ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 381 เปิดฉาก 2
บทที่ 381 เปิดฉาก 2
วันที่ห้าหลังจากร่างของอ๋องสยบแดนเหนือถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวง ยามอิ๋นท้องฟ้าพลันมืดสนิท
ด้านนอกประตูอู่ ภายใต้ตะเกียงหิน เปลวเทียนส่องประกายแสงสีส้ม พร้อมด้วยคบเพลิงที่ถือโดยทหารรักษาวังสองนาย
ท่ามกลางลมหนาว เหล่าขุนนางมารวมตัวกันที่ประตูอู่ รอคอยให้ถึงรุ่งสางอย่างเงียบๆ ขุนนางที่คุ้นหน้าคุ้นตากันก้มหัวพูดคุยกระซิบกระซาบเป็นครั้งคราว ทว่ามวลรอบตัวยังคงเงียบเชียบ
พวกเขารออย่างใจจดใจจ่อประหนึ่งกระบวนการกลั้นหายใจ ลำพองตัว แต่กลับยับยั้งไว้ภายใน รอคอยโอกาสที่จะระเบิดออกมา
‘ตึงตึงตึง…’
เมื่อแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้า ปราการบนประตูอู่พลันส่งเสียงรัวกลอง
เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารต่างจัดตั้งขบวนอย่างพร้อมเพรียง มุ่งหน้าเข้าไปในประตูวังที่ค่อยๆ เปิดออกตามลำดับ
ตำหนักกระดิ่งทอง!
ขุนนางระดับสี่ขึ้นไปก้าวเข้าไปในท้องพระโรง รอคอยเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งในเสื้อคลุมนักบวชเต๋าจะปรากฏตัวในภายหลัง
หลังจากที่ไม่ได้พบหลายวัน จักรพรรดิชราองค์นี้ดูอิดโรยลงไปเล็กน้อย ถุงใต้ตาปูดบวม ดวงตาสองข้างแดงก่ำ สะท้อนภาพพี่ชายผู้ที่สูญเสียน้องชายด้าวยความเจ็บปวดเหลือแสน
เหล่าขุนนางบุ๋นต่างตกตะลึง พวกเขาทราบดีว่าฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและการบำรุงพระวรกายเป็นที่สุด ตั้งแต่ได้บำเพ็ญเพียร ร่างกายก็แข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
เคยดูซีดเซียวเช่นนี้เสียที่ไหน?
หลายคนมองหน้ากันเพียงเงียบๆ ตะลึงงันภายในใจ
ขันทีชราเหลือบมองจักรพรรดิหยวนจิ่งพลางกล่าวเสียงกังวาน “หากมีราชกิจขอให้เอ่ยแจ้ง หากไม่มีก็กลับไปได้”
สมุหเทศาภิบาลฉู่โจว เจิ้งซิ่งไหวก้าวออกจากแถว เดินมาหยุดตรงหน้าผู้คน ก่อนโค้งคำนับและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“กราบทูลฝ่าบาท หัวหน้าผู้บัญชาการแห่งฉู่โจวไหวอ๋องสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดและผู้นำเต๋านิกายปฐพีเพื่อเลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นสองด้วยความเห็นแก่ตัว จึงได้สังหารผู้คนเป็นจำนวนสามแสนแปดหมื่นคนในเมืองฉู่โจว ตั้งแต่สถาปนาต้าฟ่ง การกระทำอันโหดร้ายนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่มีผู้ใดอภัยให้ได้ ได้โปรดฝ่าบาททรงลดตำแหน่งไหวอ๋องให้เหลือเพียงสามัญชน แล้วแขวนคอเขาให้อยู่ในเมืองเป็นเวลาสามวัน เพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณที่พยาบาททั้งสามแสนแปดหมื่นดวง…ให้เป็นประจักษ์โดยทั่วหล้า”
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเขาอย่างลึกซึ้ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
สิ่งทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือแม้จะเผชิญหน้ากับอารมณ์คุกรุ่นภายใต้ความนิ่งเงียบขององค์จักรพรรดิ ทว่าสมุหเทศาภิบาลฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหวกลับไร้ความหวาดกลัว เพียงจ้องเขม็งอย่างไม่ลดละ
ขณะนั้นสมุหราชเลขาธิการหวางที่ติดตามมาได้กล่าวด้วยความนอบน้อม
“การกระทำของไหวอ๋องสร้างความโกรธเคืองให้กับผู้คนในวงกว้าง บัดนี้เมืองหลวงเต็มไปด้วยความโกลาหล ชาวฉู่โจวนั้นหาญกล้า หากไม่สามารถให้คำอธิบายแก่ไพร่ฟ้าได้ เกรงว่าชะตาของใต้หล้าอาจมีอันเปลี่ยนแปลง ได้โปรดฝ่าบาทลดสถานะไหวอ๋องให้เหลือเพียงสามัญชน แล้วแขวนคอเขาให้อยู่ในเมืองเป็นเวลาสามวัน เพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณพยาบาททั้งสามแสนแปดหมื่นดวงของเมืองฉู่โจวด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในท้องพระโรงขุนนางทั้งหลายต่างโน้มตัวลง เปล่งเสียงดังกระหึ่ม “ฝ่าบาทได้โปรดลดสถานะไหวอ๋องให้เหลือเพียงสามัญชน แขวนศีรษะไว้ในเมืองเป็นเวลาสามวัน เซ่นไหว้ดวงวิญญาณพยาบาททั้งสามแสนแปดหมื่นดวงของเมืองฉู่โจวด้วย”
จักรพรรดิหยวนจิ่งลุกขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา มองไปยังขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรง
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกช้าๆ เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นอย่างกะทันหัน…ทันใดนั้นเขาก็กระแทกม้วนสำนวนคดีลงมาตรงหน้าก่อนจะเปิดมันออก
‘ปึก…’
ม้วนสำนวนคดีคลี่ลงมาราวกับขั้นบันได ปะทะสายตาเบื้องหน้าของเหล่าขุนนาง
ตามมาด้วยเสียงคำรามที่เสียดแทงออกมาจากหัวใจของจักรพรรดิชราดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง
“ไหวอ๋องเป็นน้องชายข้า การที่พวกเจ้าต้องการลดสถานะเขาไปเป็นสามัญชน หัวใจทำด้วยอะไรกัน? ทั้งยังคิดอยากให้ข้าออกกฤษฎีกาต้องโทษ พวกเจ้ายังเห็นข้าในสายตาอยู่อีกหรือไม่? การที่ข้าสูญเสียน้องชายว่าเป็นดั่งแขนที่หักแล้ว แต่พวกเจ้ากลับคอยอย่างไม่นึกเห็นอกเห็นใจ รังแต่ป่าวร้องที่ประตูวังนานนับหลายวัน ต้องการจะบีบคั้นข้าให้ตายหรืออย่างไร?!”
ใบหน้าของจักรพรรดิชราเกรี้ยวกราด ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ราวกับสัตว์เดรัจฉานที่เศร้าโศกาอับจนหนทาง
นี่…ทำให้เหล่าขุนนางตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงครองราชย์มาสามสิบเจ็ดปี ทรงเป็นผู้มีความคิดลึกซึ้ง ภาพพระปรีชาสามารถในการทรงงานหยั่งรากลึกในหัวใจของข้าราชการพลเรือนและทหารเสมอ
พวกเขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจักรพรรดิผู้สุขุมจะมีความเศร้าโศกเช่นนี้
ความแตกต่างระหว่างความประทับใจเดิมกับท่าทีที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ ทำให้บรรดาขุนนางต่างรู้สึกขมขื่น
ความเย่อหยิ่งที่พุ่งทะยานของเหล่าขุนนางพลันหยุดนิ่ง
ยังไม่ทันที่พวกเราจะได้ตอบสนองความประหลาดใจอันหนักอึ้ง จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ทรุดตัวนั่งลง บนใบหน้าฉายแววเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด
“ตอนที่ข้ายังเป็นรัชทายาท ได้รับการปกป้องจากจักรพรรดิองค์ก่อน เพราะตำแหน่งของข้าไม่มั่นคง ในทุกๆ วันจึงต้องคอยระมัดระวังยิ่งยวด เป็นไหวอ๋องที่ให้การสนับสนุนข้าอยู่เงียบๆ เพียงเพราะเราเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน จึงมีความผูกพันลึกซึ้ง ในปีนั้นไหวอ๋องถือดาบสยบดินแดนเข้าสังหารศัตรูของจักรวรรดิและปกป้องอาณาเขต ในการต่อสู้ด่านซานไห่หากไม่ได้ความกล้าหาญไม่รักตัวกลัวตายของเขา พวกเราจะประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ได้อย่างไร ทุกคนควรยอมรับเขาในเรื่องนี้ หลังยุทธการด่านซานไห่ ไหวอ๋องได้รับคำสั่งจากข้าให้ขึ้นไปทางเหนือและปกป้องชายแดนเป็นเวลากว่าสิบปี กลับมาเมืองหลวงเพียงไม่กี่ครั้ง ไหวอ๋องได้ทำผิดครั้งใหญ่หลวงก็จริงอยู่ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้ต้องโทษประหารไปแล้ว แม้แต่ชื่อเขาทุกท่านก็จะไม่เหลือไว้ให้เป็นอนุสรณ์เลยหรือ?”
เมื่อถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งขัดจังหวะอย่าง ‘เลือดเย็น’ เหล่าขุนนางจึงหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ไร้เสียงเอื้อนเอ่ยเป็นเวลานาน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในท้องพระโรงก็จะมีสักคนที่เป็นนกต่อ พุ่งเข้าสู่สนามรบเสมอ
สมุหเทศาภิบาลเจิ้งเอ่ยเสียงดัง “ฝ่าบาท คุณและโทษไม่อาจทดแทนกันได้ เป็นความจริงที่ว่าไหวอ๋องเคยทำความดีไว้มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ราชสำนักก็ได้มอบรางวัลสำหรับคุณงามความดีนั้นแล้ว ทั้งผู้คนต่างก็รักเขาอย่างสุดซึ้ง ทว่าในตอนนี้เขาได้ก่ออาชญากรรมที่เลวทราม ว่ากันโดยทั่วไปเขาสมควรถูกลงโทษอย่างร้ายแรง มิฉะนั้นจะเป็นฝ่าบาทเสียเองที่ถูกครหาว่าบิดเบือนกฎบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตน”
จักรพรรดิหยวนจิ่งร้องตะโกนขึ้นทันที “ชั่วช้า ถึงทุกวันนี้เจ้าจะคอยวิ่งเต้นในเมืองหลวง เร่ใส่ความราชวงศ์ใส่ร้ายชินอ๋อง แต่เพราะข้านึกถึงความมุมานะของเจ้ามาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แม้ไม่มีคุณงามความดีก็มอบผลตอบแทนสำหรับความเหน็ดเหนื่อย ยอมทนเจ้ามาจนถึงตอนนี้ คดีไหวอ๋องยังคลี่คลายไม่เท่าไร ตราบใดที่ยังไม่คลี่คลาย เขาก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่เจ้าใส่ร้ายชินอ๋องถือเป็นอาญาร้ายแรงถึงแก่ชีวิต!”
“ฝ่าบาท!…”
ทันใดนั้นหวางเจินเหวินก็เอ่ยขึ้น ขัดจังหวะของจักรพรรดิหยวนจิ่งเสียงกร้าว “เรื่องของท่านสมุหเทศาภิบาลเจิ้งค่อยว่ากันทีหลังเถิดพ่ะย่ะค่ะ เรามาคุยเรื่องไหวอ๋องกันก่อนดีกว่า”
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเขาอย่างลึกล้ำ ดวงตากวาดมองหวางเจินเหวิน ก่อนหยุดพักที่ไหนสักแห่ง
ราวกับตอบสนองต่อจักรพรรดิหยวนจิ่ง จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขุนนางต่างหันมองไปยังต้นเสียง ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางใกล้ชิดจากกรมพิธีการ
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าขุนนางใกล้ชิดเป็นคนปากไวไร้เหตุผล เปรียบได้กับหมาบ้าประจำท้องพระโรง จับผิดใครได้ก็จะแว้งกัดคนนั้น ในขณะเดียวกันพวกเขายังเป็นผู้ริเริ่มสงครามภายในท้องพระโรงอีกด้วย
และเป็นจริงอย่างที่คาดไว้ คราวนี้ก็ไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง
เหยาหลินทำความเคารพ ก้มศีรษะเล็กน้อยและกล่าวเสียงดัง “กระหม่อมต้องการร้องเรียนท่านสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน ที่เคยสั่งให้เจ้ากรมพิธีการร่วมกับกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจทำลายซังผอ”
ภายในท้องพระโรงค่อยๆ เกิดความโกลาหล
เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าแปลกๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหวางเจินเหวินได้นำกลุ่มขุนนางเข้าล้อมประตูวัง ชื่อเสียงเลื่องลือเป็นวงกว้างกล่าวว่าเขาเป็นแนวหน้าในการ ‘บีบคั้นองค์จักรพรรดิ’
และดูเหมือนว่า ณ ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับข้อร้องเรียนดังกล่าว…ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรกระทำ
อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องนี้เจ้ากรมพิธีการเป็นสมาชิกของพรรคหวาง ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะกล่าวหาว่าเขาได้รับคำสั่งจากสมุหราชเลขาธิการหวางหรือเปล่า
เรื่องราวภายในของคดีซังผอนั้นแท้จริงแล้วเป็นเจ้ากรมพิธีการคนก่อนที่ได้สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อทำลายซังผอ และเบี้ยเดิมพันที่เผ่าพันธุ์ปีศาจมอบให้ก็คือพระศพของท่านหญิงผิงหยางกับเหิงฮุ่ย
ด้วยความตรากตรำของคู่สามีภรรยาคู่นี้ จึงเปิดโปงความผิดของพรรคเหลียงได้
ต้นตอทัั้งหมดมาจากสงครามระหว่างพรรค การที่เผ่าพันธุ์ปีศาจลักลอบช่วยเหลือต่างแดน
สมุหราชเลขาธิการหวางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ หรือ? ในเรื่องนี้ไม่ว่าภายในใจขุนนางจะตั้งคำถามหรือกำหนดจุดจบเรื่องราว มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้
ต่อมาเหยาหลินก็ได้ประกาศกฤษฎีกาต้องโทษหวางเจินเหวินอยู่หลายครั้ง เช่น ข้อหายอมให้มีการทุจริตและติดสินบนผู้ใต้บังคับบัญชา หรือข้อหาการรับสินบนจากผู้ใต้บังคับบัญชา…
ทว่าคดีซังผอไม่ได้ถูกกล่าวถึง มีเพียงข้อกล่าวหายิบย่อยต่างๆ ที่ถูกระบุลงไว้ด้านหลัง แน่นอนว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เขาจึงได้กลายเป็นสมุหราชเลขาธิการผู้ที่สองแขนเสื้อโปร่งใสสะอาดอย่างนั้นสินะ?
ขืนใครยอมทำตามเจ้าล่ะก็ ฝ่าบาทคงถึงคราวได้เชือดไก่ให้ลิงดู…
ในใจขุนนางตะลึงงัน แม้ว่าลัทธิขงจื๊อจะมีวิทยายุทธสังหารมังกร แต่ระหว่างกษัตริย์และขุนนางยังคงมีช่องว่างที่ไม่มีทางข้ามผ่านไปได้
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ใช่จักรพรรดิหนุ่ม ตรงกันข้ามเขามองดูท้องพระโรงมามากกว่าครึ่งรอบเอกแล้ว
สมุหราชเลขาธิการหวางเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นจักรพรรดิหยวนจิ่งมองมาที่ตัวเองอย่างเย็นชา เขาจึงไม่ลังเลอีกต่อไปพลางกล่าวเสียงเบา “ข้าน้อย ยอมถวายชีวิต”
แววตาเคร่งขรึมฉายแวบในดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ขณะที่กำลังจะปริปาก ตอนนั้นเองผู้ตรวจการจางสิงอิงพลันก้าวออกมาพร้อมกับทำความเคารพ
“ฝ่าบาท สมุหราชเลขาธิการหวางทุจริตและติดสินบน นำหายนะมาสู่ประเทศและประชาชน พระองค์จะต้องไม่รักษาเขาไว้”
ผู้ตรวจการจางเป็นคนของเว่ยเยวียน
จักรพรรดิหยวนจิ่งนิ่งเงียบเป็นเวลานาน จากนั้นก็เหลือบมองไปยังเว่ยเยวียนที่นั่งเมินเฉย ก่อนจะพูดเสียงเบา “สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวเกินจริงไปแล้ว ท่านใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการเป็นคนสุขุมรอบคอบอุทิศตนเพื่อจักรวรรดิ ทำงานเหน็ดเหนื่อยสร้างคุณงามความดีใหญ่หลวง ข้าเชื่อใจท่าน”
ดุลยภาพที่สร้างโดยน้ำมือจักรพรรดิหยวนจิ่ง บัดนี้ได้กลายเป็นตรวนที่ใหญ่ที่สุดของเขาไปเสียแล้ว
หากปลี่ยนเป็นใครสักคนคงจะถูกปลดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผิดกับสมุหราชเลขาธิการหวาง เขาเป็นคนเดียวในท้องพระโรงที่สามารถตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเว่ยเยวียนได้
ถึงไม่มีเขาและแม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะสนับสนุนพรรคอื่น ก็ยังไม่เพียงพอที่เว่ยเยวียนจะต่อสู้ด้วยมือเดียว
ในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ยักษ์ทั้งสามของท้องพระโรงอย่างจักรพรรดิหยวนจิ่ง เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางก็ได้ถึงคราวเผชิญหน้า
ด้านจักรพรรดิหยวนจิ่งถือไพ่เหนือกว่าเล็กน้อย กดขี่อำนาจเย่อหยิ่งของเหล่าขุนนาง สร้างตื่นตระหนกให้กับที่ประชุม ทว่าสมุหราชเลขาธิการหวางกับเว่ยเยวียนกลับไม่ทุกข์ร้อน เพราะหัวข้อสนทนานี้ชักนำพวกเขาให้กลับไปที่คดีสังหารหมู่ของไหวอ๋องอีกครั้ง
“ได้โปรดฝ่าบาททรงลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือ ตัดสินโทษแก่เขาและให้คำอธิบายแก่ไพร่ฟ้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดเว่ยเยวียนก็โพล่งออกมา
ทุกคนต่างเห็นด้วยในทันที แต่คราวนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับกวาดตามอง ก่อนพบว่าคนกลุ่มเล็กๆ ได้หยุดการเคลื่อนไหว
มุมปากของเขาเรียบเฉย ท้ายที่สุดในท้องพระโรงผลประโยชน์ถือเป็นสิ่งสำคัญและผลประโยชน์ส่วนตนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เพิ่งจะเชือดไก่ให้ลิงดูไปหมาดๆ สร้างความแตกตื่นไปได้ไม่น้อย นับว่าคุ้มค่าทีเดียว
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าคดีฉู่โจวควรพิจารณาจากมุมมองในระยะยาว ไม่ควรตัดสินลงโทษไหวอ๋องโดยสุ่มสี่สุ่มห้านะพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงคัดค้านแรกปรากฏขึ้น
ผู้ที่พูดขึ้นคือหยวนสยงเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว เอ่ยถามว่า “เหตุใดขุนนางสยงถึงกล่าวเช่นนี้?”
หยวนสยงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที พร้อมกล่าวเสียงก้อง “ไหวอ๋องเป็นพระอนุชาของฝ่าบาท เป็นชินอ๋องแห่งต้าฟ่ง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระพักตร์ของราชวงศ์และพระพักตร์ของฝ่าบาท จึงไม่ง่ายเลยที่จะด่วนสรุปนัก”
‘ไร้ยางอาย!’
เหล่าขุนนางบุ๋นต่างสาปแช่งในใจ
การใช้ประโยชน์จากคดีฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการแสนอุจาดนี้พาดพิงถึงเว่ยเยวียนและทำร้ายปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อและคนอื่นๆ หลังการสอบสิ้นสุดปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อจึงได้ผนวกกับเว่ยเยวียนเข้าร้องเรียนหยวนสยง
ทว่าท้ายที่สุดฝ่าบาททรงเก็บสัตว์เลี้ยงตัวนี้ไว้ โดยตัดสินโทษเพียงเวลาสามเดือน
บัดนี้เขากลายได้เป็นดาบของฝ่าบาท คอยต่อสู้กับกลุ่มขุนนางน้อยใหญ่แทน
“ฝ่าบาท ที่ฝ่ายตรวจการหยวนพูดก็มีเหตุผลนะพ่ะย่ะค่ะ…”
ในเวลานี้ ชายชราที่พิงไม้ค้ำตัวสั่นโผล่พ้นออกมาจากเสา
อีกฝ่ายมีผมสีเทาไร้ซึ่งความดำสอดแทรก สวมชุดสีแดงสดเป็นชุดมาลาปักด้ายทองสลักลวดลายมังกรทองแย้มกรงเล็บทั้งห้า
ลี่หวาง!
พระอนุชาของจักรพรรดิองค์ก่อน หรือพระปิตุลาของจักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋อง
“เสด็จอาทรงมาได้อย่างไร ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าท่านไม่ต้องทรงราชกิจ” จักรพรรดิหยวนจิ่งดูตกใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยสั่ง “ใครก็ได้รีบหาเก้าอี้ให้เสด็จอานั่งที”
“ถ้าข้าไม่มา เกรงว่าชื่อเสียงของราชวงศ์ต้าฟ่งที่สั่งสมมานานกว่าหกร้อยปีจะถูกทำลายด้วยน้ำมือลูกหลานที่ไม่คู่ควรเช่นเจ้าน่ะสิ” ชายชราพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
จักรพรรดิหยวนจิ่งก้มศีรษะลง ไม่พูดอะไรอย่างยอมรับความผิดพลาดของตน
หลังเก้าอี้ถูกนำเข้ามา ชายชราพลันหันเก้าอี้ไปทิศทางหนึ่ง ก่อนนั่งผินหน้าเข้าหาเหล่าขุนนางแล้วพ่นลมหายใจอีกครั้ง “ต้าฟ่งคือเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ของใต้หล้า ยิ่งไปกว่านั้นรวมถึงราชวงศ์ต้าฟ่งของข้าด้วย
“จักรพรรดิเกาจู่ประสบความยากลำบากมากมาย คอยกวาดล้างการทุจริตของราชวงศ์ก่อนหน้าและก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ จักรพรรดิอู่จงสังหารขุนนาง กำจัดคนชั่วข้างกายองค์จักรพรรดิ เสียเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อเป็นจำนวนมาก ไหวอ๋องทำผิดครั้งใหญ่หลวง ถึงตายไปก็ไม่สาสมกับความผิดที่ได้กระทำ แต่ตราบใดที่ข้าผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนป้ายความเสื่อมเสียให้แก่เกียรติยศราชวงศ์ของข้าอย่างแน่นอน”
เจิ้งซิ่งไหวเลือดขึ้นหน้า พูดเสียงเข้ม “ท่านเหล่าหวาง ต้าฟ่งสถาปนาประเทศมานานนับหกร้อยปีแล้ว การตรวจสอบเรื่องทุจริตของกษัตริย์ก็มีให้เห็นไม่น้อยเลย…”
ทันทีที่เขาพูดจบก็ถูกลี่หวางขัดจังหวะขึ้นอย่างฉุนเฉียว ชายชราตวาดกร้าว “กษัตริย์ก็คือกษัตริย์ ขุนนางก็เป็นขุนนาง ท่านอ่านหนังสือเรียนทั้งหมดจากราชวิทยาลัยหลวงมาตั้งมากมาย ลืมคำสอนของเฉิงย่าเซิ่งไปแล้วหรือ?”
จู่ๆ ทุกคนก็รู้สึกหวาดกลัว
หากจักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสสิ่งนี้แล้ว พวกเขาทุกคนยินดีสละชีพ ยอมตายต่อหน้าพระองค์ การก้าวสู่ความรุ่งโรจน์ของจักรพรรดิเป็นเรื่องชื่นบานที่สุดในจิตใจของปัญญาชนใต้หล้า
แต่เมื่อผู้ที่ตรัสคือลี่หวาง ลี่หวางผู้มีพรสวรรค์มากมายครั้นยังเด็ก เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่เลื่องชื่อในเมืองหลวง หากอยู่ต่อหน้าเขาลี่หวางกลับถูกมองว่าเป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืนเท่านั้น
ในฐานะชินอ๋องและปราชญ์อาวุโสที่ค้ำจุนอยู่เบื้องหน้า เขาจึงอาศัยว่าตนอายุมากทำตัวเป็นผู้อาวุโสไปว่าคนอื่น ใครล้วนแตะต้องไม่ได้
ความเย่อหยิ่งของกลุ่มต่อต้านถูกกดขี่อีกครั้ง
“เฮ้อ ลี่หวางไตร่ตรองด้วย”
เว่ยเยวียนถอนหายใจ
ลี่หวางเหยียดกายตรง ใบหน้าชรายุ่งเหยิงมองดูเว่ยเยวียนด้วยหางตา
“ฮึ่ม ขันทีผู้นี้เดิมทีควรเป็นทาสหรือคนใช้ในวัง หากไม่ใช่เพราะสายตาเฉียบแหลมของฝ่าบาทให้โอกาสเจ้า เจ้าจะมีทัศนะอย่างวันนี้หรือไม่?”
เว่ยเยวียนก้มศีรษะลงแสดงท่าทีโอนอ่อนแล้วกล่าวว่า
“หากลี่หวางคิดถึงชื่อเสียงของราชวงศ์ ก็ไม่ควรปกปิดเรื่องนี้กับไหวอ๋อง เมื่อวานนี้สามปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ต้องการเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อประณามฝ่าบาท แต่ข้าหยุดพวกเขาเสียก่อน
“สามปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่าราชสำนักสามารถเปลี่ยนแปลงหนังสือประวัติศาสตร์ได้ แต่หนังสือประวัติศาสตร์ของสำนักอวิ๋นลู่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนัก วันนี้อ๋องสยบแดนเหนือสังหารประชาชนสามแสนแปดหมื่นคนในเมืองฉู่โจว ภายภาคหน้าปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดี เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ทั้งนี้ฝ่าบาทผู้ซึ่งปกปิดความผิดพระอนุชาของเขา ความผิดเดียวกันนี้ก็จะถูกจารึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์อย่างถี่ถ้วนเช่นกัน”
สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
กลุ่มคนต่อต้านทั้งหมดต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
นี่คือสิ่งที่ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่จะลงมือทำจริงๆ ปัญญาชนเหล่านั้นดำเนินตามนโยบายของลัทธิขงจื๊อ หยิ่งทะนงในการกระทำโดยสายตาไม่สนใจผู้ใด แต่…ขจัดความโกรธได้ดี!
ลี่หวางกล่าวเสียงเบา “ลูกหลานคนรุ่นหลังรับรู้เพียงประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึก ใครจะสนว่าประวัติศาสตร์ที่ไร้การอ้างอิงของสถาบันการศึกษาจะกล่าวว่าอย่างไรเล่า?”
เขาพูดสิ่งนี้กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง บอกกล่าวกับหลานชายผู้นี้ให้บำเพ็ญธรรมและรักชื่อเสียงของตน เพื่อเลี่ยงการถูกคุกคามโดยเว่ยเยวียน
เว่ยเยวียนพูดเนิบนาบ “ชั่วชีวิตท่านลี่หวางไม่เคยกระทำชั่วเลยแม้แต่น้อย หยั่งรู้และเป็นแบบอย่างแก่สมาชิกราชวงศ์ ต้นแบบแก่ปัญญาชน อย่าบันทึกสิ่งนี้ลงในสำนักอวิ๋นลู่เลย คนอายุมากแต่ยังไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองแบบนี้น่ะ”
ลี่หวางเปลี่ยนสีหน้าในทันที พลางยกนิ้วชี้ไปที่เว่ยเยวียนอย่างสั่นเทา กล่าวเสียงเคร่งขรึม “เว่ยเยวียน เจ้ากล้าดูหมิ่นข้างั้นหรือ เจ้าคิดการกบฏใช่หรือไม่!”
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวเบาๆ “คำแนะนำกลายเป็นภัยคุกคามตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“เจ้า พวกเจ้า…”
ลี่หวางเนื้อตัวสั่น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรัวแรง
ลี่หวางเรียนหนังสือตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ว่าเขาจะได้สถานะเป็นชินอ๋อง แต่ก็ถือว่าตนเองเป็นปัญญาชนมาโดยตลอด เขาสนใจคำสี่คำ ‘ชื่อเสียงอันดี’ ในประวัติศาสตร์มากกว่าวีรบุรุษผู้มั่งคั่งทั่วไปเสียอีก
ปัญญาชนผู้ทำผิดจนเคยชิน
คำพูดของเว่ยเยวียนทำให้ลี่หวางระวังตัวสุดฤทธิ์ ประวัติศาสตร์จารึกและไร้การอ้างอิงในตอนนี้เป็นเพียงคำปลอบโยนจักรพรรดิหยวนจิ่งเท่านั้น บัดนี้ปัญญาชนได้ตระหนักถึงอำนาจของสำนักอวิ๋นลู่มากขึ้นแล้ว
สงครามท้องพระโรง โต้กันไปมา พลิกแพลงตามสถานการณ์
เมื่อเห็นว่าลี่หวางหยุดพูด จักรพรรดิหยวนจิ่งพลันทราบได้ทันทีว่ากลยุทธ์นี้ได้ถูก ‘ศัตรู’ คลี่คลายแล้ว ทว่าไม่เห็นเป็นไร ก้าวต่อไปต่างหากที่เป็นกุญแจสู่ชัยชนะของเขา
เมื่อคิดได้อย่างนี้ เขาก็ชายตามองเฉากั๋วกงที่อยู่ในกลุ่มขุนนางผู้ทรงอำนาจ
เฉากั๋วกงเข้าใจในทันที ก่อนก้าวออกจากแถวและเปล่งเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำพูดที่อยากจะกล่าวพ่ะย่ะค่ะ”
………………………………………………………..