ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 375-2 กลับเมืองหลวง (2)
บทที่ 375 กลับเมืองหลวง (2)
สามวันต่อมา หลังจากผ่านไปนานกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดสมุหเทศาภิบาลเจิ้งผู้เดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพักก็กลับมาถึงเมืองฉู่โจวอีกครั้ง
เจิ้งซิ่งไหวผมหงอกทั้งศีรษะก้าวขึ้นไปบนกำแพงเมืองทีละก้าว เขามองเห็นเมืองฉู่โจวที่เคยรุ่งเรืองในอดีตกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง ทุกที่ล้วนมีแต่ซากกำแพงแตกหัก ผืนแผ่นดินเต็มไปด้วยร่องรอยของหายนะ
กำแพงเมืองทางเหนือพังลงมาครึ่งหนึ่ง ประตูเมืองทิศตะวันตกก็แตกหักเสียหาย
ทหารกว่าสองหมื่นนายกระจายอยู่ในเมือง ต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตนเอง บางคนกำลังค้นหาอาหารแห้งหรือแป้งหมี่ แม้ว่าเมืองจะเสียหายอย่างหนัก แต่สิ่งของที่ซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินก็ยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี และในซากปรักหักพังที่เสียหายอย่างหนักนี้ก็ยังหาของต่างๆ ได้มากเลยทีเดียว
ทหารบางคนกำลังซ่อมแซมบ้านเรือนเพื่อใช้เป็นค่ายที่พักชั่วคราวให้กับทหารกว่าสองหมื่นนาย
บางคนก็กำลังซ่อมแซมกำแพงเมือง
ส่วนบางคนกำลังทำพิธีศพให้กับทั้งสหายและชาวบ้านในเมือง รวมถึงศพของชนเผ่าอารยชนกับเผ่าปีศาจด้วย
งานเหล่านี้ดำเนินการได้อย่างเป็นระเบียบมาสามวันแล้ว
“ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกเรื่องนี้เอาไว้เพื่อเตือนคนรุ่นต่อไป ขณะเดียวกันก็จะจารึกความผิดบาปของอ๋องสยบแดนเหนือ ให้เขาถูกประณามไปเป็นหมื่นๆ ปี”
ผู้ตรวจการหลิวปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา คณะทูตรู้เรื่องการรอดพ้นความตายของเจิ้งซิ่งไหวมาจากหลี่เมี่ยวเจินแล้ว และเข้าใจว่าเจิ้งซิ่งไหวที่พวกเขาเห็นในเมืองนั้นเป็นตัวปลอม
ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของพ่อมดระดับสามคนนั้นนั่นเอง ไม่อย่างนั้นจะตบตาหยางเยี่ยนที่อยู่ระดับสี่ได้อย่างไร
“ราชสำนักจะตัดสินโทษอ๋องสยบแดนเหนือจริงหรือ” สมุหเทศาภิบาลเจิ้งเอ่ยเสียงต่ำ
“ชัยชนะมาจากการช่วงชิง” หลิวยวี่สื่อเอ่ยเน้นทีละคำ
ตอนนี้เอง พวกสวี่ชีอัน หยางเยี่ยน และหัวหน้ามือปราบเฉินก็พากันขึ้นมาบนกำแพงเมือง ฆ้องเงินสวี่ผู้รับผิดชอบคดีเอ่ยเสียงขรึม “ต่อไปพวกเราก็ต้องกลับเมืองหลวงแล้ว กลับเมืองหลวงครั้งนี้ก็เพื่อตัดสินความผิดของอ๋องสยบแดนเหนือและสรุปคดี แต่ก่อนหน้านั้น สมุหเทศาภิบาลเจิ้งควรใช้สุราเซ่นสังเวยดวงวิญญาณในเมืองเสียก่อน”
ผู้บังคับการเฉินเซียวถือไหสุราเข้ามาแล้วเข้าไปหา
สมุหเทศาภิบาลเจิ้งรับไหสุรามาแล้วมองลงไปด้านล่างอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะได้เคารพสุรา เขาก็ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อหวนรำลึกถึงครึ่งชีวิตแรกของตน
…
เจิ้งซิ่งไหวเกิดที่เมืองจางโจว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในสองเมืองยุ้งฉางแห่งต้าฟ่ง แต่สมัยเด็กๆ ครอบครัวของเขายากจนมาก มารดาทำหน้าที่คอยซักผ้าและปักผ้าให้กับบ้านของคนมีอันจะกิน เขามีชีวิตที่ยากลำบากยิ่ง
เจิ้งซิ่งไหวในสมัยหนุ่มจะรอคอยฤดูเก็บเกี่ยวในช่วงใบไม้ผลิมากที่สุด เพราะเขาจะสามารถไปเกี่ยวข้าวที่ทุ่งนาของคนอื่นได้
ข้าวสาลีหนึ่งตะกร้าทำให้เขากับมารดากินโจ๊กไปได้สามวัน แต่จะเก็บมาเยอะกว่านี้ก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกทุบตี
หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวผ่านไป ความยากลำบากที่สุดนั้นอยู่ในฤดูหนาว ทุกครั้งที่มาถึงฤดูหนาว มือเท้าของเขาจะแห้งแตกเสมอ ส่วนมารดาก็ต้องไปซักเสื้อผ้าให้คนอื่นริมแม่น้ำที่เย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวก็ตาม เพื่อแลกมาซึ่งเหรียญทองแดงสักสองสามเหรียญ
มารดาทำเช่นนี้จนสามารถเก็บเงินส่งเขาร่ำเรียนและพอให้เขาสามารถเข้าไปอยู่ในราชวิทยาลัยหลวงได้
เจิ้งซิ่งไหวในวัยสิบหกปีเข้าสู่ราชวิทยาลัยหลวง ศึกษาเล่าเรียนอย่างยากเย็นอยู่สิบปี และในปีหยวนจิ่งที่สิบเก้า เขาก็มีชื่อเสียงและยศศักดิ์ ได้เลื่อนขั้นเป็นบัณฑิตขั้นสูง
เขารีบกลับมาโดยไม่หยุดพักเพราะอยากบอกข่าวดีนี้ให้มารดาได้รับรู้ พร้อมตั้งใจจะรับมารดาไปอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ร่วมเสวยสุขกับช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ด้วยกัน ทำให้คนที่เคยพูดชาเย็นชาไม่ไยดีก่อนหน้านั้นต้องหันมามองใหม่
แต่เขากลับได้พบกับหลุมฝังศพของมารดาผู้อายุสั้นแทน
มารดาเขาจากไปหลายปีแล้วและไม่เคยมีใครบอกเขาเลย ส่วนจดหมายจากบ้านนั้น ญาติๆ ช่วยกันเขียนให้แทน เพราะสตรีธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากคนนี้ไม่ปรารถนาที่จะให้ตนส่งผลกระทบใดๆ ต่อการเล่าเรียนของลูกชายที่สุด
เจิ้งซิ่งไหวคุกเข่าตรงหน้าหลุมศพของมารดาหนึ่งวันหนึ่งคืน
อาชีพของเจิ้งซิ่งไหวไม่ราบรื่นเท่าใดนัก เพราะเขานั้นแข็งทื่อเกินไป และไม่คิดร่วมมือทำเรื่องเลวร้ายกับใคร ตอนนั้นเขาได้ทำให้สมุหราชเลขาธิการสมัยนั้นโกรธเคือง จึงถูกโยกย้ายมายังฉู่โจวที่อยู่ชายแดนตอนเหนือ แล้วทำงานเป็นนายอำเภอระดับแปด
ตอนแรกเขาไม่ชอบฉู่โจวเลยสักนิด เพราะที่ชายแดนทั้งยากลำบากและผู้คนก็ป่าเถื่อน ในที่สุดชายผู้ที่ตึงแน่นอย่างเขาก็เริ่มโอนอ่อน เขาเริ่มสั่งสมและสร้างความสัมพันธ์กับคนรู้จัก โดยหวังว่าตนจะถูกย้ายกลับไปยังเมืองหลวงได้
จนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป ชนเผ่าอารยชนก็ยกทัพมาทางทุ่งหญ้าและปล้นสะดมไปหลายสิบลี้
หลังจากนั้น เจิ้งซิ่งไหวก็ถูกส่งไปปลอบโยนชาวบ้านและสังเกตสถานการณ์ เขาเดินอยู่บนคันนาและมองดูพืชผลที่ถูกทหารม้าเหล็กเหยียบย่ำ เขาเดินอยู่บนถนนหลวง มองดูศพที่ถูกชนเผ่าอารยชนกลืนกินจนเหลือแต่ซาก เขาเดินเข้าไปในภูเขา และมองเห็นชาวบ้านที่โชคดีพอจะรอดชีวิตมาได้ พร้อมทั้งมองเห็นใบหน้าอ่อนล้าน่าเวทนาของพวกเขา
เจิ้งซิ่งไหวจึงคิดถึงมารดาที่จากไปหลายปีของตน
ต่อมาสมุหราชเลขาธิการคนนั้นก็ตอบรับเขาโดยการพูดคุยกับสหายสนิทในวงราชการ และวางแผนจะส่งตัวเขากลับเมืองหลวง
แต่ในตอนนั้น เจิ้งซิ่งไหวไม่อยากไปจากเมืองฉู่โจวแล้ว เพราะเขาได้มอบจิตวิญญาณและกายใจทั้งหมดของตนให้กับดินแดนแห่งนี้ไปแล้ว
เขาทำงานอย่างหนัก บางคราก็คอยจัดการงานราชการจนดึกดื่นไม่หลับนอน ราวกับหากทำเช่นนี้จะสามารถชดใช้หนี้ให้กับมารดาได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ช่วงชีวิตสิบแปดปีผ่านไปแล้ว ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาล้วนมอบให้กับฉู่โจว จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้ชีวิตหนุ่มโสดอยู่เพียงลำพัง
“ลาภยศและศักดินาคือกระดาษหนึ่งแผ่น สุดท้ายก็สลายกลายเป็นขี้เถ้า…” สมุหเทศาภิบาลเจิ้งหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจ
จากนั้นก็รินสุราลงมา สาดลงบนฝุ่นธุลี
…
เนิ่นนานก็ยังไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งอารมณ์ของเจิ้งซิ่งไหวกลับมาเป็นปกติแล้ว เจ้ากรมศาลต้าหลี่จึงกระแอมไอขึ้นว่า
“เชวียหย่งซิวหนีไปได้ อ๋องสยบแดนเหนือถูกสังหาร แต่ความผิดของพวกเขายังไม่ได้นำไปเปิดเผยต่อสาธารณะ สมุหเทศาภิบาลเจิ้งคือพยานคนสำคัญ ท่านจะต้องตามพวกเรากลับเมืองหลวงด้วย แต่สภาพเช่นนี้ของเมืองฉู่โจวและชายแดนเหนือในตอนนี้ก็จำเป็นต้องมีคนรักษาการ….”
หลิวยวี่สื่อขมวดคิ้วแล้วเอ่ยวิเคราะห์ “ชาวเมืองเมืองฉู่โจวสามแสนแปดหมื่นคนเสียชีวิต เรื่องต่อจากนี้ง่ายดายมาก เราจำเป็นต้องจัดวางทหารสองหมื่นนายเพื่อคุ้มกันเมืองไว้ ส่วนอำเภออื่นๆ ก็ให้รักษาสภาพเดิม ไม่จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ ชนเผ่าอารยชนและชนเผ่าปีศาจเพิ่งจะเจอกับศึกหนักไป ตอนนี้คงหวาดกลัวจนไม่กล้าหืออือ พวกเขาเกรงกลัวยอดฝีมือลึกลับผู้นั้น ภายในเวลาสั้นๆ จึงไม่มีทางเข้ามารุกรานชายแดนได้ ถึงขั้นอาจนานหลายปีเลยทีเดียว”
เจิ้งซิ่งไหวครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วมองไปที่หยางเยี่ยน “บัณฑิตไม่เชี่ยวชาญการศึก ข้าจัดการเรื่องราชการได้ แต่เรื่องดูแลกองทัพนั้นควรอยู่ในมือผู้เชี่ยวชาญ ฆ้องทองคำหยาง ในที่นี้เจ้ามีพลังฝึกตนสูงที่สุด ทั้งยังมีประสบการณ์ดูแลกองทัพด้วย คงจะสามารถดูแลและปรามทหารที่ยังตื่นตระหนกได้”
หยางเยี่ยนพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “ได้”
ความจริงแล้วหัวหน้าก็เหมือนเป็นจูกว่างเสี้ยวที่เลื่อนขั้นแล้วสินะ เขาเงียบขรึมนิ่งงัน แต่ฝีเท้ามั่นคงน่าเชื่อถืออย่างมาก…สวี่ชีอันไม่ได้เอ่ยขัดจังหวะตั้งแต่ต้นจนจบ
เพราะสิ่งที่เขาจะพูดล้วนถูกขุนนางบุ๋นผู้นี้พูดไปหมดแล้ว
“จริงสิ” เขาพลันนึกได้ “ศพของอ๋องสยบแดนเหนือต้องนำกลับไปเมืองหลวงด้วย เขาเป็นตัวหลักในคดีนี้ แม้จะตายก็ต้องนำกลับเมืองหลวงไป”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” สมุหเทศาภิบาลเจิ้งพยักหน้า
ศพของอ๋องสยบแดนเหนือไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำกลับเมืองหลวง
ในคดีนี้ การสังหารอ๋องสยบแดนเหนือเป็นเพียงข้อสรุปขั้นแรกและเป็นการอธิบายคดีที่สมบูรณ์แบบแล้ว
เมื่อเห็นว่าพูดคุยทุกอย่างเสร็จสิ้น หยางเยี่ยนก็มองไปที่สวี่ชีอันแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าตามข้ามา”
หัวหน้า ท่าทางเคร่งเครียดของท่านกับน้ำเสียงเย่อหยิ่งแบบนั้น เหมือนกับครูประจำชั้นสมัยมัธยมต้นของข้าเลย…แต่สวี่ชีอันก็ยังเดินตามเข้าไปอย่างเชื่อฟัง
ทั้งสองเดินไปตามกำแพงเมือง หลังจากเดินมาไปพักหนึ่ง หยางเยี่ยนก็หยุดแล้วหันกลับมาเอ่ย
“ตอนที่อ๋องสยบแดนเหนือสังเวยชีวิตประชาชน ข้าเห็นดวงวิญญาณของชาวเมืองจมลงสู่พื้นดิน ราวกับว่าใต้ดินมีค่ายกลแฝงอยู่ แต่เมื่อข้าลองไปหาดูหลังจากจบเรื่อง ถึงจะขุดลึกไปถึงสามฉื่อก็ยังไม่เจออะไร”
วิญญาณจมลงไปใต้ดิน? นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย อ๋องสยบแดนเหนือฆ่าล้างเมืองก็เพื่อหลอมยาโลหิตไม่ใช่เหรอ…หลังจากสวี่ชีอันได้ยินเรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกก็คือ
เมี่ยวเจิน ข้าต้องการเจ้า!
หากมีเรื่องที่ไม่รู้ในด้านวิญญาณก็ต้องไปหาหลี่เมี่ยวเจิน หากวิชาความรู้ของหลี่เมี่ยวเจินยังอธิบายได้ไม่ชัดเจน เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ยังมีตาเฒ่าเหรียญปากผีนักบวชเต๋าจินเหลียนอยู่อีกคน
หยางเยี่ยนจ้องมองเขาแล้วเอ่ยถาม “เจ้ามีเบาะแสใดหรือไม่”
ประโยชน์ของเส้นสายนั้นชัดเจนมาก ดังนั้นข้าจำเป็นต้องสานปลาต่อเบ็ดให้ใหญ่ขึ้นแล้ว จริงสิ ยังไม่ได้มอบดาบเล็กที่แกะสลักจากหยกหวงโหยวให้กับแม่สาวทหารคนนั้นเลย…สวี่ชีอันคิดออกนอกประเด็น เขาเอ่ยเสียงขรึม
“หัวหน้า รอข้าสักครู่ ข้าจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย”
หยางเยี่ยนรู้ว่าเขาครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอยู่ นักบวชเต๋าจื่อเหลียนในตอนนั้นก็เป็นหยางเยี่ยนเองที่บุกเดี่ยวไปสังหาร
สวี่ชีอันเดินมาที่ป้อมบนกำแพงเมืองแล้วหามุมสงบๆ แห่งหนึ่ง ก่อนหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา จากนั้นเขียนข้อความในฐานะของหมายเลขสาม ‘นักบวชเต๋าจินเหลียน ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว’’
เย็นย่ำเช่นนี้แล้ว ต้องมาเห็นสมาชิกพรรคฟ้าดินส่งข้อความแบบนี้อีก ในใจของพวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่
ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น หลี่เมี่ยวเจินสตรีเหล็กผู้นั้นก็ขอให้ปิดกั้นทุกคนไปตั้งสามวันกว่าๆ ตอนนี้หมายเลขสามก็ยังทำแบบเดียวกันอีกแล้วหรือ
ผ่านไปพักหนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ส่งข้อความตอบ ‘มีเรื่องใด?’
หมายเลขสาม ‘เมี่ยวเจินล่ะ ให้เมี่ยวเจินเข้ามาพูดคุยด้วยได้’
…นักบวชเต๋าจินเหลียนถอนหายใจแล้วส่งข้อความต่อ ‘เมี่ยวเจิน เจ้าส่งข้อความได้’
หมายเลขสอง ‘เจ้าหาข้ามีเรื่องใด มีอะไรก็พูดมา ถ้าไร้สาระก็ไสหัวไป’
เป็นอะไรล่ะเนี่ย โมโหอะไรขนาดนั้น สวี่ชีอันส่งข้อความบอก ‘เหมือนเจ้าจะไม่ค่อยพอใจ เป็นอะไรไปล่ะ’
หลี่เมี่ยวเจิน ‘เฮอะ ผู้หญิงของเจ้าคนนั้นเป็นอะไรมากหรือไม่ นางแทบจะเปลี่ยนสาวใช้ของข้าไปเป็นของตัวเองแล้ว คนไม่รู้คงได้คิดว่านางเป็นพระมเหสีแน่ ท่าทีสงบจิตสงบใจนั่นก็น่ารำคาญชะมัด’
เจ้าเป็นศาสดาพยากรณ์เหมือนกับจงหลีหรือยังไง สวี่ชีอันส่งข้อความปลอบใจหลี่เมี่ยวเจิน ‘อย่าไปคิดหยุมหยิมกับนางเลย นางแค่เคยชินน่ะ’
พระมเหสีโง่เง่าผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจหรอก นางเป็นพระมเหสีมาครึ่งชีวิต เสื้อผ้าอาหารต่างๆ ล้วนมีคนรับใช้คอยจัดการให้จนกลายเป็นความเคยชินของชีวิตไปแล้ว ไม่ใช่บอกว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้
เว้นเสียแต่หลี่เมี่ยวเจินจะเหมือนกับเขาที่คอยทุบตีพระมเหสีไม่หยุด
หลี่เมี่ยวเจิน ‘มีอะไรก็ว่ามา อย่าขัดเวลาข้าทำสมาธิ’
เห็นได้ชัดว่าความโกรธยังไม่ลดลง โกรธไปเถอะ เดี๋ยวข้าก็ง้อเอง…สวี่ชีอันส่งข้อความบอก
‘ข้าคิดว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น ด้วยความสามารถของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินแล้ว เพียงนำพลังจิตส่วนหนึ่งไปไว้ที่การฝึกตนก็สามารถอยู่เหนือคนรุ่นเดียวกันได้แล้วนะ’
หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความ ‘ฮึ ข้าว่าเจ้ากำลังยอข้าอยู่ต่างหาก’
นางอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
สวี่ชีอัน ‘นักบวชเต๋าจินเหลียนคิดว่าอย่างไร’
นักบวชเต๋าจินเหลียน ‘ข้าคิดว่าพวกเจ้าไม่เคารพข้าเลยสักนิด’
เหมือนกับห้องเรียนที่กำลังโหวกเหวกเสียงดังแล้วมีอาจารย์ประจำชั้นเดินเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น สวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินไม่กล้าสนทนาต่อด้วยซ้ำ สุดท้ายสวี่ชีอันก็นำกลับเข้าสู่ประเด็น เขาส่งข้อความอธิบายสถานการณ์ต่อ
‘เป็นเช่นนี้ ตอนที่อ๋องสยบแดนเหนือสังเวยชีวิตชาวเมืองฉู่โจว หยางเยี่ยนเห็นกับตาว่าวิญญาณของชาวเมืองถูกสูบลงไปใต้ดิน แต่หลังจากจบเรื่องกลับไม่พบเบาะแสใดๆ เลย’
หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับ ‘มีร่องรอยของค่ายกลหรือไม่’
หยางเยี่ยนไม่ได้กล่าว เช่นนั้นก็แปลว่าไม่มี…สวี่ชีอันตอบ ‘ไม่มี’
หลี่เมี่ยวเจินไม่พูดอะไร
ท่ามกลางความเงียบ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ส่งข้อความขึ้นมา ‘ได้ฟังเมี่ยวเจินเล่าเรื่องสถานการณ์เมื่อหลายวันก่อน ยอดฝีมือที่เข้าร่วมด้วยมีผู้นำเต๋านิกายปฐพีและสำนักพ่อมด อ่า ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งในด้านจิตเดิม ค่ายกลอาจจะมีหรือไม่มีเลยก็ได้’
‘อืม แม้ว่าลัทธิเต๋าและสำนักพ่อมดจะฝึกผีเลี้ยงวิญญาณ แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีทางเก็บรวบรวมวิญญาณมากมายขนาดนั้นได้ เว้นเสียแต่ว่าจะหลอมยาวิญญาณ’
ในบ้านมีคนชราคือสมบัติ นักบวชเต๋าจินเหลียนมีประสบการณ์เยอะมากจริงๆ…สวี่ชีอันส่งข้อความบอก ‘ยาวิญญาณ? ยาวิญญาณคืออะไร ทำหน้าที่อะไร’
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความตอบ ‘หน้าที่ของมันมีมากมาย อย่างเช่นเพิ่มระดับจิตเดิม เป็นวัสดุหลอมยา หลอมของวิเศษ ซ่อมแซมวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ บ่มเพาะจิตวิญญาณ เป็นต้น อาจเป็นไปได้ว่าผู้นำเต๋านิกายปฐพีคิดจะหลอมยาวิญญาณ นอกจากนี้ ปราณอาฆาตและความโกรธแค้นที่เกิดจากการฆ่าล้างเมืองซึ่งเป็นความชั่วร้ายใหญ่ยิ่งของโลก ก็ถือว่าเป็นยาชูกำลังชั้นดีสำหรับเขา’
ดังนั้นผู้นำเต๋านิกายปฐพีจึงร่วมมือกับอ๋องสยบแดนเหนือเพื่อหลอมยาวิญญาณอย่างนั้นหรือ สวี่ชีอันพยักหน้าเงียบๆ
หมายเลขสาม ‘หากเป็นเช่นนี้ เขาจะฆ่าล้างเมืองต่อไปหรือไม่ ผู้นำเต๋านิกายปฐพีอยู่ระดับสองเสียด้วย’
สวี่ชีอันถามอย่างเป็นกังวล
หมายเลขเก้า ‘อ่า เขาไม่กล้าหรอก เพราะเขาอยู่ห่างจากทัณฑ์สวรรค์แค่เพียงเส้นเดียวเท่านั้น ดังนั้น…สภาพของเขาในตอนนี้จึงไม่กล้าก่อเหตุอะไรหรอก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงว่าเขาจะฆ่าล้างเมืองเพื่อเอาวิญญาณ เว้นแต่ว่าเขาไม่อยากอยู่ต่อแล้ว’
สวี่ชีอันโล่งใจในทันที
หลังจากส่งข้อความเสร็จ เขาก็กลับไปที่กำแพงเมือง
หยางเยี่ยนหันมามองทันที
สวี่ชีอันไตร่ตรองดู “เมื่อครู่จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ วิญญาณเหล่านั้นน่าจะถูกหลอมเป็นยาวิญญาณ เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นของตอบแทนสำหรับการร่วมมือระหว่างผู้นำเต๋านิกายปฐพีกับอ๋องสยบแดนเหนือ”
‘ยาวิญญาณคือ สิ่งชั่วร้ายครั้งใหญ่ ที่ผู้นำเต๋านิกายปฐพีบอกอย่างนั้นหรือ?’ หยางเยี่ยนพยักหน้าเบาๆ
ตอนนั้นเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ก็ได้ยินชัดเจน
“ต่อจากนั้นก็สรุปคดีฆ่าล้างเมืองฉู่โจว ทำให้อ๋องสยบแดนเหนือและเชวียหย่งซิวแบกรับความผิดที่สมควรได้รับ เรื่องนี้จะต้องถูกขัดขวางอย่างแน่นอน…” หยางเยี่ยนกล่าว
“หากมีเรื่องใดก็ให้ไปหาเว่ยกง ฟังความเห็นของเขาเยอะๆ อย่าหุนหันพลันแล่น เข้าใจหรือไม่”
ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เอ่ยเสียงต่ำ “หากเว่ยกงคิดว่าเรื่องนี้ขัดขืนไม่ได้ เจ้าก็ห้ามฝืน”
สวี่ชีอันมองเขาไม่พูดอะไร
…
ต้นเดือนห้า แรกฤดูร้อน
เรือหลวงแล่นแหวกคลื่นน้ำมาจากฉู่โจว แล้วค่อยๆ เข้าสู่เขตของเมืองหลวง สุดท้ายก็มาเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือ
ทุกคนในคณะทูตยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือแล้วมองไปยังท่าเรือที่พลุกพล่าน แล้วพลันถอนหายใจออกมา
ตอนที่พวกเขาไปยังฉู่โจวเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อกลับมาเมืองหลวง ก็เข้าสู่ต้นฤดูร้อนเสียแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ สำหรับคนธรรมดาทั่วไป มันสามารถนำไปคุยโวได้ทั้งชาติ
ขณะที่ทุกคนในคณะทูตพากันโล่งอกโล่งใจ ความแน่วแน่ในแววตาของพวกเขาก็ลุกโชนขึ้นมา
พวกเขากำลังจะนำข่าวใหญ่มาสู่เมืองหลวง
ต้าฟ่งไม่มีอ๋องสยบแดนเหนืออีกต่อไป
……………………………………………………………..