ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 384 ความโกรธ! (3)
บทที่ 384 ความโกรธ! (3)
ในวังบรรทม
หลังจากสิ้นสุดการประชุมตอนเช้า ทันทีที่จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับถึงห้องทรงพระอักษร ก็มีทหารรักษาพระองค์วิ่งเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนกอย่างมาก ยังไม่ทันสื่อสารอะไรก็ยืนตะโกนอยู่ที่หน้าประตูว่า “ฝ่าบาท สวี่ชีอันขวางประตูอู่เหมินอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาประกาศว่าจะฆ่าฮู่กั๋วกงและเฉากั๋วกงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และกล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า “เขาคิดจะก่อกบฏรึ เฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงเป็นอย่างไรบ้าง”
“ถูกพาออกจากพระราชวังไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทหารรักษาพระองค์ตอบอย่างวิตกกังวล
“รีบระดมทหารรักษาวังที่เป็นยอดฝีมือไปหยุดสวี่ชีอัน หากต่อต้าน ฆ่าทิ้งได้เลย!” จักรพรรดิหยวนจิ่งตะโกนเสียงดัง
เมื่อทหารรักษาพระองค์ไปแล้ว เขาก็ยืนอยู่ข้างโต๊ะด้วยสีหน้ากระสับกระส่าย
ปราบเว่ยเยวียนแล้ว ปราบสมุหราชเลขาธิการหวางแล้ว ปราบทุกคนในราชสำนักแล้ว แต่กลับละเลยบุคคลตัวเล็กๆ เช่นนี้ไป
“เขากล้าอกตัญญูต่อข้า บังอาจนัก บังอาจนัก…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งคำรามอยู่ในลำคอ ก่อนจะกวาดหนังสือราชการ เอกสาร พู่กัน จานหมึกและกระดาษที่อยู่บนโต๊ะร่วงกระจายสู่พื้น
ความโกรธที่ปะทุขึ้นมาอย่างเดือดดาลของจักรพรรดิยังไม่จางหายไป เขาจึงยกเท้าเตะโต๊ะอีกครั้ง
…
หลังจากได้รับพระบัญชาของจักรพรรดิแล้ว ยอดฝีมือของพระราชวังก็นำกองทัพทหารรักษาวังกว่าร้อยนายออกจากพระราชวัง และควบม้าไปตามถนนอย่างดุเดือด
กองทัพทหารรักษาวังไล่ล่าสวี่ชีอันอยู่บนถนนในเขตพระราชฐาน
“หยุดเขา!”
หนึ่งในผู้นำกองทัพทหารรักษาวังเห็นกั๋วกงทั้งสองยังปลอดภัยดี ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะโผกระโดดขึ้นเหนือหลังม้า และพุ่งตัวไปทางสวี่ชีอัน
‘ฟิ้ว!’
เวลานี้ จู่ๆ กระบี่บินเล่มหนึ่งก็ลอยมาอย่างกะทันหัน และเปล่งแสงสว่างจ้า
ผู้นำทหารรักษาวังชักดาบออกมาสกัดกั้น และต่อสู้กับกระบี่บิน แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่เขาก็ถูกขัดขวางไว้
หลี่เมี่ยวเจินยืนอยู่กลางอากาศ ผมยาวปลิวสยาย ใบหน้าสวยของนางเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง
หลี่เมี่ยวเจินคือคนที่ออกมาจากจวนของหลินอัน เมื่อคืนนางอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด
เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์…ผู้นำกองทัพทหารรักษาวังทั้งตกตะลึงทั้งโกรธ “ข้าจะไปจัดการกับหลี่เมี่ยวเจิน พวกเจ้าไปสกัดกั้นสวี่ชีอัน”
คนที่ออกมาไล่ล่าที่นี่ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นยอดฝีมือ
ทันใดนั้น ยอดฝีมือทั้งสามก็กระโดดขึ้นจากหลังม้า สูบฉีดพลังปราณและตามไล่ล่าไปบนอากาศ
‘ชิ้ง!’
เวลานั้นเอง ดาบเล่มหนึ่งก็เรืองแสงขึ้น ตัดผ่านหน้ายอดฝีมือทั้งสามเข้าไปยังหุบเหวลึก
บนสันหลังคาบ้านที่หันหน้าไปทางถนน มีนักดาบในชุดสีรัตติกาลยืนอยู่ เขาไขว้มือไว้ด้านหลัง พลางหัวเราะเยาะด้วยความเยือกเย็น
“ฉู่หยวนเจิ่น เจ้าจะต่อต้านราชสำนักงั้นรึ เจ้าอยากกลายเป็นคนหนีคดีหรืออย่างไร”
ยอดฝีมือของพระราชวังทั้งสามรู้จักฉู่หยวนเจิ่น
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวยิ้มเยาะ “ที่นี่คือเขตพระราชฐาน ผู้ที่อาศัยอยู่ล้วนเป็นขุนนางเรืองอำนาจ หากท่านอยากจะแบกความรับผิดชอบไว้ที่หลัง ก็เชิญสู้กับข้าสักตั้ง ยังไงซะ ข้าก็หัวเดียวกระเทียมลีบ อย่างร้ายสุด ชีวิตนี้ก็คงเข้าเขตชายแดนต้าฟ่งไม่ได้อีก”
ยอดฝีมือของพระราชวังทั้งสาม ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความโกรธจัด
เมืองหลวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของจักรพรรดิ และยังเป็นเมืองชั้นใน ประชาชนที่นี่ล้วนสูงศักดิ์และเรืองอำนาจกว่าประชาชนที่อยู่ด้านนอก หากพวกเขาทั้งสามเป็นสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากถูกเข่นฆ่า ความรับผิดชอบนี้ ย่อมตกอยู่ที่พวกเขาอย่างแน่นอน
ทั้งสามรับรู้ได้ถึงความผันผวนของพลังปราณทางด้านนี้ กลิ่นอายแห่งความเผด็จการที่ลุกโชนอยู่ในเขตพระราชฐาน ก่อให้เกิดการตอบสนองที่เต็มไปด้วยความเครียด
คนที่อยู่ในเขตพระราชฐานล้วนเป็นขุนนางที่มียศสูงศักดิ์ บางคนเป็นยอดฝีมือ บางคนกำลังต้อนรับแขกอยู่ในจวน ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ผู้อ่อนแอ
แต่ทางด้านพระราชวัง ความผันผวนของพลังปราณที่เผด็จการกำลังมาถึง นั่นคือยอดฝีมือที่กำลังตามมา
“ดูเหมือนพวกเราจะแหย่รังแตนเข้าแล้ว…” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าว
“กลัวตายก็ไสหัวไป” หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับด้วยความไม่พอใจ
“อมิตตาพุทธ!”
เรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าขาดเหิงหย่วนไปไม่ได้ เขาหันออกมาจากถนนอีกฟากหนึ่ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เหตุใดหลี่เต้าโย่วไม่พาข้ามาด้วย?”
เขาก็แทรกซึมเข้าไปในเขตพระราชฐานล่วงหน้าเช่นกัน และยังซ่อนตัวอยู่ในจวนของหลินอันด้วย เพียงแต่ตอนที่หลี่เมี่ยวเจินขี่กระบี่บินเมื่อสักครู่ นางไม่ได้รับเขามาด้วย ดังนั้น เขาจึงมาสายไปเล็กน้อย
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “ตอนหนีตายค่อยว่ากัน”
…
ท้องฟ้าสว่างแล้ว บนถนนในเมืองชั้นในก็เริ่มมีคนเดินเท้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สวี่ชีอันเหยียบอยู่บนกระบี่บินที่หลี่เมี่ยวเจินมอบให้ และมุ่งออกจากเขตพระราชฐานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถลาลงบนถนนในเมืองชั้นในอย่างเงียบเชียบ
จากนั้น เขาก็ลากกั๋วกงทั้งสองท่านนี้เดินโชว์ตัว เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คน
สิ่งที่คนเดินข้างถนนสังเกตเห็นเป็นอันดับแรก คือฮู่กั๋วกงและเฉากั๋วกงที่สวมชุดขุนนางผู้สูงศักดิ์
“เอ๋ นี่ไม่ใช่สวี่อวิ๋นหลัวหรอกรึ ไม่สวมชุดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้าจำแทบไม่ได้เลย” มีคนตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
“เขาลากใครมาด้วย นี่ นี่คือหมางเผ่าไม่ใช่รึ งั้นก็น่าจะเป็นบุคคลสำคัญ…”
“ข้ารู้จักคนนั้น คนที่มีตาข้างเดียว เขาคือฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิวที่เข้าเมืองหลวงมาเมื่อวาน”
“ใช่ฮู่กั๋วกงคนที่ฟ้องร้องสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว เรื่องสมคบคิดกับเผ่าปีศาจ และฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือใช่หรือไม่”
เป็นเรื่องยากสำหรับชาวบ้านทั่วไปที่จะรู้จักขุนนาง อย่างเช่นเฉากั๋วกง พวกเขาก็ไม่รู้จัก แต่เมื่อวานฮู่กั๋วกงเดินโอ้อวดตนเอง ดึงความสนใจจากผู้อื่น และให้ความประทับใจอันลึกซึ้งกับชาวบ้านในเมืองชั้นใน
ดังนั้น ทันทีที่เห็นจึงจำได้อย่างรวดเร็ว
“สวี่อวิ๋นหลัวลากเขามาทำอะไร เขามีบรรดาศักดิ์เป็นกงนะ เกิด…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“จะทำอะไรก็ช่างเถอะ ว่าแต่บุคคลนั้นมาในที่สาธารณะทำไม ต้องเกี่ยวข้องกับคดีฉู่โจวแน่ๆ เดี๋ยวข้าไปเรียกภรรยาออกมาดูเรื่องสนุกๆ ดีกว่า”
“สะใภ้ เจ้าช่วยเฝ้าร้านไว้นะ ข้าจะไปดูหน่อย”
“แต่ว่า…ข้าก็อยากไปดูเหมือนกัน…”
คนเดินเท้าบนถนนต่างก็ชี้นิ้วและมองฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ พลางเดินตามไปร่วมสนุกกับสวี่ชีอัน เจ้าของแผงลอยบางคนถึงกับละทิ้งแผง และเดินตามไปด้วยความสงสัย
ไม่ใช่ความน่าสนุกเพียงอย่างเดียวที่ดึงดูดให้พวกเขาเดินเข้าไป แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสวี่อวิ๋นหลัว คนที่เขาลากอยู่ในมือก็เป็นกงที่เพิ่งมาโชว์ตัวเมื่อวาน จึงไม่มีใครทนความอยากรู้อยากเห็นนี้ได้
ฝูงชนหลั่งไหลมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
จนค่อยๆ กลายเป็นฝูงชนที่พลุกพล่านและหนาแน่น
นี่คือสิ่งที่สวี่ชีอันต้องการ แม้ว่าการฆ่าเชวียหย่งซิวด้วยการฟันดาบเพียงครั้งเดียวจะเห็นผลลัพธ์เร็วและตรงไปตรงมา แต่นั่นกลับไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
ในที่สุด เขาก็ลากกงทั้งสองท่านมาจนถึงลานประหารที่ไช่ซื่อโข่ว
ลานประหารตั้งอยู่ที่ไช่ซื่อโข่ว นั่นก็เพราะที่นี่มีคนจำนวนมาก ที่เรียกว่าตัดหัวแขวนประจานสู่สาธารณะ ถ้าคนไม่เยอะ จะเรียกว่าประจานสู่สาธารณะได้อย่างไร
ชาวบ้านแถบไช่ซื่อโข่วสังเกตเห็นสวี่ชีอันในทันทีทันใด หากพูดให้ถูก พวกเขาสังเกตเห็นผู้คนที่หลั่งไหลมาอย่างแน่นขนัดต่างหาก
“เกิด เกิดอะไรขึ้น” ผู้คนในแถบไช่ซื่อโข่วต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด
“นั่นสวี่อวิ๋นหลัวไม่ใช่รึ”
ไช่ซื่อโข่วอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
สวี่ชีอันโยนเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงลงบนแท่นประหาร ก่อนจะชักดาบออกมา และตัดเอ็นร้อยหวายของพวกเขาในฉับเดียว
จากนั้น มือทั้งสองข้างของสวี่ชีอันก็คว้าเข้าที่ศีรษะของเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงคนละข้าง บีบบังคับให้พวกเขาเงยหน้าขึ้น พลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ดูสิ ผู้คนมากมายเช่นนี้ ตายวันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
สีหน้าของเชวียหย่งซิวซีดเผือด “ข้า ข้าเป็นยุคสมัยแรกหลังจากวีรบุรุษก่อตั้งอาณาจักร เจ้า เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ หากเจ้าฆ่าข้า เจ้าจะไม่เหลือที่ยืนในต้าฟ่ง”
ผู้บัญชาการที่ต่อสู้ในสนามรบท่านนี้ ขณะนี้ยังคงรักษาความสุขุมของทหารไว้ได้อยู่ เขากล่าวต่อเนื่องโดยไม่ขาดปากว่า “อย่าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้ายังไม่ตาย ทุกอย่างสามารถกอบกู้คืนกลับมาได้ ข้าจะทูลขอความเมตตาให้จักรพรรดิประทานอภัยให้เจ้า ข้าสาบาน…”
เขายังมีอนาคตที่ดี เขาเพิ่งได้รับชัยชนะในท้องพระโรง เขาจะตายเช่นนี้ไม่ได้
เฉากั๋วกงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “สวี่ชีอัน เจ้าน่าจะรู้ว่าจักรพรรดิเป็นคนเช่นไร ฆ่าพวกเราไปแล้ว ต่อให้มีแผ่นเหล็กอักษรแดงก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ปล่อยพวกเราไป ยังพอมีทางเหลือสำหรับการเจรจาต่อรอง”
สวี่ชีอันยิ้ม “ถ้าข้ากลัวเขา ข้าคงไม่พาพวกเจ้าทั้งสองมาที่นี่” ดวงตาของเขาสงบนิ่ง น้ำเสียงอ่อนโยน แต่ความหวาดกลัวในหัวใจของเฉากั๋วกงกลับระเบิดขึ้น แหลกละเอียดราวกับกระเทียมบด
“สวี่อวิ๋นหลัว ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดปล่อยข้าไป ปล่อยข้าไปเถอะนะ…ทั้งหมดเป็นความผิดของฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิวและจักรพรรดิ เป็นพวกเขาที่ก่อคดีสังหารหมู่ เป็นพวกเขา พวกเขาต่างหาก”
“หุบปาก!” เชวียหย่งซิวตะโกน
“คนที่สมควรหุบปากคือเจ้า!” ใบหน้าของเฉากั๋วกงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างขีดสุด “เจ้าไม่รู้จักเขาหรอก เจ้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เจ้าย่อมไม่มีวันรู้จักเขา เขามันบ้า บ้าระห่ำ เขา…เขาคือคนที่ฆ่าพวกเราได้จริงๆ”
“พูดให้ดังกว่านี้ บอกชาวบ้านเหล่านี้ซะ ว่าใครเป็นคนสังหารหมู่ประชาชนทั้งฉู่โจว!” สวี่ชีอันชักดาบออกมา และวางลงบนลำคอของเฉากั๋วกง
ใบมีดอันเยือกเย็นราวกับกำลังควบแน่น และบีบคั้นหลอดเลือดของเขา เฉากั๋วกงหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก ก่อนจะทรุดตัวลงอย่างหมดอาลัยตายอยาก พลางตะโกนว่า “อ๋องสยบแดนเหนือ ฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิว พวกเขาคือคนที่สังหารหมู่ประชาชน”
“ยังไม่หมด!” สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ยังมีจักรพรรดิ ยังมีจักรพรรดิ พระองค์ทรงรู้ทุกอย่าง ทรงรู้ด้วยว่าอ๋องสยบแดนเหนือเป็นคนสังหารหมู่ประชาชน…อย่าฆ่าข้า ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย” เฉากั๋วกงร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนัก
‘โครม…’
ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ต่างตกอยู่ในความตะลึง
ที่พวกเขาได้ยินคืออะไร
อ๋องสยบแดนเหนือและเชวียหย่งซิว คือคนที่สังหารหมู่ประชาชนชาวฉู่โจวกว่าสามแสนแปดหมื่นชีวิต และกษัตริย์ของพวกเขา ฝ่าบาทของพวกเขาก็รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ทั้งหมดงั้นรึ
“มิน่าล่ะ ที่สมุหเทศาภิบาลเจิ้งตาย ก็เพราะถูกพวกเขาฆ่าปิดปาก!” คนที่มีดวงตาแดงก่ำตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
“ฝ่าบาท…ทรงรู้เรื่องการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือ…”
ใบหน้าทุกใบหน้าตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ดวงตาทุกคู่แฝงไปด้วยความเกลียดชังและงุนงง
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าการเดินตามกันมาดูเรื่องน่าสนุกจะได้มาเห็นฉากเช่นนี้ จะได้มาฟังคำพูดเช่นนี้
องค์ชายแห่งต้าฟ่งสังหารหมู่คนทั้งเมือง และจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งก็รู้เห็นเป็นใจ
งั้นสักวันหนึ่ง ดาบสังหารนั้นก็อาจจะเล็งมาที่พวกเขาก็ได้ ใช่หรือไม่
ที่นั่นมีชาวบ้านมากกว่าหนึ่งพันคน ฝูงชนหนาแน่น บางสิ่งในจิตใจของพวกเขาได้พังทลายลง
เวลานี้เอง ร่างของคนกลุ่มหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาบนสันหลังคาบ้านรอบๆ ไช่ซื่อโข่วทีละคน บางคนสวมชุดเกราะของทหารรักษาวัง บางคนสวมชุดธรรมดา แต่กลิ่นอายของพวกเขาล้วนแข็งแกร่งเฉกเช่นเดียวกัน
“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ฆ่าสวี่ชีอัน!”
ร่างมากกว่าสิบร่างถลาลงมาจากท้องฟ้า พลังปราณที่เป็นเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว พุ่งตรงไปที่สวี่ชีอันอย่างพร้อมเพรียงกัน
เสียงกีบม้าสั่นสะเทือนแผ่นดินราวกับฟ้าคำราม ดังก้องอยู่ด้านหลังฝูงชน เหล่าทหารรักษาวังควบม้าตรงเข้ามา และสะบัดแส้เพื่อขับไล่ผู้คนที่หลั่งไหลมา
ฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิวตื่นเต้นดีใจ พลางตะโกนว่า “รีบช่วยข้า และฆ่าสัตว์ร้ายตัวนี้ซะ”
ในแววตาที่สิ้นหวังของเฉากั๋วกงประกายแสงขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง เขาแทบอดใจไม่ไหวที่จะแล่สวี่ชีอันออกเป็นชิ้นๆ
เวลานี้เอง ลำแสงสว่างจ้าก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าเสียงดัง ‘เปรี้ยง’ และฝังเข้าไปในแท่นประหาร
ทันทีที่ลำแสงส่องสว่างในพริบตาเดียว ยอดฝีมือที่มุ่งร้ายเหล่านั้นราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างของพวกเขาสั่นสะเทือนอย่างพร้อมเพรียงกัน เลือดพุ่งกระจายอยู่กลางอากาศ
“ในที่สุดก็มา!” สวี่ชีอันโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก
สิ่งนั้นคือมีดแกะสลักเล่มหนึ่ง มีดแกะสลักที่มีสีดำและแปลกตา
ในยุคที่ยังไม่มีกระดาษ ปราชญ์ขงจื๊อท่านนั้นใช้มันแกะสลักคัมภีร์โบราณที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
เขาเรียกมันมาก่อนที่จะออกจากพระราชวัง และเมื่อวานเขาได้รับความยินยอมจากเจ้าสำนักจ้าวโส่วแล้ว
มีดแกะสลักกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น และกลายเป็นหน้ากากกันแสงอยู่ที่หน้าแท่นประหาร
สวี่ชีอันเหยียบลงบนหลังเฉากั๋วกง พลางมองฝูงชนที่อยู่รอบๆ ก่อนจะกล่าวทีละคำอย่างทรงพลังราวกับเสียงฟ้าคำราม “เฉากั๋วกงใส่ร้ายป้ายสีขุนนางผู้จงรักภักดี สนับสนุนคนชั่ว ร่วมมือกับฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิว ฆ่าสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว ตามกฎหมายของต้าฟ่ง ต้องถูกตัดหัวแขวนประจานต่อสาธารณะ!”
ดาบทองดำเล่มยาวถูกยกขึ้น ก่อนจะตวัดลงมาอย่างรุนแรงและเฉียบขาด
ศีรษะขาดสะบั้น และกลิ้งตกลงมาบนพื้น
เลือดกระเซ็นออกมาจากแท่นประหาร ทิ้งรอยเลือดอันน่าสยดสยองติดตรึงในสายตาของผู้คน
เฉากั๋วกงถูกประหารชีวิต
“ไม่…”
เสียงคำรามอย่างหมดหวังดังออกมาจากปากของเชวียหย่งซิว การตายของเฉากั๋วกง กระตุ้นความรู้สึกของเขาได้อย่างลึกซึ้ง
เฉากั๋วกงพูดถูก เขามันคนบ้า คนบ้าจริงๆ!
“สวี่ชีอัน สวี่อวิ๋นหลัว ใต้เท้าสวี่ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าไม่ควรถูกอ๋องสยบแดนเหนือสะกดจิต ข้าสำนึกผิดแล้ว ได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้ง อย่าฆ่าข้าเลย…” เชวียหย่งซิวตะโกนร้องไห้
เขาสารภาพต่อหน้าผู้คนนับไม่ถ้วน และร้องไห้อย่างขมขื่นภายใต้การจ้องมองของทุกคน
“ที่แท้เจ้าก็กลัวตายเป็นเหมือนกัน!” สวี่ชีอันยิ้มเยาะ
“ใช่ ทุกคนล้วนกลัวตาย เช่นเดียวกับเด็กที่เจ้าใช้หอกยาวยั่วยุ เช่นเดียวกับชาวบ้านที่เจ้าออกคำสั่งให้ยิง เช่นเดียวกับใต้เท้าเจิ้งที่เจ้าฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นในคุก”
“พวกเจ้ารีบช่วยข้าเร็ว รีบช่วยข้าเร็วเข้า ขอร้องพวกเจ้าล่ะ รีบมาช่วยข้าที!”
ความหวาดกลัวอันใหญ่หลวงระเบิดขึ้นในหัวใจของเชวียหย่งซิว เขาเอาแต่คร่ำครวญหายอดฝีมือที่ถูกลำแสงของมีดแกะสลักจัดการไปเมื่อสักครู่ และร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง
เขารู้ว่าดาบสังหารจ่ออยู่บนยอดศีรษะ เขารู้ว่าสวี่ชีอันฆ่าเขา เพื่อคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว เพื่อเจิ้งซิ่งไหว แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมบุคคลนี้ถึงทำเพื่อชาวบ้านที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันได้ถึงเพียงนี้?
ดาบสังหารของสวี่ชีอันยังไม่ตวัดลงมา เขายังต้องการประกาศบาปอันใหญ่หลวงของฮู่กั๋วกง ดาบของเขา ฆ่าคนที่สมควรถูกฆ่า
“ผู้บัญชาการแห่งฉู่โจวหรือฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิว สมรู้ร่วมคิดกับไหวอ๋องและสำนักพ่อมด สังหารหมู่คนฉู่โจวจนราบคาบ หนี้ชีวิตนี้ไม่สามารถให้อภัยได้ หลังจากเกิดเหตุ เขาก็สมคบคิดกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง ใส่ร้ายสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว และรัดคอเขาจนตายในคุก หนี้ชีวิตนี้ไม่สามารถให้อภัยได้ วันนี้ เขาถูกพิพากษาด้วยการ ตัด-หัว-ประจาน!”
‘ฉับ!’
ทันทีที่เขาตวัดมือ ศีรษะก็กลิ้งตกลงมา
ในขณะที่โลกพลิกกลับด้าน เชวียหย่งซิวเห็นท้องฟ้าสีครามเข้ม เห็นร่างกายของตนเอง เห็นสวี่ชีอันที่กำลังยืนยิ้มเยาะด้วยความเย็นชา
“ให้อภัย…”
ศีรษะกลิ้งลงบนพื้น ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย จากนั้นความมืดอันกว้างไกลไร้ขอบเขตก็กลืนกินเขา
‘ฟู่…’
สวี่ชีอันถอนหายใจยาว ด้วยความรู้สึกราวกับได้คายพระยูไลออกมาจากอก
ดวงตาแต่ละคู่กำลังจ้องมาที่เขา เห็นได้ชัดว่าผู้คนหลั่งไหลมาอย่างแน่นขนัด แต่บรรยากาศกลับเงียบเชียบจนน่ากลัว
ในโอกาสอันเงียบเชียบเช่นนี้ สวี่ชีอันเอื้อมมือเข้าไปในทรวงอก และหยิบเหรียญเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขาออกมา เขาใช้ดาบฟันเหรียญเงินออกเป็นสองส่วนภายในฉับเดียว ก่อนจะร่วงลงสู่พื้นเสียงดังแคร๊ง
เขาถือดาบ พลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เว่ยกง สวี่ชีอัน…ไม่ใช่ข้าราชการอีกต่อไปแล้ว”
บนสันหลังคาบ้านที่อยู่ไกลออกไป บุคคลในชุดแดงปิดปาก พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายฝน
ด้านหลังนางคือฮว๋ายชิ่ง ซึ่งวันนี้ตั้งใจสวมชุดกระโปรงสีขาวเป็นพิเศษ นางมองบนแท่นประหารด้วยสายตาว่างเปล่า แต่เงาของนางกลับหัวเราะอย่างป่าเถื่อน
ที่นอกฝูงชน ผู้หญิงสวยระดับปานกลางคนหนึ่งมาถึงล่าช้า จึงไม่สามารถเบียดเสียดเข้าไปในฝูงชนที่หนาแน่นได้
นางจึงยืนอยู่ข้างนอก ฟังผู้ชายที่อยู่ในระยะไกลคนนั้น ประกาศความผิดและโทษเสียงดังก้อง ได้ยินเขาพูดว่าไม่ใช่ข้าราชการอีกต่อไปแล้ว ได้ยินเขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
จู่ๆ มู่หนานจือก็รู้สึกว่านางโชคดีแล้ว
ทันใดนั้น บุรุษคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากฝูงชน เป็นหลี่ฮั่นผู้แบกคันธนูอยู่ที่หลัง เขาคุกเข่าลงและร่ำไห้เสียงดัง
“ขอบคุณสวี่อวิ๋นหลัวมาก ที่กำจัดขุนนางทรยศ คืนความยุติธรรมให้แก่ประชาชนชาวฉู่โจว คืนความยุติธรรมให้แก่ใต้เท้าเจิ้ง”
เชินถูไป่หลี่ เว่ยโหยวหลง จ้าวจิ้น ถังโย่วเซิ่น เฉินเสียนและภรรยา…เหล่าผู้ชอบธรรมที่คุ้มกันเจิ้งซิ่งไหวกลับเมืองหลวง ต่างก็พร้อมใจกันเบียดเสียดออกมาจากฝูงชน และคุกเข่าลงที่หน้าแท่นประหาร
“ขอบคุณสวี่อวิ๋นหลัวมาก ที่กำจัดขุนนางทรยศ คืนความยุติธรรมให้แก่ประชาชนชาวฉู่โจว คืนความยุติธรรมให้แก่ใต้เท้าเจิ้ง”
ฉากนี้ประทับลึกลงในสายตาของประชาชนที่อยู่รอบๆ
เห็นชายหนุ่มที่งดงามและสง่าผ่าเผยบนเวที เสียงร้องไห้กระซิกก็ดังลอยออกมาจากฝูงชน
นี่คือชายหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ใช้เลือดของตนเอง ใช้อนาคตของตนเอง หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนเองมาแลกกับความยุติธรรม
ฉากนี้ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา
ประวัติศาสตร์ต้าฟ่ง หยวนจิ่งปีสามสิบเจ็ด ต้นฤดูร้อน ฆ้องเงินสวี่ชีอันตัดศีรษะเฉากั๋วกง และฮู่กั๋วกงที่ไช่ซื่อโข่ว ปิดคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว นักรบผู้เชิดชูสัจธรรมทั้งเจ็ดคุกเข่าลงที่หน้าแท่นประหาร
………………………………………………