ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 392 เมล็ดบัวใกล้สุกงอม
บทที่ 392 เมล็ดบัวใกล้สุกงอม
‘หลี่เมี่ยวเจินกลับมาแล้วหรือ หรือเป็นเสียงเสี่ยวเอ้อร์โรงเตี๊ยมมาเคาะประตู’
พระมเหสีปาดน้ำตาด้วยความร้อนรน กระแอมไอ และพยายามรักษาระดับเสียงให้เรียบที่สุด “นั่นใคร”
เสียงที่นุ่มทุ้มคุ้นเคยดังมาจากนอกประตู เสียงนั้นกดต่ำ “ข้าเอง เปิดประตู”
พระมเหสีลุกยืนขึ้นทันที ใบหน้าธรรมดาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนความตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดวงตาคู่งามเป็นประกาย แต่แล้วนางก็นั่งลงและหันหลังกลับ
“เจ้าเป็นใคร ข้าไม่รู้จัก เหตุใดข้าต้องเปิดประตูให้เจ้าด้วย”
“ข้าคือคนนอกรีตข้างทะเลสาบต้าหมิงของเจ้าไง” สวี่ชีอันเคาะประตู
เจ้าหญิงถ่มน้ำลาย คิ้วตั้งชัน พร้อมกับตวาดออกไป “ข้าไม่รู้จักเจ้า ดังนั้นอย่ารบกวนข้าอีก มิฉะนั้นจะเรียกเฒ่าแก่มาไล่เจ้าไปเสีย”
นางพลันนึกถึงละครที่เพิ่งรับชมไปเมื่อเช้านี้ บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นก็ไม่ได้พิชิตใจคุณหนูผู้สูงส่งได้ตั้งแต่แรกเริ่ม ระหว่างทางมีบททดสอบ บุตรสาวตระกูลเศรษฐีกล่าวว่า ‘หากเจ้าชอบข้าจริงๆ ก็จงรอคอยนอกลานบ้านเป็นเวลาสามยาม หากข้าเปิดหน้าต่างแล้วพบว่าเจ้ายังอยู่ ข้าจะเชื่อเจ้า’
บัณฑิตหนุ่มรอคอยถึงสามยามจริงๆ บุตรสาวตระกูลเศรษฐีจึงเชื่อว่าเขาจริงใจต่อนาง
พระมเหสีกล่าวลองเชิง “หากเจ้าจริงใจ ก็จงยืนรอหน้าประตูจนถึงสามยาม แล้วข้าจะเชื่อเจ้า”
พอพูดจบ นางก็เฝ้ารอปฏิกิริยาจากสวี่ชีอัน
แน่นอนว่าพระมเหสีไม่ยอมรับว่าตนกับเขามีความรู้สึกอันคลุมเครือต่อกัน เขาเป็นคนสัญญาว่าจะปรับปรุงตัว ถึงนางรู้สึกว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ประตูดิน แต่ก็เป็นวีรบุรุษที่แท้จริง
ดังนั้นนางจึงเชื่อใจเขา
นางและสวี่ชีอันนั้นต่างบริสุทธิ์ใจ แต่ทว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ใช่ตัวเอกในละครที่ถูกกำหนดให้คู่กัน
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางเฝ้าย้ำกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายเป็นเพียงพันธสัญญาของวีรบุรุษแห่งยุทธภพที่มีค่าดั่งทองพันชั่ง ไม่มีสัมพันธ์ชายหญิงเข้ามาข้องเกี่ยว
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ทำให้นางสามารถโน้มน้าวตัวเองให้ข้องแวะกับสวี่ชีอัน และยอมรับไมตรีจากเขาได้ อย่างไรเสียนางก็เป็นหญิงที่ผ่านการแต่งงานแล้ว สามีในนามเพิ่งตายจาก นางก็หนีไปกับผู้ชายนอกรีตไปเช่นนี้ ฟังแล้วรับไม่ได้
“ประสาท!”
คนที่อยู่ข้างนอกประตูสบถด่าโดยไม่ปรานี และกล่าวอย่างมีน้ำโห “ตกลงเจ้าจะเปิดหรือไม่เปิด”
พระมเหสีตอบกลับอย่างขุ่นเคือง “ไม่เปิด”
แต่แล้วเขากลับพูดว่า “ในเมื่อเจ้าชอบอยู่ที่โรงเตี๊ยมนัก ก็อยู่ให้สบายใจก็แล้วกัน ข้าจะแวะมาช่วยจ่ายค่าห้องให้เป็นช่วงๆ ก็แล้วกัน ไม่รบกวนแล้ว ลาล่ะ”
พระมเหสีขยับหัวไหล่ คิดจะหันกลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่ก็กลั้นใจเอาไว้
นางนิ่งเงียบไปสักครู่ เมื่อพบว่าอีกฝั่งของประตูไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องหันกลับไปมอง และพบว่านอกประตูนั้นว่างเปล่า
หัวใจของพระมเหสีหล่นวูบ ทันใดนั้นความกลัวที่ไม่สามารถบรรยายได้ก็ล้นทะลัก นางลุกขึ้นและก้าวไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว มองไปซ้ายทีขวาที เห็นแต่โถงทางเดินว่างเปล่า
พระมเหสีรีบวิ่งไปตามทางเดินทอดยาว นางยกชายกระโปรงขึ้นและลงบันไดไปชั้นล่าง แล้วออกจากโรงเตี๊ยมตามไป
จากนั้น นางก็เห็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนโยน รอยยิ้มแสนดาษดื่น รออยู่ข้างถนนนอกโรงเตี๊ยม
เขามองดูตัวนางที่ไล่ตามมาด้วยรอยยิ้ม และกล่าวขึ้น “ไปกันเถอะ!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เพียงได้เห็นหน้าเขา พระมเหสีก็ปล่อยวางความคับข้อง น้อยใจ และความโกรธเคืองลงจนสิ้น และเลือกที่จะไปกับเขา
…
สวี่ชีอันซื้อบ้านหลังหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากจวนสกุลสวี่นัก เป็นเรือนสี่ประสานขนาดย่อมๆ หันหน้าไปทางทิศใต้ มีห้องฝั่งปีกตึกทางตะวันออกและตะวันตกฝั่งละสองห้อง
“บ้านหลังนี้เป็นทรัพย์สินที่ข้าซื้อมาภายใต้ชื่อปลอม ไม่มีใครหาเจอแน่นอน อีกทั้งสภาพข้าในตอนนี้ไม่มีใครจำได้ เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้เลย”
สวี่ชีอันหยิบกุญแจบ้านออกมาไขประตูให้ แล้วกล่าวว่า “จากนี้ไปเจ้าต้องอยู่ที่นี่ตามลำพัง ตัวตนของเจ้าเปราะบาง จึงไม่อาจหาหญิงรับใช้ให้ได้”
“ดังนั้นหลายสิ่งหลายอย่างเจ้าก็ต้องหัดเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่นซักผ้า ทำอาหาร กวาดลานบ้าน แน่นอนว่าข้าจะให้เงินติดตัวเจ้าไว้เล็กน้อย ถ้าเจ้ารู้สึกว่าลำบากเกินไป ก็จ้างคนมาทำแทนก็ได้ แต่อะไรที่พอจะทำได้ พยายามทำเองจะดีกว่า”
“การรักษาความปลอดภัยในเขตเมืองชั้นในนั้นเยี่ยมยอด ตอนกลางวันไม่ต้องพูดถึง ส่วนตอนกลางคืนมีทหารยามทั้งจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและกองดาบ เจ้าอยู่อย่างสบายใจได้”
พระมเหสีรับกุญแจที่เขาส่งให้ ถือเอาไว้ในฝ่ามือน้อยๆ ไม่ได้ตอบกลับอะไร
สวี่ชีอันมองนาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า “หรือไม่ จะให้ข้ามาอยู่เป็นด้วยทุกๆ สองวันดีหรือไม่”
พระมเหสีตกตะลึง ยกมือขึ้นปิดหน้าอกของตน แล้วก้าวถอยไปหลายก้าว
ข้าไม่ได้บอกว่าจะหลับนอนกับเจ้าเสียหน่อย…สวี่ชีอันมุมปากกระตุก แล้วกล่าวอธิบาย “ข้าไปพักที่ห้องปีกตะวันออก หรือปีกตะวันตกก็ได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น พระมเหสีก็นิ่งเงียบไป
นางไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ บ้านหลังนี้เจ้าเป็นคนซื้อมา ถ้าเจ้ายืนกรานว่าจะอยู่กับข้า ผู้หญิงบอบบางอย่างข้าจะไปทำอะไรได้
พระมเหสีเข้าไปในตัวบ้าน และเดินสำรวจโดยรอบ พบว่าถ้วยชามรามไห เครื่องนอน เครื่องใช้ในบ้านล้วนเป็นของใหม่ทั้งสิ้น
แม้แต่ในตู้เสื้อผ้า ก็มีเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่เพียงไม่กี่ชิ้น
“เสื้อผ้าพวกนี้เป็นของใครหรือ” นางอารมณ์ดี น้ำเสียงก็ยิ่งอ่อนหวานขึ้นตามไปด้วย
“มันเป็นของอาสะใภ้ของข้า ข้าคิดว่าพวกเจ้าสองคนรูปร่างใกล้เคียงกัน น่าจะใส่ได้” เสียงของสวี่ชีอันดังมาจากข้างนอก
“เจ้าให้ข้าใส่เสื้อผ้าเก่าของคนอื่นหรือ” พระมเหสีไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
สวี่ชีอันเดินเข้ามาพิงหน้าประตู พับแขนเสื้อไปด้วย พลางพูดจาติดตลก “ในชั้นใต้เตียงมีผ้าไหมชั้นดีอยู่ เจ้าเอามาตัดเสื้อใส่เองก็ได้”
พระมเหสีพูดไม่ออก ได้แต่เลิกคิ้ว “ข้าทำไม่เป็น…”
เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก นกคีรีบูนต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองให้ได้ หากต้องการจะโบยบินสู่ท้องฟ้าอันสดใสอีกครั้ง สวี่ชีอันผู้ใจจืดใจดำ ไม่ได้สนใจความรู้สึกสูญเสียเล็กๆ ของนาง กวักมือเรียก
“ไปตักน้ำขึ้นมาจากบ่อซิ ข้าจะดูว่าเจ้ามีเรี่ยวแรงสักแค่ไหน”
พระมเหสีเดินตามหลังเข้าไปอย่างสนอกสนใจ เมื่อมาถึงบ่อน้ำ ก็ลองตักน้ำขึ้นมา แต่ก็ต้องส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “หนักเกินไป ยกไม่ขึ้นเลย”
สวี่ชีอันนำเอาถังขนาดเล็กมาแทนที่ ถังน้ำปริมาณเทียบเท่ากับอ่างล้างหน้าครึ่งอ่าง น้ำหนักแค่นี้ แม้แต่สวี่หลิงอินก็ยังยกไหว
พระมเหสียกขึ้นมาได้ ตามที่คาดหวัง
“อุ๊ย ถังตกลงไปในบ่อน้ำเสียแล้ว” พระมเหสีปล่อยมือ ทั้งถังน้ำและเชือกตกลงไปในบ่อน้ำ นางมองสวี่ชีอันอย่างไร้เดียงสา
“เหตุใดเจ้าต้องใช้สายตาของผู้รับเคราะห์มองข้าด้วย”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะตกลงไปในบ่อน้ำ”
“นี่เจ้าไม่ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองเลย หรือกำลังพยายามทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ใช้สายตาไร้เดียงสามาออดอ้อนแลกกับการให้อภัยและความใจกว้างจากข้า”
“ข้า ข้าไม่ได้ออดอ้อนนะ” พระมเหสีไม่ยอมรับ และกระทืบเท้าปึงปัง “แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า”
“เวลาเช่นนี้ เจ้าต้องมีผู้ชายอยู่ด้วยสักคน” สวี่ชีอันแบมือออก พลังปราณก็หมุนวน ดึงเอาถังไม้ขึ้นมา
‘ต้องมีผู้ชายสักคน’ พระมเหสีตอบโต้อย่างขุ่นเคือง “ตอนนี้ข้าเป็นม่าย ไม่มีบุรุษเคียงข้าง”
หัวข้อนี้ไม่เหมาะจะให้ถกเถียงลึกลงไปกว่านี้ อย่างน้อยก็ไม่เหมาะสมสำหรับพวกเขา ดังนั้นสวี่ชีอันจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “หนังสือในห้องหนังสือ เจ้าอ่านฆ่าเวลายามว่างได้นะ”
ก่อนที่พระมเหสีจะปฏิเสธ สวี่ชีอันก็ชิงพูดขึ้นก่อน “วางใจได้ ทั้งหมดเป็นหนังสืออ่านเล่น”
พระมเหสีพยักหน้าเล็กน้อย “ค่อยน่าสนใจหน่อย”
อ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์ไปช่วงหนึ่ง นางก็ลากอ่างไม้ขนาดใหญ่ออกมาจากห้อง ตักน้ำจากบ่อด้วยเรี่ยวแรงของตัวเอง จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าของอาสะใภ้สวี่หนิงเยี่ยนออกมา โยนใส่อ่างไม้ขนาดใหญ่
นางซักผ้าด้วยท่าทางเงอะงะ
สวี่ชีอันนั่งบนขอบบ่อน้ำ เคี้ยวต้นหญ้าไว้ในปาก และมองอดีตพระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือ ซึ่งเป็นสาวงามอันดับหนึ่ง นั่งบนม้านั่งเล็กๆ และซักเสื้อผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
แขนเสื้อของนางถกขึ้นเผยให้เห็นเรียวแขนขาวนวลบอบบางราวดอกบัวทั้งสองข้าง กำไลลูกประคำปกปิดรูปลักษณ์อันน่าทึ่งของนาง แต่บุคลิกท่าทางที่นางเผยออกมาโดยไม่ตั้งใจนั้น ดึงดูดผู้คนให้หลงใหลได้เสมอ
ความงามของนางไม่ได้จำกัดเพียงรูปลักษณ์ภายนอก
“เจ้าจะไปจากเมืองหลวงเมื่อไร” มู่หนานจือถามอย่างไม่ใส่ใจ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังจะไปจากเมืองหลวง” สวี่ชีอันถามกลับ
“แม้ว่าข้ากับเขาจะเข้ากันไม่ค่อยได้ แต่ก็พอรู้จักนิสัยใจคอของเขาอยู่บ้าง หยิ่งผยอง ไม่มีทางให้อภัยเจ้าเป็นแน่ ตอนนี้ยังไม่มีการแก้แค้นเกิดขึ้น แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเวลานั้นยังมาไม่ถึง หากเจ้าคิดว่าเขาจะหยุดแต่เพียงเท่านี้ เจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถ”
มู่หนานจือปาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก และพูดพึมพำ “ซ้ำยังตัณหากลับ ตอนที่ข้าเข้าวังครั้งแรก เพียงเห็นหน้าข้า เขาก็ตกตะลึงทันที ตอนนั้นข้าถึงได้รู้ว่าแม้แต่จักรพรรดิก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป”
ก็เพราะว่าเจ้างดงามเกินไปอย่างไรเล่าพระมเหสี อย่าว่าแต่จักรพรรดิเลย แม้แต่พระพิรุณก็ยังอยากครอบครองความงามของเจ้า…สวี่ชีอันถ่มน้ำลายออกมา
“ถ้าเจ้าไปจากเมืองหลวง เจ้าจะพาข้าไปด้วยหรือไม่” นางถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่” สวี่ชีอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์
มู่หนานจือร้อง “อ้อ” แล้วก้มหน้าก้มตาซักผ้าต่อไป สวี่ชีอันเงยหน้ามองท้องฟ้าสีคราม แต่หลังจากนั้น เขาก็ถูกน้ำสกปรกฟองฟอดสาดเข้าที่ใบหน้า
คนก่อเรื่องหัวเราะคิกคัก
สวี่ชีอันจ้องมองนางอย่างโมโห แต่เจ้าตัวหาได้กลัวเกรง กลับเท้าสะเอวเชิดคางท้าทาย
เวลาล่วงเลยจนถึงพลบค่ำโดยไม่รู้ตัว สวี่ชีอันและพระมเหสีช่วยกันทำอาหารเย็นเต็มโต๊ะ แต่รสชาติแทบจะกลืนไม่ลง
หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว เขาก็พูดเป็นเชิง “ห้ามออกจากเคหสถานแล้ว ข้า เอ่อ คืนนี้ข้ายังไม่ไปดีหรือไม่”
พระมเหสีไม่ตอบ เพียงแต่ตั้งหน้าตั้งตาล้านจานชามของตนไป
“นี่?” สวี่ชีอันตะโกน
“อยากอยู่เจ้าก็อยู่ไปสิ มาถามข้าเพื่ออะไร ข้ามันแค่ผู้หญิงอ่อนแอ ไล่เจ้าไปได้ด้วยหรือ” นางตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
เผยให้เห็นถึงความอับจนหนทาง
…
เจี้ยนโจว ณ คฤหาสน์ใกล้ภูเขาติดแม่น้ำ มีศาลาริมน้ำ และสะพานเล็กๆ ที่มีลำน้ำไหลผ่าน
ตัวอาคารสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง ตกแต่งด้วยภูเขาจำลอง สวนดอกไม้ ต้นไม้เขียวขจี ทัศนียภาพงดงาม
ลานภายในของคฤหาสน์มีสระน้ำเย็นฉ่ำ ในสระมีดอกบัวตูมเก้าสีชูช่ออยู่ ได้แก่ สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีคราม สีน้ำเงิน สีม่วง สีทอง และสีขาว…
ในความมืดมิดยามราตรี นักบวชเต๋าจินเหลียนเดินทอดน่องไปรอบสระ สวมชุดคลุมเต๋าที่ซักจนขาวสะอาด เส้นผมสีดอกเลายุ่งเหยิง ดวงตาของเขาสุกใสอบอุ่น จ้องมองดอกบัวในสระน้ำอย่างเงียบๆ
คฤหาสน์หลังนี้เป็นสมบัติของพ่อค้าผู้มั่งคั่งในเจี้ยนโจว เมื่อหลายปีก่อน เศรษฐีผู้นี้ประสบเคราะห์ ถูกโจรตามล่า และบังเอิญได้รับความช่วยเหลือจากนักบวชเต๋านิกายปฐพี
เพื่อแสดงความซาบซึ้ง เขาจึงเสนอยกคฤหาสน์หลังนี้ให้กับนักบวชเต๋า
ต่อมาคฤหาสน์แห่งนี้กลายเป็นฐานลับของนิกายปฐพี และศูนย์ใหญ่ของพรรคฟ้าดิน
ในคฤหาสน์ยังมีนักบวชเต๋าทั้งหมดสามสิบหกคน นอกจากจินเหลียนแล้ว ยังมีนักบวชเต๋าไป๋เหลียน ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสี่
ส่วนศิษย์น้องที่เหลือล้วนมีความสามารถต่างกัน
นักบวชเต๋าจินเหลียนนำศิษย์น้องเหล่านี้หนีมาจนถึงที่นี่ พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างน่าอเนจอนาถ สลัดทิ้งเสื้อคลุมเต๋า หันมาจับจอบ เบื้องหน้าของพวกเขาดูเหมือนคนรับใช้ในคฤหาสน์ แต่แท้จริงแล้วคือนักพรตเต๋าผู้อดทนต่อสู้กับความอัปยศอดสู
นักบวชเต๋าจินเหลียนไตร่ตรองมาอย่างดี ในการเลือกที่นี่เป็นฐานที่มั่น เจี้ยนโจวเป็นดินแดนศักดิ์แห่งวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นเมืองเดียวที่มี ‘ผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์’
ยังมีกลุ่มอื่นๆ กระจัดกระจายไปทั่วสิบสองเมือง กลุ่มเหล่านั้นเป็นดั่งกองทราย แต่กลุ่มจอมยุทธ์ในเจี้ยนโจวนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
กลุ่มที่ปกครองยุทธภพเจี้ยนโจวทั้งหมด คือกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
นี่เป็นกลุ่มที่หน่วยงานปกครองท้องถิ่นยังต้องเกรงใจ แม้แต่ราชสำนักก็ยังต้องยอมรับสถานะของมัน แน่นอนว่ากลุ่มพันธมิตรยุทธภพมิใช่กลุ่มชั่วร้ายที่ใช้กำลังละเมิดกฎหมายแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม การมีอยู่ของกลุ่มพันธมิตรยุทธภพได้ปรับปรุงลำดับขั้นของยุทธภพในเจี้ยนโจวอย่างมหาศาล บรรลุเป้าหมายอันแท้จริงแท้จริงของชาวยุทธภพได้
นักบวชเต๋าจินเหลียนเลือกที่นี่เป็นฐานที่มั่น เพราะสภาพสังคมที่นี่สมบูรณ์แบบ มีกลุ่มจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่ง สามารถยับยั้งการรุกรานของลัทธิเต๋ามารได้อย่างดีเยี่ยม
ตอนนี้เอง น้ำในสระก็เดือดพล่าน ฟองอากาศผุดขึ้นมา ไอเย็นระเหยราวกับควัน
ทันใดนั้นดอกบัวตูมทั้งเก้าสีก็มีชีวิตขึ้นมา แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ม่วง ทอง และขาว…สว่างขึ้นและดับลงตามลำดับ ราวกับกำลังหายใจ
หลังจากที่เปล่งแสงสว่างวูบวาบหลายสิบครั้ง ดอกบัวตูมก็สั่นไหว และเปล่งรัศมีสูงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง ส่องสว่างท้องฟ้ายามราตรี ห่างออกไปหลายสิบลี้ เพียงแหงนหน้าขึ้นก็ยังสามารถมองเห็นแสงเรืองรองอันงดงามนี้ได้
“ทุกครั้งที่เมล็ดบัวเก้าสีใกล้สุกงอม มันจะเปล่งแสงรัศมีออกมา ปิดซ่อนอย่างไรก็ไม่มิด”
ในเวลานี้ หญิงสาวผู้สง่างามแต่งกายดั่งสาวน้อยแรกแย้มเยื้องย่างมาหยุดข้างกายนักบวชเต๋าจินเหลียน เฝ้ามองลำแสงนั้นหายวับไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
“เฮยเหลียนต้องสังเกตเห็นเป็นแน่ ปิดบังไม่มิด ท่านเจ้าสำนัก ท่านหาผู้ช่วยที่เหมาะสมเจอหรือยัง” หญิงสาวพูดด้วยความกังวล
นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้มและเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าใครเป็นผู้ช่วยที่เหมาะสม”
หญิงสาวนามว่าไป๋เหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แน่นอนว่าต้องเป็นลั่วอวี้เหิง ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์”
จินเหลียนส่ายหน้า “นางหวาดกลัวต่อเพลิงกรรมของเฮยเหลียน ไม่อาจตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาได้ ดอกบัวเก้าสีไม่เพียงพอที่จะให้นางทุ่มเทถวายชีวิต อีกทั้งตอนนี้ข้ายังหาของรางวัลที่จูงใจนางไม่ได้”
‘เว้นแต่จะประเคนสวี่ชีอันขึ้นเตียงของนาง’ นักบวชเต๋าจินเหลียนแอบจิกกัดในใจ แต่ทว่าลั่วอวี้เหิงพิถีพิถันกับการเลือกคู่บำเพ็ญเต๋า จึงไม่อาจตัดสินใจได้ในขณะนี้ ได้แต่จับตาดูสวี่ชีอันไปพลางๆ
แม่นางไป๋เหลียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าผู้นำนิกายมีท่าทีสงบ และเหมือนจะมั่นใจอะไรบางอย่าง นางก็เลิกคิ้วเรียวสวยขึ้น
“ท่านจะส่งสมาชิกในพรรคฟ้าดินพรรคฟ้าดินออกไปงั้นหรือ แต่ไหนท่านเคยบอกว่าจนกว่าพวกเขาจะเติบโต จนกว่าพวกเขาพร้อมที่จะจัดการเฮยเหลียน ท่านจะไม่ปล่อยให้ตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผยอย่างไรเล่า”
“การเติบโตของพวกเขาไปไกลเกินกว่าจินตนาการของข้า” นักบวชเต๋าจินเหลียนอธิบาย
“พวกเขาเป็นใครกันแน่” ไป๋เหลียนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความสงสัยเล็กๆ
“ไว้พวกเขามาถึงเจี้ยนโจวแล้ว เจ้าก็จะรู้เอง” นักบวชเต๋าจินเหลียนเผยตอนหักมุมออกมา
…
บนภูเขาเทพเซียนที่ห่างไกลออกไป มีอารามเต๋าโบราณตั้งอยู่
ภายในห้องอันเงียบสงบ มีตะเกียงน้ำมันวางอยู่บนโต๊ะ เงาทมิฬนั่งขัดสมาธิบนฟูกรองล้อมรอบแสงเทียน ใบหน้าครึ่งซีกของพวกเขาถูกย้อมด้วยแสงสีส้ม ส่วนอีกครึ่งใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด
แสงเทียนก่อร่างเป็นเงาทาบทับฝาผนัง เมื่อเปลวเพลิงวูบไหวเงานั้นก็บิดเบี้ยวตาม ราวกับผีร้ายที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน
“เมล็ดบัวเก้าสีใกล้จะสุกงอมแล้ว…”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า และสะท้อนอยู่ในห้องอันเงียบสงบ
เงาดำใต้แสงเทียนกระซิบแผ่ว “สังหารจินเหลียนและคนอื่นๆ ชิงเมล็ดบัวเก้าสีกลับคืนมาให้ได้”
“นำตัวไป๋เหลียนกลับมา ผลัดกันสูบแก่นวิญญาณของนาง ฟื้นฟูร่างกายของเรา”
“ข้ากระหายอยากกลืนกินร่างกายของไป๋เหลียนมานานหลายปีแล้ว…”
“ไม่ได้ออกล่ามานานแล้ว รอสูบเลือดเนื้อของมนุษย์แทบไม่ไหวแล้ว…”
“เจี้ยนโจวมีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์น่ารำคาญอยู่ แต่แบบนี้สิค่อยน่าสนใจหน่อย หึๆๆ…”
เนื้อหาที่พวกเขาพูดคุยกันกระจัดกระจายออกไป น้ำเสียงชวนขนหัวลุก ราวกับงานชุมนุมของเหล่าปีศาจ
เสียงทุ้มต่ำดังก้องในความว่างเปล่าอีกครั้ง “อาจเป็นกับดัก ยอดฝีมือลึกลับที่ฉู่โจวเป็นพวกเดียวกับจินเหลียน กำลังรอให้ข้าตกหลุมพราง”
เสียงกระซิบกระซาบเงียบหายไปในทันใด เงาดำที่ห้อมล้อมแสงเทียนราวกับหวาดกลัวขึ้นมา จึงสะกดกลั้นความวิปริตของตนเอาไว้
เสียงทุ้มต่ำกล่าวต่อ “กระจายข่าวออกไปให้ทั่ว กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต้องสนใจเป็นแน่ ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนกว่าเมล็ดบัวเก้าสีจะสุกงอม จอมยุทธ์ยอดฝีมือจากดินแดนอื่นคงจะสนใจเช่นกัน”
พูดมาถึงตรงนี้ เสียงทุ้มต่ำนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดออกมา “รวมไปถึงจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งด้วย”
…
ห้องพักฝั่งปีกตะวันออก หลังจากดับเทียนแล้ว สวี่ชีอันก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง กำลังจะผล็อยหลับ
ทันใดนั้น อาการใจสั่นที่คุ้นเคยเกิดขึ้น มีคนส่งข้อความผ่านชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
เขาผุดตัวขึ้นนั่งทันที จุดเทียนอีกครั้งไปนั่งที่โต๊ะ หยิบเศษชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีออกมา และอ่านข้อความที่ส่งมา
หมายเลขเก้า ‘ทุกคน อีกครึ่งเดือนต่อจากนี้ เมล็ดบัวเก้าสีจะสุกงอมแล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง’
…………………………………………………..