ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 383 กลับบ้าน (2)
บทที่ 383 กลับบ้าน (2)
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เชวียหย่งซิวถูกทหารรักษาวังนำตัวไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิในวังตามลำพัง
ไม่นานหลังจากนั้น จักรพรรดิก็เรียกเหล่าขุนนางเข้าเฝ้า และจัดประชุมย่อยในห้องทรงพระอักษร
จักรพรรดิหยวนจิ่งประทับหลังโต๊ะทรงพระอักษร ซ้ายมือคือขุนนางบุ๋น ขวามือคือชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ เชวียหย่งซิวคุกเข่าเบื้องหน้าโต๊ะทรงพระอักษร ในมือถือจดหมายโลหิต
“ท่านสุภาพชนทั้งหลาย โปรดอ่านจดหมายเลือดฉบับนี้” จักรพรรดิหยวนจิ่งมอบจดหมายโลหิตให้กับขันทีชรา
ฝ่ายหลังรับไว้ด้วยความเคารพ ก่อนจะส่งต่อไปให้กับสมาชิกราชวงศ์และเหล่าขุนนางบุ๋น
เฉากั๋วกงก้าวออกไปและพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ฝ่าบาท เจิ้งซิ่งไหวสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจสังหารอ๋องสยบแดนเหนือ มีความผิดมหันต์ สมควรต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตร”
รองเจ้ากรมพิธีการขมวดคิ้ว และก้าวออกมาโต้แย้ง “คำพูดของเฉากั๋วกงนั้นไร้น้ำหนักเกินไป เจิ้งซิ่งไหวสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและสังหารครอบครัวตนเองทั้งหมดงั้นหรือ”
จวิ้นอ๋องพระองค์โต้กลับ “แล้วใครจะยืนยันได้ว่าครอบครัวของเจิ้งซิ่งไหวถูกสังหารที่ฉู่โจวจนหมดสิ้น”
จ้าวถิงฟางปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อเดือดดาลอย่างยิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ถ้าเจิ้งซิ่งไหวสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจจริง แล้วยอดฝีมือลึกลับที่สังหารอ๋องสยบแดนเหนือมันหมายความว่าอย่างไรเล่า เขาเอ่ยนามออกมาชัดเจนว่าอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ล้างเมือง คณะทูตทั้งหมดล้วนได้ยินเต็มสองหู ได้เห็นเต็มสองตา”
เฉากั๋วกงยิ้มเยาะ “แล้วยอดฝีมือลึกลับคนนั้นเป็นใครล่ะ เจ้าก็ไปขอให้เขามาเป็นพยานให้กับเจิ้งซิ่งไหวสิ คำพูดของคนโฉดชั่วไม่มีที่มาชัดเจน จะเชื่อถือได้อย่างไร”
หลิวหง รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาเลือดขึ้นหน้า “ก็คนโฉดชั่วที่เจ้าพูดถึงนี่แหละ ที่บั่นคอหัวหน้าเผ่าอนารยชน เฉากั๋วกงต่อหน้าเผ่าอนารยชนทำตัวเป็นทาสในเรือนเบี้ย พออยู่ในท้องพระโรงปีกกล้าขาแข็ง ช่างน่าเกรงขามเหลือเกิน”
ไม่ต้องรอให้เฉากั๋วกงออกมาตอบโต้ หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายก็ออกหน้าโจมตีขั้วตรงข้ามทางการเมืองของเขาแทน “ผู้ที่มีชาติกำเนิดแตกต่างจากเราย่อมมีจิตใจที่ผิดไปจากเรา ใต้เท้าหลิวโปรดอย่าได้ลืมตัวตนของท่าน”
หลิวหงเยาะเย้ย “คนที่ไม่ได้มาจากชาติกำเนิดเดียวกันกับเรา จะสามารถยกดาบสยบดินแดนได้หรือ”
“พอแล้ว!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทุบโต๊ะทรงพระอักษรอย่างรุนแรง ดวงเนตรฉายแววความโกรธเกรี้ยวคุกรุ่น
เมื่อเห็นดังนั้น เชวียหย่งซิวฮู่กั๋วกงก็หมอบลงกับพื้น ร่ำไห้โฮ “ขอฝ่าบาทโปรดทรงเมตตากระหม่อม เมตตาอ๋องสยบแดนเหนือ เมตตาชาวเมืองฉู่โจวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าช้าๆ “คดีนี้ใหญ่หลวงนัก ข้าจะตรวจสอบให้ชัดเจนแน่นอน คดีนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของสามกองเป็นผู้สืบสวน เฉากั๋วกงเจ้าก็ต้องร่วมด้วย”
เมื่อสิ้นคำ พระองค์ก็เหลือบมองพันธมิตรข้างกาย แล้วตรัสว่า “มอบตราประทับทองคำให้กับเจิ้งซิ่งไหว ไปจับกุมเจิ้งซิ่งไหวที่ศาลาพักม้าโดยทันที ใครขัดขืน ประหารก่อนรายงานทีหลัง”
เฉากั๋วกงกล่าวด้วยความตื่นเต้น “รับด้วยเกล้า ฝ่าบาท”
…
เมื่อออกมาจากวัง เว่ยเยวียนก็รีบร้อนไล่ตามสมุหราชเลขาธิการหวาง ทั้งสองไม่ได้นั่งรถม้า แต่กลับเดินเคียงกันไปตามทาง
ภาพตรงหน้าเหล่าขุนนาง ช่างเป็นทัศนียภาพอันน่าดูชม หลายปีต่อจากนี้ ภาพนี้ก็ยังตราตรึง
“ข้าเกลี้ยกล่อมเจิ้งซิ่งไหวแล้ว แต่น่าเสียดายที่เขาดื้อดึง” น้ำเสียงของเว่ยเยวียนอ่อนโยน สีหน้าเรียบเฉยดังปกติ
“หากเขาไม่ดื้อรั้น ตอนนั้นคงไม่ถูกสมุหราชเลขาธิการคนเก่าส่งไปชายแดนตอนเหนือหรอก” สมุหราชเลขาธิการหวางยิ้มเยาะ “คนอะไรคนช่างโง่เขลาเสียจริง”
ไม่รู้ว่ากำลังด่าเจิ้งซิ่งไหว หรือด่าตนเองกันแน่
เว่ยเยวียนกล่าวเรียบๆ “ครั้งก่อนข้าเกือบจะจับเชวียหย่งซิวได้ในวังแล้ว แต่พลาดปล่อยให้มันหนีไปได้ วันที่สองพวกข้าค้นหาจนแทบจะพลิกเมือง แต่ก็ไม่เจอ ในตอนนั้นเองข้าจึงได้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจขัดขวางได้”
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวอย่างใจเย็น “มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว การที่เหล่าขุนนางเห็นด้วยกับฝ่าบาท ก็เพราะอ๋องสยบแดนเหนือสิ้นพระชนม์ ตอนนี้เชวียหย่งซิวมีชีวิตกลับมา ก็มีบางคนที่ไม่เห็นด้วย นี่เป็นโอกาสของเรา”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า “เพราะเชวียหย่งซิวกลับมานั่นแหละ คนพวกนั้นจึงเห็นความหวังที่จะพลิกคดีได้ มีแต่ต้องคล้อยตามฝ่าบาท คดีจึงจะคลี่คลายลงได้ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เชวียหย่งซิวที่มีบรรดาศักดิ์กง หลังจากสร้างคุณงามความดีก่อตั้งดินแดน คิดจะจัดการเขาก็ยากเสียแล้ว”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งสองก็ถามพร้อมกันว่า “เขาข่มขู่เจ้าใช่หรือไม่”
…
ศาลาพักม้า
ภายในห้องพักมีเสียงกระแอมไอแว่วออกมา เจิ้งซิ่งไหวในชุดลำลองสีน้ำเงินนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มือขวาวางราบกับพื้นโต๊ะ
โหรในชุดขาวกำลังจับชีพจรให้กับเขา
ผ่านไปนานโหรชุดขาวก็ดึงมือกลับแล้วส่ายหน้า
“ภาวะตรอมใจ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ทานยาสักสองสามตัว ฝึกสมาธิสักสองสามวันก็ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ใต้เท้าเจิ้งต้องผ่อนคลายจิตใจให้ได้เสียก่อน มิฉะนั้นโรคนี้จะย้อนกลับมาหาท่านอีก”
เฉินเสียนและภรรยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยความกังวลอีกครั้ง
เจ็บป่วยด้วยโรคเล็กน้อย รักษาได้ไม่ยาก แต่โรคที่รักษาไม่หายคือโรคทางใจของใต้เท้าเจิ้ง
เจิ้งซิ่งไหวมิได้ตอบรับโหรชุดขาวแต่อย่างใด เอาแต่กุมมือคารวะ “ขอบคุณมากท่านหมอ”
“อย่าทำท่าส่งเดชไปงั้นสิ” โหรในชุดขาวจากสำนักโหราจารย์ท่าทางหยิ่งผยอง ตราบใดที่ไม่ถูกกดขี่ด้วยความรุนแรง เขาก็ปากดีได้ตลอดเวลา
“ท่านเองก็ไม่ได้นับว่าแก่ชรานัก แต่ถ้าทำตัวไร้ความคิดเช่นนี้ คงอยู่ได้อีกเพียงสองถึงสามปี ถ้าไม่ใช่แบบนั้น เดี๋ยวภายในสามถึงห้าปีก็ล้มป่วยอีก มากสุดไม่เกินสิบปี ข้าคงได้ไปวางเครื่องหอมที่หลุมศพของท่าน”
สีหน้าของเฉินเสียนและภรรยาของเขาไม่เป็นสุขแม้แต่น้อย
เจิ้งซิ่งไหวคล้ายจะมองหน้าของโหรในชุดขาว แต่แทนที่จะโกรธเคืองหรือกล่าวโทษ เขากลับเอ่ยถามออกไป “ได้ยินมาว่าฆ้องเงินสวี่กับสำนักโหราจารย์มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน”
โหรชุดขาวแค่นยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านมีเจตนาอะไร คุณชายสวี่เป็นคนสำคัญของสำนักโหราจารย์ของเรา แต่ว่านะ หากท่านคิดจะเข้าพบท่านโหราจารย์ผ่านเขาละก็ เลิกฝันไปได้เลย สำนักโหราจารย์ไม่ข้องแวะกับเรื่องในท้องพระโรง นี่เป็นกฎ”
เจิ้งซิ่งไหวกำลังจะเอ่ยปากพูด ก็ได้ยินโหรชุดขาวกล่าวเสริม “ฆ้องเงินสวี่เคยไปขอความช่วยเหลือที่สำนักโหราจารย์แล้ว หากเส้นทางนี้ได้ผล มีหรือที่จะรอให้ท่านเอ่ยปากขอ”
‘เขา เขาไปที่สำนักโหราจารย์มาแล้ว’ เจิ้งซิ่งไหวแสดงสีหน้าอันซับซ้อน ในบรรดาคณะทูต หลังจากกลับมายังเมืองหลวงแล้ว ก็มีเพียงฆ้องเงินสวี่คนเดียวเท่านั้นที่ยังเป็นธุระช่วยจัดการเรื่องนี้ให้
ส่วนคนอื่นๆ เนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับ จึงเลือกที่จะเงียบ
ในระหว่างสนทนา ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากชั้นล่าง ตามมาด้วยเสียงคำรามอย่างโกรธเคืองของจ้าวจิ้น “พวกเจ้ามาจากกรมกองใด ถึงได้บังอาจบุกรุกศาลาพักม้าที่ใต้เท้าเจิ้งพักอาศัยอยู่…”
เจิ้งซิ่งไหวและคนอื่นๆ วิ่งออกมาจากห้อง และบังเอิญเห็นเฉากั๋วกงในชุดทหารใช้ฝักดาบในมือฟาดเข้าที่ใบหน้าของจ้าวจิ้นอย่างโหดเหี้ยม จนฟันครึ่งปากหลุดออกมา
ฆ้องเงินแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล พร้อมด้วยฆ้องทองแดงสองสามนายวิ่งกรูออกมาจากห้อง พร้อมตะโกนลั่น “หยุด!”
เสียงคำสั่งของเหล่าฆ้องเงินระงับความโทสะของจ้าวจิ้น ฆ้องเงินนายหนึ่งเหลือบมองและกล่าวว่า “นี่คือทหารรักษาวัง”
ใบหน้าของจ้าวจิ้นแข็งทื่อ
ฆ้องเงินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกุมมือคารวะ “เฉากั๋วกง นี่ท่าน…”
เฉากั๋วกงจ้องมองเจิ้งซิ่งไหวที่เพิ่งออกมาจากห้องพัก ด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้จับกุมเจิ้งซิ่งไหวกลับไปสอบปากคำที่ศาลต้าหลี่ ใครขัดขืนต้องถูกประหาร”
“อะไรนะ?!”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรวมถึงจ้าวจิ้นหน้าถอดสี
เจิ้งซิ่งไหวยืดอกไร้ความหวั่นเกรง มีมโนธรรมแน่วแน่ “ข้าทำผิดอะไรหรือ”
เฉากั๋วกงตกตะลึงครู่หนึ่ง รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นความยียวนและแดกดัน “ดูเหมือนว่าวันนี้ใต้เท้าเจิ้งจะไม่ได้ออกไปข้างนอกสินะ อืม ผู้บัญชาการกองทัพเมืองฉู่โจว ฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิวกลับมายังเมืองหลวงแล้ว เขายื่นฎีกาต่อฝ่าบาทว่าท่านสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจสังหารอ๋องสยบแดนเหนือและชาวเมืองฉู่โจวสามแสนแปดหมื่นราย”
เจิ้งซิ่งไหวเซถลา ใบหน้าปราศจากเลือดฝาด
…
ตำหนักฮว๋ายชิ่ง
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เคาะประตูห้องหนังสือขององค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ก่อนจะก้าวเข้ามาข้างใน และยื่นจดหมายในมือให้
“พระองค์ รายงานที่ท่านต้องการอยู่ในนี้ทั้งหมด ใต้เท้าเจิ้งถูกคุมขังแล้ว นอกจากนี้ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยในเมืองหลวงพากันกระจายข่าวลือที่ว่า ‘ใต้เท้าเจิ้งสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจที่แท้จริง’ ซึ่งมีเฉากั๋วกงคอยบงการอยู่เบื้องหลังพ่ะย่ะค่ะ…”
ขณะที่ฟัง ฮว๋ายชิ่งก็กางจดหมายและอ่านเงียบๆ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเสด็จพ่อยังมีผู้สนับสนุนอยู่ เชวียหย่งซิวกลับเมืองหลวงมานานแล้ว เพียงแต่ซุ่มซ่อนรอโอกาสเท่านั้น เสด็จพ่อเมินเฉยต่อเสียงเล่าลือในเมืองหลวง เพียงเพื่อรอช่วงเวลานี้ ร้ายกาจนัก”
นางโบกมือ
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ทูลลา
หลังจากประตูห้องหนังสือปิดลง ฮว๋ายชิ่งในอาภรณ์สีขาวก็เดินไปหยุดข้างหน้าต่าง เหม่อมองทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิอย่างเงียบงัน
เสียงทอดถอนใจอันแผ่วเบาดังสะท้อนในห้องหนังสือ
…
ตำหนักตะวันออก
หลินอันหอบกระโปรงวิ่งตัวปลิว ราวกับกองไฟอันลุกโชนเจิดจ้า กระโปรงพลิ้วไหว หยกคาดเอวและผ้ารัดเอวปลิวสะบัดไปตามลม
นางกำนัลหกคนวิ่งไล่ตามนาง ตะโกนไล่หลังเสียงดัง “ช้าลงหน่อยเพคะพระองค์ ช้าลงหน่อยเถิดเพคะ”
“ท่านพี่องค์รัชทายาท ท่านพี่องค์รัชทายาท…”
เสียงใสกังวานราวกับระฆังสีเงิน ลอยจากภายนอกเข้ามาในตำหนัก
องค์รัชทายาทที่ประทับอยู่ในตำหนักกำลังร่วมบรรทมกับนางสนมผู้ทรงเสน่ห์ เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของพระขนิษฐา ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสี พระองค์รีบลุกจากแท่นบรรทม กุลีกุจอหยิบอาภรณ์บนพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ขันทีในตำหนักตะวันออกมีไหวพริบ รู้ดีว่านายเหนือหัวของตนกำลังทรงงานหนักเพื่อราชวงศ์อยู่ จึงกันไม่ให้หลินอันเข้าไปในตำหนัก และเชิญไปที่ห้องรับแขกแทน
องค์รัชทายาทเข้าไปในห้องรับแขก พลางจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่ เมื่อเห็นพระขนิษฐา สีหน้าก็พลันอ่อนโยนลง ก่อนจะไถ่ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “มีเรื่องรีบร้อนอะไรขนาดนั้น”
หลินอันขมวดคิ้วเรียวมุ่น ดวงตาผลท้อฉายแวววิตกกังวล และพูดซ้ำไปซ้ำมา “ท่านพี่องค์รัชทายาท ข้าได้ยินมาว่าสมุหเทศาภิบาลเจิ้งถูกเสด็จพ่อจับกุมตัวไปแล้ว”
องค์รัชทายาทนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ข้ารู้”
เขาเป็นรัชทายาทมาหลายปี ตนเองก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังไม่น้อย จึงเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างในท้องพระโรงเป็นอย่างดี
หลินอันพูดจาลับๆ ล่อๆ “เสด็จพ่อ ท่าน ท่านคิดจะใช้ใต้เท้าเจิ้งเป็นเครื่องมือ ใช่หรือไม่”
องค์รัชทายาทโบกมือไล่เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปจากตำหนัก จนเหลือเพียงสองพี่น้องในห้องโถง เขาพยักหน้า เป็นการยืนยันคำตอบ
ดวงตาผลท้อเศร้าสลด หลินอันกระซิบกระซาบ “ไหวอ๋องสังหารหมู่ล้างเมือง พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปกว่าสามแสนแปดหมื่นคน เหตุใดเสด็จพ่อยังต้องปกปิดความผิดให้กับเขา แล้วโยนความผิดไปให้ใต้เท้าเจิ้งโดยไม่ลังเลเช่นนี้ด้วย”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของราชวงศ์ จะยอมให้ตกต่ำลงไม่ได้เป็นอันขาด…องค์รัชทายาทต้องการจะตรัสเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าหมองเศร้าของพระขนิษฐา ก็ถอนหายใจและตบไหล่ของนาง
“เจ้าเป็นสาวเป็นแส้ ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้หรอก เรียนกับฮว๋ายชิ่งไม่ดีหรือ เจ้าถึงไม่ยอมกลับตำหนัก”
หลินอันก้มศีรษะลงราวกับเด็กสาวที่ผิดหวัง
องค์รัชทายาทยังรู้สึกเสียใจต่อพระขนิษฐาของตน จึงโอบไหล่นางและตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เสด็จพ่อโปรดปรานเจ้าก็เพราะเจ้าปากหวาน และไม่เคยถามไถ่เรื่องในท้องพระโรง เหตุใดบัดนี้เจ้าจึงเปลี่ยนไปเสียล่ะ”
หลินอันตอบเสียงจ๋อยๆ “เพราะว่าตำแหน่งของสวี่ชีอันนับวันก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ…”
สีหน้าขององค์รัชทายาทแปรเปลี่ยนเป็นรำคาญใจ “เขายุยงให้เจ้าเข้ามายุ่งในวังใช่หรือไม่”
“เปล่านะเพคะ…” ริมฝีปากน้อยๆ ของนางเม้มแน่น นางกล่าวอย่างเจ็บปวด “ข้าไม่กล้าพบเขา ข้าไม่มีหน้าจะไปสู้เขา”
ไหวอ๋องผู้มีศักดิ์เป็นอาของนางกระทำการทารุณเช่นนี้ในเมืองฉู่โจว ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเชื้อพระวงศ์ นางจะปลดเปลื้องความเกี่ยวพันนี้ไปได้อย่างไร
ความรู้สึกผิดต่อวิญญาณผู้เคราะห์ร้ายกว่าสามแสนคน ทำให้นางรู้สึกละอายใจจนไม่มีหน้าไปพบสวี่ชีอัน
นางยังคิดเองเออเองไปอีกว่า คงไม่ได้พบเจอกันอยู่ตลอดกาล
“ดังนั้นที่เจ้ามาหาข้าวันนี้ ก็เพื่อจะให้ข้าช่วยขอร้องเสด็จพ่องั้นสิ” องค์รัชทายาทประคองให้นางนั่งลงอีกครั้ง เมื่อเห็นพระขนิษฐาจิกทึ้งศีรษะตนเอง ก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะออกมา
“แม้แต่เจ้าเสด็จพ่อยังไม่ยอมพบเลย แล้วจะยอมพบข้าได้อย่างไร หลินอัน ในวงราชการไม่มีถูกไม่มีผิด มีแต่ได้หรือเสียผลประโยชน์เท่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการที่ข้าออกหน้านั้นจะช่วยอะไรได้หรือไม่ ข้าเป็นองค์รัชทายาท อย่างไรข้าก็ต้องอยู่ข้างราชวงศ์และชนชั้นสูงอยู่แล้ว
“เจ้าเองก็เป็นพระราชธิดา ไม่มีใครสนใจหรอกว่าเจ้าจะทำอะไร หรือต่อให้เจ้าเป็นพระราชโอรส ก็สามารถสูญเสียสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ได้ เพราะการกระทำในวันวาน”
หลินอันกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “แต่ถึงอย่างไร เข่นฆ่าผู้คนไปมากมายถึงขนาดนั้น ก็ต้องได้รับผลกรรมตอบแทนสิ มิฉะนั้นใครจะเชื่อถือกฎหมายต้าฟ่ง ข้าได้ยินฮว๋ายชิ่งพูดว่าคนที่สังหารผู้คนแทนไหวอ๋องคือ ฮู่กั๋วกง
“เขาเข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย แต่เสด็จพ่อก้ยังปกป้องเขา ข้าไม่ชอบใจเลย”
น้องสาวผู้โง่เขลาเอ๋ย ใต้บัลลังก์ของเสด็จพ่อมีแต่ภูเขาซากศพและทะเลโลหิต
เรื่องราวเช่นนี้ในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้วมากมาย ปัจจุบันก็มีไม่น้อย และจะดำเนินต่อไปในอนาคต ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้
รวมถึงสวี่ชีอันที่เจ้าปลาบปลื้มนักหนาด้วย
องค์รัชทายาทส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง
…
คุกใต้ดิน ศาลต้าหลี่
ในช่วงต้นฤดูร้อน อากาศในห้องขังส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ผสมปนเประหว่างกลิ่นอุจจาระ ปัสสาวะของเหล่านักโทษที่ปลดทุกข์กันเรี่ยราด กับกลิ่นของอาหารเน่าเสีย
บรรยากาศหดหู่ชวนให้สะอิดสะเอียน
เลขาธิการศาลต้าหลี่เข้ามาในคุกใต้ดินพร้อมกับเหล้าสองไหและเนื้อวัวหนึ่งห่อ เขาเดินช้าๆ ไปหยุดเบื้องหน้าห้องขังของเจิ้งซิ่งไหว และนั่งลงพื้นโดยไม่นึกรังเกียจสถานที่อันแสนสกปรกแม้แต่น้อย
“ใต้เท้าเจิ้ง มาดื่มด้วยกันเถิด” เลขาธิการศาลต้าหลี่ยิ้ม
เจิ้งซิ่งไหวที่มือและเท้าถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา เดินเข้าไปใกล้ลูกกรง และมองเลขาธิการศาลต้าหลี่อย่างพินิจ “สีหน้าท่านดูไม่สู้ดีนัก”
“ไม่สู้ดีตรงไหนหรือ เห็นๆ กันอยู่ว่าสีหน้าข้ายังมีเลือดฝาด ยังสบายใจสบายกายดี”
เลขาธิการศาลต้าหลี่แกะกระดาษไขออก แล้วแบ่งเนื้อให้เจิ้งซิ่งไหวกิน กินไป กินไป จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ข้าจะกลับบ้านเกิด”
เจิ้งซิ่งไหวเหลือบมองเขาและพยักหน้า “ดีแล้ว”
หลังจากกินเนื้อและดื่มเหล้ากันแล้ว เลขาธิการศาลต้าหลี่ก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเจิ้งซิ่งไหว “ขอบพระคุณใต้เท้าเจิ้งยิ่งนัก”
เขาจากไปโดยไม่มีการอธิบาย
ขอบคุณที่ท่านเรียกคืนมโนธรรมของข้ากลับมา
ขณะที่กำลังเดินออกไปจากคุก เลขาธิการศาลต้าหลี่ก็บังเอิญเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาพอดี คนที่เดินเคียงกันมาด้านหน้าสุด ได้แก่เฉากั๋วกง และฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิว
‘พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่ ฮู่กั๋วกงก็เป็นคนสำคัญในคดีนี้ ก็ต้องถูกคุมขังด้วยหรือ’
เลขาธิการศาลต้าหลี่ปรายตามองพวกเขา และเห็นผู้ติดตามเบื้องหลังพวกเขา ‘ถูกคุมขังก็ยังต้องยกโขยงผู้ติดตามมาด้วยหรือ’
“เลขาธิการศาลต้าหลี่ พบกันอีกแล้ว”
เชวียหย่งซิวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางมองสำรวจแล้วเอ่ยขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเพียงขุนนางระดับหก ตอนอยู่ที่ฉู่โจว ข้าก็นึกว่าใต้เท้าเป็นขุนนางระดับหนึ่งเสียอีก ท่าทางน่าเกรงขาม แม้แต่ข้าก็ยังกล้าสอบสวนได้”
เลขาธิการศาลต้าหลี่ระงับความโทสะของเขาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกท่านมาทำอะไรที่ศาลต้าหลี่”
“ก็ต้องมาสอบปากคำนักโทษอยู่แล้วซี” เชวียหย่งซิวเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ตามพระบัญชาของฝ่าบาท นักโทษเจิ้งซิ่งไหวถูกคุมขัง ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเยี่ยมในคุกในขณะนี้ ใครฝ่าฝืนให้ลงโทษสถานเดียวกัน”
พูดจบ ขุนนางชั้นกงทั้งสองก็เดินเข้าไปในคุก จากนั้นผู้ติดตามก็ปิดประตูและลงกลอนจากด้านใน
‘พวกเขาจะฆ่าปิดปากใต้เท้า’ ความคิดนี้แวบผ่านหัวสมองของเลขาธิการศาลต้าหลี่ ดังสายฟ้าฟาด
เขาคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ตามสัญชาตญาณ แต่ในเมื่อขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองกล้าเหยียบย่ำเข้ามาถึงที่นี่ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่รู้เห็นเป็นใจ และยินยอมให้กระทำการดังกล่าว
เพราะสองขุนนางชั้นกงได้รับคำสั่งมาจากฝ่าบาทโดยตรง
“พวกเขาจะฆ่าปิดปากใต้เท้า แล้วจัดฉากว่าใต้เท้าฆ่าตัวตาย จากนั้นประกาศให้ใต้หล้ารับรู้โดยทั่ว หากเป็นเช่นนี้ ความเกลียดชังที่มีต่อตัวไหวอ๋องก็จะไปตกอยู่ที่เจิ้งซิ่งไหว
“การทำเช่นนี้ง่ายดายกว่าการพลิกคำแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ และดันทุรังล้างความผิดของไหวอ๋องมากโข อีกทั้งประชาชนยังยอมรับได้ง่ายกว่า ฝ่าบาท พระองค์ พระองค์ไม่คิดจะสอบสวนตั้งแต่แรก พระองค์ประสงค์จะให้จับกุมขุนนางคนหนึ่งที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทำให้เหล่าขุนนางคนอื่นไม่มีทางเลือก…”
เลขาธิการศาลต้าหลี่เร่งฝีเท้าออกไป และเร่งความเร็วเรื่อยๆ จนในที่สุดก็วิ่งหน้าตั้งเอาเป็นเอาตาย เขามุ่งหน้าไปยังคอกม้าของที่ทำการปกครอง
มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น คือตามหาสวี่ชีอัน
มีเพียงก้อนหินโสโครกในคุกเท่านั้นที่สามารถหยุดยั้งฮู่กั๋วกงและเฉากั๋วกงได้ มีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถบันดาลโทสะเพื่อความเชื่อมั่นของตนได้
…
เฉากั๋วกงปิดปากปิดจมูกของตน พลางนิ่วหน้า และเดินไปตามทางของคุกใต้ดิน
“กลิ่นอะไรเนี่ย เฉากั๋วกง เจ้าไม่ได้นำทัพมานานเกินไปแล้วนะ” เชวียหย่งซิวตาเดียวพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“หยุดพูดไร้สาระ รีบจัดการแล้วไปซะ ชักช้าเดี๋ยวเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก” เฉากั๋วกงโบกมือ
ทั้งสองหยุดอยู่หน้าห้องขังของเจิ้งซิ่งไหว เชวียหย่งซิวเหลือบไปเห็นที่ไหและกระดาษไขบนพื้น ก็พ่นลมหายใจแล้วกล่าว “ใต้เท้าเจิ้ง ท่าทางจะสุขสบายดีนี่”
ดวงตาของเจิ้งซิ่งไหวแดงก่ำขึ้นทันที เขาลากโซ่ตรวนแล้วพุ่งตัวออกไป พร้อมทั้งคำรามราวกับราชสีห์ “เชวียหย่งซิว ไอ้สารเลว!”
เชวียหย่งซิวไม่ได้โกรธเคือง เพียงแต่ยิ้มกริ่มเท่านั้น “ข้ามันเป็นไอ้สารเลวจริงๆ นั่นแหละ ไอ้สารเลวที่สังหารครอบครัวของเจ้าจนตายตก เจิ้งซิ่งไหว เพราะตอนนั้นปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตไปได้ ถึงได้เกิดเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ขึ้น วันนี้ข้าจะส่งเจ้ากลับไปอยู่กับครอบครัวของเจ้าเอง”
เจิ้งซิ่งไหวแผดเสียงคำราม ในสมองปรากฏภาพของหลานชายที่ถูกหอกเสียบแทง ลูกชายที่ถูกตรึงแน่นิ่งอยู่กับพื้น รวมถึงภรรยาและลูกสะใภ้ที่ถูกแทงจนร่างพรุน
ชาวเมืองฉู่โจวที่ล้มตายลงด้วยคมธนู ชีวิตผู้คนราวกับผักปลา
ภาพเหล่านั้นยังแจ่มชัดในความทรงจำ จนทำให้วิญญาณของเขาสั่นสะท้านและคร่ำครวญ
เชวียหย่งซิวหัวเราะจนตัวโยนอย่างเริงร่า
เฉากั๋วกงส่งยิ้มหยันอยู่ข้างกาย แล้วกล่าว
“เพราะเจ้าเอาแต่วิ่งพล่านไปทั่วตลอดสองสามวันมานี้ ฝ่าบาททรงเบื่อหน่ายกับเจ้าเต็มทน ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง เจ้าคงตายไปนานแล้ว เจิ้งซิ่งไหว เจ้านี่มันไม่ฉลาดเอาเสียเลย หากเจ้านึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในฉู่โจวให้ดี เจ้าก็ควรจะรู้ว่าคนที่เจ้าเผชิญหน้าด้วยนั้นแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่”
เจิ้งซิ่งไหวตัวแข็งทื่อทันที ราวกับมีใครมาฟาดจนมึนงง
ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างกายของปัญญาชนผู้นี้ก็สั่นสะท้านไม่หยุด
“พระองค์ทำลงไปเพื่ออะไร พระองค์ทำลงไปเพื่ออะไร…คน คนเหล่านั้นเป็นประชาชนของพระองค์นะ…”
เขาก้มศีรษะลง แล้วไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย
กระดูกสันหลังของปัญญาชนผู้นี้หักสะบั้น
เชวียหย่งซิวฮัมเพลง “ขอบคุณเฉากั๋วกงเถิด ที่ทำให้เจ้ารู้แจ้งว่าเหตุใดต้องตาย”
ขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือออกมา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนชั่วร้าย “ส่งผ้าขาวมาให้ข้า ข้าส่งมันขึ้นไปเอง”
ผู้ติดตามคนหนึ่งส่งผ้าขาวให้ ส่วนอีกคนเปิดลูกกรงห้องขัง
เชวียหย่งซิวสาวเท้าเข้าไปก้าวใหญ่ ตวัดข้อมือหนึ่งครั้ง ผ้าขาวก็โอบรอบคอของเจิ้งซิ่งไหว เขากระตุกมันอย่างแรงและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจิ้งซิ่งไหว สมุหเทศาภิบาลเมืองฉู่โจวสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและสังหารประชาชนสามแสนแปดหมื่นราย หลังจากถูกเปิดโปงโดยฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิว ก็แขวนคอตายในคุก”
“จุดจบเช่นนี้ ใต้เท้าเจิ้งคงจะพอใจสินะ?”
เจิ้งซิ่งไหวไม่สามารถพูดได้ ดวงตาของเขาปูดโปน ใบหน้าแดงก่ำ ลิ้นของเขาจุกปากเล็กน้อย
เขาดิ้นรนอย่างรุนแรงจนค่อยๆ เชื่องช้าลง เพียงถีบขาเป็นพักๆ ชีวิตของเขาก็หลุดลอยไป ราวกับเปลวเทียนท่ามกลางสายลม
ในขณะที่ชีวิตกำลังจะมาถึงจุดจบ ภาพชีวิตในอดีตก็หวนกลับมาให้จิตใจของเจิ้งซิ่งไหว
วัยเด็กที่แสนลำเค็ญ วัยหนุ่มที่ขันแข็ง ความเยาว์ที่หล่นหาย และวัยกลางคนที่เสียสละ…ในบั้นปลายชีวิต ดูเหมือนว่าเขาจะได้กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขา
เขาวิ่งไปตามถนนลูกรังในหมู่บ้านตรงไปยังบ้านของตน เขาย่ำเดินบนถนนเส้นนี้หลายพันครั้ง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้จึงรีบร้อนเป็นพิเศษ
ปัง ปัง ปัง!
เขาเคาะประตูบ้านอย่างร้อนรน
ประตูบ้านเปิดออกช้าๆ ด้านในมีหญิงหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ ดวงหน้าที่กรำแดดกรำฝนมานานส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ราวกับว่าเขาได้พบท่าเรือของชีวิต เขาสลัดทิ้งความเหนื่อยล้าและยิ้มอย่างมีความสุข
“ท่านแม่ ข้ากลับมาบ้านแล้ว…”
…
เวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไร ก็มีเสียงอึกทึกทำลายความสงบภายในคุกใต้ดิน
ประตูเหล็กที่นำไปสู่คุกใต้ดินถูกถีบออกอย่างแรง จนกระแทกเข้ากับฝั่งตรงข้าม และเกิดเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณทางเดินภายในคุกใต้ดิน
สวี่ชีอันกำดาบและเร่งรีบเข้าไปในคุกใต้ดิน
เลขาธิการศาลต้าหลี่วิ่งกระหืดกระหอบตามหลังเขามา พอถึงช่วงวัยของเขา แม้ว่าปกติจะดูแลรักษาร่างกายมากเพียงใด แต่การวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนั้นก็เผาไหม้ปอดของเขาอย่างหนักหน่วงอยู่ดี
เลขาธิการศาลต้าหลี่ไล่ตามเลขาธิการศาลต้าหลี่ไปตามทางเดิน จนกระทั่งเห็นเขาหยุดชะงักอยู่เบื้องหน้าห้องขังห้องหนึ่ง
เขาตัวแข็งค้างอยู่อย่างนั้น ราวกับรูปปั้น
เลขาธิการศาลต้าหลี่หัวใจหล่นวูบ เขากระเสือกกระสนวิ่งเข้าไป โดยที่ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด
ในห้องขังที่มืดมนบนลูกกรงมีศพห้อยอยู่
เลขาธิการศาลต้าหลี่ทรุดตัวลงบนพื้น น้ำตาไหลอาบหน้า
…………………………………………………………..