งที่เคารพรักเจ้าด้วยหรือ คู่ควรกับจักรพรรดิผู้ก่อตั้งดินแดนอย่างยากลำบากด้วยหรือ คู่ควรกับวิญญาณบรรพชนผู้กล้าในอดีตด้วยหรือ คู่ควรกับดวงวิญญาณสามแสนชีวิตด้วยหรือ
“เจ้ามันตัวสารเลว”
เสียงตะโกนดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
เมื่อสวี่ชีอันพูดจบ ในหัวก็ผุดภาพชาวบ้านที่ล้มตายด้วยคันศรขึ้นมา พวกเขาร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิต แต่กลับถูกคมดาบฟันแทงจิตใจ
มีนักปราชญ์ผู้คลุ้มคลั่งตะโกนถาม แต่หลังจากถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม เขาก็ยังคงส่งสายตาจ้องเขม็งไปยังมือสังหาร แววตานั้นทั้งสิ้นหวังและโกรธเคือง
ทั้งยังผุดภาพของแววตาไร้หนทางและเจ็บปวดของมารดาที่ปกป้องลูกไว้ใต้ร่าง แต่กลับไม่อาจคุ้มครองเขาได้ สุดท้ายทั้งตนและเด็กก็ล้วนถูกแทงตายไปด้วยกัน
และยังผุดภาพใบหน้าก่อนตายของบุตรชายคนรองของสมุหเทศาภิบาลที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด และภาพท่าทางของเจิ้งซิ่งไหวที่กำลังร้องไห้แทบตาย
รวมไปถึงเสียงกรีดร้อง เสียงตะโกน และเสียงร้องไห้ของดวงวิญญาณทั้งหลาย
ปรัชญาสามทัศน์ของสวี่ชีอันสั่นคลอนจากเสียงคร่ำครวญของดวงวิญญาณแค้นเหล่านั้น วันนี้หากไม่สังหารอ๋องสยบแดนเหนือ ตนก็ไม่อาจสงบลงได้
…
ทหารแดนเหนือหลายหมื่นนายตกอยู่ในความโกลาหล ต่างก็สงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือไม่
“เขาบอกว่าอ๋องสยบแดนเหนือเป็นผู้สังหารหมู่หรือ เขาบอกว่าชาวเมืองฉู่โจวสิ้นชีพไปเพราะฝีมือของอ๋องสยบแดนเหนือที่สมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดอย่างนั้นหรือ”
“เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ชาวเมืองฉู่โจวยังมีชีวิตอยู่กันอย่างดีเลย แต่เป็นเพราะชนเผ่าอารยชนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่รุกรานเข้ามาจึงต้องตกตายต่างหาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้วิชาชั่วร้ายเพื่อเข่นฆ่าชาวเมืองทุกคน”
เสียงพูดคุยดังขึ้นในหมู่ทหารและเซ็งแซ่ไปทั่ว
บางคนตะโกนด่าออกมา บางคนงุนงงไม่เข้าใจ บางคนอธิบายแทนอ๋องสยบแดนเหนืออย่างร้อนรน ต่างก็ไม่สามารถยอมรับความจริงข้อนี้ได้
เนื่องจากถูกฐานะจำกัดการรับรู้ไว้ ทหารระดับล่างจึงไม่รู้แผนการของอ๋องสยบแดนเหนือ และยิ่งไม่รู้เรื่องความลับของการกลั่นยาโลหิตด้วย แม้ว่าเมื่อครู่พวกเขาจะได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดในเมือง แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจกับภาพตรงหน้าได้
ทหารที่สังหารล้างเมืองในวันนั้นเดิมก็เป็นทหารศพที่อยู่ใต้คำสั่งของพ่อมดระดับสูงทั้งนั้น
สำนักพ่อมดสามารถควบคุมร่างศพและวิญญาณให้เกิดความกระหายเลือดได้ ดังนั้นก็ย่อมชำนาญวิธีการชำระล้างและหลอมกลั่นแก่นโลหิต แต่ก่อนหน้านั้น ผู้คนเหล่านั้นจะต้องตายเสียก่อน เพราะพ่อมดไม่อาจควบคุมคนเป็น
การใช้วิชาศพมาชำระเลือดและหลอมกลั่นแก่นโลหิตเป็นวิธีที่เร้นลับและปลอดภัย จึงไม่มีชนเผ่าหรือเผ่าพันธุ์ปีศาจคนใดพบเห็น แม้แต่โหรก็ยังถูกปิดตาไว้ได้
เนื่องจากพ่อมดมีพลังที่สามารถแทรกแซงความลับของสวรรค์และชะตากรรมได้นั่นเอง
ดวงวิญญาณของชาวบ้านที่ตกตายไปเหล่านั้นจะถูกผนึกอยู่ในร่างก่อน และจนกว่ายาโลหิตจะถูกปลอมสำเร็จ พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าตนได้ตายไปแล้ว
เพราะเป็นเช่นนี้ แล้วทหารระดับล่างจะเข้าใจความลึกลับนั้นได้อย่างไร
นอกจากทหารเหล่านี้ก็ยังมีชาวยุทธ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาได้แต่ฟังเสียงตะโกนถามและตกอยู่ในความตะลึง
จากนั้นก็เกิดความสงสัยอันแรงกล้าขึ้นมา พวกเขาคิดว่ายอดฝีมือที่ดุร้ายพลังเทียมฟ้าคนนั้นกำลังใส่ร้ายอ๋องสยบแดนเหนืออยู่
อ๋องสยบแดนเหนือปกป้องชายแดนมาหลายสิบปีและคอยขับไล่พวกชนเผ่าออกไป เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสายการฝึกยุทธ์ของต้าฟ่งเชียวนะ ความสำเร็จของเขา ผู้คนในใต้หล้าล้วนเห็นกับตาทั้งนั้น
แต่จู่ๆ ก็มียอดฝีมือลึกลับคนหนึ่งโผล่ออกมาชี้หน้าว่าอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ล้างเมือง เช่นนี้ใครเขาจะเชื่อกัน
“มีแต่คำพูดไร้สาระทั้งนั้น ขอให้อ๋องสยบแดนเหนือสังหารเขาด้วยเถิด”
“หากสถานการณ์ไม่สู้ดี พวกเราที่เป็นทหารกล้าต้องออกแรงเพื่อช่วยฉู่โจว ชาวฉู่โจวอย่างเราไม่กลัวตายหรอก”
“แต่คนผู้นั้นถือดาบสยบดินแดนอยู่นะ ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ได้รับการยอมรับจากดาบสยบดินแดนมีเพียงคนในราชวงศ์เท่านั้น คำที่เขาพูดคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกกระมัง…”
…
“ด่าได้ดี ถูกใจข้าเชียวล่ะ เป็นชินอ๋องแล้วอย่างไร โหดเหี้ยมเช่นนี้ต่างจากสัตว์เดรัจฉานตรงไหน” หลิวยวี่สื่อตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ เขาก่นด่าน้ำลายกระเซ็น
“คนผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือลี้ลับในราชวงศ์ต้าฟ่งอย่างแน่นอน เขาเป็นตัวแทนของวิถีสวรรค์ที่จะมาสยบอ๋องสยบแดนเหนือ”
“พูดตามตรง หากต้องเสียสละชีวิตชาวเมืองเพื่อให้ได้ยอดฝีมือขั้นสองมา เช่นนั้นต้าฟ่งของข้าก็สมควรเป็นอาณาจักรคนตายแล้ว อ๋องสยบแดนเหนือทำผิดยิ่งนัก เขาทำผิดมหันต์” เจ้ากรมศาลต้าหลี่กล่าวอย่างขุ่นเคือง
เหล่าขุนนางบุ๋นต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะมียอดฝีมือลุกขึ้นมาประณามอ๋องสยบแดนเหนือแล้วเปิดเผยความผิดของเขา ทั้งยังกล่าวว่าจะสังหารเขาเช่นนี้ด้วย
แม้จะไม่ได้ทำตัวเป็นคนดีมาหลายปี แต่ชั่วขณะนี้ เมื่อยอดฝีมือลึกลับผู้นี้เอ่ยประณามอ๋องสยบแดนเหนือ ในใจของเขาก็เกิดความยินดีที่ ‘ความชั่วร้ายไม่อาจเอาชนะความดี’ ขึ้นมา
“ชาวบ้านอาจตายในสงครามหรือตายในเงื้อมมือของชนเผ่าและเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ได้ แต่อย่างมากก็ฆ่าพวกนั้นกลับเท่านั้น วันนี้ลงมือสังหารเมืองของต้าฟ่งไปหนึ่งเมือง พรุ่งนี้ต้าฟ่งของข้าก็จะทำลายส่วนหนึ่งของพวกเขาเสีย นี่คือความแค้นระหว่างประเทศคู่อริ ที่ไม่ตายไม่เลิกรา”
หัวหน้ามือปราบเฉินกำหมัดแน่นแล้วเอ่ยลอดไรฟันว่า
“แต่ประชาชนไม่ควรมาตายด้วยน้ำมือของอ๋องสยบแดนเหนือ ก่อนตายพวกเขาล้วนคิดว่าอ๋องสยบแดนเหนือเป็นเสาหลักของต้าฟ่งและเป็นวีรบุรุษที่คอยคุ้มครองพวกเขา ทว่าวีรบุรุษผู้นี้กลับจับดาบมาฟาดฟันพวกเขาเพื่อช่วงชิงแก่นโลหิตไป เพียงเพราะแค่ต้องการให้ตนเลื่อนสู่ขั้นสอง นี่มันน่าสังเวชเกินไปแล้ว! อ๋องสยบแดนเหนือฆ่าลงไปได้อย่างไร เขามันหมาขโมยชัดๆ เป็นตัวสารเลวโหดเหี้ยมเย็นชาของจริง”
จอมยุทธ์ย่อมมีจุดที่เลือดร้อน หัวหน้ามือปราบเฉินไม่สนใจในฐานะชินอ๋องของอีกฝ่ายอีกต่อไป เพียงคิดว่าอ๋องสยบแดนเหนือสมควรแก่ความตาย
ส่วนที่ว่าชายแดนเหนือจะเป็นอย่างไรต่อหลังจากอ๋องสยบแดนเหนือตายไปนั้น
‘เฮอะ ชินอ๋องที่สามารถสังเวยคนทั้งเมืองได้เพื่อตัวเองเช่นนี้ หากเขาไม่ตาย แล้วจะรอให้เขาสังเวยสิบๆ เมืองเพื่อให้บรรลุสู่ขั้นหนึ่งอย่างนั้นหรือ’
แม้ว่าชนเผ่าป่าเถื่อนจะปล้นฆ่าแย่งชิง แต่จำนวนที่ฆ่าไปก็ไม่ได้มากเท่ากับอ๋องสยบแดนเหนือ
หลังจบศึกที่ด่านซานไห่ ชนเผ่าก็เก็บตัวพักฟื้นนานสิบกว่าปี จากนั้นที่มารุกรานชายแดนอยู่บ่อยๆ ก็เพื่อปล้นสะดมเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีสงครามใหญ่โตอะไรอีก
แต่อ๋องสยบแดนเหนือล่ะ?
ชาวเมืองสามแสนแปดหมื่นคน บอกจะฆ่าก็ฆ่า บอกจะล้างเมืองก็ล้าง
เช่นนั้นในอนาคตเมื่อเขาอยากจะเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งจะทำอะไรต่อกันเล่า?
คนอื่นๆ ต่างก็เข้าใจหลักเหตุผลนี้กันทั้งนั้น ดังนั้นเจ้ากรมศาลต้าหลี่จึงได้เอ่ยอย่างโศกเศร้าและเจ็บใจว่า ‘ขอให้ศึกนี้เผ่าอนารยชนเป็นผู้ชนะ’
…………………………………………………………….