ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 393 ปกป้องความลับของสวรรค์
บทที่ 393 ปกป้องความลับของสวรรค์
หมายเลขสี่ ‘ตอนนี้หรือ’
หมายเลขสี่ ฉู่หยวนเจิ่นตอบกลับเป็นคนแรก
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความ หมายเลขเก้า ‘ไม่ ไม่จำเป็นต้องตอนนี้ กว่าดอกบัวเก้าสีจะสุกงอม ยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งเดือน ช่วงที่มันเข้าสู่ความสุกงอมเป็นช่วงเวลาที่มันอ่อนแอที่สุดและไม่สามารถต้านทานการทำลายได้ เว้นแต่นิกายปฐพีจะอยากทำลายมัน มิเช่นนั้น คงไม่โจมตีในเวลาเช่นนี้ แต่อีกครึ่งเดือนให้หลัง จะต้องเผชิญกับสงครามเป็นแน่’
หมายเลขสอง หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความ ‘พวกเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีพบที่ซ่อนตัวของพวกเจ้าแล้วหรือ’
นักบวชเต๋าจินเหลียนตอบกลับว่า ‘ระหว่างเฮยเหลียนกับดอกบัวเก้าสีมีปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ปกติข้าจะปกปิดการเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองได้ แต่เม็ดบัวใกล้จะสุกงอมแล้วจึงไม่อาจปกปิดกลิ่นอายได้ เมื่อสักครู่ แสงเก้าสีพุ่งขึ้นไปบนฟ้า เฮยเหลียนต้องสังเกตเห็นเป็นแน่’
เฮยเหลียนหรือ ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีชื่อเฮยเหลียนหรือ เอ่อ นักพรตของนิกายปฐพีตั้งชื่อตามสีดอกบัวทุกคนเลยหรือ ไม่รู้ว่ามีไป๋เหลียนหรือไม่… สวี่ชีอันได้รู้สมญานามเต๋าของผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีเป็นครั้งแรก
สมญานามเฮยเหลียน พระพุทธเจ้าไร้กฎเกณฑ์ เป็นเจ้าหรือ
เขานั่งที่โต๊ะและพึมพำมุขที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ฟังเข้าใจออกมา จากนั้นก็หัวเราะอย่างหงอยเหงากับตัวเอง
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความว่า ‘นี่ก็หมายความว่าเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีจะเตรียมพร้อมมากยิ่งขึ้น จึงเป็นภัยต่อพวกเราอย่างมาก’
ในเวลานี้เอง หมายเลขห้าที่พูดน้อย ลี่น่าก็ส่งข้อความตอบกลับไปว่า ‘ไม่ต้องห่วง จะมากี่คน ข้าก็ทุบพวกเขาให้กลายเป็นเนื้อสับได้’
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็รู้สึกว่า จำเป็นต้องเตือนพวกเขาเสียหน่อย เขาจึงใช้นิ้วต่างปากกาเขียนข้อความลงไป
หมายเลขสาม ‘ข้าได้ยินจากพี่ใหญ่ว่า ตอนเขาอยู่ที่ฉู่โจว เขาเคยเห็นผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีเข้าร่วมการกลั่นยาโลหิต นั่นเป็นร่างแยก แต่พลังก็อยู่ในระดับสามรางๆ หากมีร่างแยกแบบนี้ตอนแย่งชิงดอกบัวเก้าสี ข้าคิดว่า พวกเราสามารถสละดอกบัวเก้าสีล่วงหน้าได้’
อา แสร้งเป็นเอ้อร์หลางมาคุย ช่างน่าอับอายจริงๆ ไม่ สิ่งที่ทำให้ข้าอับอายจริงๆ คือหลี่เมี่ยวเจินกับนักบวชเต๋าจินเหลียนรู้จักตัวตนของข้า… สวี่ชีอันแทบจะยกมือปิดหน้า เขารู้สึกว่าความตายตกทางสังคมของเขาเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
สมาชิกพรรคฟ้าดินตกตะลึง หากผู้นำเต๋าเฮยเหลียนสามารถส่งร่างแยกระดับสามมาได้จริงๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างแยกที่สามารถเข้าถึงพลังต่อสู้ระดับสามได้ ก็เพียงพอที่จะกวาดล้างทุกคนในพรรคฟ้าดินแล้ว
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความว่า ‘เฮยเหลียนได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากคดีสังหารหมู่ฉู่โจว ร่างแยกระดับสามนั่นต้องถูกสร้างขึ้นในเวลานั้นเป็นแน่ แม้ว่าร่างแยกจะถูกทำลายไปหลังจากนั้น แต่เขาจะต้องมีพลังงานเหลือพอแน่นอน บางทีเขาอาจจะสร้างร่างแยกที่เทียบเท่าอาณาจักรขึ้นมาอีก แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว ขอเพียงเฮยเหลียนไม่ลงมือเอง ข้าก็สามารถจัดการกับเขาได้ ฮ่าๆ เขาไม่อาจมาด้วยตัวเองได้ เรื่องนี้ข้ารับประกันได้ สิ่งที่พวกเจ้าต้องจัดการคือนักพรตเหลียนฮวาคนอื่นของนิกายปฐพี’
เจ้าเอาอะไรมารับประกันว่าเฮยเหลียนจะไม่มาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน นอกจากนี้ นักบวชเต๋าจินเหลียน เจ้าแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆ หรือ ร่างแยกของเฮยเหลียนอยู่ระดับสามเลยนะ… สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
อืม วันนั้นนักบวชเต๋าจินเหลียนแอบกลับไปขโมยดอกบัวเก้าสีที่นิกายปฐพี หลังจากถูกผู้นำเต๋าเฮยเหลียนทำร้ายจนบาดเจ็บ เขาก็หนีมาตลอดทางจนถึงเมืองหลวง หากเป็นเช่นนั้น นักบวชเต๋าจินเหลียนแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้หรือ
ถึงขั้นเหนือกว่าระดับสี่เลยหรือ
เมื่อเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนรับประกันอย่างจริงใจ สมาชิกพรรคฟ้าดินก็ถอนหายใจโล่งอก
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความว่า ‘คดีสังหารหมู่ฉู่โจวบอกกับพวกเราว่า ไหวอ๋องสมรู้ร่วมคิดกับเฮยเหลียน ด้วยเหตุนี้จึงอนุมานว่า จักรพรรดิหยวนจิ่งก็สมรู้ร่วมคิดกับนิกายปฐพีด้วยได้หรือไม่ เรื่องนี้ พวกเราจำเป็นต้องป้องกันไว้’
‘ใช่ เหตุใดข้าจึงคิดไม่ถึง หากจักรพรรดิหยวนจิ่งแทรกแซงเรื่องนี้ ตัวแปรก็มากขึ้นแล้ว…’ หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง
ฉู่หยวนเจิ่นสมกับที่เป็นมันสมองอีกคนหนึ่งของกลุ่มนี้ เขาพูดความกังวลของข้าออกไปแล้ว… สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย
‘แค่ทุบให้แบนเข้าด้วยกันก็พอ…’ ลี่น่าคิดอย่างไม่ใส่ใจ
หมายเลขหกกับหมายเลขหนึ่งซุ่มอ่านตลอด แต่ไม่ส่งข้อความ
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความตอบกลับว่า ‘เรื่องนี้ง่ายดายนัก หมายเลขสาม เจ้าไปแจ้งญาติผู้พี่ของเจ้าและขอให้เขายื่นมือเข้ามาช่วย ประการแรกคือสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ของพวกเราได้ ประการที่สองคือเว่ยเยวียนจะไม่นั่งดูอยู่เฉยๆ’
‘ความคิดดี!’
ดวงตาของฉู่หยวนเจิ่นเป็นประกาย
แม้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนจะเป็นทหารขั้นหก แต่ก็ประสบความสำเร็จเล็กน้อยด้านพลังเทพวชิระ ทั้งยังมีม้วนตำราวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊ออีก พลังต่อสู้ที่เขาแสดงออกมาได้จึงเหนือกว่าระดับสี่ทั่วไปลิบลับ
จุดที่สำคัญที่สุดคือ สวี่หนิงเยี่ยนเป็นทหาร กลยุทธ์การโจมตีและสังหารของทหารเป็นกลยุทธ์ที่เหนือชั้นที่สุดในบรรดาระบบทั้งหมด
ความอดทนก็เป็นที่หนึ่ง
ยกเว้นกลยุทธ์เดียว การไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้และขาดทักษะโจมตีหมู่ ทุกด้านก็ไร้ข้อบกพร่อง
เอ่อ ตอนแรกนักบวชเต๋าจินเหลียนเลือกข้าเป็นผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหมายเลขสาม ต่อมาก็ใช้ข้าเป็นสะพานเพื่อบรรลุความเข้าใจโดยปริยายกับเว่ยกง เขามีความคิดที่จะใช้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในช่วงเวลาสำคัญหรือ
จู่ๆ สวี่ชีอันก็นึกถึงรายละเอียดนี้และคิดว่าเป็นไปได้อย่างมาก
ดังนั้นจึงสอดคล้องกับภาพลักษณ์เฒ่าเหรียญปากผีของนักบวชเต๋าจินเหลียน
‘นักบวชเต๋าจินเหลียน เจ้าพูดเช่นนี้ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ…’ หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้พูดออกมา นางนั่งที่โต๊ะด้วยสายตาที่ซับซ้อน
นางรู้ตัวตนที่แท้จริงของหมายเลขสาม ตอนนี้เมื่อเห็นสวี่ชีอันกับนักบวชเต๋าจินเหลียนร่วมแรงร่วมใจกัน เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ก็รู้สึกละอายใจมาก
หมายเลขสาม ‘ได้ท่านนักบวช ข้าจะไปแจ้งญาติผู้พี่ของข้า แต่หากเว่ยเยวียนตกลงช่วย เกรงว่าท่านจะต้องแบ่งปันเม็ดบัวของท่านอีกเล็กน้อย’
หมายเลขเก้า ‘ไม่มีปัญหา ดอกบัวเก้าสีหกสิบปีสุกงอมหนึ่งครั้ง หนึ่งครั้งสามารถผลิตเม็ดบัวได้สิบสี่เม็ด อาตมาสามารถแบ่งได้อีกสองเม็ด เรื่องนี้ หวังว่าเจ้าจะบอกญาติผู้พี่ของเจ้าและให้เขาบอกกับเว่ยเยวียน’
หมายเลขสาม ‘ได้ ข้าไร้พลัง จึงไม่ค่อยประสมโรง แต่ญาติผู้พี่ของข้ากล้าหาญไร้ใดเปรียบ เขาต้องช่วยท่านนักบวชปกป้องเม็ดบัวได้อย่างแน่นอน’
หมายเลขเก้า ‘ฮ่าๆ คู่ดีเด่น’
‘สองคนนี้…’ หลี่เมี่ยวเจินปิดหน้าอย่างเงียบๆ
…
หลังจากจบการสนทนากลุ่ม สวี่ชีอันก็ได้รับข้อความของนักบวชเต๋าจินเหลียนอย่างที่คิด “การฝึกตนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สวี่ชีอันส่งข้อความตอบกลับไปว่า “ข้าเพิ่งพลาดการต่อสู้อย่างเต็มที่ไป ไม่แน่ว่าข้าอาจจะบุกทะลวงไปได้และเลื่อนขึ้นสู่ขั้นห้า”
นักบวชเต๋าจินเหลียน “ดีมาก ทหารระดับห้าเป็นผู้มีความชำนาญอย่างแท้จริงและไม่เกรงกลัวการโจมตีหมู่”
สวี่ชีอัน “ท่านนักบวช อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เฮยเหลียนสมรู้ร่วมคิดกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง หากปล่อยให้เขารู้ว่าข้าเป็นผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จักรพรรดิหยวนจิ่งก็จะรู้เช่นกัน หลังจากนี้หากทั้งสองคนร่วมมือกัน ข้าจะลำบาก ข้าจะลบล้างความสัมพันธ์เจ้าของกับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีชั่วคราวได้อย่างไร”
หากเฮยเหลียนไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ค่าความเกลียดชังก็จะไม่สูงเกินไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ที่เมืองฉู่โจวในวันนั้น เฮยเหลียนรู้ว่าผู้แข็งแกร่งลึกลับคนนั้นคือผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ดังนั้นหากสวี่ชีอันจะเข้าร่วมศึกคุ้มกันเม็ดบัวก็มีเพียงสองทางให้เลือกเดิน
หนึ่งคือปกปิดทุกอย่างที่เกี่ยวกับ ‘สวี่ชีอัน’
วิธีนี้มีข้อเสียอย่างมาก เขาจะไม่สามารถใช้ดาบยาวสีดำทองได้ ไม่สามารถใช้ดาบเดียวตัดฟ้าดินได้ และไม่สามารถใช้พลังเทพวชิระได้ ส่วนเสินซูก็เข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว
แสดงทักษะของตัวเองไม่ได้แล้วจะปกป้องเม็ดบัวได้อย่างไร
สองคือลบล้างความสัมพันธ์เจ้าของกับชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
ด้วยวิธีนี้ สาเหตุที่สวี่ชีอันปรากฏตัวที่เจี้ยนโจวก็เป็นเพราะได้รับคำเชิญจากหลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่น ไม่ใช่ตัวตนของผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของเขา
คนฉลาดอาจจะเชื่อมโยงว่า วันนั้นฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินช่วยเขาสกัดกั้นทหารรักษาวัง ทั้งสองฝ่ายจึงบรรลุข้อตกลงเป็นการส่วนตัวเพื่อแลกกับการให้สวี่ชีอันช่วยปกป้องเม็ดบัวในวันหน้าใช่หรือไม่
ในทางตรงกันข้าม วิธีที่สองดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
นักบวชเต๋าจินเหลียนนิ่งเงียบอยู่นานและส่งข้อความว่า “เมื่อเจ้ามาที่เจี้ยนโจว ข้าจะลบล้างความสัมพันธ์เจ้าของให้เจ้า วิชาลับของหนังสือปฐพีไม่อาจเผยแพร่ออกไปได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ แน่นอนว่า หากเจ้ายินดีคำนับข้าเป็นอาจารย์ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา”
ฮ่าๆ ท่านทักทายอาจารย์สี่คนแห่งสำนักอวิ๋นลู่ของข้าก่อน แล้วดูว่าพวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก
เหตุใดทุกคนถึงอยากเป็นอาจารย์ของข้า แต่ลูกพี่ที่มีความเป็นศิษย์อาจารย์อย่างแท้จริงกับข้ากลับไม่เคยมีความคิดทำนองเดียวกันเลย ถึงขั้นไม่อยากรับข้าเป็นลูกบุญธรรม…
วันรุ่งขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า สวี่ชีอันเพิ่งจะลุกจากเตียง เขาถือถังไม้มาที่ลาน เห็นพระมเหสีนั่งหรี่ตาพลางอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง
เขาเหลือบมองหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งที่หน้าตาธรรมดาและไม่ได้พูดอะไร เขาตักน้ำขึ้นมาถังหนึ่งด้วยตัวเองและเตรียมจะล้างหน้าแปรงฟัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ พระมเหสีก็วิ่งเข้าไปในบ้านทันที นางถือถังไม้ของนางออกมา นั่งยองๆ ข้างๆ เขาและเทน้ำที่เหลืออีกครึ่งถังลงในถังไม้ของตัวเอง
จากนั้นก็แช่ผ้าเช็ดหน้าสีขาวจนเปียกและเช็ดแก้มอย่างเอาใจใส่
สวี่ชีอันหันหน้าไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ และเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้ารอข้าตักน้ำอยู่หรือ”
ขณะที่เช็ดหน้า พระมเหสีก็เหลือบมองเขาและทำเสียงฮึดฮัด “ไม่ได้หรือ”
สวี่ชีอันวางไม้ขัดฟันลงและประสานมือคารวะนาง
…
หลังออกจากลานเล็กของพระมเหสี สวี่ชีอันก็กลับมาที่จวนสกุลสวี่ เขาจูงแม่ม้าน้อยสุดที่รักมา และขี่มันไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
เมื่อมาถึงประตูที่ทำการปกครอง เขาก็โยนบังเหียนให้ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูและเดินตรงเข้าไปข้างใน
ทหารรักษาพระองค์รับบังเหียนตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าสวี่ชีอันไม่ใช่ฆ้องเงินแล้ว จึงมองแผ่นหลังของเขาและอ้าปาก แต่สุดท้ายก็เงียบไป
ตลอดทาง ฆ้องเงินกับฆ้องทองแดงที่คุ้นเคยกันมากมายพยักหน้าให้เขา แต่ไม่มีใครก้าวออกมาทักทาย
นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาเย่อหยิ่ง แต่หากแสดงความกระตือรือร้นมากเกินไป เป็นไปได้มากว่าจะถูกคนแอบนำไปรายงานฝ่าบาท หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นหน่วยที่ทำเรื่องแบบนี้
มีเพียงเว่ยเยวียนเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องมองหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่ง แม้ว่าสวี่ชีอันจะไม่ใช่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอีกต่อไป แต่ความสัมพันธ์ยังคงอยู่
ดังนั้นเขาจึงได้พบกับเว่ยเยวียนอย่างรวดเร็ว บนชั้นเจ็ด ในห้องน้ำชาที่คุ้นเคย
“เว่ยกง นักบวชเต๋าจินเหลียนแห่งนิกายปฐพีวานให้ข้านำความมาบอก ดอกบัวเก้าสีกำลังจะสุกงอม หวังว่าท่านจะยื่นมือมาช่วยและเขาจะมอบเม็ดบัวสองเม็ดให้เป็นค่าตอบแทน”
สวี่ชีอันประสานหมัดคารวะด้วยความเคารพเฉกเช่นเมื่อก่อน
เขาไม่ได้อธิบายว่าดอกบัวเก้าสีคืออะไร เพราะด้วยความรู้ของเว่ยเยวียน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้จักดอกบัวเก้าสี
เว่ยเยวียนเป็นหนึ่งในคนที่รอบรู้มากที่สุดที่สวี่ชีอันเคยเจอ แม้แต่นักปราชญ์หญิงฮว๋ายชิ่งก็ยังห่างไกลจากเขา
“หนึ่งเม็ดก็เพียงพอแล้ว ข้าจะให้เชี่ยนโหรวไปช่วย แต่ก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นและจะไม่มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ” เว่ยเยวียนพูดอย่างนุ่มนวล
เขาลุกขึ้นทันที มองไกลออกไปและเอ่ยเสียงขรึม “ที่ไหน”
“เจี้ยนโจว…”
“เจี้ยนโจว…” เว่ยเยวียนพึมพำ “ข้าจะไปเอาข้อมูลของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาให้เจ้า เมื่อดอกบัวเก้าสีสุกงอม ในฐานะเจ้าถิ่น กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวอาจจะไม่สนใจหรืออาจจะมาแย่งชิงไป”
สวี่ชีอันพยักหน้าและถามว่า “เว่ยกง ท่านเคยได้ยินชื่อซูหังหรือไม่”
“ซูหัง…”
เว่ยเยวียนขมวดคิ้วและพึมพำหลายรอบ “เหมือนจะรู้จัก แต่ก็จำไม่ได้มาพักใหญ่แล้ว เจ้าขอให้คนผู้นี้ทำอะไรหรือ”
“เขาเป็นบัณฑิตขั้นสูงที่มีคุณธรรมมายี่สิบเก้าปี ในปีหยวนจิ่งที่สิบสี่ เขาถูกลดตำแหน่งเป็นข้าหลวงเจียงโจวและปีต่อมาก็ถูกประหารชีวิตเพราะทุจริตกับรับสินบน เขาเป็นพ่อของเพื่อนข้าคนหนึ่ง ข้าสัญญากับนางว่า จะช่วยนางสืบหาความจริงที่พ่อของนางถูกประหาร” สวี่ชีอันกล่าว
“มีปัญหาอันใด” เว่ยเยวียนถามกลับ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ถูกประหารชีวิตเพราะทุจริตกับรับสินบนคนหนึ่ง ไม่มีอะไรแปลก การตรวจสอบข้าราชสำนักมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำนองเดียวกันสิ้นอำนาจลงทุกครั้ง
“ข้ารู้มาจากช่องทางลับว่า คนคนนี้ถูกพรรคหวาง เฉากั๋วกง ขุนนางกับเชื้อพระวงศ์ร่วมมือกันต่อสู้” สวี่ชีอันกล่าว
เว่ยเยวียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและส่ายหน้า “ข้อมูลของเจ้าผิดแล้ว ข้าไม่เห็นจำได้เลยว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนมีคนแบบนี้ด้วย”
เว่ย เว่ยกงไม่รู้… รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัวลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
ราวกับว่าเขาจับอะไรบางอย่างได้ แรงบันดาลใจหายไปในชั่วพริบตา สุดท้ายเขาก็เลือกนิ่งเงียบก่อน รอรวบรวมเบาะแสได้มากขึ้นและมีข้อสันนิษฐานมากขึ้น เขาค่อยมาปรึกษาหารือกับเว่ยเยวียน
“เว่ยกง ข้าอยากไปตรวจสอบข้อมูลของคนคนนี้ที่คลังเอกสาร”
“ได้ ข้าจะเขียนหนังสือลายมือให้เจ้า”
…
ไม่นานคำสัญญาสามวันก็มาถึง ในห้องส่วนตัวของภัตตาคาร สวี่ชีอันรอประมาณหนึ่งเค่อ หัวหน้ามือปราบเฉินกับเลขาธิการศาลต้าหลี่ก็เข้ามาตามๆ กัน ทั้งสองคนสวมชุดลำลอง ซึ่งเป็นการปลอมตัวอย่างง่ายๆ
เลขาธิการศาลต้าหลี่หยิบสำนวนคดีสองฉบับออกมาจากในอกและส่งให้สวี่ชีอัน “ฉบับหนึ่งเป็นของปีหยวนจิ่งที่สิบสี่ อีกฉบับหนึ่งเป็นของปีหยวนจิ่งที่สิบห้า”
สวี่ชีอันเปิดสำนวนคดีฉบับนี้และอ่านอย่างจริงจัง
สำนวนคดีในปีหยวนจิ่งที่สิบสี่ ปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ ซูหังรับสินบนและปิดบังเรื่องลูกน้องยักยอกอาหารสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ส่งผลให้มีเหยื่ออดตายเป็นจำนวนมาก เขาจึงถูกลดระดับไปที่เจียงโจว
สำนวนคดีในปีหยวนจิ่งที่สิบห้า ปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ ซูหังรับสินบนเช่นเดิม เขาจึงถูกนำตัวเข้าไปยังเมืองหลวงเพื่อยื่นฎีกา หลังจากราชสำนักสืบสวนความจริง เขาก็ถูกประหารชีวิต!
ซูหังเป็นปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ…ในจดหมายลับของเฉากั๋วกงฉบับนั้นเขียนว่า ‘พรรคซู’ ไม่ใช่หรือ สวี่ชีอันคืนสำนวนคดีให้เลขาธิการศาลต้าหลี่และหันไปอ่านสำนวนคดีที่หัวหน้ามือปราบเฉินส่งมาให้ ทั้งสองสำนวนคดีไม่มีความแตกต่างกัน
“ใต้เท้าเลขาธิการศาล ท่านเป็นขุนนางในราชสำนักมานานเพียงใดแล้ว” สวี่ชีอันยกแก้วเหล้าเชื้อเชิญ
“ยี่สิบห้าปี” เลขาธิการศาลต้าหลี่ยกแก้วเหล้าขึ้นและดื่มอย่างลื่นไหล
“เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงไม่รู้จักปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ ซูหัง” สวี่ชีอันถาม
ใบหน้าของเลขาธิการศาลต้าหลี่แข็งทื่อทันที เขาถือแก้วเหล้าด้วยความมึนงง ‘ใช่ เหตุใดข้าถึงจำปราชญ์มหาสำนักในสำนักราชเลขาธิการไม่ได้ เหตุใดข้าถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนชื่อซูหังแม้แต่น้อย’
สวี่ชีอันไม่ได้ถามอะไรมากและเชิญทั้งสองคนดื่มเหล้าทานอาหาร ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องนึกถึงกฎที่ดื่มเหล้าไม่ขับรถ ขับรถไม่ดื่มเหล้า แม้ว่าเขาจะดื่มจนเมามายและฟุบลงบนตัวแม่ม้าน้อย แม่ม้าน้อยก็สามารถแบกเขากลับไปยังจวนสกุลสวี่ได้
หลังจากกินดื่มจนอิ่มหนำ สวี่ชีอันไม่ได้ไปส่งเลขาธิการศาลต้าหลี่กับหัวหน้ามือปราบเฉิน แต่มองส่งพวกเขาเปิดประตูห้องส่วนตัวจากไป
สวี่ชีอันมีอาการมึนเมาเล็กน้อย เขานอนลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ นิ้วเคาะโต๊ะอย่างเป็นจังหวะ เขาจมอยู่กับความคิด
“ศาลต้าหลี่กับกรมอาญาต่างก็มีสำนวนคดี แต่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลับไม่มี จากการคาดคะเนเวลา เว่ยกงน่าจะยังไม่ได้คุมที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาเริ่มกุมอำนาจจริงๆ เป็นหลังจากสงครามด่านซานไห่…ซูหังเสียชีวิตเมื่อยี่สิบสามปีก่อน สงครามด่านซานไห่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ซูหังเป็นถึงปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ แต่เลขาธิการศาลต้าหลี่กับเว่ยกงกลับจำคนคนนี้ไม่ได้ ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น ข้าถามวิญญาณของเฉากั๋วกงอีกครั้ง เขาก็จำซูหังไม่ได้แล้ว เมื่อเชื่อมโยงกับคำในจดหมายลับที่หายไปอย่างแปลกประหลาดคำนั้น…”
คำสี่คำปรากฏขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน ‘ปกป้องความลับของสวรรค์’
โดยจิตใต้สำนึก ความคิดของเขาคือ ‘เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านโหราจารย์หรือ’
แต่เขาก็รู้สึกรางๆ ว่าการคาดเดานี้ยังขาดหลักฐานและตรรกะที่สอดคล้องกัน…คิดไปคิดมา เขาก็เอนกายบนเก้าอี้ยาวและงีบหลับไป
หนึ่งเค่อต่อมา เขาก็ตื่นขึ้น
“เอ๊ะ ข้าเผลอหลับไปหรือ เลขาธิการศาลต้าหลี่กับหัวหน้ามือปราบเฉินไปแล้วหรือ” สวี่ชีอันบีบนวดที่หว่างคิ้วและลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง
“คดีของซูหังยุ่งยากจริงๆ เบาะแสก็ไม่มี หากรู้ก่อนหน้านี้ข้าคงไม่รับปากซูซู ไม่ใช่เพราะนางสวยมากหรือ มิเช่นนั้นข้าคงคร้านจะระดมสมอง…”
ดูเหมือนเขาจะลืมทุกอย่างเมื่อสักครู่นี้ไปแล้ว ก่อนจะยืดเอวบิดขี้เกียจและออกจากห้องส่วนตัวไป
…
ยามพลบค่ำ ภายในห้องบรรทม
ขันทีชราวางแส้จามรีไว้ในอ้อมแขน ข้ามธรณีประตูสูงและรีบเข้าไปในห้องบรรทม
“ฝ่าบาท มีเรื่องด่วนพ่ะย่ะค่ะ…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งเพิ่งกินยาและนั่งสมาธิฝึกลมหายใจโดยอาศัยฤทธิ์ยา เขาจึงไม่สนใจ
ขันทีชราไม่กล้ารบกวนอีกและรออยู่เป็นเวลานานอย่างร้อนใจ ในที่สุดจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ฝึกลมหายใจเสร็จ เขาลืมตาขึ้นและเอ่ยเสียงเรียบ “มีเรื่องอันใด”
ขันทีชราหยิบกระดาษออกมาจากในแขนเสื้อและส่งให้จักรพรรดิหยวนจิ่ง
จักรพรรดิหยวนจิ่งรับไปและคลี่กระดาษอ่าน แสงสว่างวาบออกมาจากในรูม่านตาล้ำลึก
“เมล็ดบัวเก้าสี ดลบันดาลทุกสิ่ง…”
………………………………………………