ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 376 จักรพรรดิหยวนจิ่งโกรธจัด
บทที่ 376 จักรพรรดิหยวนจิ่งโกรธจัด
ตามกฎแล้วขุนนางที่ลงพื้นที่ตรวจสอบและสืบสวนคดี หลังจากกลับมายังเมืองหลวง สิ่งแรกที่ต้องทำคือเข้าวังไปพบเจ้าหน้าที่และรายงานผล
แต่ก่อนหน้านั้น ต้องส่งเอกสารด่วนหรือไม่ด่วนมายังเมืองหลวงล่วงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นการถวายรายงานตอนขึ้นศาลหรือเรื่องใหญ่เช่นนี้ก็จำเป็นต้องส่งเอกสารมายังเมืองหลวงก่อน เรื่องเร่งด่วนก็เป็นเอกสารด่วนหกร้อยลี้ถึงแปดร้อยลี้ตามระดับ
เรื่องที่ไม่เร่งด่วนก็ต้องส่งเอกสารกลับมายังเมืองหลวงล่วงหน้าหนึ่งก้าว
นี่ก็เพื่อศักดิ์ศรีของจักรพรรดิ เมื่อเผชิญกับเรื่องราวใหญ่โตจะได้มีจิตใจสงบนิ่ง และเพื่อให้จักรพรรดิมีเวลาไปครุ่นคิดและหารือกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่สนิทมากขึ้น
แต่ยกเว้นสถานการณ์หนึ่ง นั่นก็คือการก่อกบฏ
เมืองฉู่โจวถูกสังหารหมู่จนหมดสิ้น เมืองล่มสลายผู้คนต่างล้มตาย อ๋องสยบแดนเหนือถูกประหารชีวิตในเมือง ต้าฟ่งจึงไม่มีแม่ทัพสวรรค์ผู้ปกป้องประเทศอีกต่อไป เรื่องใหญ่เช่นนี้ควรจะเป็นเอกสารด่วนแปดร้อยลี้ หากม้าสามารถงอกปีกได้ เอกสารด่วนหนึ่งพันลี้ก็ไม่เกินจริง
แต่คณะทูตกลับไม่ส่งเอกสารล่วงหน้าและไม่แจ้งราชสำนัก แน่นอนว่าคณะทูตไม่ได้ต้องการก่อกบฏ
“พวกเราต้องโจมตีราชสำนักกับฝ่าบาทไม่ให้ทันตั้งตัว!”
นี่คือสิ่งที่สมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหวกล่าว
เมื่อราชสำนักวุ่นวายเพราะเรื่องนี้ เขาถึงจะสามารถไกล่เกลี่ยและทำงานจากจุดนั้นได้ ไปเยี่ยมเพื่อนเก่าในสมัยนั้น ไปเยี่ยมสมุหราชเลขาธิการหวางและรวมกลุ่มขุนนางบุ๋นทั้งหมดเข้าด้วยกัน
เมื่อคณะทูตออกจากเรือหลวง โลงศพก็ถูกแบกโดยทหารรักษาวัง ศพของอ๋องสยบแดนเหนือถูกจัดแสดงในโลงศพ ซึ่งศพที่ประกอบขึ้นมาก็ค่อนข้างสมบูรณ์
บนท่าเรือ หัวหน้าคนงานผู้มากประสบการณ์ตำหนิพวกแรงงานให้ถอยไปทันทีและไม่อนุญาตให้กีดขวางเจ้าหน้าที่เหล่านี้หรือแม้แต่มุงดู
เนื่องจากสถานการณ์เช่นนี้มักจะหมายความว่า ในบรรดาเจ้าหน้าที่มีผู้เสียสละ หากเจ้าแสดงสายตากับท่าทางราวกับกำลังชมการแสดงที่ยอดเยี่ยม เป็นไปได้อย่างมากว่าจะดึงดูดความโกรธของสหายของผู้ตาย
หัวหน้าคนงานหลายคนเคยเจอเรื่องที่คล้ายกันปีก่อน เมื่อช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในคลองยังมีน้ำแข็งลอยอยู่และเรือหลวงที่ว่ากันว่ามาจากอวิ๋นโจวก็มาถึงท่าเรือ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งแบกโลงศพหลายโลงลงมา มีหัวหน้าคนงานสองสามคนคิดว่าอยู่ไกล จึงกระซิบกระซาบ ชี้นิ้วและใช้เป็นหัวข้อสนทนาคุยฆ่าเวลา
สุดท้ายถูกฆ้องเงินที่เป็นหัวหน้าหักขา ต่อยฟันร่วงหมดปาก โยนลงคลองและเสียชีวิตไป
ทุกคนแบกโลงศพจากท่าเรือเข้าไปที่เมือง เข้าไปที่เมืองชั้นใน เข้าไปที่เขตพระราชฐานและถูกขวางไว้ด้านนอกกำแพงพระราชวัง
สวี่ชีอันยืนอยู่ด้านหน้า ด้านซ้ายเป็นผู้ตรวจการสองนาย ด้านขวาเป็นเลขาธิการศาลต้าหลี่กับหัวหน้ามือปราบเฉิน
“เจ้าจงไปรายงานฝ่าบาทว่า คณะทูตที่เดินทางไปสืบสวนคดีที่ฉู่โจวกลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงานผล” สวี่ชีอันออกคำสั่ง
“ใต้เท้าทุกท่าน โปรดรอสักครู่”
หน่วยองครักษ์ราชวัลลภที่ป้องกันเมืองโค้งคำนับและพูด จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในวัง
…
ภายในตำหนักบรรทม จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งขัดสมาธิ หลับตาและฝึกลมหายใจ
ขันทีคนหนึ่งรีบเดินมาที่ธรณีประตู ก้มศีรษะและไม่ส่งเสียงใดๆ
ขันทีชราในชุดคลุมงูเหลือมที่ยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิหยวนจิ่งเหลือบมองประตู มองจักรพรรดิเฒ่า ก้าวเล็กๆ เข้าไปและกระซิบ “มีเรื่องอันใด”
ขันทีน้อยกระซิบข้างหูสองสามประโยค
ขันทีชราในชุดคลุมงูเหลือมได้ยินก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็โบกมือไล่ขันทีออกไป
เขากลับมาข้างกายจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างเงียบๆ และเอ่ยเสียงเบาอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท…”
ตอนจักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งสมาธิบำเพ็ญตบะ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้รบกวน เว้นเสียแต่ว่าจะมีเรื่องสำคัญ
ขันทีชราติดตามจักรพรรดิหยวนจิ่งมานานหลายปีและยังคงมีความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
จักรพรรดิหยวนจิ่งลืมตาและเอ่ยช้าๆ “มีอะไร”
ขันทีชราโค้งคำนับ “คณะทูตที่เดินทางไปสืบสวนคดีที่ฉู่โจวกลับมาแล้ว ขณะนี้รอฝ่าบาทเรียกพบอยู่ด้านนอกวังพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว มองไปทางขันทีชราและถามว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นเอกสารที่ส่งมาจากฉู่โจวจากสำนักราชเลขาธิการ”
คณะทูตกลับมาเมืองหลวงแล้ว เขาเพิ่งจะรู้เรื่องนี้
จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ตา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยช้าๆ “เรียกพวกเขามาที่ห้องทรงพระอักษร”
ขันทีชราหันกายจากไป
ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งไร้อารมณ์ ราวกับรูปปั้นที่ลึกลับและน่าสะพรึงกลัว
…
เมื่อคณะทูตทุกคนได้รับรายงานก็ตามขันทีชุดดำเข้าไปในวัง คนที่เหลือรวมถึงโลงศพโลงนั้น แน่นอนว่าไม่สามารถเข้าไปในวังได้
แม้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะนอนอยู่ข้างในก็ต้องถูกจักรพรรดิเรียกพบถึงจะสามารถเข้าไปในวังได้ ยิ่งไปกว่านั้นจนถึงตอนนี้ นอกจากคณะทูต ไม่มีใครในพระราชวังรู้ว่าศพในโลงนั้นเป็นทหารอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง น้องชายของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
เมื่อเข้าไปในห้องทรงพระอักษรอันกว้างขวางและหรูหรา ทุกคนต่างก็รออย่างเงียบๆ หนึ่งเค่อต่อมา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็นำขันทีสองสามคนเข้ามา
จักรพรรดิเฒ่าที่สวมชุดคลุมเต๋าและมีผมสีดำสยายแขนเสื้อปลิวไสว เขาไม่ได้นั่งหลังโต๊ะตัวใหญ่ แต่หยุดอยู่เบื้องหน้าคณะทูตทุกคน ดวงตาอันน่าเกรงขามกวาดมองใบหน้าของพวกเขาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ข้าส่งคนไปถามสำนักราชเลขาธิการ แต่กลับไม่ได้รับเอกสารของพวกเจ้าก่อนล่วงหน้า”
จักรพรรดิเฒ่าเหลือบมองสวี่ชีอัน ดูเหมือนจะคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นทหารต่ำช้า คร้านจะตอบ จึงหันไปมองผู้ตรวจการสองนายกับเลขาธิการศาลต้าหลี่
“พวกเจ้าก็ไม่รู้กฎเช่นกันหรือ”
ผู้ตรวจการสองนายกับเลขาธิการศาลต้าหลี่ก้มศีรษะลง โดยไม่รอให้พวกเขาตอบ เจิ้งซิ่งไหวก้าวมาข้างหน้าและคำนับ
“ฝ่าบาท เมืองฉู่โจวถูกทำลายไปแล้ว จะส่งเอกสารอย่างไร”
จักรพรรดิหยวนจิ่งเพิ่งสังเกตเห็นเขาและมองพินิจอยู่ครู่หนึ่ง “เจิ้งซิ่งไหว ในฐานะสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจว เจ้ากล้ากลับมาเมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนักได้อย่างไร”
นี่เป็นความผิดฐานละทิ้งหน้าที่โดยพลการ
เจิ้งซิ่งไหวหัวเราะอย่างขมขื่นและสบตากับจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างไม่ยอมแพ้ “เมืองฉู่โจวไม่มีแล้ว สมุหเทศาภิบาลเช่นข้าก็เหลือเพียงแต่ชื่อเท่านั้น”
แทนตัวเองว่า ‘ข้า’ ไม่ใช่ ‘กระหม่อม’ ความคิดของใต้เท้าเจิ้งมีบางอย่างผิดปกติ…ท่าทีเมินเฉย ไม่เกรงกลัวเลยหรือ สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“เหตุใดถึงพูดเช่นนี้” คิ้วของจักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดเข้าหากัน
เจิ้งซิ่งไหวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยเสียงดัง “เพื่อจะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสอง หัวหน้าทหารของฉู่โจว อ๋องสยบแดนเหนือสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดและผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพี สังหารสามแสนแปดหมื่นชีวิตในเมืองฉู่โจว กระหม่อม ขอยื่นหนังสือฟ้องร้องอ๋องสยบแดนเหนือ ขอฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิต และลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือด้วย”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยิบพระราชสาส์นออกมาจากในแขนเสื้อและมอบให้ด้วยสองมือ
“กระหม่อม ขอยื่นหนังสือฟ้องร้องอ๋องสยบแดนเหนือ ขอฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตและลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือด้วย”
คณะทูตทุกคนหยิบพระราชสาส์นออกมาตามๆ กันและมอบให้ด้วยสองมือ ในบรรดานั้น หนังสือของสวี่ชีอันเป็นหนังสือที่หลิวยวี่สื่อเขียนแทน
แม้สวี่ชีอันจะไม่ยอมรับว่าตัวเองต่ำช้าและมั่นใจว่าตัวเองได้รับการศึกษาภาคบังคับถึงเก้าปี มีวิชาความรู้กว้างไกล แต่ของอย่างเรียงความโบราณ เขากลับทำได้เพียงยอมจำนน ซึ่งบ่งบอกว่าเขาทำอะไรไม่ได้
สาเหตุหลักเป็นเพราะการเขียนพู่กันเลอะเทอะจริงๆ
เมื่อทราบข่าว ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งกลับไร้ความรู้สึก เขามองคณะทูตทุกคนอย่างนิ่งงัน ครู่หนึ่ง เขาก็ยกมือขึ้นและยื่นไปรับพระราชสาส์นด้วยอาการสั่นเล็กน้อย
ผ่านไปพักใหญ่ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็อ่านพระราชสาส์นจบและถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อ๋องสยบแดนเหนือ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ทักษะการแสดงของจักรพรรดิชั่วยอดเยี่ยมจริงๆ เขากับเว่ยกงสามารถแสดงบนเวทีเดียวกันได้ และแย่งชิงตำแหน่งนักแสดงนำยอดเยี่ยม…สวี่ชีอันเยาะเย้ยจักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยการบ่นพึมพำ
เรื่องการสังหารหมู่ จักรพรรดิหยวนจิ่งจะไม่รู้ได้อย่างไร หรือว่าเขาก็เป็นหนึ่งในผู้วางแผนอยู่เบื้องหลัง
เขาจงใจถามเช่นนี้ เขาคงคิดว่าอ๋องสยบแดนเหนือยังคงมีความสุขสำราญใจอยู่ที่ชายแดนทางเหนือ
“ฝ่าบาท!”
สวี่ชีอันที่เป็นผู้รับผิดชอบก้าวออกมา เขารู้สึกว่าดาบนี้ควรจะแทงออกไปด้วยตัวเขาเอง
เขากล่าวด้วยอารมณ์ “ฝ่าบาทวางใจเถิด อ๋องสยบแดนเหนือไม่ใช่คน สวรรค์จึงโค่นล้ม ตอนนี้ถูกประหารชีวิตแล้ว คณะทูตเคลื่อนศพของเขากลับมายังเมืองหลวง ตอนนี้อยู่ด้านนอกพระราชวัง จะจัดการศพของคนชั่วช้าผู้นี้อย่างไร ขอฝ่าบาทโปรดตัดสินด้วย”
‘เปรี้ยง!’
ข้างหูราวกับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งซีดเผือดทันที สีเลือดจางไปทั้งหมด
เขามองสวี่ชีอันอย่างเลื่อนลอย ดวงตาแดงก่ำขึ้นทีละนิด ราวกับถูกโจมตีอย่างหนัก ครานี้เสียงของเขาแหบจริงๆ แล้ว
“เจ้า เจ้า พูดอะไร…เจ้าพูดอะไรออกมา”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดัง “ฝ่าบาท ศพของอ๋องสยบแดนเหนืออยู่ด้านนอกพระราชวัง ม้าห้าตัวแยกศพ ฝ่าบาทวางใจเถิด สิ้นพระชนม์โดยสมบูรณ์”
‘ตุ้บๆๆ…’ หน้าผากของจักรพรรดิหยวนจิ่งราวกับถูกแท่งไม้ทุบตี เขายืนไม่มั่นคงไปชั่วขณะ โซเซถอยหลังไปและกำลังจะหงายหลังล้มลง
“ฝ่าบาท!”
ขันทีชรากรีดร้องโหยหวนและก้าวไปประคองจักรพรรดิหยวนจิ่ง เพื่อรักษาศักดิ์ศรีสุดท้ายของจักรพรรดิไว้
“ไสหัวไป!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งเสียงคำรามต่ำ เขาผลักขันทีชราอย่างแรงและวิ่งโซซัดโซเซออกจากห้องทรงพระอักษรไป แผ่นหลังของเขาดูตื่นตระหนัก ใบหน้าของเขาก็ซีดขาวราวกับกระดาษ
เขาไม่อาจรักษาศักดิ์ศรีกับความสงบนิ่งของจักรพรรดิแห่งประเทศได้อีกต่อไป
“เร็ว รีบตามไปเร็ว คุ้มกันฝ่าบาท คุ้มกันฝ่าบาท…”
เสียงกรีดร้องของขันทีชราค่อยๆ ห่างออกไป
สวี่ชีอันก้มศีรษะลงและยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
จักรพรรดิหยวนจิ่งพุ่งออกจากห้องทรงพระอักษรและวิ่งไปอย่างไร้ภาพลักษณ์ ลมพัดเครายาวของเขาขึ้นและพัดดวงตาของเขาจนแดง ทำให้เขาดูไม่เหมือนจักรพรรดิ แต่ดูเหมือนชายผู้น่าสงสารที่กำลังหลบหนี
ประตูพระราชวังค่อยๆ ปรากฏขึ้น จักรพรรดิหยวนจิ่งเห็นทหารรักษาวังที่ออกเดินทางไปกับคณะทูตและโลงศพที่ทหารรักษาวังแบกอยู่ ในเวลานี้เอง เขากลับหยุดลง
ขันทีชรานำขันทีกับเหล่าทหารรักษาพระองค์ไล่ตามจักรพรรดิหยวนจิ่งทันในที่สุด เขาจึงโล่งอก
พวกเขาก้าวช้าลงและยืนอยู่ข้างหลังจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างเงียบๆ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด
ผ่านไปพักหนึ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ยกเท้าขึ้นอีกครั้ง เขาเดินไปทางทหารรักษาวังช้าๆ เดินออกประตูพระราชวังและเดินไปที่โลงศพ
“วางลง!”
จักรพรรดิเฒ่าพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
โลงศพค่อยๆ ถูกวางลง
จักรพรรดิหยวนจิ่งยืนนิ่งเงียบและมองฝาโลงอย่างว่างเปล่า ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ยื่นมือออกไปกดลงบนฝาโลง ขณะที่สัมผัสฝาโลง เส้นเลือดบนหน้าผากของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็นูนขึ้น
เนื่องจากฝาโลงบางมาก นี่เป็นโลงศพบางๆ ซึ่งเป็นการให้เกียรติอ๋องสยบแดนเหนือในเชิงสัญลักษณ์ สุดท้ายแล้วก็ต้องส่งกลับเมืองหลวง
น้องชายของเขาสมควรได้นอนในโลงศพแบบนี้เท่านั้นหรือ
ฝาโลงถูกเปิดออกอย่างช้าๆ จักรพรรดิหยวนจิ่งที่เห็นภาพด้านในจู่ๆ ก็หายใจถี่ขึ้น
ศพของอ๋องสยบแดนเหนือเหี่ยวเฉา เหมือนซากมัมมี่ที่ผุกร่อนมานานหลายปี มือ เท้า หัวและลำตัวของเขาแยกออกจากกัน
‘แก๊ง แก๊ง…’
ทหารรักษาวังกับหน่วยองครักษ์ราชวัลลภที่อยู่ตรงนั้นคุกเข่าลงและยืนเป็นพยานความเศร้าโศกของจักรพรรดิ ซึ่งถือเป็นความผิดฐานดูหมิ่นอันใหญ่หลวง
แต่ก็มักจะมีคนหัวรั้นหลายคน เช่น สวี่ชีอันกับคณะทูตทุกคนที่ตามออกมา
สวี่ชีอันไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาคุกเข่าลงด้วยท่าเสือหมอบ เพื่อแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิและพูดด้วยน้ำเสียงลึกซึ้ง
“ฝ่าบาทต้องทรงรักษาพระวรกาย ไม่โศกเศร้ามากเกินไปและต้องเข้าใจว่าความรู้สึกที่ลึกซึ้งเป็นเรื่องยากที่จะคงอยู่นานแสนนาน”
จักรพรรดิหยวนจิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ และบรรเทาความเกลียดชังของเขาลงเล็กน้อย จึงได้ยินชายคนนี้พูดว่า “หากประชาชนของฉู่โจวรู้ว่าฝ่าบาทเศร้าโศกเช่นนี้เพื่อพวกเขา คนที่ตายไปแล้วก็คงจะปลาบปลื้มใจ”
ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งแข็งทื่อ เขาจ้องสวี่ชีอันอย่างดุร้าย
เวลานี้สวี่ชีอันก้มศีรษะลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นสายตาอันดุร้ายที่บอกเป็นนัยว่า ‘หุบปาก’ ของจักรพรรดิหยวนจิ่งและกล่าวเสียงดังต่อว่า
“อ๋องสยบแดนเหนือสังหารประชาชนสามแสนแปดหมื่นคนในเมืองฉู่โจว ถึงตายก็ยังไม่สาสมแก่บาปกรรม แต่เขาตายแล้ว โทษฐานก็ไม่ได้รับการยืนยัน จะเปิดเผยศพหรือนำศพออกมาโบย ขอฝ่าบาทตัดสินด้วยเถิด กระหม่อมไม่คัดค้าน”
หน่วยองครักษ์ราชวัลลภที่คุ้มกันเมืองเกิดโกลาหลขึ้น
พวกเขาเพิ่งรู้ว่า ศพที่นอนอยู่ในโลงศพคืออ๋องสยบแดนเหนือผู้ทรงเกียรติ ทหารอันดับหนึ่งของต้าฟ่งและเป็นน้องชายของฝ่าบาท
ทหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้จบสิ้นแล้วหรือ
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าคือ เขา อ๋องสยบแดนเหนือสังหารประชาชนสามแสนแปดหมื่นคนในเมืองฉู่โจวงั้นหรือ
เมื่อเผชิญกับข่าวที่สะเทือนขวัญเช่นนี้ ไม่มีใครสามารถจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ เสียงพูดคุยจึงดังขึ้นทันที แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะอยู่ตรงนี้ แต่ก็ไม่อาจทำให้หน่วยองครักษ์ราชวัลลภเงียบเสียงได้
จักรพรรดิหยวนจิ่งยกมือขึ้น ชี้ออกไปไกลๆ ริมฝีปากที่ขาดสีเลือดค่อยๆ สบถออกมา “ไสหัวไป!”
สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและพูดต่อ “ฝ่าบาทตั้งใจจะประกาศให้ใต้หล้ารู้เมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“สวี่ชีอัน!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งคำรามอย่างลืมตัวทันที ร่างทั้งร่างสั่นไปด้วยความโกรธ หน้าอกของเขาราวกับจะระเบิดออกมาและคำรามว่า
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ หรือ ตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้า ตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้า…”
เขาตั้งท่าจะชักดาบพกของทหารรักษาวังที่อยู่ข้างๆ ออกมา
“ขอฝ่าบาททรงรักษาพระวรกายด้วย ข้าน้อยขอตัวก่อน”
เมื่อสวี่ชีอันเห็นว่าเป้าหมายบรรลุแล้ว เขาก็จากไปอย่างรู้หน้าที่
“ไสหัวไป ไสหัวออกไป!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งคำรามเสียงดัง
สมุหเทศาภิบาลเจิ้งอยากจะแสดงท่าทีแข็งกร้าว แต่ถูกหลิวยวี่สื่อคว้าแขนเสื้อไว้ พวกเขาจึงโค้งคำนับพลางแยกย้ายกันไป
คณะทูตทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปและไม่ได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัวมากนัก แต่สิ่งที่ควรพูดกับเรื่องที่ควรหารือก็กำหนดบนเรือหลวงมาก่อนแล้ว
…
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดสวี่ชีอันก็กลับมา เขามาที่ด้านล่างหอเฮ่าชี่ด้วยจุดประสงค์ที่ชัดเจน หลังจากผ่านทหารรักษาพระองค์ เขาก็ขึ้นไปที่ชั้นเจ็ด
เว่ยเยวียนสวมชุดสีครามที่ปักลายเมฆสีฟ้าครามและรวบผมยาวด้วยปื่นสีเขียวเข้มเรียบๆ รูปลักษณ์ก็สง่างามผสานกับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาและดวงตาที่ผันผวน
เสน่ห์ของชายชราวัยกลางคนหน้าตาดีพุ่งมาปะทะใบหน้า
เว่ยเยวียนกำลังเล่นหมากล้อมด้วยมือซ้ายกับมือขวา โดยมือซ้ายบิดเป็นสีดำและมือขวาหนีบสีขาว เขาเงยหน้าขึ้นมองเขาและเอ่ยเสียงเรียบ “กลับมาแล้วหรือ”
สวี่ชีอันร้อง ‘อืม’ ออกมา เขาไม่ได้ทำความเคารพและมานั่งที่โต๊ะเงียบๆ
“อ๋องสยบแดนเหนือตายแล้ว!”
เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ตายแล้วก็คือตายแล้ว”
เว่ยเยวียนจ้องมองกระดานหมากล้อมและขมวดคิ้ว เขาไม่สนใจสวี่ชีอันโดยสิ้นเชิงและเอ่ยว่า “เจ้ารอก่อน ข้าเล่นหมากเกมนี้จบค่อยคุยกัน”
สวี่ชีอันยื่นมือไปปัดกระดานหมากล้อมทันที
‘แก๊งแก๊ง…’ หมากสีขาวกับสีดำกระจัดกระจายไปทั่ว
เว่ยเยวียนโกรธ เขายกมือขึ้นหมายจะตี แต่ก็ค่อยๆ วางลงและส่งเสียงฮึดฮัด “จะตีเจ้า ข้าก็ยังมือเจ็บอยู่ ไปชงชา”
เมื่อสวี่ชีอันชงชาเสร็จ เขาก็ยกถ้วยชาขึ้นมาเป่า แต่ไม่ดื่มและพูดด้วยน้ำเสียงไม่รีบร้อน “เจ้ามีอะไรอยากถามหรือ”
สวี่ชีอันไม่พูดจาไร้สาระและถามอย่างตรงไปตรงมา “เว่ยกงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือทำการสังหารหมู่คือเมืองฉู่โจวหรือ”
เว่ยเยวียนพยักหน้า
จู่ๆ เผ่าปีศาจกับเผ่าอนารยชนก็สั่งให้ทหารลงใต้ ชี้ดาบไปที่เมืองฉู่โจว เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นข้อมูลที่เว่ยกงรั่วไหลออกไป…สวี่ชีอันมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงเลือกถามอีกคำถามหนึ่งก่อน
“เว่ยกงรู้ได้อย่างไร เท่าที่ข้าน้อยรู้ แม้แต่โหรที่ฝึกด้วยตัวเองที่สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจกับเผ่าอนารยชนกับเศษเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจต่างก็อับจนหนทาง”
“เดา!”
เว่ยเยวียนยิ้ม “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง วรยุทธ์สามารถทำให้คนมีพลังเลิศล้ำได้ แต่การพึ่งพาวรยุทธ์มากเกินไป สุดท้ายจะทำให้ตาบอด”
คำตอบนี้เกินความคาดหมายของคนไร้ประโยชน์สวี่ เขาขมวดคิ้วแน่น
“เว่ยกงหมายความว่า ท่านเดาว่าเป็นเมืองฉู่โจวเพราะรู้จักอ๋องสยบแดนเหนือหรือ แต่เผ่าปีศาจกับเผ่าอนารยชนก็รู้จักอ๋องสยบแดนเหนือเหมือนกัน”
เว่ยเยวียนยิ้มเยาะในทันที “ใครบอกเจ้าว่าข้าเดาว่าเป็นอ๋องสยบแดนเหนือ”
…………………………………………………