ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 390 คดีเก่า
บทที่ 390 คดีเก่า
นึกไม่ถึงว่าราชครูจะเป็นแขกผู้มีเกียรติจริงๆ แถมยังมาด้วยร่างเดิมอีก? นักบวชเต๋าจินเหลียนเส้นสายเยอะขนาดนี้เชียวหรือ…สวี่ชีอันทั้งถอนหายใจให้กับความมีหน้ามีตาของนักบวชเต๋าจินเหลียน ทั้งค่อนข้างคารวะที่ได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง
“คารวะราชครู”
เมื่อสำรวจลั่วอวี้เหิงอีกครั้ง เขาค้นพบหนึ่งอย่างที่ต่างออกไป ลั่วอวี้เหิงที่เจอในอารามรัตนะไม่ได้งดงามมากนัก แต่ยังคงเป็นร่างกายที่มีเลือดเนื้อเหมือนเดิม
แต่ราชครูหญิงที่อยู่เบื้องหน้าเขา ทั้งร่างกายที่กระจายไปด้วยแสงระยิบระยับศักดิ์สิทธิ์ หากต้องการพรรณนา การตีความที่ดีที่สุดอาจจะเป็น ‘ผิวพรรณงามดั่งหยก’
ลั่วอวี้เหิงเหลือบมองเขา และกล่าวอย่างเรียบเฉย “นี่คือเทพสุริยัน”
เทพสุริยัน…เทพสุริยันระดับสามของลัทธิเต๋า? เทพสุริยันที่เดินทางผ่านดินแดนแห่งจินตนาการ และไม่เกรงกลัวต่อพายุที่โหมพัดและฟ้าฟาดในตำนาน? สวี่ชีอันใบหน้าเผยความประหลาดใจ ดูเหมือนหมีแพนด้าที่มองไปรอบๆ และดวงตาไม่สามารถขยับได้ก็มิปาน
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย นัยน์ตาใสฉายแววบูดบึ้ง และกล่าวอย่างเรียบเฉย “เรียกข้ามามีธุระอันใด”
เมื่อตระหนักได้ว่าการจ้องมองของตนเองทำให้ราชครูขุ่นเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจ สวี่ชีอันจึงรีบนั่งตัวตรง โดยสายตามองไปด้านหน้า และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “มีเรื่องที่ต้องการบอกกับราชครู”
นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวอย่างใคร่ครวญ “ในคดีการสังหารหมู่ที่ฉู่โจว จักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋องร่วมกันคิดทรยศ คนหนึ่งกลั่นยาโลหิต และอีกคนหนึ่งกลั่นยาวิญญาณ ไหวอ๋องกลั่นยาโลหิตเพื่อโจมตีระดับสามอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นก็กลืนกินหลิงยวิ่นของพระมเหสี”
ในเมื่อแตกคอกันแล้ว ก็ไม่ต้องเรียก ‘ฝ่าบาท’ อย่างเสแสร้งอีก ในส่วนความลับของพระมเหสี สวี่ชีอันไม่เชื่อว่าผู้นำเต๋าระดับสองผู้สง่างามจะไม่ทราบถึงหลิงยวิ่นที่ซ่อนอยู่ในร่างของพระมเหสี
“สิ่งที่ข้าอยากทราบก็คือ จักรพรรดิหยวนจิ่งกลั่นยาวิญญาณใช้เพื่อการใด”
เมื่อได้ยิน ลั่วอวี้เหิงก็ขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวอย่างช้าๆ “หยวนจิ่งบำเพ็ญตนมายี่สิบปี จนค่อยๆ บรรลุถึงระดับเทพเจ้าหยินระดับหก ระดับเจี๋ยตันยังอีกยาวไกล”
นี่มัน เอ่อ…บำเพ็ญตนยี่สิบปีแล้วยังอยู่ระดับหก ข้าไม่รู้จะวิจารณ์อย่างไรแล้ว ทรัพยากรของพลังทั้งประเทศ ก็ถือว่าเป็นหัวหมูหนึ่งหัว ควรจะกลายเป็นระดับเจี๋ยตันแล้วกระมัง!
ความสามารถพิเศษในการบำเพ็ญตนของจักรพรรดิหยวนจิ่งอยู่ระดับเดียวกับความสามารถพิเศษในการอ่านตำราของสวี่หลิงอิน?
สวี่ชีอันรวบรวมความคิด กล่าว “จะเป็นไปได้หรือไม่ ว่าเป็นการแสร้งทำ?”
ลั่วอวี้เหิงเหลือบมองเขา และไม่พูดอะไร
สวี่ชีอันโค้งคำนับติดต่อกันเพื่อแสดงการขอโทษ
ความสงสัยดังกล่าวเป็นการไม่เคารพต่อผู้แข็งแกร่งระดับสองของลัทธิเต๋าท่านหนึ่ง
ลั่วอวี้เหิงกล่าวต่อ “จิตวิญญาณของหยวนจิ่งอ่อนแอมาแต่กำเนิด นี่จึงเป็นสาเหตุที่คุณสมบัติในการบำเพ็ญตนของเขาถึงได้แย่”
นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยกล่าวว่า ระดับเจี๋ยตันสามารถเสริมแรงจิตเดิมได้ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งกำลังพยายามซ่อมแซมข้อบกพร่องความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด? สวี่ชีอันคิดอยู่ในใจ และได้ยินลั่วอวี้เหิงกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“แต่วิธีการเสริมแรงของจิตเดิมมีตั้งมากมาย การทำสมาธิ โอสถต่างๆ ก็สามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องกลั่นยาวิญญาณ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “เช่นนั้นก็หมายความว่า ยาวิญญาณมีผลลัพธ์อีกอย่างหนึ่ง”
จากมุมมองทางจิตวิทยา มีเพียงคนบ้าเท่านั้นถึงจะไม่มีการคิดไตร่ตรอง แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ใช่คนบ้า ตรงกันข้าม เขาเป็นราชาจอมวางแผนคนหนึ่ง
ก่อนที่เขาจะทำเรื่องอันใด จะต้องคิดผลลัพธ์ที่จะตามมาภายหลังเป็นแน่ และหากผลประโยชน์เพียงพอ เขาถึงจะทำมัน หากยาวิญญาณเพียงแค่ทำให้รากฐานระดับหกมั่งคงเท่านั้น เขาไม่น่าจะริเริ่มวางแผนการสังหารหมู่ เพราะราคาช่างสูงเกินไปแล้ว
อย่างมากที่สุดก็คือการยอมจำนนต่อไหวอ๋องก็เท่านั้นเอง
ลั่วอวี้เหิงถามกลับ “เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรหรือ”
สวี่ชีอันยิ้มอย่างขมขื่นกล่าว “ขาดเบาะแส ไม่มีทางคาดเดาได้ ข้าจะลองสืบเรื่องนี้ดู ส่วนราชครู ท่านทำด้วยใจได้ก็ดีแล้ว”
เขาเชื่อใจว่าด้วยสติปัญญาของผู้แข็งแกร่งระดับสองของลัทธิเต๋าท่านหนึ่ง ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องอธิบายและกำชับมากนัก แค่เตือนความจำก็เพียงพอแล้ว
ลั่วอวี้เหิงส่งเสียง ‘อืม’ พลางถาม “พระมเหสีนางถูกเผ่าอนารยชนลักพาตัวไป และจากนั้นก็ไม่ได้รับข่าวคราวอีกจริงหรือ”
สวี่ชีอันถอนหายใจอย่างขมขื่น “ใช่ น่าเสียดายสาวงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง ไหวอ๋องสวรรคตแล้ว เกรงว่าพระมเหสีก็…”
เขาแสดงความเสียใจอย่างเหมาะสม อัดแน่นไปด้วยความเสียดายที่ชายธรรมดาคนหนึ่งแสดงออกมาต่อความโชคร้ายอันน่าสลดใจของสาวงาม
ลั่วอวี้เหิงเหลือบมองเขาโดยไม่พูดอะไร เงียบอยู่ครู่หนึ่ง พลางถามอย่างไม่ได้ตั้งใจ “ได้ยินจินเหลียนกล่าวมาว่า เจ้าเคยเข้าไปในสุสานของพระราชวังใต้ดินนอกเมืองยงโจว และค้นพบแก่นแท้แห่งโชคชะตาโบราณหรือ”
เหตุใดท่านถึงถามเรื่องนี้เล่า สวี่ชีอันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และตอบตามความจริง “ใช่”
“มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้หรือไม่”
ช่วงที่ถามนั้น ดวงตาที่สวยงามของลั่วอวี้เหิง จ้องมาที่เขาอย่างตั้งใจ
“เอ่อ…ข้าไม่เคยบำเพ็ญตนมาก่อน แต่ได้ยินนักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวว่า วิชานี้จะต้องเป็นชายหญิงบำเพ็ญตนพร้อมกันที่ต้องเชี่ยวชาญวิชารวมแก่นสารจึงจะสามารถทำได้ แค่หาหญิงสาวมาคนหนึ่ง ก็สามารถบำเพ็ญตนพร้อมกันได้แล้ว”
สวี่ชีอันที่มีนิสัยลื่นเป็นปลาไหลอยู่แล้ว แต่ยังคงเขินอายเล็กน้อยที่จะพูดคุยเรื่องส่วนตัวแบบนี้กับสาวงาม
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเล็กน้อย
สวี่ชีอันเห็นร่องรอยความพึงพอใจในสายตาของนาง
“คดีการสังหารหมู่เมืองฉู่โจวจบลงแล้ว ตอนนี้หยวนจิ่งแทบทนรอไม่ไหวให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปในทันที คงไม่มีทางแก้แค้นเจ้าในเวลาอันสั้นเป็นแน่” ลั่วอวี้เหิงกล่าวเตือนความจำ
“ส่วนอันดับต่อไป เจ้าเองก็เตรียมการป้องกันไว้ให้มากหน่อย ทันทีที่พบร่องรอยว่าเขามีการแก้แค้น ก็รีบให้ครอบครัวออกจากวังทันที รอหลังจากนั้นค่อยกลับมารวมตัวเถิด”
สวี่ชีอันพยักหน้า นี่คือราคาที่ไปขัดใจจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง
ไม่มีร่องรอยของการลงมือจากมือมืดผู้อยู่เบื้องหลังชั่วคราว เป็นเรื่องไกลตัว แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว
ข้าจำเป็นต้องเร่งเลื่อนระดับการบำเพ็ญตนให้สูงขึ้น เช่นนี้จึงจะสามารถปกป้องตนเองได้…
“เก็บกระบี่ลงยันต์เล่มนี้ไว้ให้ดี เวลาฉุกเฉินกระตุ้นด้วยพลังปราณ พยายามคิดว่าข้าเป็นไม้ตาย หากเจ้าต้องการติดต่อ เพียงแค่ใส่ความคิดทางจิตวิญญาณลงไปก็ได้”
เทพสุริยันลั่วอวี้เหิงแปลงกลายเป็นแสงสีทองและหายวับไป
สวี่ชีอันเก็บกระบี่ลงยันต์เสร็จ ก็คลึงระหว่างคิ้ว “เป้าหมายในเวลาอันสั้นคือ เลื่อนไปยังขั้นห้า จากนั้นตรวจสอบจักรพรรดิหยวนจิ่ง เฮ้ คิดไม่ถึงว่าข้าจะมีวันที่ต้องตรวจสอบจักรพรรดิด้วย”
…
“จงหลี จงหลี…”
สวี่ชีอันออกจากห้อง พลางมองไปรอบๆ
“ข้าอยู่นี่” จงหลีกอดเข่า นั่งอยู่ริมหน้าต่าง และตอบกลับอย่างอ่อนแรง
ไม่หกล้มจนเจ็บตัวก็ดีแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาพาจงหลีผ่านมายังห้องตำราของสวี่เอ้อร์หลาง มองจากหน้าต่างเข้าไป สวี่เอ้อร์หลางและฉู่หยวนเจิ่น กำลังดื่มและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ปัญญาชนคุยแต่เรื่องทฤษฎี และยังคงดำเนินต่อไป
อืม ด้วยพี่ฉู่ผู้มากประสบการณ์ต่อมนุษยสัมพันธ์ทราบถึงภายใต้เงื่อนไขที่เอ้อร์หลาง ‘ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน’ จึงไม่พูดถึงชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างบุ่มบ่าม
เอ้อร์หลางและฉู่หยวนเจิ่นคุยกันเสียนานขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นผู้สอบจอหงวนอันดับหนึ่งและบัณฑิตขั้นสูงรุ่นที่สอง ความสามารถไม่เลวเลยเชียว
เดินจนถึงประตูห้องของหลี่เมี่ยวเจิน ได้ยินซูซูพูดเสียงแจ๋วอยู่ภายใน “เตีย ไอ๊ เตีย ไอ๊…”
เหมือนเครื่องพูดอัตโนมัติก็มิปาน กล่าวครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยท่าทางดีใจสุดขีด
“เจ้าเริ่มฝึกเรียกข้าว่าท่านพ่อแล้วหรือ อย่าเรียกข้าว่าเตีย เรียกข้าว่าท่านพ่อสิ” สวี่ชีอันผลักเปิดประตูออก และเข้าไปในห้อง
ซูซูสวมกระโปรงสีขาวลายตารางที่วิจิตรบรรจง หัวเราะฮ่าฮ่ากล่าว “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เด็กโง่บ้านเจ้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก เจ้านายสอนเจ้ารู้จักอักษร เขียนคำว่า ‘เตีย’ เจ้านายกล่าวคำว่า เตีย
“เด็กโง่บ้านเจ้ากล่าวว่า ไอ๊!”
ซูซูหัวเราะจนเท้าลื่น ล้มลงไปบนโต๊ะ ด้วยท่าทางที่มีความสุข
สวี่ชีอัน “…”
ไม่น่าแปลกใจที่ตอนนั้นหลี่เมี่ยวเจินถึงทำท่าทางเหมือนสงสัยชีวิต
แล้วเหตุใดหลี่เมี่ยวเจินถึงโมโหจนถึงขีดสุดเช่นนี้? เขาคิดไปคิดมา ได้แต่อดทนที่จะถาม เพราะไม่อยากสะกิดรอยแผลเป็นของสหาย
“ข้าอยากออกไปข้างนอกสักประเดี๋ยว หากเจ้าไม่มีอะไรทำ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่” สวี่ชีอันมองไปยังเทพธิดานิกายสวรรค์
ใบหน้าเล็กรูปไข่ของเทพธิดานิกายสวรรค์เขียนด้วยคำว่า ‘อารมณ์ไม่ดี’ สามคำ พลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “มีเรื่องอะไรก็กล่าวมา อย่ามารบกวนการบำเพ็ญตนของข้า”
น้ำเสียงค่อนข้างดุเชียว เจ้าไม่ต้องเอาอารมณ์โมโหจากเสี่ยวโต้วติงมาโยนบนตัวข้าก็ได้กระมัง…สวี่ชีอันอธิบาย
“ข้ารู้จักเรือนส่วนตัวของเฉากั๋วกงที่หนึ่ง ภายในเก็บสิ่งของวิเศษเอาไว้ จะไปสำรวจด้วยกันหรือไม่”
‘เจ้ากล่าวเช่นนี้ข้าก็เริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว’…หลี่เมี่ยวเจินยิ้มขึ้นมา “เอาสิ”
…
บ้านพักส่วนตัวของเฉากั๋วกงอยู่ห่างจากเขตพระราชฐานไม่กี่ลี้ เป็นจวนเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้ทะเลสาบ
ว่ากันว่าเป็นจวนเล็ก แต่จริงๆ แล้วก็ไม่เล็ก ทางเข้าสองทาง ประตูจวนถูกล็อก และอาจไม่มีใครอาศัยอยู่เป็นเวลานานแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินหรี่ตา พินิจที่อาศัยแห่งนี้ กล่าวอย่างฮึดฮัด “ที่อาศัยแบบนี้ห่างจากเขตพระราชฐานไม่ไกล ที่ตั้งดี แถมยังเงียบสงบ อย่างน้อยก็แปดพันสองร้อยตำลึง
“เฉากั๋วกงมีบ้านพักส่วนตัวเช่นนี้สิบกว่าแห่ง ใช้เพื่อฝังสาวสวยในห้องและเลี้ยงดูนางสนม ช่างน่าเกลียดชัง และน่าฆ่าเสียจริง”
ขออภัย อีกไม่นาน ข้าก็จะกลายเป็นผู้ชายที่ซื้อบ้านพักส่วนตัวเพื่อเลี้ยงนางสนมเช่นกัน…สวี่ชีอันหยอกล้ออย่างไร้สุ้มเสียง มองไปรอบๆ สัญชาตญาณของทหารไม่รู้สึกถึงการตอบสนองต่อสิ่งอันตรายใดๆ
ไม่มีการซุ่มโจมตีจากรอบด้าน บ้านพักส่วนตัวของเฉากั๋วกงแห่งนี้ถูกซ่อนไว้อย่างแท้จริง
ไม่เห็นใครอยู่รอบตัว สวี่ชีอัน หลี่เมี่ยวเจิน และจงหลีข้ามกำแพงสูง และลงสู่ลานภายในอย่างแผ่วเบา
ทันทีที่เท้าเหยียบถึงพื้น สวี่ชีอันก็หันกลับมาทันที พลางกางแขนทั้งสองออก วินาทีต่อมา จงหลีในช่วงที่ข้ามกำแพงปลายเท้าเกิดสะดุดเล็กน้อย และกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเขา
เรือนร่างของศิษย์พี่จงช่างนุ่มนวล และยังคงสัมผัสถึงความยืดหยุ่นของผิวหนังที่กั้นด้วยชุดคลุม
“ขอบคุณ…” จงหลีรู้สึกดีใจเล็กน้อย แต่เดิมเมื่อครู่ ใบหน้าของนางแทบจะถึงพื้นอยู่แล้ว
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ความเคยชินคือบ่อเกิดของความชำนาญน่ะ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างยิ้มๆ
“…” หลี่เมี่ยวเจินจิ๊ปาก พลางส่งเสียงถอนหายใจอย่างสงสาร
โหรระดับห้า นักศาสดาพยากรณ์ ไม่ทราบว่าติดอยู่กับความภาคภูมิใจของสวรรค์กี่ครั้งแล้ว
จวนหลังนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่มานานแล้ว แต่ดูไม่ทรุดโทรมเลย คิดว่าเฉากั๋วกงคงส่งคนมาดูแลและทำความสะอาดเป็นประจำ
ผ่านลานบ้านไป เข้ามาภายในห้องโถง ทั้งสามสำรวจอยู่รอบหนึ่ง ค้นพบว่าที่นี่เป็นเพียงที่อาศัยธรรมดา ไม่ได้ใช้งาน และไม่มีสิ่งของมีค่ามากนัก
“น่าจะมีห้องมืด” หลี่เมี่ยวเจินวิเคราะห์
“ไม่ใช่ห้องมืด แต่เป็นห้องใต้ดิน”
สวี่ชีอันมองไปยังดวงตาที่สงสัยของเทพธิดานิกายสวรรค์ กล่าวอธิบาย “โครงสร้างของที่อาศัย ขนาดความใหญ่เล็กภายในห้อง ไม่เพียงพอสำหรับเก็บซ่อนห้องลับหนึ่งห้อง”
หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง แกะถุงหอมออก ปัดเบาๆ ควันสีเขียวก็พวยพุ่งออกมา เจาะทะลุพื้นดิน
หลังจากนั้นไม่นาน ควันสีเขียวก็กลับมา และกระซิบข้างหูของหลี่เมี่ยวเจินด้วยภาษาต่างด้าว
หลี่เมี่ยวเจินฟังครู่หนึ่ง กล่าว “ตามข้ามา”
นางพาสวี่ชีอันและจงหลีมายังห้องตำราที่เชื่อมต่อกับห้องนอนหลัก ผลักเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะออกไป และใช้แรงเหยียบมันครั้งหนึ่ง
‘ปัง…’
กระเบื้องปูพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ และยุบตัวลงเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่มืดมิด ขั้นบันไดหินสูงชันลงไปสู่ห้องใต้ดิน
ทั้งสามเข้าไปในห้องใต้ดินตามขั้นบันไดหิน เสียงฝีเท้าของพวกเขาสะท้อนอยู่ในบรรยากาศที่น่าอึดอัด
ห้องใต้ดินไม่ลึก เหมือนกับห้องใต้ดินที่เศรษฐีทั่วไปใช้เพื่อเก็บก้อนน้ำแข็งและผักสดก็มิปาน แต่เฉากั๋วกงใช้มันเพื่อเก็บของมีค่าและของเก่าแก่
หลี่เมี่ยวเจินจุดตะเกียงน้ำมันที่ฝังอยู่ตรงผนังทีละดวง เพื่อให้แสงนำพาความสว่างมาสู่ห้องใต้ดินที่มืดมิด
ในห้องใต้ดินจัดชั้นวางของสะสมเรียงกันเป็นแถว เต็มไปด้วยของเก่ามากมาย ทั้งแจกันลายคราม เครื่องหยก ทองสัมฤทธิ์รูปร่างอสูร ไข่มุกราตรี และอื่นๆ
มองดูจนตาลายไปหมด
ในใต้หล้านี้มิขาดแคลนความงาม แต่ขาดดวงตาเพื่อค้นพบความงาม…สวี่ชีอันนึกถึงประโยคที่มีชื่อเสียงนี้ขึ้นเองในใจ
จากนั้นเขาก็ได้ยินหลี่เมี่ยวเจินกล่าว “สิ่งของทุกชิ้นที่นี่มีมูลค่ามหาศาล นำออกไปแลกเป็นเงิน จะสามารถช่วยเหลือคนจรจัด และราษฎรยากไร้ได้มากมาย”
ช่วงที่กล่าวสิ่งเหล่านี้ ดวงตาของนางก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
“…?”
สวี่ชีอันลำคอแข็งทื่อ หันมามองนางอย่างช้าๆ
ข้าพาเจ้ามาก็เพื่อเรื่องนี้หรือ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าฆ่าปิดปากคนได้…เขาส่งเสียงกระแอมไอ
“ก็จริง ทว่า ทำความดีต้องใช้แรงในการขับเคลื่อน คนล้มละลายมาทำความดีเป็นเรื่องที่คนโง่เขลาเท่านั้นที่ทำ”
“สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยมิชอบหรอกหรือ” หลี่เมี่ยวเจินเอียงตามองเขา
เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าคือหลี่เมี่ยวเจินปราชญ์ผู้ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์
“ถึงเวลานั้นจะดึงสามสิบส่วนให้เจ้าไปทำเรื่องดี” สวี่ชีอันโบกมืออย่างไม่เต็มใจที่จะคุย พลางเปลี่ยนเรื่อง
“สิ่งเหล่านี้ หากไม่ได้มาจากการทุจริตและการติดสินบน ก็ได้มาจากช่องทางที่ผิดศีลธรรมต่างๆ”
จงหลียื่นมือเล็ก หยิบลูกปัดน้ำแข็งสีฟ้าครามอันหนึ่งขึ้นมา มันมีพื้นผิวที่โปร่งใส ดุจดั่งมหาสมุทรสีฟ้าที่ซ่อนเร้นอยู่ในแสงตะเกียงน้ำมัน หักเหแสงสว่างที่น่าตื่นเต้นออกมา
“นี่คือมุกนาคีที่อุดมสมบูรณ์ของแคว้นหนานไฮ่ ซึ่งล้ำค่า และเป็นเครื่องบรรณาการ” จงหลีในฐานะลูกศิษย์ของสำนักโหราจารย์ มีความรู้ต่อสินค้าฟุ่มเฟือยมากกว่าสวี่ไป๋เผียวและเทพธิดานิกายสวรรค์ยิ่งนัก
เครื่องบรรณาการที่ยักยอก?!
สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว มิน่าเล่าเฉากั๋วกงถึงต้องตั้งใจซื้อบ้านพักส่วนตัวแห่งนี้เพื่อเอาไว้จัดวางสิ่งของเหล่านี้
ต่อมา เขาก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา นำสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้ ใส่ลงไปในโลกของกระจกทีละชิ้น อย่างเช่นสิ่งที่เสียหายง่าย และพวกเครื่องลายครามที่น่าปวดหัวกว่า
“ด้านนี้มีกล่อง เก็บใส่ในกล่องเถอะ” หลี่เมี่ยวเจินชี้ไปยังมุมหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในห้องใต้ดิน
เสียงดังตุบ กล่องก็เปิดออก
ไม่มีแสงสีทองที่น่าหลงใหลหรือแสงสีเงินที่ระยิบระยับเลย สวี่ชีอันค่อนข้างผิดหวัง
มีจดหมายลับวางกองอยู่ภายในกล่อง สวี่ชีอันเปิดจดหมายอ่านอยู่หลายฉบับ พลางหายใจเร็วกว่าปกติขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เขาพลิกอ่านทีละฉบับ ดูผ่านๆ อย่างรวดเร็ว จดหมายลับเหล่านี้ เป็นเฉากั๋วกงที่บันทึกเกี่ยวกับการรับสินบนและปฏิบัติผิดกฎหมายไว้
มีบางฉบับสามารถสืบย้อนไปถึงเมื่อสิบหรือยี่สิบปีที่แล้ว ทั้งเครื่องบรรณาการที่ยักยอก การโกงกินเม็ดเงินสำหรับผู้ประสบภัย และใช้อิทธิพลเข้ายึดครองทหารและที่ดิน…รวมถึงคนที่สมรู้ร่วมคิดมีทั้งขุนนางบุ๋น บุคคลที่มีชื่อเสียง และพระญาติของราชวงศ์
หากนำจดหมายลับเหล่านี้เผยแพร่ออกไป ย่อมทำให้เกิดความโกลาหลในศาลและคนที่ปัดแข้งปัดขากันอย่างนับไม่ถ้วนเป็นแน่
“ให้เว่ยกง นำจดหมายลับเหล่านี้ให้เว่ยกง…”
จิตใต้สำนึกของสวี่ชีอัน และปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณคือมอบให้เว่ยเยวียน ให้เขาควบคุมข้อมูลเหล่านี้ และเพิ่มทุนทางการเมืองของเว่ยเยวียน
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็สงบลง
อย่ารีบร้อน ต่อให้อยากจะมอบให้เว่ยกง ก็ไม่ใช่เวลาที่จะรีบร้อน ไม่ จะมอบให้เว่ยเยวียนทั้งหมดไม่ได้ ต้องเก็บบางส่วนไว้ให้เอ้อร์หลางด้วย เขาก็ต้องการทุนทางการเมืองเช่นกัน
เมื่อครุ่นคิดในใจ เขาก็ดึงจดหมายลับอีกฉบับหนึ่งออกมาจากด้านล่างอีก และเริ่มอ่านมัน
“หยวนจิ่งปีที่สิบห้า ได้รวมกลุ่มกับพรรคหวาง พรรคเอี้ยน ตระกูลและขุนนางต่างๆ เพื่อขุดรากถอนโคนซูหัง และกำจัดอย่างสิ้นซาก…พรรค และซูหังถูกลงโทษด้วยการตัดศีรษะ สตรีถูกส่งเข้าไปยังสำนักสังคีต บุรุษถูกเนรเทศ รับสินบนจากพรรคเอี้ยนและพรรคหวางคนละแปดพันตำลึง…”
ซูหัง ชื่อนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก…ความคิดหนึ่งได้แวบเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน ก็ได้ยินหลี่เมี่ยวเจินที่กำลังมีท่าทีตกใจ โพล่งออกมา “บิดาของซูซู…”
ความทรงจำที่ฉับพลันของสวี่ชีอัน บิดาของซูซูชื่อซูหัง นักบุญบัณฑิตขั้นสูงแห่งปีที่ยี่สิบเก้า หยวนจิ่งปีที่สิบสี่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงถูกลดตำแหน่งและกลับไปเป็นข้าหลวงเจียงโจว ปีต่อมาถูกลงโทษด้วยการตัดศีรษะ ข้อหาคือการติดสินบน
นึกไม่ถึงว่าบิดาของซูซูจะเสียชีวิตจากการต่อสู้ทางการเมือง หรือมีหลายพรรคร่วมมือกัน?
“ที่แท้บิดาของซูซูก็ถูกพวกเขาฆ่าตาย โดยพรรคเอี้ยน พรรคหวาง ยังมีอวี้อ๋องพระญาติของราชวงศ์เป็นต้น” หลี่เมี่ยวเจินกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ไม่ถูก จดหมายฉบับนี้มีปัญหาใหญ่…” สวี่ชีอันชี้บนจดหมายลับตรงช่องว่าง ขมวดคิ้วพลางกล่าว “เจ้าดูสิ ด้านหน้าคำว่า ‘พรรค’ เหตุใดจึงว่างเปล่า และพรรคใดถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก?”
ด้านหน้าของคำว่าพรรค มีช่องว่างเหลือไว้ ความกว้างหนึ่งคำพอดี
“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เฉากั๋วกงกลัว ไม่ได้เขียนพรรคนั้นลงไป?” หลี่เมี่ยวเจินคาดเดา
“หากเป็นเพราะเหตุผลนี้ เขาคงไม่เขียน หรือใช้สัญลักษณ์เขียนแทน อีกอย่าง จะถูกกำจัดแล้ว ยังจำเป็นต้องกลัวอะไรอีก?” สวี่ชีอันส่ายหน้า ปฏิเสธการคาดเดาของหลี่เมี่ยวเจิน พลางชี้ไปที่จดหมายลับกล่าว
“ตรงนี้เหมือนมีการเขียนอักษร และเหมือนถูกพลังบางอย่างบังคับลบออกไป จึงเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า”
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว ทำท่าคิดหนักออกมา หลังจากนั้นไม่นาน นางได้ลบเครื่องหมายคำถามออกจากสมอง และล้มเลิกการครุ่นคิด ถาม
“เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ในเมื่อข้างกายมีผู้เชี่ยวชาญด้านการให้เหตุผลที่มีประสบการณ์และมีความสามารถอยู่ท่านหนึ่งแล้ว เหตุใดนางต้องขยับสมองของตนเองด้วยเล่า
“ข้าจะมีความคิดอะไรได้เล่า แค่ข้อมูลในส่วนนี้ เดิมทีก็ไม่เพียงพอให้ข้าได้ตั้งสมมติฐานแล้ว อืม เจ้าไม่ได้บอกว่าคดีของบิดาซูซูสืบไม่พบในเจียงโจวมิใช่หรือ
“เช่นนั้นพวกเราก็หาโอกาสไปสืบจากกรมปกครองและกรมอาญา หรือไม่ก็ศาลต้าหลี่ รอจนกว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติมค่อยว่ากัน”
สวี่ชีอันถอนหายใจ “แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ การเสียชีวิตของบิดาซูซูไม่ธรรมดา การทุจริตและการติดสินบนไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน อาจมีคนที่เกี่ยวข้อง และพัวพันถึงการต่อสู้ทางการเมือง เกรงว่าจะมีไม่น้อย ข้าคิดว่า ตามเส้นทางนี้ไป บางทีอาจจะสามารถขุดหลายสิ่งหลายอย่างออกมาได้”
เวลานี้พวกเขานำเครื่องลายครามใส่ลงไปในกล่อง และนำกล่องใส่ลงไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอีกครั้ง นำสิ่งของมีค่าทุกอย่างในบ้านพักส่วนตัวแห่งนี้เก็บกวาดให้สะอาดในครั้งเดียว
แน่นอนว่า สวี่ชีอันก็ไม่ลืมที่จะนำโฉนดที่ดินและกรรมสิทธิ์บ้านพกไปด้วย
เขาวางแผนจะขายบ้านหลังนี้ จากนั้นซื้อจวนเล็กแห่งหนึ่งที่ใกล้กับจวนสกุลสวี่ และเลี้ยงดูพระมเหสีอยู่ที่นั่น
…
ทั้งสามกลับมายังจวนสกุลสวี่ ซูซูกำลังนั่งมองทิวทัศน์อยู่บนหลังคา และถือร่มกระดาษสีแดงสดใส
ภายในลาน สวี่หลิงอินที่กินอิ่มเต็มที่แล้วทำท่าเหมือนเหมือนชกมวยเพื่อฝึกฝนเลือดลม แถมนางยังไม่ลืมพากย์เสียงให้ตนเอง ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้!
คิ้วเล็กบางๆ สองเส้นชี้ขึัน ทำท่าทางที่ดุร้ายออกมา
ฉู่ไฉ่เวยและลี่น่าพูดคุยกันอยู่ด้านข้าง ประหนึ่งให้คำปรึกษากัน
ซูซูนั่งดูความคึกคักอยู่บนหลังคา ลมพัดผมสละสลวยและกระโปรงของนาง ราวกับนางฟ้าผู้โดดเด่น ช่างงดงามยิ่งนัก
หลี่เมี่ยวเจินยืนอยู่ในลาน เงยหน้า พลางโบกมือทักทาย “ซูซู ลงมา มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
“เจ้าค่ะ!”
ซูซูยิ้มหวาน และลงมาสู่พื้นอย่างแผ่วเบา
เสี่ยวโต้วติงชี้ไปทางซูซู กล่าวกับลี่น่าและไฉ่เวย “ข้าก็อยากเรียนสิ่งนี้ด้วย”
“เจ้าทำไม่ได้หรอก เจ้าอ้วนเกินไป” ลี่น่าและไฉ่เวยปฏิเสธ
เสี่ยวโต้วติงไม่สนใจพวกเขาด้วยความโกรธ และวิ่งไปกอดขาของพี่ใหญ่
“พี่ใหญ่ ข้าอ้วนหรือไม่” สวี่หลิงอินพยายามเรียกความมั่นใจจากพี่ใหญ่กลับมา
“เจ้าไม่ได้อ้วน เจ้าเป็นจือฝางกาน” สวี่ชีอันลูบศีรษะนาง
“ท่านแม่คือหวานใจของท่านพ่อ ข้าคือจือฝางกานของพี่ใหญ่ ใช่หรือไม่” สวี่หลินอินยังคงจำคำพูด ที่เมื่อก่อนพี่ใหญ่เคยบอกกับนางได้
“ใช่ใช่ใช่”
เสี่ยวโต้วติงวิ่งกลับไปข้างกายลี่น่าและฉู่ไฉ่เวย ประกาศเสียงดัง “ท่านแม่คือหวานใจของท่านพ่อ ข้าคือจือฝางกานของพี่ใหญ่”
“หุบปาก!”
อาสะใภ้ออกจากห้อง หน้าดำหน้าแดง ถือไม้ปัดฝุ่น วิ่งไล่สวี่หลิงอินไปทั่วลาน แต่ถึงอย่างไร ก็ไล่ตามนางไม่ทัน…
อาสะใภ้กรีดร้องอย่างโมโห
สวี่ชีอันและคนอื่นๆ เข้าไปในบ้าน หลี่เมี่ยวเจินกดซูซูลงไปกับโต๊ะ กล่าวด้วยอารมณ์จริงจัง “พวกข้าสืบค้นจนเจอเบาะแสที่ท่านพ่อเจ้าถูกลงโทษตัดศีรษะแล้ว”
ร่างกายของซูซูสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด มุมปากที่นำมาสู่รอยยิ้มค่อยๆ เรียบเฉย ดวงตาที่มีชีวิตชีวาหม่นหมองลง จากนั้นก็ฉายแววด้วยความโศกเศร้าและสับสน
ดวงตาของนางถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำหนึ่งชั้น มองไปทางสวี่ชีอันอย่างโง่เขลา “ท่านเป็นคนสืบเจอ?”
………………………………………………..