ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 384 ความโกรธ! (1)
บทที่ 384 ความโกรธ! (1)
คุกใต้ดินอันมืดมิด มีเพียงแสงแดดที่ส่องผ่านช่องลมเข้ามา พร้อมกับเม็ดฝุ่นที่ลอยอยู่ในลำแสง
หลังจากที่สวี่ชีอันยืนอยู่นาน เขาก็รู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยให้ใต้เท้าเจิ้งอยู่ในสภาพนี้ได้อีกต่อไป เขาจึงเข้าไปในห้องขัง และวางเขาลง
ศพมีร่องรอยของความอบอุ่นเพียงน้อยนิด เขาเสียชีวิตได้สักพักแล้ว
เลขาธิการศาลต้าหลี่นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่นอกห้องขัง
สวี่ชีอันกลับไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรมากมายนัก เขารู้สึกแค่ว่า การจากไปเช่นนี้ก็เป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง
ระหว่างทางจากฉู่โจวกลับมาที่เมืองหลวง เขาสังเกตเห็นกระดูกสันหลังของปัญญาชนท่านนี้โค้งงอเล็กน้อย และร่างของเขาก็อ่อนระทวยขึ้นเรื่อยๆ
เขาเหนื่อยเกินไป เขาแบกชีวิตทั้งหมดสามแสนแปดหมื่นชีวิตไว้บนหลัง ทุกวันเขาไม่เคยกล้าปล่อยให้ตนเองมีเวลาว่าง เพราะตราบใดที่มีเวลาว่าง เขาก็มักจะรู้สึกราวกับสำลักน้ำตลอดเวลา
“ท่านพูดสิ ว่าท่านทำเช่นนี้ทำไม ท่านเป็นเพียงขุนนางบุ๋นคนหนึ่งที่อ่อนแอเกินกว่าจะมัดไก่ อะไรท่านก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น วิญญาณทั้งสามแสนแปดหมื่นดวงไม่ได้ให้ท่านแก้แค้นแทนพวกเขาสักหน่อย”
สวี่ชีอันจัดระเบียบศพของเจิ้งซิ่งไหว และพยายามปิดเปลือกตาให้เขา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ดวงตาที่ปูดโปนคู่นั้นก็ยังคงจ้องมองโลกที่ขุ่นมัวตาเขม็ง
“ท่านพยายามเที่ยวตระเวนพูดโน้มน้าวอย่างหนักเช่นนั้นทุกวัน แต่คนอื่นๆ มักจะเพิกเฉยท่าน ตอนนี้ข้าอยากจะพูดกับท่านสักประโยค สุขและทุกข์ของมนุษย์ล้วนไม่เหมือนกัน พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าท่านส่งเสียงรบกวน ใต้เท้าเจิ้ง ทุกคนในเมืองหลวงไม่เคยประสบกับเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ฉู่โจวเหมือนกับท่านและข้า พวกเขาไม่มีทางเหมือนท่านได้ ทุกปีล้วนเกิดภัยพิบัติ ทุกปีล้วนมีผู้คนนับไม่ถ้วนหิวตายและหนาวตาย เรื่องที่เห็นด้วยตาตนเองย่อมไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่อ่านในสมุดพับ กว่าจะรอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ฉู่โจวก็ไม่ง่าย มุ่งตรงมาที่เมืองหลวง เดิมทีคิดว่าราชสำนักจะคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนสามแสนแปดหมื่นคน และคืนความยุติธรรมให้กับท่าน แต่กลับกลายเป็นว่าราคาที่ต้องจ่ายคือชีวิตของตนเอง เฮ้อ…ผู้ไร้ประโยชน์มากที่สุดคือนักปราชญ์ ที่ข้าพูดไม่ผิดสักนิด วันนั้นข้าทุ่มเทต่อสู้เพื่อผู้ตรวจการจาง เดิมทีคิดว่าครั้งนี้ข้าก็จะทุ่มเทต่อสู้เพื่อท่าน เพียงแต่ข้ายังคิดหาทางไม่เจอ ท่านก็มาชิงตายไปเสียก่อน แต่ก็ดีแล้ว การเป็นมนุษย์นั้นทุกข์มหันต์ ชีวิตที่ผ่านมาของท่านช่างเลวร้ายจริงๆ”
หลังจากจัดระเบียบศพเสร็จสิ้นแล้ว สวี่ชีอันก็ยืนขึ้น และถอยหลังออกไปสองสามก้าว ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาและโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งให้ปัญญาชนผู้น่าสงสารและน่าเคารพคนนี้
กลุ่มทหารที่สวมเสื้อเกราะ และถืออาวุธคมกริบรวมตัวกันอยู่ที่นอกคุกใต้ดิน
เลขาธิการศาลต้าหลี่พาคนนอกเข้ามาในที่ทำการปกครอง เดิมทีไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่คุกใต้ดินเป็นสถานที่สำคัญ เว้นแต่จะมีลายมือชื่อของขุนนางระดับสูงอย่างซื่อชิงหรือเซ่าชิง มิเช่นนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในคุกใต้ดินโดยพลการได้
แน่นอนว่าทหารประจำคุกย่อมขัดขวางเขา แต่เมื่อถูกสวี่ชีอันกระโดดเตะก็ไม่กล้าตีหินด้วยไข่อีก จึงวิ่งโร่ไปแจ้งหัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่
หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ยืนไขว้สองมือไว้ด้านหลังอยู่ที่เบื้องหน้า ด้านหลังคือเหล่าทหารยามของที่ทำการปกครอง
ใบหน้าของเขาจมมืด หลังจากยืนรออยู่ครึ่งชั่วโมง ถึงได้เห็นสวี่ชีอันออกมา ชายหนุ่มคนนี้สงบนิ่งอย่างคาดไม่ถึง ใบหน้าของเขาไม่แสดงออกถึงความสุขหรือความเศร้าแม้แต่นิดเดียว
“สวี่ชีอัน เจ้าบุกรุกเข้ามาในเรือนจำของศาลต้าหลี่ ต่อให้ข้าจะฆ่าเจ้าตายตรงนี้ เว่ยเยวียนก็พูดอะไรไม่ได้” หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ชิงลงมือตะโกนก่อนเพื่อความได้เปรียบ
ชายหนุ่มที่ถือดาบกลับเพิกเฉย และเดินจากไปอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ดาบเล่มนี้ เดิมทีตั้งใจนำมาใช้ฆ่าสัตว์เดียรัจฉาน เพียงแต่เขามาช้าไปชั่วครู่และไล่ตามไม่ทัน หากมีใครอยากจะลองลูบคมมัน สวี่ชีอันก็จะไม่ปฏิเสธ
“ใต้เท้าซื่อชิง…” ทหารรักษาพระองค์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่กำลังจะออกคำสั่งให้เหล่าทหารรักษาพระองค์ไปจับตัวเขา แต่จู่ๆ ก็ถูกดึงแขนเสื้อ เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นเลขาธิการศาลต้าหลี่
เลขาธิการศาลต้าหลี่มองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง “ใต้เท้าก็มีเพียงหนึ่งชีวิต เหตุใดถึงไม่หวงแหนมันไว้เล่า”
หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ ขนอ่อนตามแผ่นหลังลุกชัน
…
ห้องทรงพระอักษร พระราชวัง
ฮู่กั๋วกงและเฉากั๋วกงกลับไปที่พระราชวัง เพื่อรายงานผลการปฏิบัติภารกิจ
“ฝ่าบาท เจิ้งซิ่งไหวสิ้นชีพแล้ว คดีนี้สามารถตัดสินได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฉากั๋วกงกล่าวด้วยความเคารพ
“เหลือเพียงแต่จะรับมือกับทุกคนอย่างไร” เชวียหย่งซิวยังคงกังวลเล็กน้อย
ทุกคนสามารถให้อภัยอ๋องสยบแดนเหนือได้ นั่นก็เพราะอ๋องสยบแดนเหนือสิ้นพระชนม์แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับมาเมืองหลวงอย่างปลอดภัยด้วยร่างกายที่ไร้ซึ่งตำหนิ เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะส่งกองทหารรักษาวังไปยังจวนของฮู่กั๋วกง เพื่อปกป้องและดูแลความปลอดภัยของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการลอบสังหาร นอกจากนี้ เหล่าสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือที่ตามเจ้ากลับมาก็ให้เจ้าควบคุมชั่วคราว และให้พวกเขาอยู่ที่จวนของเจ้า”
เชวียหย่งซิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก กองกำลังรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเช่นนี้ น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เขาปลอดภัยโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลอบสังหาร
สำหรับการต่อสู้ที่ดุเดือดในท้องพระโรง เขาจำเป็นต้องทำตัวค้อมต่ำเข้าไว้ ไม่มีปากมีเสียงและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของจักรพรรดิ แม้ว่าเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางจะมีวิธีการเหนือคนทั่วไป ก็คงไม่คิดจะจุดไฟเผาเขาที่นี่
หากผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ อนาคตข้างหน้าก็ยังคงสวยงาม
เมื่อจิตใจสงบลงบ้างแล้ว เชวียหย่งซิวก็โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอกและหัวเราะขึ้นมาอย่างจริงใจ
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง โต้กลับในขณะคู่ต่อสู้คลี่คลาย ทำให้สั่นคลอนเหล่าขุนนางบุ๋นได้ง่าย ฉวยโอกาสรีบตัดสินใจในช่วงที่พวกเขากำลังลังเล โดยให้เจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิด และไม่ปล่อยทางหนีทีไล่ให้กับทุกคน คราวนี้พวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาฝืนทนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิย่อมตัดสินใจอย่างอ่อนข้อมากพอที่จะสนองความกระหายของคนบางส่วน มิฉะนั้น ต่อให้เป็นจักรพรรดิ ก็มิอาจเป็นเสาต้นเดียวที่ค้ำตึกหลังใหญ่ได้
เชวียหย่งซิวชื่นชมจักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยใจจริง
“แม้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะถูกคณะทูตพากลับมาที่เมืองหลวง แต่ก็ยังไร้ร่องรอยของยอดฝีมือปริศนาคนนั้น หากหาเขาเจอแล้ว ก็ส่งทหารไปปราบปรามเขาเพื่อล้างแค้นให้กับไหวอ๋อง เรื่องนี้ก็จะจบแบบสมบูรณ์แบบพ่ะย่ะค่ะ” เฉากั๋วกงทอดถอนใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็มืดมนเล็กน้อย จากนั้นไม่กี่อึดใจ เขาก็กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “พรุ่งนี้เรียกประชุมช่วงเช้าเพื่อสรุปคดีเมืองฉู่โจว ก่อนหน้านั้น เจ้าจงให้คนไปกระจายข่าวให้ทั่ว ว่าเจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิด”
เฉากั๋วกงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ!”
…
ศาลาใน
ภายหลังการประชุมตอนเช้าสิ้นสุดลง สมุหราชเลขาธิการหวางก็เรียกประชุมปราชญ์มหาสำนักทั้งห้าท่าน เพื่อร่วมกันหารือเรื่องที่จะเกิดตามมาหลังเจิ้งซิ่งไหวติดคุก
“ไหวอ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ถือว่าแล้วกันไป แต่เชวียหย่งซิวเป็นหนึ่งในเพชฌฆาตของเหตุการณ์สังหารหมู่ ท่าทีของฝ่าบาทช่างทำให้…” ปราชญ์มหาสำนักตำหนักอู่อิงเฉียนชิงซูรู้สึกเหลืออด จึงกล่าวด้วยความเศร้าใจ
“เป็นเรื่องดีที่จะคิดหาวิธีช่วยใต้เท้าเจิ้ง ขุนนางที่ดีเช่นนี้ ไม่ควรต้องกล้ำกลืนความไม่ยุติธรรม”
ปราชญ์มหาสำนักตำหนักเจี้ยนจี๋หงุดหงิดเล็กน้อยจึงกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจิ้งซิ่งไหวเป็นคนเจ้าอารมณ์ เขาเป็นขุนนางได้ แต่เขาทำอะไรในราชสำนักไม่ได้เลย” น้ำเสียงเจือไปด้วยความสงสารในความโชคร้ายของเจิ้งซิ่งไหว แต่ก็รู้สึกโกรธที่เขาไม่สู้
“แต่ก็เพราะเช่นนี้ ถึงน่านับถือ ไม่ใช่รึ”
ปราชญ์มหาสำนักศาลาพลับพลาฝั่งตะวันออกจ้าวถิงฟางถอนหายใจด้วยความโล่งอก และกล่าวอย่างครุ่นคิด “มิใช่ว่าฝ่าบาททรงอยากกลับพิพากษาให้อ๋องสยบแดนเหนือหรอกรึ ฝ่าบาททรงต้องการรักษาหน้าของราชวงศ์ งั้นพวกเราก็ต้องรับปากพระองค์ เงื่อนไขคือแลกกับความบริสุทธิ์ของเจิ้งซิ่งไหว
“ตราบใดที่เจิ้งซิ่งไหวถูกตัดสินว่ามีความผิด สำหรับฝ่าบาทแล้ว คดีนี้ก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์ พระองค์จะทรงเห็นด้วยรึ” ปราชญ์มหาสำนักตำหนักเจี้ยนจี๋กล่าวอย่างโกรธเคือง
“งั้นก็ต้องเกิดความวุ่นวายอีกครั้ง!” จ้าวถิงฟางเคาะกำปั้นลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่น
สมุหราชเลขาธิการหวางส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่มีประโยชน์ สถานการณ์ตอนนี้ต่างจากเมื่อก่อน เมื่อได้ยินข่าวร้ายในคราแรก เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารต่างตื่นตระหนกและโกรธเคือง บัดนี้ความโกรธได้ผ่านพ้นไปแล้ว ประโยชน์ก็ได้รับไปแล้ว จะเปลี่ยนเรื่องการสังหารหมู่ที่อื้อฉาว ให้กลายเป็นชัยชนะและชื่อเสียงของราชสำนัก ตัวเลือกจะเป็นอย่างไร แค่คิดก็รู้แล้ว”
เฉียนชิงซูถอนหายใจและกล่าวด้วยความลังเล “งั้นท่านสมุหราชเลขาธิการคิดว่าควรทำอย่างไร”
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวว่า “การกลับมาเมืองหลวงอย่างปลอดภัยของเชวียหย่งซิว ย่อมกระตุ้นความโกรธของคนบางส่วนอย่างแน่นอน พวกเราสามารถแอบโน้มน้าวคนเหล่านั้นให้ร่วมกันประท้วงได้ แต่ข้อเรียกร้องต้องลดลงสักหน่อย เมื่อเช้าเชวียหย่งซิวถือหนังสือคำร้องเดินอยู่บนถนน เพื่อฟ้องร้องเจิ้งซิ่วไหวและกระตุ้นทุกคนที่รู้เรื่องให้ลุกฮือ ช่วงเวลานี้เราต้องพยายามช่วงชิงความบริสุทธิ์ของเจิ้งซิ่งไหวมาให้ได้ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่สามารถยอมรับได้ ฝ่าบาทก็ไม่สามารถเห็นด้วย”
เหล่าปราชญ์มหาสำนักพยักหน้าเล็กน้อย
อันที่จริง ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมาจนถึงขั้นนี้ก็เพื่อ ‘ล้างบาป’ ให้กับเจิ้งซิ่งไหว อย่าว่าแต่ฝ่าบาทจะไม่ทรงเห็นด้วยเลย ต่อให้เป็นประชาชนก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล งั้นสรุปแล้วใครถูกใครผิดกันแน่?
หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการที่ดี ราชสำนักจะกลายเป็นตัวตลกที่น่าหัวเราะเยาะ
สมุหราชเลขาธิการหวางถอนหายใจและกล่าวว่า “เจิ้งซิ่งไหวยังคงมีความผิด แต่พวกเราสามารถใช้กลยุทธ์ขโมยขื่อเปลี่ยนเสา ใช้นักโทษประหารชีวิตมาแทนที่เขา ตราบใดที่ฝ่าบาททรงเห็นชอบ เรื่องนี้ก็เป็นไปได้ สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้มีเพียงการช่วยชีวิตเขา”
แม้ว่าเหล่าปราชญ์มหาสำนักจะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้า
เวลานี้เอง เจ้าพนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบและยื่นกระดาษจดหมายฉบับหนึ่งให้กับสมุหราชเลขาธิการหวาง ก่อนจะถอยหลังกลับไป
สมุหราชเลขาธิการหวางเปิดอ่านจดหมาย และมีท่าทีตกตะลึงโดยไม่ไหวติงอยู่นาน
“เจิ้งซิ่งไหวเสียชีวิตในคุกแล้ว…”
สมุหราชเลขาธิการชราวางจดหมายลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นด้วยท่าทางอิดโรยและออกไปจากห้องประชุม
ภาพด้านหลังของเขาดูไม่ต่างจากคนชราซึ่งเป็นไม้ใกล้ฝั่ง
…
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หนานกงเชี่ยนโหรวนั่งตัวตรง และไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
แม้ว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือระดับสี่ แต่ในตอนนี้ วินาทีนี้ เขากลับรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย
เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากจดหมายที่เพิ่งส่งมอบไป
หลังจากเห็นจดหมายฉบับนี้ เว่ยกงก็ไม่พูดอะไรสักคำ แม้กระทั่งแววตาที่แสดงออกถึงอารมณ์ก็ไม่มีสักอย่าง ราวกับรูปปั้นประติมากรรมไร้ชีวิต
หนานกงเชี่ยนโหรวติดตามเว่ยเยวียนมานานหลายปี น้อยครั้งจนนับนิ้วได้ที่จะเห็นท่าทางเงียบขรึมของเขาเช่นนี้ เป็นความเงียบขรึมที่มีพายุอันน่าสะพรึงกลัวกำลังก่อตัวขึ้น
ข้อความสั้นๆ ถูกบันทึกไว้เพียงว่า เจิ้งซิ่งไหวถูกฆ่าตายในคุก
ช่างสั้นเสียจริง สมุหเทศาภิบาลที่สง่างามของรัฐโจวซึ่งเป็นขุนนางระดับสอง ข้อมูลที่เหลือทิ้งไว้หลังจากสิ้นชีพมีแค่สิ่งนี้เองรึ
แล้วจะบันทึกเขาไว้บนหนังสือประวัติศาสตร์ว่าอย่างไร? บางทีจำนวนคำอาจจะเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนสังหารผู้คนในเมืองไปสามแสนแปดหมื่นคน สังหารอ๋องสยบแดนเหนือผู้ซึ่งเป็นเสาหลักของต้าฟ่ง
เหม็นโฉ่ไปอีกหมื่นปี
ช่างเป็นโลกที่น่าขันจริงๆ…หนานกงเชี่ยนโหรวเยาะเย้ยในใจ
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ยืนดูเหตุการณ์ก็เหลือเพียงความรู้สึกทอดถอนใจ สิ่งที่น่าขันไม่ใช่โลก แต่เป็นมนุษย์ต่างหาก
หนังสือประวัติศาสตร์มีมากมายนับไม่ถ้วน ด้านในจะมีสักกี่คนที่เหมือนเจิ้งซิ่งไหว?
สาเหตุที่มีคดีอยุติธรรมมากมายเช่นนี้ ในที่สุดก็เป็นเพราะไม่มีใครกล้ายืนขึ้นมา
…
“องค์หญิง องค์หญิงรองทรงต้องการพบท่านพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทหารรักษาพระองค์เคาะประตูห้องของฮว๋ายชิ่ง นางก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี และขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ในเวลานี้ หากหลินอันมายั่วยุและทำให้นางรำคาญอีก นางคงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้
“ให้นางไปรอที่ห้องนั่งเล่น ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะตามไป”
หลังจากทหารรักษาวังออกไปแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็เผาจดหมายจนมอด ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงสีขาวราวกับหิมะ เมื่อไปถึงห้องนั่งเล่นก็พบกับพระขนิษฐาในชุดสีแดง
นางรู้สึกตกตะลึงในทันที
ก่อนหน้านี้หลินอันเคยมีชีวิตชีวาและสดใสร่าเริง นางมักจะพูดเจื้อยแจ้วราวกับนกกระจอกตัวเล็กๆ บางครั้งก็จู่โจมเข้ามาจิกเจ้า แม้ว่าทุกครั้งจะถูกฮว๋ายชิ่งตบลงบนพื้นก็ตาม
แต่นางก็มักจะบินขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และพยายามจิกหน้าอยู่ร่ำไป
แต่หลินอันที่ฮว๋ายชิ่งเห็นในตอนนี้เป็นเหมือนดอกไม้เล็กๆ ที่เหี่ยวเฉา ใบหน้ารูปไข่ของนางหมองคล้ำไร้ราศี ดวงตาลูกท้อหลุบลงต่ำราวกับเด็กสาวที่กำลังด้อยค่าตนเอง และทำอะไรไม่ถูก
“หากเจ้าอยากจะถามว่าเจิ้งซิ่งไหวตายแล้วใช่หรือไม่ งั้นข้าก็สามารถตอบเจ้าได้อย่างชัดเจนว่า ใช่” ฮว๋ายชิ่งกล่าวเสียงเบา
หลินอันพยักหน้าและก้มมองพื้นด้วยสายตาว่างเปล่าพลางกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้า…ข้าไม่ค่อยสบาย…ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม เพียงแต่…เพียงแต่ข้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อยและกลัวมาก…”
เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อนางมากเกินไป…ต้าฟ่งสงบสุขมาเนิ่นนาน ก่อนหน้านี้ที่กั๋วจิ้วยังไม่ตาย วังหลังกลับมาปรองดองอีกครั้ง…
ฮว๋ายชิ่งกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย เจ้าอ่านหนังสือน้อยเกินไป จงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ให้มากขึ้นแล้วเจ้าจะรู้ว่านี่เป็นเรื่องปกติ ยิ่งเกิดการนองเลือดที่ไม่เที่ยงธรรมก็ยิ่งเกิดคำพูดน้อย”
“เจ้า…คิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ” หลินอันมองนาง
เพราะการตายของเจิ้งซิ่งไหว เพราะวิญญาณทั้งสามแสนแปดหมื่นดวงที่เมืองฉู่โจว ความรู้สึกผิดในจิตใจกำลังจะปะทุ และทำให้นางจมดิ่งสู่ความโศกเศร้าอย่างขีดสุด
ในเวลาเช่นนี้ หลินอันก็นึกถึงฮว๋ายชิ่งขึ้นมา ฮว๋ายชิ่งเป็นพี่สาวที่นางอยากไล่ตามให้ทันมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงอยากมาหา เพื่อดูว่าฮว๋ายชิ่งจะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างไร
แต่ตอนนี้นางมาหาแล้วกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ฮว๋ายชิ่งเดินไปเบื้องหน้าหลินอัน และกวาดสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “จันทร์เต็มดวงย่อมขาดหาย น้ำเต็มบ่อย่อมล้นออก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจหลีกหนีเหตุผลที่ว่าเมื่อสูงส่งจนถึงที่สุดย่อมตกต่ำ เมื่อราชวงศ์หนึ่งเปลี่ยนผ่านจากความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ความเสื่อมโทรม มันย่อมมาพร้อมกับเลือด และน้ำตาจำนวนนับไม่ถ้วน ความผุพังของภายในจะค่อยๆ กัดกินมันทีละนิด และจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกมาก”
หลินอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพี่สาว “งั้น…งั้นจะทำอย่างไรดี”
ฮว๋ายชิ่งเอื้อมมือออกไปจับศีรษะของหลินอัน ในแววตาประกายไปด้วยความอ่อนโยนที่หายาก “เวลาเช่นนี้ จะมีใครกล้ายืนขึ้น”
จะมีใครกล้ายืนขึ้น…หลินอันกำหมัดแน่นอย่างทันทีทันใด
……………………………………………………………