ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 383 กลับบ้าน (1)
บทที่ 383 กลับบ้าน (1)
อุทยานหลวง พระราชวัง
ภายในศาลาที่มีผ้าม่านสีเหลืองสดใสกั้น คนในชุดสีเหลืองและชุดสีครามนั่งที่โต๊ะไม้หวงฮวาหลีทรงแปดเหลี่ยม
เว่ยเยวียนและจักรพรรดิหยวนจิ่งอายุเท่ากัน คนหนึ่งดวงหน้าเปล่งปลั่ง ผมดำดกหนา ส่วนอีกคนหนึ่งมีผมขาวแซมข้างขมับสองข้างตั้งแต่อายุยังน้อย ดวงตาแฝงซ่อนความผันผวนที่ตกตะกอนจากชีวิตแรมปี
หากเปรียบชายชาตรีเป็นดั่งสุรา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เป็นเหล้าในไหที่หรูหรา เลอค่าที่สุด แต่ในแง่ของรสชาติ เว่ยเยวียนนั้นเปรียบดั่งเหล้าที่รสชาติกลมกล่อมหอมหวนที่สุด
ทั้งสองกำลังเล่นหมากล้อม
จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรมองหมากตัวขาวของเว่ยเยวียนที่ถูกกิน พลางถอนหายใจ
“หลังจากสิ้นไหวอ๋อง แดนเหนือก็ไร้ซึ่งเสาค้ำฟ้าอีกต่อไป เผ่าอนารยชนไม่สามารถก่อความวุ่นวายไปได้อีกช่วงหนึ่งก็จริง แต่ถ้าหากสำนักพ่อมดข้ามเขตจากฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือมายังแดนเหนือ บุกเข้าเมืองหลวงผ่านทางด่านที่ฉู่โจว แล้วสังหารข้าล่ะ!”
ขณะที่พูด จักรพรรดิหยวนจิ่งก็วางหมากลงบนกระดาน เกิดเสียงตัวหมากกระทบแผ่นกระดานคมชัด สถานการณ์พลิกผันทันที หมากตัวขาวเรียงตัวเป็นรูปดาบ ชี้ไปทางมังกรยักษ์
“จิ๊ วันนี้เว่ยชิงไม่ค่อยตั้งใจเล่นหมากเลยนะ”
สายตาของเว่ยเยวียนอ่อนโยน เขาหยิบหมากตัวดำขึ้น แล้วกล่าวว่า “เสาค้ำฟ้า หากสูงเกินไป ใหญ่โตเกินไปก็ควบคุมได้ยาก เมื่อใดที่พังทลายลงมา ย่อมทำร้ายทั้งตนเองแล้วผู้อื่น”
วางหมากลงอย่างแผ่วเบา
ทั้งสองสนทนากันขณะเล่นหมากล้อม หลังจากวางหมากไปประมาณสี่ถึงห้าตา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตรัสขึ้นว่า
“องค์รัชทายาทถูกลอบสังหารเมื่อสองสามวันก่อน คนในวังหลังล้วนตกอยู่ในอันตราย ฮองเฮาเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ช่วงนี้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอมลงไปมาก เว่ยชิง รีบจับตัวฆาตกรแล้วจบเรื่องนี้สักทีเถิด ฮองเฮาจะได้ไม่ต้องหวาดผวาอีกต่อไป”
เว่ยเยวียนมองกระดานหมากล้อม ยอมรับความพ่ายแพ้ หายใจออกช้าๆ “ทักษะการเดินหมากของฝ่าบาทนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นถอยหลังสองสามก้าวแล้วโค้งคำนับ “เป็นความบกพร่องของกระหม่อมเอง กระหม่อมจะพยายามอย่างเต็มที่ และจับฆาตกรให้ได้โดยเร็วที่สุด”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระสรวล
…
สำนักราชเลขาธิการในขณะเดียวกัน
ขันทีวัยกลางคนสวมชุดงูเหลือม พร้อมด้วยขันทีรับใช้สองคนเดินทางมายังหอสมุดหลวง และได้พบกับสมุหราชเลขาธิการหวาง
พวกเขาหยุดอยู่ไม่นาน เพียงหนึ่งเค่อ ขันทีใหญ่ก็พาขันทีรับใช้ทั้งสองจากไป
สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินนั่งหลังโต๊ะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แน่นิ่งอยู่เนิ่นนาน เงียบเฉยราวกับรูปปั้น
…
วันรุ่งขึ้น ณ ที่ประชุมท้องพระโรง จักรพรรดิหยวนจิ่งยังคงโต้เถียงกับเหล่าขุนนางเกี่ยวกับคดีฉู่โจว แต่ก็ไม่รุนแรงเท่าเมื่อวาน ทั่วทั้งตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน
ถึงแม้จะยังการประชุมในวันนี้จะไม่ได้ข้อสรุป แต่ก็จบลงอย่างค่อนข้างสันติ
เจิ้งซิ่งไหวซึ่งคร่ำหวอดในวงข้าราชการมานานรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ เขารู้ว่าปัญหาที่ตนกังวลเมื่อวานนี้ ในที่สุดก็เกิดขึ้นจริงๆ
ในที่ประชุม ถึงแม้ว่าเหล่าขุนนางจะไม่ยอมปล่อยผ่าน แต่ก็ต่างจากเมื่อวานที่ดึงดันจะสำเร็จโทษอ๋องสยบแดนเหนือให้ได้
แม้ว่าขณะที่บรรดาขุนนางเสนอวิธีกำจัดข่าวลือในเมืองหลวง พร้อมหาทางเปลี่ยนทัศนคติของทหารชุดเกราะต่อเรื่องนี้ ขุนนางบุ๋นบางส่วนก็เข้าร่วมการประชุมนี้ เพียงเพื่อจะหาเรื่องด่าทอ
สิ่งที่ทำให้เจิ้งซิ่งไหวเจ็บใจมากที่สุดก็คือเว่ยเยวียนและหวางเจินเหวินเอาแต่นิ่งเงียบตลอดเวลา
หลังจากที่สิ้นสุดการประชุม เจิ้งซิ่งไหวก็จากไปจากเงียบๆ ขณะที่เดินอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินใครบางคนเรียกเขาจากด้านหลัง “ใต้เท้าเจิ้งโปรดรอเดี๋ยว”
เขาหันศีรษะไปมองอย่างมึนงง เห็นเฉากั๋วกงในชุดบรรดาศักดิ์กงไล่ตามมา ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ในสายตาของเจิ้งซิ่งไหว นี่คือรอยยิ้มของผู้ชนะ
“ใต้เท้าเจิ้ง ท่านละทิ้งฉู่โจวเพื่อมาร้องเรียนที่เมืองหลวงเป็นการส่วนตัว คิดเองเออเองว่าจะรับมือกับสถานการณ์ได้ แต่เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าวันนี้จะมาถึง”
เฉากั๋วกงวางท่าเรียบเฉย กล่าวเสียงเนิบๆ
“ข้าจะชี้ทางสว่างแก่ท่านเอง เมืองฉู่โจวนั้นพังทลายลงแล้ว ท่านในฐานะของสมุหเทศาภิบาลแห่งเมืองฉู่โจว ในเวลานี้ควรจะอยู่ที่เมืองฉู่โจว และบูรณะฟื้นฟูเมืองขึ้นมาใหม่ ส่วนเรื่องของเมืองหลวงไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่ง”
เขาหันศีรษะไปมองตำหนักกระดิ่งทอง แล้วกล่าวตอกย้ำว่า “นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการจะสื่อ”
ความหมายของฝ่าบาทก็คือ ถ้าเจ้ายอมรับ เจ้าก็ยังคงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจวต่อไป มาจากทางใด ก็กลับไปทางนั้น อย่างไรเสีย เมืองฉู่โจวก็อยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายหมื่นลี้ เจ้าจะได้ไปให้พ้นหูพ้นตาข้า
“ถุย!”
สิ่งที่ตอบกลับมา คือน้ำลายของเจิ้งซิ่งไหว
“ไม่รู้จักบุญคุณ”
เฉากั๋วกงมองตามหลังเจิ้งซิ่งไหวไป และยิ้มเยาะ
…
ณ หอเฮ่าชี่ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
เว่ยเยวียนเป็นคนแรกที่เจิ้งซิ่งไหวไปเยี่ยมเยือนหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม
สวี่ชีอันติดตามความเคลื่อนไหวในท้องพระโรงวันนี้โดยตลอด กำลังคิดจะไปเยี่ยมเจิ้งซิ่งไหวที่ศาลาพักม้า แต่ได้ยินว่าเจิ้งซิ่งไหวมาคารวะเว่ยเยวียน จึงตรงดิ่งไปยังหอเฮ่าชี่ทันที
แต่กลับถูกทหารยามชั้นล่างสกัดกั้นเอาไว้
“เว่ยกงมีคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดขึ้นไปรบกวนระหว่างการพบแขก อีกทั้งช่วงนี้เว่ยกงไม่คิดจะพบเจ้า เขาไล่เจ้าไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ”
ทหารยามกับสวี่ชีอันล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว เวลาพูดจาจึงไม่มีความเกรงกลัวต่อกัน
สวี่ชีอันเองก็ตีคนได้อย่างไม่กลัวเกรงเช่นกัน ฝ่ามือหวดเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่ายไม่หยุด ปากก็สบถด่าไปด้วย “พูดมากนักนะ พูดมากนักนะ…”
ที่ชั้นเจ็ด
เว่ยเยวียนผู้มีผมหงอกขาวแซมข้าง สวมชุดสีคราม นั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าโต๊ะเอกสาร
ตรงข้ามกับเขาคือเจิ้งซิ่งไหว ที่ค่อยๆ ค้อมตัวลง เรือนผมเป็นสีดอกเลาไม่ต่างกัน ความอัดอั้นตันใจเผยออกมาผ่านหว่างคิ้ว
“เมื่อสิ้นสุดการตรวจสอบข้าราชสำนักที่เมืองหลวง ใต้เท้าเจิ้งกลับมารายงานการปฏิบัติงานที่เมืองหลวง ข้าได้มีโอกาสพบเจอท่านอยู่ครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นแม้ว่าเรือนผมของท่านจะหงอกขาว แต่กำลังวังชายังมีมากทีเดียว” น้ำเสียงของเว่ยเยวียนอ่อนโยน แววตาของเขาฉายแววเห็นอกเห็นใจ
แต่คราวนี้ที่ได้พบปะกันอีกครั้ง คนผู้นี้ดูเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ถุงใต้ตาบวมเป่ง ตาแดงก่ำ บ่งบอกว่าเขาไม่ได้นอนหลับในเวลากลางคืน
มุมปากที่ตกลง และความเหนื่อยล้าระหว่างคิ้ว บอกชัดว่าอีกฝ่ายมีความขุ่นเคือง ไม่สบายใจ และอึดอัดใจ
“เว่ยกงคิดจะยอมแพ้แล้วหรือ” เจิ้งซิ่งไหวเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าชื่นชมสวี่ชีอันอย่างมาก คิดว่าเขาเป็นทหารมากพรสวรรค์ แต่บางครั้งข้าก็ปวดหัวกับนิสัยอารมณ์ร้อนของเขา”
เว่ยเยวียนตอบไม่ตรงคำถาม แล้วจึงกล่าวต่อ “ถ้าคิดจะไต่เต้าในแวดวงขุนนาง ต้องรู้อยู่สามอย่าง รู้ภัย รู้ถอย รู้เปลี่ยน
“ก่อนจะทำอะไรต้องพิจารณาถึงผลที่จะตามมาของเหตุการณ์นั้น เข้าใจถึงคุณและโทษ แล้วชั่งน้ำหนักดูว่าสมควรกระทำสิ่งนั้นหรือไม่
“หากสถานการณ์พลิกกลับจนไม่อาจหยุดยั้งได้ ก็ต้องรู้จักถอยหนีเลี่ยงเลี่ยงการปะทะ ฝ่าบาทของพวกเรา ก็ทรงทำได้ดีมากอยู่แล้ว เมื่อใดที่ถอยออกมาแล้ว ปลอดภัยแล้ว ถึงจะสามารถคิดได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างไร
“แต่เจ้าเด็กเมื่อวานซืนสวี่ชีอันกลับตอบข้าว่า ‘ข้าเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี แต่ข้าไม่สน’…เหอะ ไอ้ทหารชั้นต่ำเอ๋ย”
เจิ้งซิ่งไหวนึกถึงคำพูดของฆ้องเงินสวี่ตอนอยู่ในถ้ำ รู้ทั้งรู้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือทรงพลังเพียงใด แต่ก็ยังอยากขึ้นเหนือไปไขคดีถึงฉู่โจว ใบหน้าของเขาก็เจือรอยยิ้มน้อยๆ
“ทำให้เว่ยกงพูดคำว่า ‘ชั้นต่ำ’ ออกมาได้ แสดงว่าเว่ยกงคงสุดจะทนกับเขาแล้วสินะ”
เจิ้งซิ่งไหวเข้าใจความหมายในคำพูดของเว่ยเยวียน แต่เขาเป็นเหมือนกับสวี่ชีอัน มีสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องยึดมั่น ไม่อาจถอยหนีได้
เขาลงมาชั้นล่างเพียงลำพัง และเห็นสวี่ชีอันรออยู่ใต้อาคาร
“ใต้เท้าเจิ้ง ข้าขอพาท่านกลับไปที่ศาลาพักม้านะขอรับ” สวี่ชีอันเข้าไปทักทาย
“ข้ายังไม่กลับไปที่ศาลาพักม้า” เจิ้งซิ่งไหวส่ายหน้า มองดูเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน “ขออภัยที่ทำให้ฆ้องเงินสวี่ต้องผิดหวัง”
หัวใจของสวี่ชีอันหล่นวูบ
ทั้งสองเดินออกจากที่ทำการปกครองเงียบๆ เข้าไปในรถม้า เชินถูไป่หลี่ซึ่งทำหน้าที่คนขับก็บังคับม้าออกไป
ระหว่างทาง เจิ้งซิ่งไหวอธิบายสถานการณ์ในท้องพระโรงตั้งแต่ต้นจนจบ ชี้ให้เห็นว่าท่าทีของเหล่าขุนนางนั้นคลุมเครือ มีการเปลี่ยนแปลงจุดยืนอย่างลับๆ
“เว่ยกงไม่น่าเลย ตำแหน่งระดับเขาแล้ว หากต้องการอะไรจริงๆ แล้วละก็ ย่อมวางแผนได้เอง โดยไม่ต้องตามใจฝ่าบาท ยอมผิดต่อมโนธรรมของตัวเอง”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจเรื่องนี้
“เว่ยกงออกหน้าลำบากน่ะ” เจิ้งซิ่งไหวแก้ตัวแทนเว่ยเยวียน ในน้ำเสียงแฝงเร้นความอ่อนล้า
“จักรพรรดิกับขุนนางนั้นต่างกัน ขอเพียงฝ่าบาทไม่ยื่นมือเข้าไปแตะต้องผลประโยชน์ของคนส่วนมาก ก็ไม่มีใครในท้องพระโรงตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์”
“สามสิ่งที่ต้องรู้ที่เว่ยกงพูดถึง…ใต้เท้าเจิ้ง ท่านลองไตร่ตรองดูสักหน่อยจะดีหรือไม่ขอรับ หลีกเลี่ยงการปะทะสักช่วงหนึ่ง ไหนๆ ไหวอ๋องก็สิ้นไปแล้ว ความแค้นของชาวเมืองฉู่โจวก็ได้รับการสะสางแล้วด้วย” สวี่ชีอันแนะนำ
ใต้เท้าเจิ้งเป็นขุนนางที่ดี เขาไม่อยากให้คนเช่นนี้ต้องพบจุดจนอันเลวร้าย เหมือนกับตอนที่เขาประจันหน้ากับพวกกบฏเพียงลำพัง เพื่อผู้ตรวจการจางที่อวิ๋นโจว
คราวนี้คนที่ต้องต่อสู้ด้วยไม่ใช่กบฏ แต่เป็นขุนนางในท้องพระโรง สวี่ชีอันไม่อาจถือดาบวิ่งโร่เข้าไปสังหารถึงในวังได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีบทบาทในเรื่องนี้
ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมให้ใต้เท้าเจิ้งทบทวนให้รอบคอบ
เจิ้งซิ่งไหวมองมาที่เขาและเอ่ยถาม “เจ้ายินดีหรือ เจ้ายินดีที่จะเห็นเพชฌฆาตอย่างไหวอ๋องกลายเป็นวีรบุรุษได้รับการบูชาในฐานะบูรพกษัตริย์ ชื่อเสียงจารึกก้องเกริกในหน้าประวัติศาสตร์หรือ”
สวี่ชีอันไม่ตอบ แต่เจิ้งซิ่งไหวเห็นความขัดขืนจากแววตาของชายหนุ่มผู้นี้
จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มอย่างสุขใจ
“ข้าเป็นสมุหเทศาภิบาล เป็นข้าราชการอันดับสองก็จริง แต่ข้าก็เป็นปัญญาชนด้วย ปัญญาชนไม่ทำอะไรขัดต่อมโนธรรมของตนเอง ไม่ทำให้ตนเองผิดหวัง และยิ่งไม่ควรทำผิดให้บิดามารดาที่อุตสาหะชุบเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ผิดหวังไปด้วย”
ตลอดเส้นทางไร้ซึ่งบทสนทนา
เวลาผ่านไปนาน รถม้าก็หยุดลงข้างทาง เชินถูไป่หลี่กล่าวเบาๆ “ใต้เท้า ถึงแล้วขอรับ”
สวี่ชีอันเปิดม่าน รถม้าหยุดที่ด้านหน้าของลานกว้างอันโอ่โถง แผ่นป้ายบนประตูลานเขียนว่า ‘หอสมุดหลวง’
สำนักราชเลขาธิการ!
เจิ้งซิ่งไหวก้าวลงจากรถม้า และพูดกับทหารรักษาพระองค์เบื้องหน้า “ข้าคือสมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจว เจิ้งซิ่งไหว มาขอพบสมุหราชเลขาธิการหวาง”
เมื่อเห็นเช่นนี้ สวี่ชีอันก็เข้าใจแผนของเจิ้งซิ่งไหว เขาต้องการไปเยี่ยมเยือนขุนนางต่างๆ โน้ม้นาวให้คนใหญ่คนโตเข้ามาเป็นพวกเดียวกัน
ทหารรักษาพระองค์เข้าไปรายงานในสำนักราชเลขาธิการ ผ่านไปไม่นานก็จ้ำเท้ากลับมา และกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางแจ้งว่า ใต้เท้าเจิ้งเป็นสมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจว ไม่ว่าจะในเวลาราชการก็ดี หรือหลังจากเลิกปฏิบัติหน้าที่ก็ดี ก็ขออย่าได้มาพบท่าน เพื่อเลี่ยงคำครหาว่าฝักใฝ่ในฝ่ายใด”
เจิ้งซิ่งไหวจากไปอย่างผิดหวัง
ในวันถัดมา สวี่ชีอันเฝ้าดูเขาวิ่งเต้นหาพรรคพวกทุกหนแห่ง แต่ก็ต้องถูกปฏิเสธไปเสียทุกที่…พอตกค่ำ เขาก็กลับศาลาพักม้าอย่างเศร้าสร้อย
…
สวี่ซินเหนียนกลับจวนหลังเลิกงาน ไม่เห็นพี่ใหญ่ก็เดินหาจนทั่วลานบ้าน ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากหลังคา “พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ข้างบนนี้”
เสียงนั้นเป็นเสียงหวานใสของหญิงสาว
เมื่อมองขึ้นไป ก็พบว่าเป็นหลี่เมี่ยวเจิน เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์นั่นเอง นางยืนอยู่ที่ชายคา ทอดสายตามองตนเองอย่างไร้ความรู้สึก แค่เห็นหน้าก็พอจะเดาได้ว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่สู้ดีสักเท่าไร
เมื่อสวี่เอ้อร์หลางเอาบันไดลิงมา เขาพบว่าหลี่เมี่ยวเจินไม่อยู่ที่นั่นแล้ว พี่ใหญ่ของเขาคาบหญ้าไว้ในปาก สองมือวางไว้หลังศีรษะ เอนกายนอนราบบนหลังคา ยกขาข้างหนึ่งพาดบนเข่าอีกข้างที่ชันขึ้น
สวี่ซินเหนียนผู้หล่อเหลาจนไม่มีใครเทียบเคียงได้ ยกชายเสื้อคลุมราชการขึ้น และปีนบันไดลิงขึ้นไปบนหลังคา
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” สวี่ชีอันกล่าวด้วยความรำคาญ “พอยายแก่น่ารำคาญหายไป เจ้าก็โผล่มาชวนข้าทะเลาะอีกคน”
“ผู้นำหลี่ดูท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย” น้ำเสียงของสวี่เอ้อร์หลางสงบนิ่ง เขานั่งลงข้างกายพี่ใหญ่
“ก็ต้องอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วสิ ถ้าใช้กำลังได้ละก็ ป่านนี้นางคิดหาทางบุกไปฆ่าล้างบางจนหมดวังในยามเหมาแล้ว”
“เหตุใดต้องรอจนถึงยามเหมา”
“เพราะนางรู้สึกว่าในวังมีแต่พวกเดรัจฉานยั้วเยี้ย น่าจะฆ่าให้ตายทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องรอให้ถึงตอนเข้าเฝ้ายามเหมา แล้วค่อยฆ่าทิ้งทีเดียว” สวี่ชีอันพูดด้วยความโมโห
สวี่เอ้อร์หลางได้ยินดังนั้น ก็กลัวจนหัวหด “โชคดีที่ข้าเป็นแค่ซู่จี๋ซื่อ”
สวี่ชีอันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ พอหัวเราะเสร็จ ก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“การฝึกตนของนิกายสวรรค์คือให้ลืมเลือนความรู้สึก บางทีถ้าในอนาคตนางมีพลังเช่นนั้นจริงๆ นางก็ไม่ใช่จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินคนเดิมที่เคยเป็นอีกต่อไป นี่แหละหนาชีวิต เก้าในสิบมีแต่เรื่องขัดใจ”
“พี่ใหญ่ดูใจเย็นขึ้นนะ” สวี่เอ้อร์หลางกล่าวด้วยความโล่งใจ
“ไม่ได้ใจเย็นหรอก ก็แค่เหนื่อย แล้วก็ผิดหวังนิดหน่อย” สวี่ชีอันประสานมือไว้หลังศีรษะ มองดูท้องฟ้าอัสดงค่อยๆ ลาลับ และบ่นพึมพำกับตัวเอง
“แค่ยอมรับผิดแล้วขอโทษ มันยากเย็นขนาดนั้นเลยหรือ”
สวี่เอ้อร์หลางหันหน้าไปปรายตามองเขาเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปทอดสายตามองท้องฟ้าของชิงหมิง แล้วกล่าว
“ข้าเข้าใจสถานการณ์ในราชสำนักดี ที่ขึ้นมาก็เพราะอยากคุยกับพี่ใหญ่นี่แหละ แม้ว่าราชสำนักจะตัดสินคดีการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือแล้ว แต่เรื่องนี้ก็เป็นที่โจษจันกันไปทั่วเมืองหลวง และได้ข้อสรุปมาตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ง่ายเลยหากคิดจะพลิกสถานการณ์
“แม้ว่าราชสำนักจะดึงดันยกย่องให้อ๋องสยบแดนเหนือเป็นวีรบุรุษ เรื่องนี้ก็ยังมีเงื่อนงำแฝงเร้นอยู่ดี เมื่อไรที่ผู้คนยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด พวกเขาจะไม่มีวันลืมเลือนการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือที่สะเทือนขวัญได้หรอก นี่เป็นกุญแจสำคัญที่จะพลิกคดีในภายภาคหน้า”
พลิกคดี…สวี่ชีอันเลิกคิ้ว นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตที่ผ่านมาได้ในทันที
ขุนนางตงฉินผู้ซื่อสัตย์หลายต่อหลายคนถูกสังหารไปอย่างไม่ยุติธรรม ในที่สุดคดีก็พลิกกลับตาลปัตร ขุนนางโฉดชั่วที่เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือ สุดท้ายก็ได้รับจุดจบที่สาสม
ตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดก็คือฉินฮุ่ย
รูปปั้นสัมฤทธิ์ของขุนนางกังฉินในสมัยโบราณและภรรยาของเขายังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดัง และถูกเหยียดหยามจากคนรุ่นหลัง
จะเหยียดหยามพวกมันไปจนถึงเมื่อไร ก็จนกว่าเต้านมของเมียฉินฮุ่ยจะวาววับ
ที่เว่ยกงขอให้เจิ้งซิ่งไหวกลับไปคิดทบทวน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะมีความคิดแบบเดียวกัน…ใต้เท้าเจิ้งถูกความโกรธแค้นชิงชังบังตา อารมณ์จึงพลุ่งพล่านตามไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เว่ยกงต้องการจะสื่อ อืม วันพรุ่งนี้ข้าจะไปเตือนเขาอีกที
สุภาพชน แก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย ในเมื่อสถานการณ์เหนือกว่าคน ก็มีแต่ต้องอดทนอดกลั้นเท่านั้น
เอ้อร์หลางของข้าช่างมีคุณสมบัติของสมุหราชเลขาธิการจริงๆ สติปัญญาไม่ได้ด้อยไปกว่าเว่ยกงเลยแม้แต่น้อย…สวี่ชีอันลุกขึ้นนั่งอย่างสบายใจ และเอื้อมมือไปโอบไหล่ของสวี่เอ้อร์หลาง
สวี่เอ้อร์หลางผลักเขาออกไปด้วยความรังเกียจ
…
ณ พระราชวัง
ในห้องบรรทมที่ตกแต่งอย่างวิลิศมาหรา จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเอนพระวรกายอยู่บนแท่นบรรทมนุ่มฟู พลางศึกษาคัมภีร์เต๋า และตรัสถามอย่างสบายๆ ว่า “สถานการณ์ในสำนักราชเลขาธิการ ช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
ขันทีเฒ่าทูลกระซิบ “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางช่วงนี้มิได้รับแขกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าอย่างพอพระทัย “เว่ยเยวียนล่ะ”
“หลังจากที่เลิกประชุมเมื่อวันก่อน สมุหเทศาภิบาลเจิ้งไปพบเว่ยกงในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่กลับไปอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีชราพูดตามความจริง
“เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางต่างก็เป็นคนฉลาดหลักแหลม ทว่า เว่ยเยวียนไม่เห็นข้าในสายตาด้วยซ้ำ” จักรพรรดิหยวนจิ่งหาได้โกรธเคือง พระองค์พลิกหนังสือไปอีกหน้า อ่านไปได้ครึ่งหนึ่ง พระพักตร์ก็ฉายแววเย็นชาขึ้นมา
“เจิ้งซิ่งไหวล่ะ”
“ใต้เท้าเจิ้งวิ่งเต้นไปทั่วทุกที่ตลอดสองสามวันมานี้ พยายามจะกล่อมให้ใต้เท้าทั้งหลายมาเข้าพวก แต่คนที่ยินดีพบเขามีไม่มากนัก เหล่าขุนนางก็คอยจับตาดูอยู่ แต่หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนใจ ไปปั่นหัวบัณฑิตที่ราชวิทยาลัยหลวงแทนพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่ากระซิบกระซาบ
จักรพรรดิหยวนจิ่งแย้มพระสรวล แต่แววตาหาได้มีรอยยิ้มตามไม่ มีเพียงความมืดมิดเท่านั้น
…
ในเช้าวันที่สิบสอง เดือนพฤษภาคม เวลาผ่านไปแปดวันนับตั้งแต่ร่างของอ๋องสยบแดนเหนือถูกส่งกลับมายังเมืองหลวง
ราชสำนักไม่เคยออกประกาศเกี่ยวกับการลงโทษในลักษณะนี้ของอ๋องสยบแดนเหนือออกมาสักฉบับ
ราษฎรในเมืองหลวงไม่ได้เร่งร้อน เกิดมาเป็นพสกนิกรใต้ฝ่าพระบาท พวกเขาเห็นคดีความหนึ่งที่ยืดเยื้อมาหลายปีดีดัก ทั้งยังเคยเห็นพระราชกฤษฎีกาให้ลดหย่อนและยกเว้นภาษี ตั้งแต่ข่าวลือเริ่มแพร่มาเมื่อไม่กี่ปีก่อน จนผ่านมาอีกไม่ปีกี่ให้หลังก็ยังเล่าลือกันอยู่ และดูเหมือนว่าจะลือกันอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ถึงไม่เร่งร้อนก็จริง แต่ความเดือดดาลก็ยังคงอยู่ ไม่ได้สงบลงด้วยเหตุนี้แต่อย่างใด
หลังจากกินข้าวจิบชากันแล้ว ชาวเมืองหลวงก็ยกอ๋องสยบแดนเหนือขึ้นมาพูดคุยกันตามความเคยชิน…
เวลาเช้าตรู่วันนี้ กลุ่มแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือนเมืองหลวง
ทหารม้าสามสิบนายพุ่งเข้าประตูเมือง ผ่านเมืองชั้นนอก และหยุดที่ประตูเมืองชั้นใน
ผู้ที่นำขบวนคือทหารหน้าตาหล่อเหลาแต่ตาบอดไปข้างหนึ่ง ซึ่งก็คือเชวียหย่งซิว ผู้บัญชาการแห่งเมืองฉู่โจว
ฮู่กั๋วกงสวมขุดเกราะขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้าพะรุงพะรัง เนื้อตัวมอมแมมด้วยฝุ่น
ผู้ร่วมขบวนมาพร้อมกันกับเขา ก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน
เมื่อมาถึงประตูเมือง เชวียหย่งซิวทิ้งม้าและสาวเท้าเดินเข้าเมืองไป พร้อมทั้งควักจดหมายโลหิตออกมาจากอกเสื้อ ป่าวร้องดังลั่น
“ข้าผู้บัญชาการกองทัพแห่งเมืองฉู่โจว ฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิว ขอฟ้องร้องเจิ้งซิ่งไหว สมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจว ข้อหาร่วมมือกับเผ่าปีศาจและคนเถื่อน สังหารอ๋องสยบแดนเหนือ คร่าชีวิตผู้คนไปกว่าสามแสนแปดหมื่นคนในเมืองฉู่โจว
“หลังจากนั้น เจิ้งซิ่งไหวยังหลอกลวงคณะทูต พยายามสังหารข้า เพื่อปกปิดการร่วมมือกับเผ่าปีศาจและคนเถื่อน ใส่ความอ๋องสยบแดนเหนือว่าเป็นผู้สังหารหมู่ทั้งเมือง มีความผิดมหันต์”
เขาพูดขณะเดินไปตลอดทาง ดึงดูดให้ชาวบ้านหยุดมองและพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์
“ฮู่กั๋วกง? นั่นมันฮู่กั๋วกงแห่งเมืองฉู่โจวคนนั้นใช่หรือไม่ คนที่ช่วยอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่คนนั้นน่ะหรือ”
“กลับมาก็ดี พาตัวเองมาติดกับแท้ๆ จับตาดูไว้ให้ดี อย่าให้มันหนีไปได้ พวกเรารีบไปแจ้งที่ว่าการเมืองเร็ว”
“พวกเราอย่าเพิ่งรีบร้อน ฟังที่เขาพูดก่อน สมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหวสมคบคิดกับเผ่าปีศาจ สังหารอ๋องสยบแดนเหนือ หลอกลวงคณะทูต…นี่ นี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
“หรือว่าสมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจวจะเป็นคนลงมือสังหารหมู่ล้างเมืองฉู่โจวที่แท้จริง”
ชาวบ้านร้านตลาดเหล่านี้เคยชินกับเรื่องราวพลิกผันเช่นนี้ไปแล้ว เรื่องราวสุดจำเจของคนดีมีคุณธรรมถูกใส่ร้ายป้ายสี แต่ท้ายที่สุดก็กลับตาลปัตร
พวกเขาคุ้นชินกับบทละครจำพวกนี้ที่สุด
“ต้องเป็นเรื่องหลอกลวงแน่ เมืองฉู่โจวถูกอ๋องสยบแดนเหนือฆ่าล้างเมืองต่างหาก พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าในคณะทูตมีฆ้องเงินสวี่ตามไปด้วย ฆ้องเงินสวี่จะกล้าใส่ร้ายคนดีหรือ หากสมุหเทศาภิบาลอะไรนั่นเป็นคนลงมือจริง ใต้เท้าสวี่จะมองไม่ออกเชียวหรือ”
“มีเหตุผล”
ผู้คนโดยรอบคล้อยตามกัน
ในปีของการตรวจสอบข้าราชสำนัก เกิดคดีใหญ่ในเมืองหลวงขึ้นมากมาย ซึ่งผู้สืบสวนหลักในคดีเหล่านั้นก็คือสวี่ชีอัน จากฆ้องทองแดงผู้น้อยในตอนนั้น เขาค่อยๆ เป็นที่รู้จัก และเป็นที่กล่าวขานของผู้คน
หลังจากกลับมาจากอวิ๋นโจว ชื่อเสียงของเขาก็ไต่ขึ้นไปอีกระดับ จากคนที่เป็นที่กล่าวขาน กลายเป็นผู้เสียสละชีพ และคราวที่ชื่อเสียงดังระเบิดจริงๆ คือตอนพิธีต้าวฮวด หลังจากกำราบสำนักพุทธลงแล้ว เขาก็กลายเป็นวีรบุรุษของเมืองหลวง ทันทีที่ประกาศราชสำนักเผยแพร่ออกไปยังที่ต่างๆ ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วในหมู่ชาวเมืองต้าฟ่งและชาวยุทธ์
สร้างบารมีอย่างมหาศาลให้แก่ตนเอง
ศึกนิกายสวรรค์มนุษย์ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์และบารมีของเขาให้เป็นที่ประจักษ์ ตัวตนของเขาฝังรากลึกลงไปในสมองของชาวบ้าน อยู่ในความฝัน ความคิด แม้กระทั่งในเสียงเรียกร้อง
ดังนั้น เมื่อเทียบกับจดหมายโลหิตของเชวียหย่งซิว ผู้คนที่สังเกตการณ์อยู่โดยรอบย่อมยินดีที่จะเชื่อถือสมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจวที่ฆ้องเงินสวี่เป็นคนพามามากกว่า
ในไม่ช้า เชวียหย่งซิว ฮู่กั๋วกงผู้บัญชาการกองทัพฉู่โจวก็กลับมายังเมืองหลวง ในมือถือจดหมายโลหิต ปากก็ป่าวประกาศแฉเรื่องของเจิ้งซิ่งไหว สมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจวไปตามท้องถนน เรื่องราวแพร่สะพัดไปตามฝูงชนที่เข้ามาห้อมล้อมสังเกตการณ์
คดีการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือทวีความสับสนขึ้นเรื่อยๆ
……………………………………….
เพื่อเป็นการตอบแทนนักอ่านที่สนับสนุน Fictionlog เสมอมา
เราขอมอบโค้ดเหรียญทองให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่นักอ่านผู้โชคดีที่เข้ามาอ่านนิยายในตอนนี้
*โค้ดมีจำนวนจำกัด และต้องเติมภายในวันที่ 31 มกราคม 2566
คุณนักอ่านสามารถเติมเหรียญได้ในเมนู *กรอกรหัสโปรโมชัน* ในแอปแอนดรอยด์ หรือ ในหน้ากระเป๋าเงินในเว็บไซต์ (https://fictionlog.co/i/payment)
ทั้งนี้ โค้ดเหรียญทองต้องพิมพ์เป็นตัวใหญ่ ไม่มีสัญลักษณ์อื่นนอกจาก – _ และไม่มีเว้นวรรคทั้งหน้าและหลังโค้ด
.
สวัสดีปีใหม่ ขอให้ปีใหม่นี้มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามานะคะทุกคน ^^
PC-PC-FICGIFT_AKI197