ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 385 ยอมรับผิด (2)
บทที่ 385 ยอมรับผิด (2)
เรื่องที่เกิดที่ลานประหารไช่ซื่อโข่วในเช้าวันนี้ กระจายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นปานสายฟ้าแลบออกไป ซึ่งต่างจากประเด็นสนทนาที่จะพูดคุยช่วงเวลาว่างอื่นๆ
เรื่องที่สวี่ชีอันตัดหัวเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงถูกผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นจงใจบอกต่อเล่าสู่กันฟัง
เมื่อถึงมื้อกลางวัน ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองชั้นในและกระจายออกไปจากเมืองชั้นใน อย่างมากที่สุดไม่เกินตะวันลับฟ้า ผู้คนในเมืองชั้นนอกคงรู้เรื่องนี้เช่นกัน
จ้าวเอ้อร์เป็นอันธพาล เอ้อระเหยลอยชายทั้งวี่วัน กระเป๋าเสื้อมักจะเก็บเงินไว้ไม่อยู่ หากไม่ไปติดการพนันอยู่ที่บ่อน ก็เสียไปกับเรือนร่างหญิงสาวที่หอคณิกา
ไม่กี่วันมานี้เขามีชีวิตอิ่มหนำสำราญยิ่ง เพราะได้รับงานมาแค่ขยับปากนิดหน่อยก็มีของตอบแทนเป็นเงินแล้ว เป็นเรื่องดีราวกับมีขนมตกลงมาจากฟ้า
งานนี้กระจายออกมาจากพรรคนามว่าพรรคหัตถ์ทมิฬ หาอันธพาลเช่นจ้าวเอ้อร์มาทำโดยเฉพาะ เงื่อนไขแสนง่ายดาย เพียงแค่กระจายข่าวลือว่าเจิ้งซิ่งไหวสมุหเทศาภิบาลของอวิ๋นโจวสมคบคิดกับเผ่าปีศาจก็เท่านั้น
วันนี้พรรคหัตถ์ทมิฬก็ให้ภารกิจใหม่มาอีก เกี่ยวกับข่าวลือเช่นเคย ทว่าตัวละครหลักเปลี่ยนเป็นฆ้องเงินสวี่ชีอัน
หลังจากได้รับภารกิจจ้าวเอ้อร์ไม่ได้เริ่มงานในทันที แต่ไปเป็นเจ้าสัวผู้มั่งคั่งที่หอคณิกาอยู่พักหนึ่ง เมื่อมื้อกลางวันมาถึงเขาก็มายังภัตตาคารใหญ่อย่างชำนาญลู่ทาง
เขาเคยมาภัตตาคารนี้สองครั้งแล้ว ทั้งสองครั้งล้วนมากระจายข่าวลือว่าเจิ้งซิ่งไหวสมคบคิดกับเผ่าปีศาจทั้งสิ้น
ไม่มีที่ใดเหมาะจะ ‘ทำงาน’ ยิ่งไปกว่าภัตตาคารอีกแล้ว แน่นอนว่าหอคณิกาย่อมเป็นสถานที่ที่เหมาะสม ทว่าจ้าวเอ้อร์เป็นอันธพาลที่ชอบเสพสุข อยู่ที่หอคณิกาก็คิดแต่จะ…
ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญ ภัตตาคารแห่งนี้มีหญิงสาวงามดุจเทพธิดา มักจะมีหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งติดตามอยู่ข้างกายเสมอ
จ้าวเอ้อร์ก้าวข้ามธรณีประตูของโรงเตี๊ยม ภายในห้องโถงเสียงผู้คนดังอึกทึก แขกนั่งอยู่มากหน้าหลายตา เขามองไปรอบๆ ก็มองเห็นหญิงสาวหน้าตาสวยดาษดานั่งอยู่ที่โต๊ะอันคุ้นเคย
นางตะลึงงัน คิ้วขมวดราวกับมีบางอย่างในใจอยู่นานไม่เห็นกินอะไรสักคำ
หญิงงามผู้นั้นไม่อยู่…จ้าวเอ้อร์ผิดหวังเล็กน้อย เลือกนั่งตรงโต๊ะว่าง สั่งอาหารสุราและเงี่ยหูฟัง
เป็นไปตามคาด ไม่นานนักเขาก็ได้ยินบทสนทนาเกี่ยวกับฆ้องเงินสวี่ชีอัน
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเช้าวันนี้สวี่อวิ๋นหลัวได้ตัดหัวของสองกั๋วกงที่ลานประหารไช่ซื่อโข่ว คะ คาดไม่ถึงว่าความจริงของคดีฉู่โจวสังหารหมู่ล้างบางเมืองจะเป็น…”
คนที่พูดนั้นราวกับไม่กล้าพูดต่อ ทว่าก็กำหมัดและทุบโต๊ะอย่างแรง
ประเด็นสนทนาเปิดขึ้นในทันใด เหล่าแขกแสดงความเห็นของตนอย่างเคียดแค้น
“คาดไม่ถึงว่าเหล่าท่านทั้งหลายทั้งราชสำนักเป็นขุนนางมากมายเช่นนั้นก็ไม่มีใครออกมาพูดเลยสักคน”
“สวี่อวิ๋นหลัวไม่เพียงเป็นวีรบุรุษ ยังคงเป็นมโนธรรมที่หลงเหลืออยู่ในต้าฟ่งของพวกเราด้วย”
“ใช่แล้ว ใครจะกล้าใช้อนาคตและชีวิตของตนเองแลกกับความยุติธรรม มักจะเป็นคนอย่างสวี่อวิ๋นหลัวเท่านั้นที่จะพบพานคนชั่วร้ายและ…ถูกใส่ความง่ายที่สุด”
“เขาไม่ใช่ฆ้องเงินแล้ว เฮ้อ ในครั้งนี้ต้าฟ่งของข้าสูญเสียขุนนางที่ดีไปสองคน ใต้เท้าเจิ้งสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวผู้นั้นก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์เช่นกัน”
“สวี่อวิ๋นหลัวจะ…ถูกตัดหัวหรือไม่”
“ฮึ หากราชสำนักกล้าฆ่าสวี่อวิ๋นหลัว พวกเราก็ไปปิดประตูเขตพระราชฐาน”
“ใช่ มีปัญญาก็ฆ่าพวกเราให้หมด พวกเราจะไปปิดประตูเขตพระราชฐาน”
แรกเริ่มยังมีแขกแค่หนึ่งถึงสองโต๊ะกำลังสนทนา จากนั้นแขกคนอื่นก็ค่อยๆ ก็เข้าสู่บทสนทนา ระหว่างการสนทนาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น
ทันใดนั้นเสียงที่ไม่เข้าพวกก็ดังขึ้น จ้าวเอ้อร์นั่นเอง
เขาตบโต๊ะพร้อมเอ่ยเสียงดัง “พวกเจ้าถูกคนชั่วบังตาแล้ว แต่ความจริงมิใช่เช่นนั้น”
เมื่อถูกขัดจังหวะกะทันหันขณะที่บรรยากาศถึงจุดสูงสุด จึงดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างได้ง่าย นี่เป็นสิ่งที่จ้าวเอ้อร์สรุปมาจากประสบการณ์
เขาคิดจะป้ายสีสวี่อวิ๋นหลัวเหมือนที่ป้ายสีเจิ้งซิ่งไหวอย่างที่เคยทำ
แขกทุกคนภายในห้องโถงต่างมองมาตามคาด
หลังจากจ้าวเอ้อร์ได้รับความสนใจก็เอ่ยในทันที “ข้ามีญาติเป็นขุนนางอยู่ที่ราชสำนัก จึงได้ยินความลับสุดยอดมาจากเขา”
ทุกคนเอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัว “ความลับอะไร”
จ้าวเอ้อร์พูดเสียงดังคล้ายจะประกาศเรื่องใหญ่
“สวี่อวิ๋นหลัวผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นสายสืบจากสำนักพ่อมดทางตะวันออกเฉียงเหนือ ซุ่มโจมตีอยู่ที่ต้าฟ่งมาโดยตลอดและได้รับชื่อเสียงบารมี ในที่สุดครั้งนี้ก็ปล่อยให้เขาได้โอกาสใช้ประโยชน์จากเรื่องที่เจิ้งซิ่งไหวสมุหเทศาภิบาลของฉู่โจวสมคบคิดกับเผ่าปีศาจใส่ความอ๋องสยบแดนเหนือ และใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงบารมีของตนสังหารบรรดาศักดิ์ชั้นกงและป้ายสีราชสำนัก พวกเจ้าต่างโดนเขาหลอกแล้ว คำพูดของเขาเชื่อไม่ได้ ลองคิดดูว่าทำไมอ๋องสยบแดนเหนือจึงต้องสังหารหมู่ล้างบางเมือง แล้วฝ่าบาทจะทรงยินยอมได้อย่างไร ลองใช้สมองของพวกเจ้าดูสิ”
คำพูดของเขาทำให้เหล่าแขกภายในโถงโต้แย้งอย่างรุนแรง “พูดจาเหลวไหล สวี่อวิ๋นหลัวจะเป็นสายสืบจากสำนักพ่อมดได้อย่างไร เจ้ามีหลักฐานอะไรถึงกล้าใส่ร้ายสวี่อวิ๋นหลัว อยากตายหรืออย่างไร”
จ้าวเอ้อร์ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย แล้วเอ่ยเย้ยหยัน
“กลุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ปรากฏในต้าฟ่งของเราจะมีแค่สวี่อวิ๋นหลัวคนเดียวจริงหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน พวกเจ้าลองคิดดู หากอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ล้างบางเมืองจริงๆ เหตุใดท่านทั้งหลายในท้องพระโรงจึงไม่ออกมาแก้ต่างแทนเจิ้งซิ่งไหว จริงหรือเท็จนั้นอันที่จริงแสนง่ายดาย คนฉลาดแค่แวบเดียวก็มองออกแล้ว พวกเจ้าน่ะโดนความโชติช่วงของสวี่อวิ๋นหลัวเมื่อก่อนหลอกเข้าให้แล้ว เขาเป็นสายสืบหน้าไหว้หลังหลอก ข้าสาบานเลยว่าทุกประโยคเป็นความจริง ข้ามีญาติเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก”
คำพูดนี้ช่างมีชั้นเชิง มีเหตุผลและหลักฐาน ซึ่งสอดคล้องกับตรรกะ
“เพล้ง!” บัดนี้จ้าวเอ้อร์ก็ถูกแก้วสุราตีเข้าที่ศีรษะ
เขามองไปอย่างแค้นเคือง เป็นหญิงสาวสวยดาษดาผู้นั้น
“ยายบ้า เจ้ากล้าตีข้าหรือ” จ้าวเอ้อร์เดือดดาล ถกแขนเสื้อขึ้นหมายจะไปสั่งสอนนาง
หญิงสาวสวยดาษดาผู้นั้นไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย มือหนึ่งเท้าเอว อีกมือหนึ่งชี้หน้าจ้าวเอ้อร์แล้วแผดเสียง
“เจ้านี่เอง เมื่อวานก็ป่าวประกาศว่าเจิ้งซิ่งไหวสมคบคิดกับเผ่าปีศาจ วันนี้ยังจะมาปล่อยข่าวลือว่าสวี่อวิ๋นหลัวเป็นสายสืบอีก”
จ้าวเอ้อร์เปลี่ยนสีหน้า จ้องตาเขียวพร้อมเอ่ย “ข้าเปล่า ยายบ้าเจ้าพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว คอยดูนะข้าจะฆ่าเจ้า”
เมื่อสิ้นเสียงเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมที่จ้องมองเขาอยู่นานในที่สุดก็จำได้ จึงชี้ไปที่เขาพร้อมตะโกนบอก
“ใช่ๆ คนผู้นี้แหละ เมื่อวานก็มาพูดว่าร้ายใต้เท้าเจิ้งที่นี่ ข้าว่าเขาเป็นสายสืบเสียเองมากกว่า”
“แม่เฒ่า ตีเขาเลย!” ตอนนี้แขกที่ข่มไฟโทสะไว้ในใจเหล่านั้นก็ทนไม่ไหว ถกแขนเสื้อขึ้นล้อมวงกันจับจ้าวเอ้อร์ทุบตี
เกิดโกลาหลขึ้นภายในห้องโถง คนหลายสิบคนล้อมและต่อยเตะทุบตีจ้าวเอ้อร์
“ยะ อย่าตี ไว้ชีวิตข้าด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย…” จ้าวเอ้อร์กุมศีรษะ ขดตัว เปิดปากร้องขอความเมตตา
เหล่าแขกไม่สนใจ ออกแรงถีบอย่างแรง บางคนก็ยกเก้าอี้ทุบตีอย่างแรง
เถ้าแก่ชายวัยชราก็เสริมทัพอยู่ด้านข้าง “ตีแรงๆ โต๊ะเก้าอี้ที่พังไม่ต้องจ่าย ตีตายแล้วก็โยนออกไปที่ถนนเสีย”
หญิงสาวสวยดาษดาสองมือเท้าเอว เชิดหน้าเท้าคางส่งเสียง ‘ฮึ’ คิดว่าตนเองได้ทำเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ แล้วขึ้นตึกกลับเข้าห้องไปอย่างองอาจผึ่งผาย
เมืองหลวงกว้างใหญ่เพียงนี้ คงจะเกิดเรื่องที่คล้ายคลึงกันในเขตเมืองต่างๆ ไม่หยุดหย่อน
…
ยามตะวันลาลับ ขันทีอาวุโสเข้าไปในห้องบรรทมอย่างเร่งรีบ ทะลุผ่านห้องด้านนอกเข้าสู่ห้องบรรทมลึกเข้าไป และหยุดอยู่ที่ข้างกายจักรพรรดิหยวนจิ่งที่ประทับขัดสมาธิ
“ฝ่าบาท มีข่าวส่งกลับมาจากนอกวังว่าข่าวลือกระจายไม่สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งลืมพระเนตรและจ้องเขาด้วยสายตาลุ่มลึก “กระจายไม่สำเร็จงั้นรึ”
ขันทีอาวุโสเอ่ยเสียงอ่อน “ผู้ที่พูดว่าร้ายสวี่ชีอันทุกคนล้วนถูกประชาชนในเมืองรุมประชาทัณฑ์ ยะ ยังมีคนเสียชีวิตอีกหลายราย”
เสียงของจักรพรรดิหยวนจิ่งพลันสูงขึ้น “เขามีชื่อเสียงบารมีระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ขันทีอาวุโสมิอาจตอบได้
จักรพรรดิหยวนจิ่งกัดฟันกรอดพร้อมตรัส “แค่มดตัวเดียวก็กัดข้าได้โดยไม่รู้ตัว”
…
วันรุ่งขึ้น ยามเหม่า[1]
แท่นแปดทิศ สวี่ชีอันกอดไหเหล้ายืนอยู่ที่ขอบแท่นสูง ปะทะสายลมทอดมองกำแพงวังอย่างเงียบๆ โดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
เสียงเคาะกลองที่ประตูอู่เหมินดังขึ้น เหล่าขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายทะลุผ่านประตูอู่เหมินอย่างเป็นระเบียบ ข้ามสะพานจินสุ่ย ขุนนางส่วนใหญ่อยู่ที่นอกตำหนัก ส่วนเหล่าท่านทั้งหลายก็จะเข้าไปในตำหนักกระดิ่งทอง
หลังจากนั้นพักหนึ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งในชุดนักพรตเยื้องย่างเข้ามาอย่างเชื่องช้า สีพระพักตร์ไร้อารมณ์ ลุ่มลึกน่าเกรงขาม
เขาประทับลงบนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรสมุหราชเลขาธิการหวางพร้อมตรัสเย้ยหยัน
“ข้าได้ยินมาว่าหมู่นี้สมุหราชเลขาธิการหวางร่างกายไม่แข็งแรง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเข้าประชุมราชการ ข้าจะให้วันหยุดเจ้าไปรักษาตัวสามเดือน เรื่องในสำนักราชเลขาธิการก็ส่งต่อให้จ้าวถิงฟางปราชญ์ราชวิทยาลัยตงเก๋อเป็นการชั่วคราว”
สีหน้าของท่านทั้งหลายเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นี่ฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะเปลี่ยนสมุหราชเลขาธิการแล้ว เชิดชูก่อนค่อยเปลี่ยนคน
เริ่มแรกก็เป็นเช่นนี้เลยหรือ
สมุหราชเลขาธิการหวางคารวะพร้อมเอ่ย “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่มองเขาอีก จะยอมรับผิดตอนนี้ก็สายไปแล้ว เขาหันไปมองทุกคนรอบๆ แล้วตรัสอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าโมโหยิ่งนัก! เพราะมีขุนนางชั่วช้าคิดทรยศปรากฏในราชสำนัก สังหารกั๋วกง ใส่ร้ายราชสำนักทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสีย คนทรยศเช่นนี้ สมควรประหารเก้าชั่วโคตร! ”
เหล่าท่านทั้งหลายในตำหนักก้มหน้าไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรไปทางเว่ยเยวียนพร้อมตรัสเสียงขรึม “เว่ยเยวียน สวี่ชีอันเป็นคนของเจ้า เรื่องนี้เจ้าต้องรับผิดชอบ ข้าให้เวลาเจ้าสามวันจับกุมหัวขโมยนี่และคนในครอบครัว”
เว่ยเยวียนออกจากแถวและคารวะพร้อมเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยชิงอีเจ้าก็ไม่ได้รักศักดิ์ศรีอย่างที่ใครเขาเล่าลือกันเช่นนั้น…จักรพรรดิหยวนจิ่งปรากฏสายตาถากถาง แล้วตรัสถามต่อ
“เหล่าเสนาบดีทั้งหลาย มีอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงโทษสวี่ชีอันเจ้าโจรชั่วหรือไม่”
จางสิงอิงก้าวออกมาจากแถวแล้วเอ่ย “กระหม่อมมีเรื่องกราบทูล”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรเขาพร้อมพยักพระพักตร์ “ว่ามา”
จางสิงอิงคารวะ นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งราวกับกำลังอุ่นเครื่องก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “อ๋องสยบแดนเหนือสมคบคิดกับเผ่าปีศาจ สังหารหมู่ประชาชนไปกว่าสามแสนแปดหมื่นคนคนล้างบางเมืองฉู่โจว ฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิวจัดการด้วยตนเอง หลังจากนั้นก็สังหารเจิ้งซิ่งไหวสมุหเทศาภิบาลของฉู่โจวร่วมกับเฉากั๋วกง…”
เมื่อกล่าวจบจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตะโกนเสียงดังลั่น “สารเลว! จางสิงอิง เจ้าคิดจะพลิกคดีงั้นหรือ ข้าก็ว่าสวี่ชีอันนั่นเอาความกล้ามาจากไหน ที่แท้ก็สมคบคิดค้าสมาคมกับเจ้า เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าใส่ร้ายชินอ๋องและกั๋วกงมีความผิดฐานใด”
จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องจางสิงอิงอย่างโกรธเคือง จักรพรรดิทรงน่าเกรงขามประดุจคลื่นทะเล
จางสิงอิงเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “กระหม่อมมิได้จะพลิกคดี”
จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องเขา “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอะไร”
เมื่อเผชิญกับการตวาดถามของจักรพรรดิ จางสิงอิงก็ก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวราวกับจะใช้พลังของตนต้านทานกับองค์จักรพรรดิ แล้วเอ่ยเสียงดัง “ฝ่าบาททรงมีความผิด ความผิดฐานแรก ยอมให้อ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ล้างบางเมือง ความผิดฐานที่สอง ปกป้องอ๋องสยบแดนเหนือและฮู่กั๋วกง กระหม่อม ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
เสียงค้างเติ่งก้องกังวาน
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ภายในท้องพระโรงก็เงียบสงัด แต่ก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าครั่นครื้น
ในพระเศียรของจักรพรรดิหยวนจิ่งดังสนั่น เขาได้ยินว่าอะไรนะ
ออกพระราชโองการยอมรับผิดอย่างนั้นรึ
ฝ่ายตรวจการตัวเล็กๆ ผู้นี้กล้าให้เขาออกพระราชโองการยอมรับผิดอย่างนั้นรึ
“ข้าว่าเจ้าบ้าไปแล้ว”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงกริ้ว ความน่าเกรงขามของจักรพรรดิถูกมดท้าทาย ฝ่ายตรวจการตัวกระจ้อยคนหนึ่งกล้าขอให้เขาเขียนพระราชโองการยอมรับผิดเชียวหรือ
“จางสิงอิง ข้าสงสัยว่าเจ้าสมคบคิดกับสวี่ชีอันสังหารกั๋วกงและใส่ร้ายชินอ๋อง ทหาร จับเขาไปขังที่คุกสวรรค์”
เมื่อสิ้นเสียงเขาก็เห็นชุดสีดำออกมาจากแถว
จักรพรรดิหยวนจิ่งพ่นลมหายใจพร้อมตรัส “ข้าตัดสินใจแล้ว ผู้ใดก็มิอาจขอความเมตตาได้ มิเช่นนั้นก็จะถูกลงโทษความผิดฐานเดียวกัน”
ขุนนางบุ๋นกลุ่มนี้เหยียบจมูกขึ้นหน้า[2]เป็นที่สุด ดูท่าว่าเหน็บแนมสมุหราชเลขาธิการหวางคงไม่พอ ยังต้องรวมจางสิงอิงเข้าไปด้วย
ชุดดำผู้นั้นเอ่ยขึ้น “ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพลันแข็งทื่อ ตรัสเสียงลอดออกมาจากไรฟันทีละคำ “เจ้ากล้าดีเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าสนับสนุนเจ้ามาจนถึงตำแหน่งนี้ เจ้าคิดว่าจะถ่วงดุลข้าได้รึ”
เว่ยเยวียนไม่ตอบ
บัดนี้สมุหราชเลขาธิการหวางออกจากแถว แล้วเอ่ยเสียงดัง “ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
อีกคนแล้ว…สมาชิกราชวงศ์และเหล่าขุนนางคุณูปการหวาดหวั่นตกตะลึง หากเวลานี้พวกเขายังไม่ได้กลิ่น ‘แผนก่อกบฏ’ เช่นนั้นก็คงจะทึ่มเกินไปหน่อยแล้ว
จักรพรรดิหยวนจิ่งเล่นอุบายมานับสิบปี เฉียบไวกว่าแค่ราชวงศ์และขุนนางคุณูปการเท่านั้น แล้วเย้ยหยันไม่หยุด “ข้าก็ว่าเหตุใดเมื่อวานถึงแข็งกร้าวเช่นนั้น ที่แท้ก็ค้าสมาคมกับเว่ยเยวียนมานานแล้ว วันนี้ถึงกล้าทำผิดมหันต์เช่นนี้ ช่างดีเสียจริง สมุหราชเลขาธิการหวางก็ดี เว่ยชิงอีก็ดี พวกเจ้าทั้งสองสู้กันมานานแรมปีเช่นนี้ ท้ายที่สุดจะมาร่วมมือกันจัดการข้า”
เขาตบโต๊ะอย่างแรง ถลึงตาตวาดเสียง “หวางเจินเหวิน เจ้าเอาตัวเฒ่าหงำเหงือกนี่ไป ดูสิว่าจะทนทัณฑ์โบยได้สักกี่น้ำกันเชียว! ”
เขายังคงนั่งตัวตรงเพราะเขาคือจักรพรรดิ
หากเว่ยเยวียนกับหวางเจินเหวินร่วมมือกันจะเป็นอย่างไร เขาปราบทั้งสองได้ครั้งหนึ่ง ครั้งที่สองก็ย่อมทำได้
“ยังเหลือลูกเล่นอะไร ยังคบค้าใครไว้อีก เชิญออกมาได้ตามสบาย หากวันนี้ใครกล้าออกมาอีกถือว่าหมิ่นประมาทจักรพรรดิ ไม่ให้ความเคารพ ลากออกไปโบยให้หมด!” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสพร้อมยิ้มเยาะ
ทัณฑ์โบยเป็นวิธีที่จักรพรรดิใช้จัดการขุนนางเป็นประจำ นี่มิใช่การข่มขู่ลอยๆ พึงรู้ไว้ว่านับแต่โบราณกาลกระทั่งปัจจุบัน มีขุนนางไม่รู้ตั้งเท่าไรตายเพราะทัณฑ์โบย ถูกโบยตายทั้งเป็น
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเชื่อ ตอนนี้ในใจเหล่าท่านทั้งหลายจะต้องตระหนักได้ว่าหากเป็นทัณฑ์โบยก็คงถูกโบยจนตาย
กลุ่มขุนนางบุ๋นต่างฮึกเหิม ยามแนวรบรวมเป็นหนึ่งเดียว เขาก็จะหวาดกลัวและอดกลั้น ทว่าหากมีประปรายเพียงสี่ถึงห้าคน การโบยตายทั้งเป็นกลับทำให้เหล่าขุนนางยอมสยบ
เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาออกจากแถว “เรื่องแรกฝ่าบาททรงสนับสนุนอ๋องสยบแดนเหนือ ซ้ำยังปกป้องอ๋องสยบแดนเหนือและฮู่กั๋วกง ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาหลิวหงออกจากแถว “ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้ากรมกรมพิธีการออกจากแถว “ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้ากรมกรมการคลังออกจากแถว “ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้ากรมกรมปกครองออกจากแถว “ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางใกล้ชิดทั้งหกต่างตื่นเต้นจนหน้าดำหน้าแดง “ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
ในชั่วพริบตาก็มีขุนนางบุ๋นสองในสามในท้องพระโรงออกจากแถว ในบรรดาคนเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นลูกสมุนในพรรคของเว่ยเยวียน ส่วนหนึ่งเป็นลูกสมุนในพรรคของหวางเจินเหวิน ยังมีอีกส่วนหนึ่งเป็นคนที่หน้าชื่นอกตรมก่อนหน้านี้
ขุนนางบุ๋นและขุนนางคุณูปการที่ไม่ได้ออกจากแถวต่างขนลุกขนพอง
นอกจากเรื่องศึกชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทเมื่อสองร้อยปีก่อน ประวัติศาสตร์ของต้าฟ่งก็ไม่มีเรื่องพรรค์เกิดขึ้นอีก ขุนนางบุ๋นมีแนวคิดจงรักภักดีฝังรากอยู่ภายในใจ จะกล้าแข็งกร้าวกับจักรพรรดิเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่วันนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว
ตำหนักกระดิ่งทองเงียบสงัดจนน่ากลัว
“พะ พวกเจ้า…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระโลหิตบนพระพักตร์เลือนไปทีละน้อย บัดนี้จักรพรรดิองค์นี้รู้สึกถึงความอัปยศอย่างมหาศาล
เขา จักรพรรดิของประเทศถูกขุนนางกลุ่มหนึ่งบีบให้ออกพระราชโองการยอมรับผิดอย่างนั้นรึ
ความน่าเกรงขามของจักรพรรดิผู้ผึ่งผายถูกเหยียบย่ำเช่นนี้เลยหรือ
จักรพรรดิหยวนจิ่งขึ้นครองบัลลังก์ครั้นยังทรงพระเยาว์ สามสิบเจ็ดปีมานี้กุมท้องพระโรงไว้ในมืออย่างแน่นหนา ทุกวันเหล่าขุนนางสู้กันจนตายกันไปข้างหนึ่งอยู่ด้านล่าง เขานั่งสบายใจอยู่บนบัลลังก์ราวกับกำลังดูสิ่งบันเทิง
เขาอยู่บนที่สูงเช่นนั้น ตอกย้ำความต่ำต้อยของขุนนางราวกับคนเชิดละครลิงกำลังนั่งดูลิงแสดงละคร
บัดนี้ลิงกลุ่มนี้จะร่วมมือกันพลิกฟ้าอย่างนั้นหรือ
เขาชี้ไปที่ท่านทั้งหลายในตำหนักอย่างสั่นเทา พระโอษฐ์สั่นเครือแล้วแผดเสียงตรัส “พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าจัดการกับพวกเจ้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ ทหาร ทหาร ลากกบฏพวกนี้ไปโบยหกสิบไม้!”
เสียงดังกึกก้องอยู่ภายในตำหนัก ดังสะท้อนออกนอกตำหนักกระดิ่งทอง และกังวานอยู่ในหูของกลุ่มขุนนาง
นี่คือโทสะขององค์จักรพรรดิ เมื่อโอรสสวรรค์พิโรธ นั่นหมายถึงจะต้องมีศพเรียงรายนับล้าน
ราวกับกำลังตั้งตนเป็นศัตรูกับเขา ภายใต้แรงกดขี่เช่นนี้ฉากอันน่าเหลือเชื่อ ขุนนางนับร้อยตั้งแต่บันไดหน้าวังไปถึงวงราชการต่างคุกเข่าลงพร้อมกันพร้อมแผดเสียง
“ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
คลื่นเสียงดังก้องกังวานไปทั่วน่านฟ้าพระราชวัง
จักรพรรดิหยวนจิ่งแทบจะไม่กล้าเชื่อหูตนเอง คิดว่าตนเองเห็นภาพหลอนไปชั่วขณะหนึ่ง
เขาหยัดกายขึ้นช้าๆ ทอดพระเนตรไปนอกตำหนัก ขุนนางนับร้อยจากบันไดหน้าวังไปถึงลานจัตุรัสพร้อมใจกันคุกเข่าแล้วตะโกนว่า ‘ออกพระราชโองการยอมรับผิด’…
“พะ พวกเจ้า…”
เขาชี้ไปที่ขุนนางนับไม่ถ้วนทั่วทั้งตำหนัก นิ้วพระหัตถ์สั่นระรัวพร้อมแผดเสียง
“นี่พวกเจ้าเป็นอะไรกัน พร้อมใจกันบีบบังคับข้างั้นหรือ ในสายตาพวกเจ้ายังเห็นหัวข้าอยู่ไหม พวกขุนนางชั่วช้า พวกขุนนางก่อกบฏคิดทรยศ!”
ตะโกนคำสุดท้ายจนเสียงแห้งแหบ
สามสิบเจ็ดปีมานี้เขาไม่เคยสติแตกเช่นนี้มาก่อน มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ทว่านั่นก็เป็นการแสดง
เชิดละครลิงมาสามสิบเจ็ดปี วันนี้กลับถูกลิงเล่นเสียเอง
เลือดชั่วพุ่งเข้าสู่หัวใจ จักรพรรดิหยวนจิ่งซวนเซไปสักพัก
“หยวนสยง เจ้าเป็นเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายของฝ่ายตรวจการ เจ้าอธิบายมาว่าพวกขุนนางชั่วช้าพวกนี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่”
หยวนสยงเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายคอแข็งทื่อ แล้วหันไปมองเหล่าขุนนางเล็กน้อย เหล่าขุนนางก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน สายตาคู่นั้นเย็นเยือกราวกับเหล็ก
‘อึก’…หยวนสยงกลืนน้ำลายและก้าวออกจากแถวอย่างยากลำบาก แล้วคารวะพร้อมเอ่ย “ฝ่าบาท เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ขอพระองค์โปรดอย่าดื้อดึงไม่ยอมรับอีกเลย ขะ ขอพระองค์ทรงพระกรุณาออกพระราชโองการยอมรับผิดเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
‘ตึงๆๆ’…องค์จักรพรรดิเซถอยไปด้านหลัง เมื่อทรุดตัวประทับลงบนบัลลังก์มังกรก็ตรัสพึมพำ “ไม่ได้การ ไม่ได้การแล้ว…”
“ข้าเป็นจักรพรรดิของประเทศจะทำผิดได้อย่างไร พวกเจ้าอย่าแม้แต่จะคิดให้ข้าออกพระราชโองการยอมรับผิด…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของชายชราพลันแดงฉาน คำรามด้วยเสียบแหบแห้ง แผดเสียงด้วยใบหน้าสั่นสะท้าน “อย่าแม้แต่จะคิด!”
บัดนี้เสียงถอนใจก็ดังขึ้นภายในตำหนัก แสงสว่างส่องประกาย ปราชญ์เฒ่าผมเผ้ารุงรังในชุดยาวตัวเก่าปรากฏตัวขึ้นภายในตำหนัก
จ้าวโส่วเจ้าสำนักแห่งสำนักอวิ๋นลู่!
จ้าวโส่วมองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างราบเรียบ “หยวนจิ่ง ออกพระราชโองการยอมรับผิดเสียเถิด”
พระพักตร์ของจักรพรรดิหยวนจิ่งซีดขาวในทันใด
……………………………………………………….
[1] ประมาณ 05.00 น.-07.00 น.
[2] เหยียบจมูกขึ้นหน้า หมายถึงให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่ง แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งวางท่าได้ใจ