ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 389 อัญเชิญ (1)
บทที่ 389 อัญเชิญ (1)
สวี่ชีอันเป็นคนใจกว้าง ไม่กังวลเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเมื่อน้องสาวในเรือนสอนแล้วไม่เชื่อฟังเช่นนี้แล้ว เขายิ่งไม่เชื่อฟังเข้าไปใหญ่
ส่งไปสำนักบัญฑิตและโดนไม้กระดานสักคราไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดต้องสิ้นเปลืองน้ำลายด้วย
แต่หลี่เมี่ยวเจินห้ามสวี่ชีอันที่ใช้ความรุนแรงต่อเด็กในครอบครัว เทพธิดานิกายสวรรค์ขมวดคิ้ว กล่าวอย่างไม่พอใจ “มีอะไรพูดกันดีๆ เหตุใดต้องใช้กำลังทุบตีเด็กด้วยเล่า”
แม่เทพธิดาเอ๋ย ท่านไม่มีทางทราบหรอกว่าการเป็นผู้ปกครองของเด็กนรกมันน่ารำคาญแค่ไหน…สวี่ชีอันให้เกียรตินาง และหันกลับไปที่ลานบ้าน
ในลานมีเพียงแม่ลูกคู่หนึ่งที่หน้าเด็กเหมือนกันเท่านั้น สวี่หลิงเยวี่ยที่มีลักษณะเหมือนลูกครึ่ง ใบหน้ารูปไข่แหลมคม และโดดเด่น นั่งอยู่บนไม้สานปักลาย
ไม้สานเล็กไม่สามารถรองรับก้นที่อวบอ้วนของนางได้อีกต่อไป สะโพกที่ยืดหยุ่นเต็มที่ล้นนูนออกมาจากใต้กระโปรงอย่างเห็นได้ชัด
อาสะใภ้ที่ไม่ทำอะไรอยู่ด้านข้างนำกระโปรงสีเขียวใบบัวผูกเป็นปมไว้ที่บริเวณน่อง จากนั้นนั่งยองๆ ข้างแปลงดอกไม้ ถือพลั่วไม้และกรรไกรขนาดเล็ก จัดการกับดอกไม้ใบหญ้าอยู่
ยามปกติอาสะใภ้นอกจากตบตีสวี่หลิงเยวี่ยแล้ว ก็มีอันนี้ที่เป็นงานอดิเรก
ลวี่เอ๋อสาวใช้คนสนิทของนางคอยช่วยอยู่ข้างกาย
“พี่ใหญ่!”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันกลับมา น้องสาวหลิงเยวี่ยดีใจเสียยกใหญ่ วางเข็มและด้ายลง เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกไม้
สายตาของนางเลื่อนผ่านหลี่เมี่ยวเจิน ซูซู และจงหลีอย่างไร้ร่องรอย
การแสดงออกเล็กน้อยที่มาพร้อมกับสายตานั้นเห็นได้ชัดว่าระหว่างหญิงงามมีความเป็นศัตรูที่ปลูกฝังโดยธรรมชาติ
“ไม่มีอะไรแล้ว วันนี้ก็กลับบ้านได้”
สวี่ชีอันบีบจมูกที่กลมของนาง สายตามองไปทางห้องนอน กล่าว “เอ้อร์หลางและอารองเล่า?”
“ท่านพ่อไม่ทราบว่าไปฝึกวิทยายุทธที่ใดแล้ว พี่รองไปเรียนตำราที่บ้านอาจารย์จาง” เสียงของสวี่หลิงเยวี่ยช่างน่าฟัง และมาพร้อมกับความนุ่มนวลของเด็กผู้หญิงเสียจริง
สวี่ชีอันพยักหน้า กำลังจะกล่าว ก็ได้ยินสวี่หลิงเยวี่ยกล่าวอย่างอ่อนโยน ระคนสงสัย “พี่ใหญ่ พี่สาวท่านนั้นคือใครหรือ”
นางหมายถึงจงหลี
แม้จงหลีจะติดตามสวี่ชีอันมานาน แต่นางไม่เคยโผล่หน้ามาอย่างเป็นทางการเลย นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่หลิงเยวี่ยพบเจอนาง
“ศิษย์พี่ของไฉ่เวย” สวี่ชีอันกล่าว
‘อ้อ คือศิษย์พี่ของแม่นางคนที่ไม่เอาไหนคนนั้นหรือ’…สวี่หลิงเยวี่ยตกตะลึง
คนไม่เอาไหนเป็นฉายาที่นางตั้งให้กับฉู่ไฉ่เวย ฉู่ไฉ่เวยเป็นคนไม่เอาไหนหมายเลขหนึ่ง ลี่น่าเป็นคนไม่เอาไหนหมายเลขสอง สวี่หลินอันเป็นคนไม่เอาไหนหมายเลขสาม
ความจริงแล้ว คนที่รู้จักคนไม่เอาไหนทั้งสามนี้ต่างมีฉายาอยู่ในใจที่เหมือนกับพวกเขาไม่มากก็น้อย ตัวอย่างเช่นในลานนี้ ฮูหยินยังสวยที่ไล่สาวน้อยให้ออกไป และตกใจที่นางสกปรกทั้งตัว โมโหจนจับก้านไม้ไผ่ยกขึ้น
ฉายาที่อาสะใภ้แต่งให้ลี่น่าและสวี่หลิงอิน ส่วนใหญ่จะเป็น หญิงสาวและเด็กน้อยจอมโง่เขลา หญิงสาวและเด็กน้อยจอมตะกละ หญิงสาวและเด็กน้อยที่ทั้งโง่เขลาทั้งกินเก่ง
อะไรทำนองนี้
“แล้วที่ข้าซักเสื้อผ้าให้พวกเจ้าทุกวันไม่เหนื่อยเชียวหรือ เจ้าเด็กสารเลวนี่ ไม่รู้จักสงสารแม่เจ้าบ้าง” เสียงตะโกนในลำคอของอาสะใภ้ดังลอดเข้ามา
“เช่นนั้นตอนที่ข้าตีเจ้าก็ไม่ต้องปฏิบัติเหมือนเจ้าเป็นบุตรสาว”
เสียงโต้เถียงของสวี่หลินอันดังขึ้นมา “หากข้าไม่ใช่บุตรสาวของท่าน แล้วท่านมาตีข้าทำไมเล่า”
อาสะใภ้สำลักครั้งหนึ่ง พลางโมโหสุดขีด “…ยังกล้าเถียงอีก!”
…
สวี่ชีอันพาจงหลีออกมาจากลานเล็ก ระหว่างที่เดินระหว่างลานบ้านและห้อง ตามพื้นหินเขียว ช่วงที่ก้าวบันได หลังหนึ่งก้านธูป ก็มาถึงหุบเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้ไผ่แล้ว
ต้นไผ่อยู่ทางตอนใต้เป็นส่วนใหญ่ ต้าฟ่งโอ้อวดในความดั้งเดิมของจิ่วโจว วางตัวเป็นใหญ่ในศูนย์กลาง แต่หลักที่ตั้งของเมืองหลวงคือตอนกลางทางเหนือของจิ่วโจว
สภาพภูมิอากาศไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นไผ่
ป่าไผ่ในเขาชิงอวิ๋นแห่งนี้หายากยิ่งนัก
เข้าสู่ฤดูร้อนไม่นาน ป่าไผ่ในฤดูนี้จะเขียวชอุ่ม เมื่อลมพัดมาจะเกิดเสียงดังกรอบแกรบ ช่างดูมีศิลปะยิ่งนัก
สิ่งที่สวี่ชีอันคิดก็คือ สุราไม้ไผ่ทำกันอย่างไรหรือ
ห้องใต้ดินห้องหนึ่งซ่อนอยู่ในป่าไผ่ ราวกับหอที่ฤๅษีอาศัยอยู่ ทางเดินขนาดเล็กปูด้วยหินกรวดสู่ห้องใต้หลังคา ปกคลุมไปด้วยใบไผ่
“ท่านเจ้าสำนัก สวี่ชีอันมาเยี่ยมขอรับ!” เขาโค้งคำนับไปทางห้องใต้หลังคา
แสงส่องประกายต่อหน้าต่อตาครั้งหนึ่ง เคลื่อนผ่านตั้งแต่ด้านนอกไปจนถึงภายในห้องใต้หลังคา เจ้าสำนักศึกษาจ้าว โส่วนั่งอยู่ที่โต๊ะ จิบชา มองเขาและได้แต่ยิ้มไม่พูดอันใด
ชุดขงจื๊อเก่าๆ ที่ซักจนเป็นสีขาว ผมขาวที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ดูถูกโผล่อยู่ทั่วร่าง
จ้าวโส่วเป็นผู้มีอำนาจระดับสูงที่ไม่มีสไตล์ที่สุดเท่าที่สวี่ชีอันเคยเจอ ขณะเดียวกันยังเป็นตาแก่อีกด้วย แต่โหราจารย์กลับขาวยิ่งกว่าหิมะ งดงามเป็นอมตะ ไต้ซือตู้เอ้อร์ก็สวมชุดกาสาวพัสตร์ที่งดงามซึ่งปักด้วยด้ายสีทองคำ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม และมีรูปลักษณ์เหมือนพระภิกษุผู้ศักดิ์สูงด้วยเช่นกัน
แต่เจ้าสำนักจ้าวโส่วทำให้คนรู้สึกเหมือนเป็นขงอี่จี๋ หรือไม่ก็ฟ่านจิ่น…
อืม เกือบลืมนักบวชเต๋าแมวไปเสียแล้ว นักบวชเต๋าก็มีรูปลักษณ์เหมือนนักพรตแห่งการเดินทาง ช่างตกอับยิ่งนัก…สวี่ชีอันเสริมคำพูดอยู่ในใจ
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักอย่างยิ่งที่ให้การช่วยเหลือ” สวี่ชีอันแสดงความขอบคุณ
“ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสอนข้า และเจ้าก็ยังไม่ลืมมัน” จ้าวโส่วกล่าวอย่างยิ้มๆ
ความหมายของเจ้าสำนักคือ ตราบใดที่ข้าไม่ลืมความตั้งใจเดิม ทุกคนก็จะยังเป็นสหายที่ดีต่อกัน…สวี่ชีอันยิ้มพลางโค้งคำนับ จากนั้นจึงหันไปทางสหายเพื่อยื่นคำขอ
“บัณฑิตมายังสถานศึกษา เพราะต้องการยืมตำราเล่มหนึ่งจากเจ้าสำนัก”
จ้าวโส่วมองเขา และพยักหน้าเล็กน้อย
“เก็บตกราชวงศ์โจว” สวี่ชีอันจำได้ว่าท่านเว่ยเคยบอกว่า หากต้องการทราบความลับของพระมเหสี ต้องไปยืมตำราเล่มนี้ที่สำนักอวิ๋นลู่
“ฮ่า ฮ่า!”
จ้าวโส่วหัวเราะ “นี่มันเมื่อหกร้อยปีก่อน ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งของสำนักศึกษาเป็นผู้เขียน เขาเกิดช่วงต้าโจวตอนปลาย และมีบทบาทสำคัญในช่วงต้าฟ่งตอนต้น และนำสิ่งที่ตนเองเห็นและได้ยินเกี่ยวกับต้าโจว มาเรียบเรียงและเขียนเป็นตำรา ใต้หล้านี้มีแค่เล่มเดียวเท่านั้น และยังไม่เคยตีพิมพ์ คนที่เคยอ่านตำราเล่มนี้มีไม่กี่คน”
เช่นนี้นี่เอง ถึงว่าฮว๋ายชิ่งก็ยังไม่เคยได้ยิน แม้จะเป็นนักปราชญ์หญิง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านตำราทั้งหมดในใต้หล้านี้ จะต้องมีเป้าหมายในการอ่านตำราที่โปรดปรานเป็นแน่
สวี่ชีอันตกตะลึง อีกทั้งยังได้ยินจ้าวโส่วกล่าวอย่างยิ้มๆ “ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเจ้าคงเคยได้ยิน เรื่องราวของเขาถูกคนรุ่นหลังจารึกไว้ อยู่ในภูเขา”
ทันใดก็เกิดแสงสว่างเปล่งประกาย สวี่ชีอันโพล่งกล่าวออกมา “ท่านนั้นที่แบกรับความโกรธแค้นของราษฎร เฉียนจงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสองที่ทำลายโชคชะตาสุดท้ายของต้าโจว?”
ในตอนที่เขามายังสำนักอวิ๋นลู่เป็นครั้งแรก เอ้อร์หลางพาเขาเยี่ยมชมสำนักศึกษา และเคยกล่าวถึงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นามว่าเฉียนจง
จ้าวโส่วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “นั่นคือปัญญาชนที่คู่ควรแก่การเคารพ และบันทึกชื่อเสียงอันดีไว้ในจารึกเป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริงท่านหนึ่ง ไม่เหมือนชายหนุ่มสี่คนที่มักจะคิดแต่เดินในทางอบายมุข”
ไม่ทราบว่าที่ท่านกล่าวถึงชายหนุ่มสี่คนที่เดินในทางอบายมุข คือจางเซิ่น หลี่มู่ไป๋ หยางกง เฉินไท่ใช่หรือไม่…สวี่ชีอันเยาะเย้ยในใจ
จ้าวโส่วกางมือออก พลางกล่าวอย่างใจเย็น “เก็บตกราชวงศ์โจว อยู่ในมือข้า”
แสงสว่างจ้าครู่หนึ่ง ม้วนตำราเก่าก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา หน้าปกเขียนว่า ‘เก็บตกราชวงศ์โจว!’
…สวี่ชีอันจ้องมองฉากนี้อย่างตะลึงงัน แม้จะคุ้นเคยกับวิชา ‘ที่คุยโว’ ของลัทธิขงจื๊อแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้พบเห็น มักจะทำให้เขาเกิดแรงกระตุ้นที่ว่า ‘ทางทหารนี้ไม่ฝึกก็ช่าง’ ‘ท่านอาจารย์ ข้าอยากฝึกวิชาปราชญ์’
แต่ก็กลัวเดินสายงานผิด อารองได้ทำร้ายข้าแน่…เขาถอนหายใจอย่างเสียดายในใจ
เมื่อรับตำราเก็บตกราชวงศ์โจวมาจากมือของจ้าวโส่ว สวี่ชีอันก็กล่าวอย่างพึมพำ “ข้าเอาไปด้วยได้หรือไม่”
จ้าวโส่ว “ไม่ได้!”
ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเสียจริง…สวี่ชีอันก้มหน้าลงไปพลิกอ่านดู ตอนนี้พลังในการมองเห็นของเขา มองครั้งเดียวสิบบรรทัดก็ไม่ใช่ปัญหา
ตำราเล่มนี้มีชื่อเรียกว่า ‘เก็บตกราชวงศ์โจว’ เช่นนั้นสิ่งที่บันทึกอยู่ในนี้ ความจริงแล้วคือส่วนเติมแต่งจากประวัติศาสตร์ที่แท้จริง สิ่งที่บันทึกอยู่ในนี้ต่างดูเหมือนพงศาวดารในแวบแรกยิ่งนัก แต่ความจริงมีเรื่องที่เกิดขึ้นจริงอยู่
อย่างเช่นเทพอมตะหลี่มู่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์ต้าโจว ในตำราเขียนว่าคนผู้นี้เป็นคนมีสติปัญญาแต่ชอบอิสระ มีคนรู้ใจนับไม่ถ้วน แต่ความจริงแล้วในหมู่คนรู้ใจของเขามีปีศาจจิ้งจอกท่านหนึ่ง เป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางของสายเลือดปีศาจแดนใต้
ความลับเหล่านี้จะไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
เช่นเดียวกับรองปราชญ์เอกของสำนักอวิ๋นลู่ที่ชี้กวางเป็นม้า หลี่มู่ท่านนี้นึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้มีความสามารถที่มีความยุติธรรม…สวี่ชีอันแอบพยักหน้า และอ่านต่อไป
ในที่สุด เขาก็พลิกไปเจอบันทึกที่นับว่าเป็นตำนานพื้นบ้านบทหนึ่ง
ในสมัยหลงเต๋อของต้าโจว ตอนใต้จะมีหุบเขาหมื่นบุปผาอยู่แห่งหนึ่ง บุปผาต่างแดนในหุบเขานั้นช่างงดงาม และเบ่งบานทั้งสี่ฤดูไม่โรยรา ตามตำนานเล่าว่ามีเทพธิดาบุปผาที่สง่างามและเฉลียวฉลาดท่านหนึ่งอาศัยอยู่ในหุบเขา
เทพธิดาบุปผาเป็นเทพผู้กำเนิดแห่งปัญญา แปลงกายเป็นมนุษย์ หลอมรวมจิตวิญญาณของสวรรค์และมนุษย์ไว้เพียงผู้เดียว หากใครได้รับหลิงยวิ่นของเทพธิดาบุปผา ก็สามารถเกิดใหม่ และเป็นอมตะได้
หลังจากจักรพรรดิหลงเต๋อได้ยิน ก็ส่งคนลงใต้เพื่อตามหา ระยะเวลาสิบสามปี ในที่สุดก็พบหุบเขาหมื่นบุปผา และได้พบกับเทพธิดาบุปผาที่สง่างามและเฉลียวฉลาดท่านนั้นแล้ว
กองกำลังทหารล้อมรอบหุบเขาหมื่นบุปผา และบังคับให้เทพธิดาบุปผาเข้าวัง นางไม่ยินยอม จึงเรียกสายฟ้าเพื่อฆ่าตัวตาย และสาปแช่งก่อนตายว่า ต้าโจวจะต้องจบสิ้นในอีกสามร้อยปีข้างหน้า
อย่างที่คาดไว้ สามร้อยปีให้หลัง ชะตากรรมของต้าโจวเดินทางมาถึงจุดจบ
ในตอนท้ายของเรื่อง ยังมีการบันทึกบทกวีบทหนึ่งว่า
‘ความตื่นตระหนกตอนกำเนิดกดทับประชาชน
ความสง่างามจากการอาบแสงแดดอย่างเต็มที่
ผู้คนนับถือความสง่างามล้ำเลิศ
วิญญาณเชื่อมต่อโลกกระตุ้นจักรพรรดิ’
สวี่ชีอันปิดตำราลงอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ในใจกลับไม่สงบนิ่ง แม้จะปั่นป่วน
บทกวีบทนี้อธิบายถึงพระมเหสีมิใช่หรือ เวรล่ะ พระมเหสีก็คือเทพบุปผาเมื่อเก้าร้อยปีก่อน…มิใช่ แต่เป็นเทพธิดาบุปผาที่กลับชาติมาเกิด?
“ที่แท้บทกวีบทนี้เขียนเกี่ยวกับเทพธิดาบุปผาเมื่อสามร้อยปีก่อน ข้าคิดมาตลอดว่าบทกวีนี้แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง และมีชื่อเสียงอย่างมาก จนดึงดูดความสนใจของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ดังนั้นนางจึงถูกส่งให้เข้าวัง
“ไม่น่าแปลกใจเลย ไม่แปลกใจที่ต่างกล่าวกันว่าหลิงยวิ่นของพระมเหสีคือของชั้นเยี่ยม ที่แท้ยังมีการกล่าวอ้างถึงสิ่งนี้ เป็นอย่างที่คิด การอ่านเยอะๆ ก็มีประโยชน์เช่นกัน การเกิดใหม่เป็นสิ่งที่ชัดเจนไม่จำเป็นต้องสงสัยอีก การเป็นอมตะก็ไม่จำเป็นแล้ว มิฉะนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่จักรพรรดิหยวนจิ่งจะนำพระมเหสีประทานให้แก่อ๋องสยบแดนเหนือ
“เทพธิดาในหมู่บุปผา ไม่แปลกที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง มีเสน่ห์ไม่มีใครเทียบ จุ๊ๆ และก็เป็นหญิงสาวที่น่าสงสารยิ่งนัก”
สวี่ชีอันคืนตำราให้แก่จ้าวโส่ว ถาม “บทกวีบทนี้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉียนจงเป็นผู้เขียนหรือ”
จ้าวโจวส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นเดียวกัน”
อ้อ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉียนจงเป็นเพียงผู้บันทึกเท่านั้น เช่นนั้นข้าก็ไม่มีคำถามสงสัยแล้ว มิฉะนั้น เจ้าอาวาสภิกษุเฒ่าที่เผยความลึกลับประสบการณ์ชีวิตของพระมเหสีจะทราบได้อย่างไรว่าบทกวีนี้กลายเป็นรูรั่วเชิงตรรกะ…สวี่ชีอันบ่นในใจ
ขณะสนทนากับเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่ว หูของสวี่ชีอันก็ขยับ หันหน้าไปมองด้านนอก
เห็นเพียงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สามท่านเดินเข้ามาพร้อมกันเท่านั้น สายตามองไปรอบๆ เห็นสวี่ชีอันที่สีหน้าเผยความประหลาดใจออกมา
“สมแล้วที่เป็นบัญฑิตที่พวกเราสามคนสั่งสอนมา ฆ่าตัดคอหัวขโมยสองคนที่ไช่ซื่อโข่ว ด้วยพลังเพียงคนเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โดยรวมได้ ช่างน่าชื่นชมและน่าสรรเสริญเสียจริง”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สามท่านชื่นชมอย่างสุขใจ ต่อมา พวกเขาก็ใช้สายตาเชิงคำถามหันไปทางเจ้าสำนักศึกษา “เมื่อไรหนิงเยี่ยนจะได้เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาหรือ หนิงเยี่ยน เจ้าสำนักศึกษาเคยขอให้เจ้าเขียนบทกวีหรือไม่”
พูดอยู่ พวกเขาก็ใช้สายตาที่สื่อความหมายแฝงถึงจ้าวโส่ว ‘เจ้ามันก็แค่โลภบทกวีของเขา ไม่ต้องมาเล่นลิ้น นี่มันคือความจริง’
จ้าวโส่วกล่าวอย่างฮึดฮัด “ข้าจะเป็นเหมือนพวกเจ้าได้อย่างไร ปัญญาชนทั้งสามผู้เป็นอมตะ มีทั้งคุณธรรม ทักษะ คำพูดเป็นเลิศ เป็นทางเดินที่เหลืองอร่าม การส่งผ่านความหวังกับบทกวี เป็นลัทธินอกรีตเท่านั้น”
‘จะยิ่งดีกว่าถ้าเจ้าไม่แย่งบทกวีกับพวกเรา’…ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย จางเซิ่นโต้กลับด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย
“สามพันปีที่เส้นทางต่างกันแต่มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เหตุใดบทกวีถึงไม่ใช่สมบัติทางวัฒนธรรมเล่า ในความคิดของข้า เจ้าสำนักศึกษากลับหมกมุ่นจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ”
จ้าวโส่วโบกมือไปมา “ขี้เกียจเกินกว่าจะโต้เถียงกับพวกเจ้าแล้ว”
เขาหันไปมองทางสวี่ชีอัน กล่าว “เหตุผลหลักคือความสำเร็จของหยางกงอยู่เบื้องหน้าแล้ว ทำให้พวกนางอิจฉาและริษยา ความจริงแล้วสำนักอวิ๋นลู่มีเจตนาที่ดีต่อเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับบทกวี”
เหลือบมองไปยังปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม กล่าวพลางหัวเราะฮ่าๆ “อย่างน้อยคนแก่อย่างข้าก็ไม่เหมือนพวกเขา”
เขาจำเป็นต้องชี้แจงเรื่องนี้กับสวี่ชีอัน มิฉะนั้นจะดูเหมือนว่าสำนักอวิ๋นลู่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน และคิดแต่จะใช้ประโยชน์จากบทกวีของเขา
………………………………………………..