ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 389 อัญเชิญ (2)
บทที่ 389 อัญเชิญ (2)
กล่าวตามตรง พฤติกรรมของจางเซิ่นและคนอื่นๆ ทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักอวิ๋นลู่ต้องอับอาย
สวี่ชีอันพยักหน้า
ความเป็นจริงตัวเขาเองไม่สนใจอยู่แล้ว ถึงอย่างไรบทกวีก็เลียนแบบมาจากชาติที่แล้ว เขาไม่ใช่ผู้เขียน ในฐานะผู้ข้ามเวลาที่ไม่มีรากฐานคนหนึ่ง สามารถใช้บทกวีเพื่อขยายเส้นสาย และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้ เป็นธรรมดาที่ไม่ควรพลาด
จางเซิ่นและทั้งสามไม่สนใจคำเยาะเย้ยของเจ้าสำนักศึกษา มองไปทางสวี่ชีอันอย่างกระตือรือร้น กล่าวถาม
“เจ้าก็ไม่ได้แต่งบทกวีมานานแล้ว ช่วงนี้ยังเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้อีก มีความรู้สึกเดือดพล่าน และสนใจในบทกวีหรือไม่ อาจารย์ทั้งหลายสามารถช่วยเจ้าขัดเกลาได้”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านมองสวี่ชีอันอย่างกระตือรือร้น
เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วไม่ได้กล่าวอันใด แต่ค่อนข้างสนใจ และมองมาอย่างใจจดใจจ่อ
สำนักอวิ๋นลู่ไม่เพียงช่วยปกป้องครอบครัวของข้า เจ้าสำนักศึกษายิ่งเป็นคนถือมีดแกะสลักไว้ในมือ และข่มขู่จักรพรรดิหยวนจิ่งถึงท้องพระโรง แม้สิ่งนี้จะสอดคล้องกับแนวคิดของลัทธิขงจื๊อ แต่ไม่ได้ขายน้ำใจของข้าเท่านั้น ความเมตตาในส่วนนี้ข้าต้องจดจำไว้…
อืม ลองคัดลอกบทกวีให้พวกเขาดูแล้วกัน ไม่ดีนักที่จะอยู่ค้างคืนกับพวกเขาฟรีๆ…เมื่อคิดถึงจุดนี้ สวี่ชีอันก็กล่าวอย่างไตร่ตรอง
“ความจริงคิดบทกวีออกแล้วหนึ่งบท”
ถูกต้อง คิดบทกวีได้หนึ่งบท ข้าเป็นเพียงพนักงานขนย้ายบทกวีเท่านั้น เขาเสริมในใจ
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามต่างพากันดีใจอย่างบ้าคลั่ง
ในเวลานี้ตัวเขาควรกล่าวออกมา และใช้พู่กันกับหมึกอย่างมั่นใจ
เพียงแค่การเขียนอักษรด้วยพู่กันก็แย่แล้ว แถมเงินขัดสนจนไม่มีดินสอถ่านอีก ก็ไม่ได้ทำอะไรที่โง่เขลา ทำท่าทางเดินไปมาในห้องอย่างเคร่งขรึม ช่วงที่เห็นใบไผ่ที่เขียวเป็นมันตรงด้านนอกหน้าต่าง ก็แสร้งทำเป็นดวงตาเปล่งประกาย พลางกล่าว
“มีแล้ว”
ดวงตาของจ้าวโส่วเปล่งประกายเช่นกัน กล่าวถาม “มันเกี่ยวข้องกับไผ่หรือไม่”
เจ้าสำนักศึกษาดูเหมือนชื่นชอบอักษรคำว่าไผ่อย่างมาก…สวี่ชีอันพยักหน้า “ใช่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวโส่วก็ยืดหลังตรงทันที จากที่สนใจเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มความรู้สึกคาดหวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ความทรงจำที่เลือนรางของสวี่ชีอันนึกถึงท่อนเต็มของกวีบทนี้ได้แล้ว แต่ในสายตาของจ้าวโส่วและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม เขากำลังใช้เวลาอยู่
“รากไผ่ใช่เพียงเกาะกุมขุนเขา”
จ้าวโส่วทราบแล้วว่าเป็นบทกวีเกี่ยวกับไผ่ ได้ลิ้มรสขึ้นมาอย่างละเอียด ในประโยคนี้ คำว่า ‘กุม’ หมายถึงความวิจิตร แค่คำเดียวก็ปรากฏความแข็งแรงและทรงพลังของไผ่ออกมาได้อย่างชัดเจน
“แต่ยังแตกรากชอนไชไปในซอกหินแตก”
จ้าวโส่วพยักหน้าเบาๆ นี่คือเติมเต็มประโยคข้างบน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นของไผ่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากออกมา
“ผ่านผันนับร้อยเป็นพันปียังคงแข็งแกร่ง ทานทนต่อลมที่พัดโหมจากสารทิศ”
การหายใจของเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วค่อนข้างติดขัด สองประโยคหลังบรรยายถึงทรรศนะและความกดดันของไผ่ต่อภายนอก แม้จะผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนก็ยังคงไม่ยอมแพ้
ในบรรดาดอกเหมย กล้วยไม้ ไผ่ เบญจมาศ เขาชอบเพียงแค่ไผ่เท่านั้น มิฉะนั้นคงไม่สร้างที่อยู่ไว้ในป่าไผ่
จ้าวโส่วเคยเขียนบทกวีเกี่ยวกับไผ่มาก่อน แต่เปรียบกับบทกวีบทนี้ของสวี่ชีอัน เขายอมรับว่าตนเองด้อยกว่าเล็กน้อย
หนึ่งบทกวีสองประโยค จากภายในไปภายนอก แทบจะบรรยายถึงลักษณะที่เด็ดเดี่ยวของไผ่นั้นได้อย่างเฉียบขาดและชัดเจน
‘สมกับเป็นนักกวีแห่งต้าฟ่ง’…นักพรตลัทธิขงจื๊อระดับสี่ท่านนี้ถอนหายใจในใจ
“แม้กวีบทนี้แวดล้อมและถ้อยคำสำนวนค่อนข้างจะขาดไปบ้าง กลับเป็นบทกวีไผ่ที่หายากยิ่ง” หลี่มู่ไป๋กล่าวชมเชย
“โง่เขลา บทกวีบทนี้แสดงถึงความมั่นคง หนักแน่น และความเข้มแข็งที่เรียบง่ายของไผ่ ความงดงามกลับด้อยลงไปอยู่บ้าง” จางเซิ่นวิจารณ์
“เมื่อมองแวบแรกดูเหมือนบทสวดไผ่ ความจริงแล้วมันเหมือนนำไผ่เปรียบกับมนุษย์ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม” เฉินไท่ลูบเครายาวพลางยิ้ม
ความคิดเห็นของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามเสร็จสิ้น และรีบมองไปทางสวี่ชีอันทันที “บทกวีนี้มีชื่อหรือไม่”
สวี่ชีอันทราบทันทีว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ยิ้มพลางส่ายหน้า “ยังไม่เคยตั้งชื่อ จำเป็นต้องให้อาจารย์ทั้งหลายขัดเกลาเสียแล้ว”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก้าวถอยหลังหลายก้าวอย่างเข้าใจโดยปริยาย มองกันและกันอย่างระวัง ใช้เวลาอยู่นานว่าจะต่อสู้วิธีการตั้งชื่ออย่างไร
ในขณะนี้ ได้ยินเสียงเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วหัวเราะเพียงสามครั้งเท่านั้น กล่าว “ก็ให้ข้าตั้งชื่อบทกวีนี้เสีย”
“…?”
จางเซิ่นและคนอื่นๆ ขยับคออย่างแข็งทื่อมองเขา มิใช่บอกว่าบทกวีของสวี่หนิงเยี่ยนไม่ไพเราะหรอกหรือ
จ้าวโส่วขมวดคิ้ว และกล่าวอย่างไม่พอใจ
“รอดูก่อนว่าข้าจะทำอะไร บทกวีนี่ไม่ใช่สวี่หนิงเยี่ยนหยิบยืมบทสวดไผ่เพื่อบรรยายถึงข้าหรอกหรือ คนแก่อย่างข้ายืนหยัดกับสำนักอวิ๋นลู่มาหลายสิบปี เช่นเดียวกับไผ่นี้ก็มิปาน รากไผ่ใช่เพียงเกาะกุมขุนเขา ทานทนต่อลมที่พัดโหมจากสารทิศ”
กล่าวจบ ก็ไม่รอให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามมีโอกาสคัดค้าน กล่าว “ถอยห่างออกไปสามร้อยลี้ อย่ามารบกวนข้าเขียนบทกวี”
ถ้อยคำเหล่านั้นกล่าวออกไป ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
จ้าวโส่วกางกระดาษออก ยกพู่กันขึ้นด้วยความตื่นเต้น กล่าวอย่างปลงตกไปด้วยเขียนไปด้วย “บทกวีชั้นดี บทกวีชั้นดีเหลือเกิน ชีวิตคนแก่อย่างข้าสมบูรณ์แบบแล้ว อืม หนิงเยี่ยน บทกวีนี้เจ้าเป็นผู้เขียน แต่ข้าเป็นอาจารย์ผู้สั่งสอนที่ชี้แนะและขัดเกลาอยู่ข้างกาย ถูกหรือไม่”
ในเวลานี้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็ปรากฏกายออกมา กล่าวอย่างโกรธเคือง “ท่านเจ้าสำนัก หยุดเถิด!”
จ้าวโส่วสะบัดแขนเสื้อ “ถอยห่างออกไปห้าร้อยลี้”
เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หายตัวไปแล้ว วินาทีถัดมา พวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง กล่าวอย่างคำราม “โจรเฒ่าไร้ยางอาย ข้าและคนอื่นๆ ไม่ขออยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับเจ้า”
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อมานานแล้ว ช่างเถอะ ช่างเถอะ ช่างเถอะ คนแก่คนนี้จะช่วยพวกเจ้าสักครา”
“พวกข้าไม่กลัว ระดับสามแล้วอย่างไรเล่า ข้าและคนอื่นๆ ร่วมมือกันก็ไม่กลัวเจ้า”
“เหอะ ใช่ว่าคนแก่อย่างข้านึกดูถูกพวกเจ้า จะมีอีกสิบคน ข้าก็ปราบได้อย่างง่ายดาย”
สวี่ชีอันพาจงหลีหนีไปแล้ว
…
บนยอดของภูเขาชิงอวิ๋น อากาศแจ่มใส เมฆถูกลมแผ่วพัดเป็นชั้นๆ ร่างสี่ร่างกำลังแลกเปลี่ยนกันต่อสู้ และตอบโต้ทุกการเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศ
การเคลื่อนไหวนั้นดังมาก จนรบกวนบัณฑิตและอาจารย์ในสำนักศึกษาทันที
“เหตุใดเจ้าสำนักศึกษาและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงต่อสู้กันเล่า”
“นี่ นี่มันอะไรกัน ดีๆ กันอยู่เหตุใดถึงทะเลาะกัน แต่อย่าเดือดร้อนถึงพวกเรานะ”
“ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ เหตุใดเจ้าสำนักก็ลงมือด้วยเล่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องปกติ ครั้งก่อนต่างเป็นเพราะต่อสู้เพื่อแย่งชิงบทกวีของสวี่สือขุยอยู่หลายครั้ง”
ในเวลานี้มีคนกระซิบกล่าว “ข้า เมื่อกี้ดูเหมือนข้าจะเห็นสวี่สือขุยพาหญิงสาวคนหนึ่งไปยังป่าไผ่ของเจ้าสำนักศึกษา”
‘ไม่จริงน่า’…เกิดความเงียบขึ้นอย่างกะทันหัน ใบหน้าของบัณฑิตและเหล่าอาจารย์ต่างร้อนผ่าว
อีกด้านหนึ่ง ในลานเล็กๆ ที่บุตรสาวตระกูลสวี่หยุดพักเหนื่อย หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นเงยหน้าขึ้น มองขึ้นไปบนท้องฟ้า หัวใจเต้นแรงจนจะระเบิด
“ไม่ต้องสนใจ จะต้องเป็นพี่ใหญ่ที่เขียนบทกวีอีกแน่ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามจึงต่อสู้กัน” สวี่เอ้อร์หลางโบกมือไปมา
‘นี่ไม่เหมือนการเคลื่อนไหวที่ยอดฝีมือระดับสี่สามารถทำได้นี่’…หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นคิดในใจ
ทั้งสองคนไม่ได้สนใจ และตั้งใจฟังสวี่เอ้อร์หลางพูดต่อไป
“หลิงอินมีพรสวรรค์ที่น่าแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง สิ่งที่นางไม่อยากเรียนก็จะเรียนไม่เข้าหัว แม้จะสอนอย่างไรก็ไม่ได้ช่วยอันใด ดังนั้นอย่าคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนพิเศษที่คิดว่าตนเองจะสามารถสอนนางให้ตรัสรู้ได้”
สวี่เอ้อร์หลางแทบจะไม่ได้กล่าวว่า พวกเจ้าอย่าทำให้ตนเองอับอาย
หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้า “เช่นนั้นยิ่งไม่ได้ ก่อนที่จะอาศัยค้างคืนบ้านสกุลสวี่ ข้ารับปากกับใต้เท้าสวี่ ว่าต้องช่วยชี้แนะให้แก่หลิงอิน ก่อนหน้านี้เพราะเกิดความล่าช้า วันนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว ประจวบเหมาะจะได้ทำตามสัญญาเสียที”
ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะ เห็นคนฉลาดมาก็เยอะแล้ว บางครั้งได้เห็นคนหัวขี้เลื่อยบ้าง ก็ยังพอถือว่าน่าสนุกดี
…
สวี่ชีอันและจงหลีกลับมายังลานเล็ก สัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในที่ค่อนข้างแข็งตึง หลี่เมี่ยวเจินนั่งอยู่บนม้านั่งเล็ก ใบหน้ารูปไข่ที่งดงามดูเฉยเมย และรูม่านตาเหม่อลอยเล็กน้อย
ดูเหมือนหญิงสาวที่กำลังอกหัก และโศกเศร้าหงอยเหงายิ่งนัก
ฉู่หยวนเจิ่นกอดกระบี่เล่มนั้นที่ยังไม่ได้ถอดฝักออกของเขา และหลังพิงกำแพงไว้ สีหน้าไร้อารมณ์ แต่เส้นเลือดดำที่กระตุกตรงหน้าผากได้ทรยศเขาแล้ว
“พวกเจ้าสองคนดูเหมือนจะเจอเรื่องที่ทำให้ไม่เป็นสุข?” สวี่ชีอันพินิจไปที่สหายทั้งสอง
ทั้งสองไม่สนใจเขา
สวี่เอ้อร์หลางถอนหายใจ พลางกล่าว “จอมยุทธ์ฉู่และท่านผู้นำหลี่ยืนยันที่จะสอนหลิงอินให้รู้จักอักษร และการคำนวณให้ได้”
สวี่ชีอันตกตะลึง และประสานมือคำนับไปทางพวกเขาสองคน
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกว่าสวี่หนิงเยี่ยนกำลังเยาะเย้ยนาง จึงหยิบหินก้อนเล็กๆ ขึ้นแล้วขว้างไปที่เขา
…
หลังอาหารมื้อกลางวัน สวี่ชีอันพาครอบครัวกลับมายังจวนสกุลสวี่ อารองสวี่จ้างรถม้าสามคัน ไปยังเมืองชั้นนอกเพื่อเรียกคนรับใช้กลับมา
หลังจากที่คนรับใช้กลับมา อาสะใภ้ก็สั่งให้พวกเขาไปพรมน้ำกวาดพื้น
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนหลังคา มองดูความยุ่งอยู่กับงานของคนรับใช้ที่เดินพลุกพล่านไปมา ฟังฉู่หยวนเจิ่นและสวี่เอ้อร์หลางคุยกันเรื่องพระคัมภีร์ที่พวกเขาทั้งสองได้แสดงความรู้ของตนเองออกมา
ในห้องโถง ฉู่ไฉ่เวยนำขนมอบที่ดีที่สุดจากร้านกุ้ยเยว่มา ลี่น่าและสวี่หลิงอินกินเป็นเพื่อนนางอย่างมีความสุข
หลี่เมี่ยวเจินกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญตนอยู่ในห้องพัก ขณะที่ซูซูพูดพล่ามไม่หยุด
และข้างๆ เขา จงหลีที่คลุมเสื้อคลุมราคาถูกกำลังนั่งกอดเข่าอยู่เคียงข้างเขาอย่างเชื่อฟัง
“ระดับประสิทธิภาพในการรบของจวนสกุลสวี่ในตอนนี้ เกรงกลัวจักรพรรดิหยวนจิ่งจะแก้แค้นเสียที่ใดกัน นอกเสียจากจะส่งกำลังพลมาล้อมรอบ มิฉะนั้นก็จะไม่กลัวการลอบสังหาร” สวี่ชีอันคิดในใจ
รอเมล็ดบัวของนักบวชเต๋าจินเหลียนสุกแก่แล้ว พวกเราก็จะออกจากเมืองหลวง พอถึงตอนนั้นก็ให้หยางเชียนฮ่วนกับไฉ่เวยดูแลภายในบ้านเสียหน่อย
ท่านโหราจารย์สัญญากับข้าว่าจะปกป้องจวนสกุลสวี่ เขาก็ไม่อยากบังคับให้ข้าบุกเข้าไปในวัง และฆ่าจักรพรรดิหยวนจิ่งชาติหมาด้วยตนเอง
“เจ้านั่งอยู่ที่นี่ไม่ต้องไปไหน ข้าจะเข้าห้องไปพบแขกผู้มีเกียรติท่านหนึ่ง รอนางไปแล้ว เจ้าค่อยลงมา” สวี่ชีอันหันกลับมากำชับกับจงหลี
จงหลีพยักหน้าเงียบๆ “อืม”
สวี่ชีอันกระโดดลงจากหลังคาในทันที และกลับไปที่ห้อง ปิดประตูและหน้าต่างให้เรียบร้อย จากนั้นจึงหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา และทิ้งกระบี่ลงยันต์เล่มหนึ่งลงไป
กระบี่ลงยันต์เล่มนี้ลั่วอวี้เหิงวานให้ฉู่หยวนเจิ่นมอบให้เขา ช่วงที่เดินทางไปแดนเหนือ
จนถึงตอนนี้สวี่ชีอันก็ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าน้าผู้ใจดีให้สิ่งนี้กับเขา เพื่อรักษามิตรภาพที่ดี หรือว่านักบวชเต๋าจินเหลียนช่วยเขาออกมา
ก่อนจะกลับจวนสกุลสวี่ เขาใช้ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีติดต่อกับนักบวชเต๋าจินเหลียน สามารถยืนยันผ่านทางเขาได้ว่าลั่วอวี้เหิงคือครึ่งหนึ่งของตนเอง ซึ่งสามารถเชื่อถือได้อย่างเหมาะสม
นักบวชเต๋าจินเหลียนยังกล่าวอีกว่า กระบี่ลงยันต์สามารถทำหน้าที่เป็นจดหมายส่งสาร ให้เขาสามารถติดต่อกับลั่วอวี้เหิงได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปยังเขตพระราชฐานด้วยตนเอง
จับกระบี่ลงยันต์ให้มั่น โยกย้ายจิตเดิม เข้าสู่พลังจิตวิญญาณส่วนหนึ่ง กล่าวเสียงเบา “ท่านราชครู ท่านราชครู ข้าคือสวี่ชีอัน…”
เรื่องยาวิญญาณจัดการให้ชัดเจนไปเสียจะดีกว่า มิฉะนั้นมักจะรู้สึกเหมือนก้างติดคอก็มิปาน นอกจากนี้ ยังเป็นการเตือนลั่วอวี้เหิง ให้นางเตรียมการป้องกันไม่ให้จักรพรรดิหยวนจิ่งคิดอะไรแผลงๆ
ถือโอกาสปัดเป่าระดับความโปรดปรานของสาวงามผู้แสนเย้ายวน พยายามให้ลั่วอวี้เหิงกลายมาเป็นลูกพี่ที่ข้าสามารถพึ่งพาได้ในอนาคต
ท่านป้า ข้าไม่อยากทำงานหนักอีกต่อไปแล้ว…
หลังจากรำพันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ครู่หนึ่ง กระบี่ลงยันต์ก็ไม่ตอบสนอง
ดูเหมือนว่าราชครูไม่อยากสนใจข้า เป็นจริงอย่างที่คาด สถานะและฐานะของข้าต่ำเกินไป ในสายตาหญิงสาวที่บำเพ็ญตนแข็งกล้า อย่างลั่วอวี้เหิงที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้ ยังถือว่าอีกยาวไกลนัก…สวี่ชีอันคิดอย่างจนใจ
เขากำลังคิดจะยอมแพ้ ทันใดนั้น ลำแสงสีทองก็ส่องลงจากท้องฟ้า ทะลุหลังคา และเข้ามาภายในห้อง
ในลำแสงสีทอง กลั่นกรองเงาของสาวงามร่างหนึ่ง สวมมงกุฎดอกบัว สวมชุดเต้าผาว หน้าผากแต้มด้วยชาดสีแดงเล็กน้อย ใบหน้าสง่างามยิ่งนัก
นางมีทั้งความเฉลียวฉลาดของป้าใจดี ท่าทางที่ดูสวยหยาดเยิ้มของเพื่อนแม่ รวมไปถึงความสวยพริ้มเพราของสาวข้างบ้าน ทำให้คนรู้สึกอธิบายไม่ถูก
นึกไม่ถึงว่าจะมาจริงๆ
ไม่รอให้สวี่ชีอันประหลาดใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระเบื้องพลิกจากหลังคา ต่อมา เงาร่างหนึ่งก็กลิ้งตกจากหลังคา เสียงดังโครมคราม และตกลงมาอยู่ในลานอย่างแรง
จงหลีไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ส่งเสียง ‘ฮือ ฮือ ฮือ’ แล้วปีนป่ายขึ้นมา ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ
ลั่วอวี้เหิงกล่าวโดยทันที “เหตุใดหลังคาบ้านเจ้าถึงยังมีคนอยู่? ข้าคงมาเร็วเกินไปจนไม่ทันสังเกต”
“…”
ไม่ ไม่ใช่เจ้าไม่ได้สังเกต แต่มันคือโชคชะตาสั่งให้เจ้า ‘จงใจ’ มองข้ามนาง ศิษย์พี่จงที่น่าสงสาร…
ดวงตาที่สุกใสของลั่วอวี้เหิงสงบเยือกเย็นราวกับนางฟ้า พยักหน้าพลางกล่าว “ตามหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
……………………………………………………………..