ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 396-2 ผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…สวีชีอัน (2)
บทที่ 396 ผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…สวีชีอัน (2)
“นักบวชเต๋าจินเหลียน ไม่ได้เจอกันนาน งานอดิเรกของท่านไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะอันโดดเด่นก็ดังขึ้นด้านหลังทุกคน เมื่อหันไปมองตามเสียง ก็พบว่าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมชุดจิ้นจวงสีดำ รวบผมหางม้าสูง และมีดาบเรียวยาวเหน็บอยู่ที่เอวด้านหลัง เขานั่งยองอยู่หน้าแมวสีส้มตัวหนึ่ง พลางโบกมือทักทายอย่างต่อเนื่อง
แมวสีส้มตกใจกลัว มันย่อตัวลงอย่างระวังตัวและแยกเขี้ยวใส่เขา
“นักบวชเต๋า ท่านแสดงละครได้เหมือนจริงมาก…” เขากล่าวแล้วก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
“นั่น…นั่นไม่ใช่ท่านอาจารย์อาจินเหลียน มันเป็นแค่แมวป่าธรรมดาๆ” ลูกศิษย์สาวคนหนึ่งกล่าวเสียงเบา
ชายหนุ่มผู้มีผมหางม้าสูงหันศีรษะกลับมา พลางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “จริงรึ”
เขามีรูปร่างลักษณะที่หล่อเหลา ริมฝีปากหนาปานกลาง สันจมูกโด่ง ดวงตาเป็นประกายและลึกล้ำ โครงหน้าคมเข้มตามแบบฉบับชายชาตรี
ลูกศิษย์พรรคฟ้าดินสิบกว่าคนณ ที่แห่งนี้ ต่างก็รู้สึกราวกับมีฟ้าผ่าดัง ‘เปรี้ยง’ ลงมาที่ศีรษะ สีหน้าของทุกคนตกอยู่ในความตกตะลึง เมื่อเห็นการปรากฏตัวของบุคคลที่ไม่คาดคิด
สวี่…สวี่ชีอัน?!
ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่ง!
ชายหนุ่มที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและโดดเด่นราวกับดาวหาง ทั้งยังสร้างตำนานไว้ไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง เขาจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเหล่าลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์เยวี่ยจือ
หลังสิ้นสุดพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ ราชสำนักก็เผยแพร่จดหมายข่าวทางการไปทั่วใต้หล้า สถาปนาสวี่ชีอันให้เป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ของต้าฟ่ง เขาจึงกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ต้องจับตามองของเครือข่ายข่าวกรองของคฤหาสน์เยวี่ยจืออย่างแท้จริง
หลังจากนั้น ศิษย์ที่รับผิดชอบออกไปรวบรวมข่าวกรองก็ได้ส่งข้อมูลโดยละเอียดของบุคคลนี้กลับมา
ติดคุก คลี่คลายคดีเงินภาษีด้วยความสามารถของตนเอง กอบกู้ชีวิตของคนในตระกูล รับราชโองการสอบสวนคดีซังผอ ขุดคดีเก่าที่ท่านหญิงผิงหยางถูกทำร้ายเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา เหล่าผู้เรืองอำนาจในท้องพระโรงส่วนใหญ่หมดอำนาจก็เพราะเรื่องนี้ ต่อมา เขาก็ไปสืบคดีที่อวิ๋นโจว เมื่อคณะทูตตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เขาก็ออกหน้ารับมือกับกองทัพกบฏตัวคนเดียว…
หลังจากกลับมาเมืองหลวง เขาได้คลี่คลายคดีของพระสนมฝูในพระราชวัง หลังจากนั้นก็พยายามเอาชนะสำนักพุทธ จนได้รับชัยชนะในพิธีต้าวฮวด กลายเป็นชายในตำนาน
ลูกศิษย์ชายหลายคนจำได้ว่าช่วงเวลานั้น ศิษย์พี่และศิษย์น้องผู้หญิงในคฤหาสน์จำนวนมากมักจะพูดถึงความเก่งกาจของชายคนนี้ ยกให้เขาเป็นวีรบุรุษในตำนาน ไม่ว่าวีรบุรุษหลายพันคนในยุทธภพก็ล้วนไม่ได้เสี้ยวนิ้วเดียวของสวี่ชีอัน
เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อประมาณครึ่งเดือนที่แล้ว เมืองเจี้ยนโจวได้ติดประกาศการออกคำสั่งวิจารณ์ตนเองของจักรพรรดิ ส่งผลให้ชาวยุทธภพในเจี้ยนโจวต่างก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก
ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรมามากว่าสามสิบเจ็ดปีท่านนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกคำสั่งวิจารณ์ตนเอง และเนื้อหาก็น่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง
เมื่อคฤหาสน์เยวี่ยจือส่งลูกศิษย์ออกไปสืบเรื่องราว ถึงได้รู้ว่า เมืองหลวงได้เกิดคดีใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ ไหวอ๋องสังหารหมู่คนทั้งเมือง โดยมีจักรพรรดิช่วยปกปิดความผิด ด้วยอำนาจของจักรพรรดิ ทุกคนในราชสำนักต่างก็ถูกบังคับให้ต้องก้มหน้ายอมรับเพื่อรักษาตัวรอด ไม่มีใครกล้าก้าวออกมาค้านคำพิพากษาเพื่อประชาชนทั้งสามแสนแปดหมื่นคน
แต่เป็นสวี่ชีอัน!
เขาบุกเข้าไปในพระราชวัง จับกั๋วกงไปที่ไช่ซื่อโข่วและลงดาบฟันคอพวกเขา เป็นการตัดขาดโลกอันสงบสุขและอนาคตของตนเอง
บรรดาลูกศิษย์สาวของคฤหาสน์เยวี่ยจือแต่ละคน ต่างก็ชื่นชมฆ้องเงินในตำนานท่านนี้เป็นอย่างมาก
พวกนางไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าบุคคลในตำนานที่พวกนางชื่นชมมาเป็นเวลานานท่านนี้ แท้จริงแล้วคือผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี คือสมาชิกของพรรคฟ้าดิน คือพวกเดียวกัน…
นี่คือแรงบันดาลใจที่ดีที่สุดในโลก มากกว่าปณิธานอันยิ่งใหญ่ใดๆ ทั้งสิ้น
บรรดาลูกศิษย์สาวรู้สึกตื่นเต้นจนใบหูและใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับสามารถกรีดร้องออกมาได้ทุกเมื่อ
หลี่เมี่ยวเจินมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นและความหลงใหลชื่นชมในแววตาของเหล่านักพรตสาว นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่ชอบใจ
เหตุผลที่หลี่เมี่ยวเจินไม่ชอบใจ ก็เพราะนางไม่อยากเห็นเหล่าลูกศิษย์นิกายปฐพีตกลงไปในหลุมนรกอย่างสวี่ชีอัน บุคคลนี้มักมากในกามตัณหา และไม่ใช่คนดีสักนิด มิเช่นนั้นจะเป็นอะไรได้อีก?
“อะแฮ่ม!” นักบวชเต๋าจินเหลียนปรากฏตัวราวกับผี เขายืนอยู่ข้างแมวสีส้ม พลางลูบเคราและแสยะยิ้มราวกับไม่เต็มใจจะยิ้ม
“คุณชายสวี่อย่าล้อเล่น อาตมาจะเป็นแมวได้อย่างไร”
‘ฟ่อ’
อันที่จริงดวงตาของนักบวชเต๋าน่ากลัวเล็กน้อย…
สวี่ชีอันเปลี่ยนหัวข้อคุยอย่างรู้งาน “นักบวชเต๋า พวกเรามาแล้ว อีกนานเท่าใดเมล็ดบัวถึงจะสุกงอม?”
เขากล่าวแล้วก็หันไปมองรอบๆ และกล่าวอีกว่า “ท่านใช้หนังสือปฐพีแจ้งให้พวกเรามา ก็เพราะสถานการณ์นี้รึ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า พลางมองฉากที่ยุ่งเหยิงเบื้องหน้า และกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งของพวกเจ้าสนใจเมล็ดบัวเก้าสีมาก ไม่เพียงแต่ส่งกองกำลังยอดฝีมือปริศนามาเท่านั้น พวกเขายังขนอาวุธเวทมนตร์อย่างปืนใหญ่มาด้วย ระเบิดถูกทิ้งเมื่อเช้าตรู่ ค่ายกลที่ข้าจัดเรียงไว้ถูกทำลาย”
เขาถอนหายใจ “เดิมทีข้าคิดจะให้พวกเจ้าร่วมมือกันปกป้องค่ายกลของคฤหาสน์ เสริมสร้างความได้เปรียบ เช่นนี้ถึงจะเป็นการใช้ต้นทุนน้อย แต่ได้มาซึ่งผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้…”
สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ยังไม่ทันตอบ จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น สะท้อนอยู่บนซากปรักหักพัง “ของหยาบๆ เช่นนี้ เจ้าเรียกว่าค่ายกลรึ”
ในน้ำเสียงนั้น ปะปนไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างเปิดเผย
เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินต่างก็โกรธจัด และมองไปรอบๆ พลางตะโกนว่า “ผู้ใดพูด จงแสดงหางออกมาซะ”
“หึ!”
เสียงพ่นลมหายใจอันหนักแน่นดังมาจากทุกทิศทุกทางราวกับไม่มีตัวตน
“หากสวรรค์ไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน”
เสียงนี้ราวกับดังมาจากสมัยโบราณอันไกลโพ้น ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันยิ่งใหญ่และหนักหน่วง ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน
“ข้า…ข้าขอบังอาจถาม ว่าท่านผู้อาวุโสมาจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ใดหรือ?”
‘หากสวรรค์ไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน’…นี่จะเย่อหยิ่งและโอหังไปถึงขั้นไหนกัน
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนผู้สง่างามตกตะลึงจนร่างแข็งทื่อ นอกจากผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้ว ผู้นำเต๋าจินเหลียนยังเชิญยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งท่านใดมาอีก?
ตอนนี้เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างก็เก็บอาวุธเวทมนตร์ และมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังเพื่อหาร่างของ ‘ท่านผู้อาวุโส’ แม้แต่ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียนก็ยังเรียกบุคคลนั้นว่าท่านผู้อาวุโส ดังนั้นพวกเขาจะล่วงละเมิดทางวาจาได้อย่างไร
“อยู่ที่นั่น…” ลูกศิษย์สาวคนหนึ่งพบเขา และกล่าวกระซิบ
ร่างที่สวมชุดสีขาวร่างหนึ่ง ยืนหันหลังให้กับทุกคนอยู่ในระยะไกล เขาไขว้มือไว้ด้านหลัง สายลมพัดชายเสื้อและเส้นผมของเขาปลิวไสว ราวกับเป็นผู้อมตะที่ถูกสวรรค์เนรเทศลงมายังโลกมนุษย์
“ท่านนี้คือโหรหยางเชียนฮ่วน หรือผู้อาวุโสหยาง ที่มีชื่อเสียงอันโด่งดังในเมืองหลวง” สวี่ชีอันรีบแนะนำเขาให้ทุกคนรู้จัก
นักพรตหญิงไป๋เหลียนก้าวขึ้นไปต้อนรับ และแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม “ขอบคุณผู้อาวุโสหยางที่มาช่วย ผู้อาวุโสรู้จักกับศิษย์พี่จินเหลียนที่เมืองหลวงใช่หรือไม่”
ขณะที่พูด นักพรตหญิงไป๋เหลียนก็หันไปมองนักบวชเต๋าจินเหลียนที่อยู่ไม่ไกล
จู่ๆ ผู้นำเต๋าก็สานสัมพันธ์กับสำนักโหราจารย์ได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ ต้องรู้ว่าโหรของสำนักโหราจารย์เกิดขึ้นภายหลังลัทธิขงจื๊อ ซึ่งเดิมทีเป็นระบบที่ไม่แยแสใครที่สุด ต่อให้จะเป็นลัทธิเต๋า เหล่าโหรก็ไม่ให้ความสำคัญ
สมแล้วที่เป็นผู้นำเต๋า วางหมากไว้ถึงขั้นนี้ โดยที่คนอื่นๆ ยังไม่ทันรู้ตัว
สีหน้าของลูกศิษย์ทุกคนเต็มไปด้วยความปลื้มปีติยินดี
หยางเชียนฮ่วนพ่นลมหายใจ “จินเหลียนคือใคร”
เอ่อ…นักพรตหญิงไป๋เหลียนตกตะลึง “ท่านไม่รู้จักศิษย์พี่จินเหลียนหรอกหรือ”
หยางเชียนฮ่วนยืนไขว้มือไว้ด้านหลัง พลางกล่าวด้วยท่าทางหยิ่งผยอง “ทำไมข้าต้องรู้จักเขา”
ไป๋เหลียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “งั้นท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”
เหล่าลูกศิษย์สิบกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างนาง ต่างก็มองไปที่แผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วน
หยางเชียนฮ่วนกล่าวอย่างไม่แยแส “หากไม่ใช่เพราะคำขอของสวี่ชีอัน ข้าคงไม่ลดตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกเช่นนี้”
พอแล้ว พอแล้ว ศิษย์พี่หยาง ท่านบรรยายถึงรสถึงชาติเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันแอบปิดหน้าอย่างเงียบๆ
ที่แท้ก็เป็นคนที่คุณชายสวี่ขอร้องให้มา จริงด้วย วันนั้นเขาเป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์ในการต่อสู้กับสำนักพุทธในพิธีต้าวฮวด คิดๆ ดูแล้ว นั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเขาในการสานสัมพันธ์กับสำนักโหราจารย์…
นักพรตหญิงไป๋เหลียนหันกลับไปคำนับสวี่ชีอันด้วยท่าทีจริงจัง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า “ชื่อเสียงความกล้าหาญของคุณชายสวี่มิใช่เรื่องเท็จจริงๆ บุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ พรรคฟ้าดินของพวกเราไม่มีวันลืมชั่วชีวิต”
เหล่าลูกศิษย์ก็ตระหนักได้เช่นเดียวกันว่า ผู้อาวุโสชุดขาวคือผู้ช่วยที่คุณชายสวี่เชิญมา ทันใดนั้น สายตาที่มองสวี่ชีอันก็ยิ่งฉายแววแห่งความซาบซึ้งและยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาของเหล่าลูกศิษย์หญิงเปล่งประกาย พวกนางรู้สึกว่าคุณชายสวี่เหมือนกับภาพอันสมบูรณ์แบบอย่างที่จินตนาการไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
ความรู้สึกชื่นชมเขาจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ศิษย์พี่หยาง ได้โปรดจงรักษาภาพลักษณ์เช่นนี้ต่อไปเถิด…
สวี่ชีอันกล่าวตามน้ำว่า “ผู้อาวุโสหยาง ทำไมท่านไม่ลองยื่นมือเข้าไปช่วยคฤหาสน์เยวี่ยจือซ่อมแซมค่ายกลเล่า?”
ชั่วขณะนั้น จินเหลียนและไป๋เหลียน รวมทั้งทุกคนในพรรคฟ้าดิน ต่างก็มองด้านหลังของหยางเชียนฮ่วนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
…หยางเชียนฮ่วนค้นพบว่าตนเองถูกจี้อยู่บนที่สูง และไม่สามารถลงไปได้แล้ว หากปฏิเสธ ภาพลักษณ์ของปรมาจารย์ผู้สูงส่งที่เขาสร้างไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะอันตรธานหายไป แต่ความศรัทธาในตัวเขาต้องลดลงไปมากอย่างแน่นอน
“ก็ได้…” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะกล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่ทุกคนต้องถอยออกไปจากที่นี่ ห้ามเข้ามาใกล้”
หญิงงามไป๋เหลียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราจะไม่สอดส่องทักษะของผู้อาวุโส “
เขาแค่ไม่อยากให้พวกเจ้าเห็นใบหน้าตอนที่ซ่อมแซมค่ายกลต่างหาก…สวี่ชีอันกล่าวพึมพำในใจ
…
ข้างสระน้ำ ลึกเข้าไปในคฤหาสน์
“นี่คือดอกบัวเก้าสีรึ?”
แสงสว่างเก้าสีสะท้อนในดวงตาของลี่น่า นางกล่าวพึมพำว่า “งามมาก”
หลี่เมี่ยวเจินเม้มริมฝีปาก นางยังคงมีความปรารถนาเฉกเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแล้ว ย่อมไม่สามารถต้านทานดอกไม้งามได้ โดยเฉพาะกับดอกไม้ที่งดงามเป็นพิเศษ
“ถึงเวลาเบ่งบานแล้วจริงๆ” สวี่ชีอันแสดงความคิดเห็น
เขาอดที่จะนึกถึงพระมเหสีที่ถูกเลี้ยงดูมาในห้องส่วนตัวไม่ได้ การกลับชาติมาเกิดของเทพดอกไม้เมื่อเก้าร้อยปีที่แล้ว ตอนที่นางบานสะพรั่ง จะต้องเป็นมนุษย์ที่งดงามอย่างแน่นอน
สีหน้าของฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนสงบนิ่ง สองคนนี้ คนแรกก็หลงใหลเพียงแค่ดาบในมือของตนเองเท่านั้น คนหลังก็จิตใจโปร่งใส สิ่งภายนอกไม่สามารถกระทบกระเทือนจิตใจเขาได้
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวว่า “การทิ้งระเบิดปืนใหญ่เมื่อเช้านี้ เป็นเพียงแค่การทดสอบ พวกเขาก็กลัวว่าจะทำลายเมล็ดบัวในช่วงเวลาวิกฤตนี้เช่นกัน เหอะๆ พลบค่ำพรุ่งนี้ เมล็ดบัวก็น่าจะสุกงอมแล้ว อาตมาเดาว่า วันนี้น่าจะเป็นวันที่พวกเขาโจมตีคฤหาสน์ และตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์”
“มาพูดถึงศัตรูครั้งนี้กันเถอะ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” หลี่เมี่ยวเจินนั่งขัดสมาธิริมสระน้ำ
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้าช้าๆ “ผู้ที่อยากจะได้พลังของดอกบัวเก้าสีมีสามฝ่าย ฝ่ายแรกคือเต๋ามารของนิกายปฐพี ข้าจะไม่พูดถึงร่างจำลองของผู้นำเต๋าเฮยเหลียนก็แล้วกัน นอกจากผู้นำเต๋าแล้ว นิกายปฐพียังมีผู้อาวุโสอีกเก้าท่าน คือ ชื่อ เฉิง หวง ลวี่ ชิง หลัน จื่อ จิน ไป๋ ตามลำดับ”
เขาหันไปมองนักพรตหญิงผู้มีใบหน้ากลมรูปไข่ และผิวขาวสะอาด พลางกล่าวแนะนำว่า “ท่านนี้คือผู้อาวุโสไป๋เหลียน”
นักพรตหญิงไป๋เหลียนยิ้มด้วยท่าทางสง่างาม ก่อนจะก้มโค้งคำนับ
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวต่อไปว่า “ข้าคือผู้อาวุโสจินเหลียน ผู้ที่ยังหลงเหลืออยู่ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งเก้า ส่วนจื่อเหลียนสิ้นชีพแล้ว ด้วยน้ำมือของหยางเยี่ยน”
หยางเยี่ยนคือยอดฝีมือสูงสุดในขั้นสี่ ทั้งยังเป็นจอมยุทธ์ ไม่แปลกที่จื่อเหลียนจะพ่ายแพ้ให้แก่เขา
“แต่จื่อเหลียนคือผู้ฝึกฝนระดับล่างในบรรดาผู้อาวุโสทั้งเก้า ผู้อาวุโส ชื่อ เฉิง หวง คือยอดฝีมือสูงสุดในขั้นสี่ ลวี่ ชิง หลัน นั้นใกล้เคียงกัน แต่ก็แข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือขั้นสี่ทั่วไปมาก”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวพึมพำ “ส่วนข้าเป็นยอดฝีมือต่ำสุดในขั้นสี่…”
นางมีเวลาเพียงสามถึงสี่เดือนในการก้าวสู่ขั้นสี่ รากฐานของนางตื้นเขิน นางยังห่างไกลและไม่มีทางเทียบได้กับผู้อาวุโสหรือยอดฝีมือสูงสุดในขั้นสี่
ลี่น่าขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีครามเข้มฉายแววสับสน นางยกนิ้วขึ้นมานับ ก่อนจะรู้ตัวในฉับพลัน “ชื่อ เฉิง หวง ลวี่ ชิง หลัน จื่อ จิน ไป๋…นักบวชเต๋าจินเหลียน งั้นท่านและนักบวชเต๋าไป๋เหลียน ก็คือผู้ที่อยู่ระดับล่างสุด”
นักพรตหญิงไป๋เหลียนตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้สายตาถามนักบวชเต๋าจินเหลียน ‘เกิดอะไรขึ้นกับแม่สาวน้อยคนนี้ นางฉีกหน้าคนอื่นกลางที่สาธารณะงั้นรึ?’
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายศีรษะเล็กน้อย ‘เจ้าคิดมากเกินไป’
“อะแฮ่ม!”
เขาไอกระแอม ก่อนจะกลับไปพูดหัวข้อเดิมอีกครั้ง “กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เรียกก๊กใหญ่ๆ แต่ละก๊กที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาให้ช่วยส่งแรงสนับสนุน ส่วนใหญ่หัวหน้าของแต่ละก๊กก็เป็นยอดฝีมือขั้นสี่ มีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่งปะปนกันไป อีกทั้งทั้งพวกเขายังติดต่อกันน้อยมาก ข้าจึงไม่สามารถประมาณการได้อย่างแม่นยำ แต่คนที่ต้องระวังจริงๆ คือผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เฉาชิงหยาง บุคคลนี้เป็นอู่ปั่งอันดับสาม มีข่าวลือไปทั่วยุทธภพ ว่าอีกเพียงก้าวเดียว เขาก็จะแตะธรณีประตูขั้นสามแล้ว ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาของยุทธภพแห่งต้าฟ่ง เขาคือหนึ่งในบุคคลที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นยอดฝีมือขั้นสามมากที่สุด”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวพึมพำ “พลังต่อสู้ที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร”
อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเลื่อนสู่ขั้นสาม หากกล่าวเช่นนี้ก็จะคลุมเครือเกินไป ไม่มีทางใดที่จะวัดพลังการต่อสู้ที่แท้จริงได้
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวอย่างไตร่ตรองว่า “ต่อให้หยางเยี่ยนสองคนก็ยังสู้เขาไม่ได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ต้องใช้หยางเยี่ยนสามคน ถึงจะสู้ชนะหรือเสมอกับเขา…
ฉู่หยวนเจิ่นแสดงท่าทีหนักใจ
อดีตหัวหน้าโดยตรงของข้ากลายเป็นหน่วยวัดพลังต่อสู้ตั้งแต่เมื่อใด…สวี่ชีอันใช้วิธีตั้งคำถามอันน่าขันเพื่อบรรเทาความกดดัน
“ราชสำนักส่งกองทัพทหารมามากเท่าใด” หลี่เมี่ยวเจินถาม
“ไม่ใช่กองทัพทหาร แต่เป็นกลุ่มยอดฝีมือปริศนา พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหน้ากาก มีมากกว่ายี่สิบคน และยังพกระเบิดปืนใหญ่ ประจำการอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวอธิบาย
“สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือ?!”
ดูเหมือนกองกำลังที่ยังหลงเหลือของอ๋องสยบแดนเหนือ จะถูกรวบรวมอีกครั้งโดยจักรพรรดิหยวนจิ่ง…
สวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินหันมาสบตากัน
“ที่แท้ก็เป็นสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือเองรึ” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวอย่างฉับพลัน
มีศัตรูที่เป็นยอดฝีมือจำนวนมากเช่นนี้ ก็ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นแล้ว พูดถึงจอมยุทธ์ขั้นสี่เพียงอย่างเดียว ก็ได้เปรียบพวกเขาในเรื่องของคนจำนวนคนแล้ว กระทั่งลี่น่าที่เป็นคนไม่คิดอะไรมาก ก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง
จู่ๆ สวี่ชีอันที่ยืนมองดอกบัวเก้าสีอยู่ข้างสระน้ำก็ถามขึ้นมาว่า “นักบวชเต๋า ดอกบัวเก้าสีนี้คงมีความสำคัญกับท่านมาก ถึงแม้ต้องเสียสละยิ่งใหญ่เพียงใด ท่านก็ยังจะปกป้องมันไว้ให้จงได้”
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ตะลึงงัน และหันไปมองเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน ฉู่หยวนเจิ่นเป็นคนแรกที่ตระหนักถึงความหมายลึกๆ ในคำพูดนั้น หลี่เมี่ยวเจินเป็นคนต่อไป จากนั้นก็ตามด้วยเหิงหย่วน
ส่วนลี่น่าไม่ผ่านการทดสอบความฉลาดทางสติปัญญาครั้งนี้
‘ข้าจำที่นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยบอกได้ดี เหตุผลที่เขาได้รับบาดเจ็บและหนีเข้าไปในเมืองหลวงวันนั้น ก็เพราะถูกผู้นำเต๋าที่ตกสู่ทางมารทำร้ายตอนที่เข้าไปขโมยดอกบัวเก้าสี หน้าที่และคุณค่าของดอกบัวเก้าสีคงยิ่งใหญ่กว่าที่ข้าจินตนาการไว้มาก มิเช่นนั้น นักบวชเต๋าจินเหลียนคงไม่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อกลับไปขโมยมันมาอย่างแน่นอน…’ ฉู่หยวนเจิ่นนึกถึงรายละเอียดนี้
แม้ว่าดอกบัวเก้าสีจะเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก แต่หากมันไม่มีบทบาทที่สำคัญยิ่ง การละทิ้งดอกบัว และรักษาความแข็งแกร่งของตนเองไว้ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีศัตรูผู้แข็งแกร่งห้อมล้อมเช่นนี้ ถึงจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนเลือกที่จะสู้กลับด้วยวิธีการที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน…
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองสวี่ชีอัน สมแล้วที่เป็นเจ้า!
ความคิดของเหิงหยวนก็คล้ายกับทั้งสองคน
“ถูกต้อง ดอกบัวเก้าสีมีความสำคัญมาก มันเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการจัดระเบียบของข้า มันจะสูญหายไปไม่ได้”นักบวชเต๋าจินเหลียนตอบอย่างใจเย็น แต่ก็ไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลใดๆ อีก
นักบวชเต๋า ท่านต้องจ่ายเพิ่มแล้ว…สวี่ชีอันเกือบจะควบคุมปากไม่ได้ และปล่อยให้คำพูดนี้หลุดออกมา
ในเวลานี้เอง ลูกศิษย์คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบ และตะโกนว่า “นักบวชเต๋า ตอนนี้มีเหล่าจอมยุทธ์พเนจรจำนวนมาก ฉวยโอกาสจู่โจมเข้ามาตอนที่ค่ายกลถูกทำลาย”
นักบวชเต๋าจินเหลียนหันไปมองสวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจิน “เรื่องนี้ต้องรบกวนพวกเจ้าทั้งสองแล้ว”
…………………………………………………