ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 397 ใบหน้า
บทที่ 397 ใบหน้า
สวี่ชีอันหันไปมองหลี่เมี่ยวเจินทันที ก่อนจะพบว่านางดูไม่ประหลาดใจสักนิด
“ก็แค่พวกชาวยุทธ์พเนจร ใช้กำลังความสามารถของพรรคฟ้าดิน ก็คงจัดการได้ไม่ยากกระมัง” เขาขมวดคิ้วแน่น
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนอธิบายอย่างไม่มีทางเลือก “ชาวยุทธ์พเนจรเหล่านี้น่ารำคาญที่สุด พวกเราก็ไม่อยากจะก่อกรรมทำบาป แต่หากเพิกเฉย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกข่มเหง พวกเขามีจำนวนมาก วิธีการก็เลือดเย็น เป็นภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่สำหรับลูกศิษย์ธรรมดา แต่การเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพวกเรา…”
“แม้ว่าชีวิตจะถูกคุกคาม ก็ทำไม่ได้รึ?” สวี่ชีอันถามกลับด้วยความประหลาดใจ
ไป๋เหลียนส่ายศีรษะ และกล่าวเสียงแผ่วว่า “รากฐานของนิกายปฐพีคือบุญกุศล ไม่ใช่จิตที่มั่นคงในอุดมการณ์ของตน”
สิ่งที่นางหมายถึง คือ การไร้ซึ่งจิตสำนึกกับการกระทำของตนเองใช้กับนิกายปฐพีไม่ได้ ตราบใดที่ฆ่าคน ก็จะเป็นการทำลายคุณธรรม…หากอธิบายจากมุมมองนี้ อันที่จริงการฆ่าคนชั่วก็ไม่เป็นอะไร เพราะการขจัดความชั่วก็คือการส่งเสริมความดี แต่เป็นไปไม่ได้ที่ชาวยุทธ์พเนจรเหล่านั้นจะเป็นคนชั่วทั้งหมด…
สวี่ชีอันเข้าใจสถานการณ์นี้ดี
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็จะไปช่วยด้วย”
เหิงหย่วนพนมมือ “อมิตตาพุทธ อาตมาก็จะไปเผยแพร่คำสอนของพระพุทธศาสนาให้แก่พวกเขาด้วย”
แท้จริงแล้ว เหิงหย่วนเป็นภิกษุที่ไม่มีรอยจี้ธูป[1]บนศีรษะ หากว่ากันตามทฤษฎี เขาคือคนที่ยังไม่ได้ให้คำสัตย์สาบาน ดังนั้นเขาจึงสามารถกินเนื้อดื่มสุราได้ สามารถฆ่าคนได้และเป็นจอมยุทธ์ภิกษุได้
เพียงแต่ว่าเหิงหย่วนนั้นแตกต่าง เขาใช้กฎ ‘ทำสมาธิปลูกฝังจิต’ เรียกร้องตนเองมาโดยตลอด
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวว่า “ข้าไม่ได้จะให้พวกเจ้าต่อสู้เพื่อขับไล่ชาวยุทธ์ธรรมดาเหล่านั้น เพียงแต่ทำให้พวกเขารับรู้ถึงความลำบากและถอยกลับไป ไม่อยู่สร้างปัญหาตอนที่เมล็ดบัวสุกงอมเท่านั้นเอง”
นักพรตหญิงไป๋เหลียนกล่าวต่อไปว่า “อันที่จริง เฮยเหลียนตั้งใจกระจายข่าวเพื่อดึงดูดความสนใจชาวยุทธ์พเนจรเหล่านี้ และใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พวกเขาจึงรับบทเป็นผู้เปิดทางและเป็นตัวรับกระสุนอย่างขยันขันแข็ง อย่างไรก็ตาม ในบรรดาชาวยุทธภพเหล่านี้ย่อมมียอดฝีมืออยู่ ซึ่งไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง หากไม่สามารถแก้ไขภัยพิบัตินี้ไว้ล่วงหน้า กองกำลังนี้ก็จะทำให้พวกเราวุ่นวายมากในศึกชี้ขาดวันพรุ่งนี้”
ในขณะที่พูด นักพรตหญิงไป๋เหลียนก็มองหลี่เมี่ยวเจินและสวี่ชีอันตาไม่กะพริบ เวลานี้ นางเข้าใจความคิดของนักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ข้าพอมีชื่อเสียงในยุทธภพ สหายก็มากอยู่ คนที่ข้าไม่รู้จัก ก็น่าจะพอไว้หน้าข้าอยู่บ้าง ให้ข้าจัดการเถอะ”
สวี่ชีอันกำลังจะตามหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ไป แต่จู่ๆ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ขัดขวางเขาไว้ “ช้าก่อน คุณชายสวี่ อาตมามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
เมื่อรู้เหตุผล สวี่ชีอันก็คล้อยตามและหยุดฝีเท้าลง ในขณะที่สายตายังคงมองสหายพรรคฟ้าดินทั้งสี่เดินจากไป
หลังจากแผ่นหลังของพวกเขาลับสายตาไปแล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนก็กวักมือเล็กน้อย ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลอยออกมาจากกระเป๋าของสวี่ชีอันโดยอัตโนมัติ ก่อนจะตกลงที่ฝ่ามือของนักพรตชรา
เขาถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พลางยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋เหลียนจึงกล่าวอย่างมีมารยาทว่า “ข้าจะไปดูการสู้รบข้างนอก”
ที่ริมสระน้ำ เหลือเพียงนักบวชเต๋าจินเหลียนและสวี่ชีอันสองคน นักพรตชรากัดปลายนิ้ว ก่อนจะใช้เลือดสดๆ วาดคาถาลงบนกระจกของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
สวี่ชีอันพยายามเขย่งเท้าแอบดู แต่ถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนขัดขวางไว้ก่อน “ชิ้นส่วนหนังสือปฐพี คือสมบัติอันล้ำค่าแห่งนิกายปฐพีของข้า ในเมื่อเจ้าไม่ยอมเข้ามาในนิกายปฐพี งั้นอาตมาก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามกฎ ‘เต๋าไม่สอนให้คนที่ไม่เหมาะสม’ “
นักบวชเต๋า ท่านไม่มีจิตวิญญาณเชื่อมถึงกันสักนิดเลยรึ จิตวิญญาณที่รู้ใจกันคืออะไร? คือการกินฟรีไงเล่า! ไม่สิ การแบ่งปันน่ะ…สวี่ชีอันกล่าวพึมพำในใจ
นักบวชเต๋าจินเหลียนงอนิ้ว ก่อนจะดีดนิ้วลงบนผิวกระจก ทันใดนั้น คาถาที่ถูกเขียนด้วยเลือดก็เรืองแสงขึ้น จากนั้นก็ล่องหนเข้าไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
เสียงดัง ‘เปรี้ยง’ ก้องอยู่ในศีรษะของสวี่ชีอัน ราวกับมีสายฟ้าฟาดเข้ามาในสมองของเขา ตามด้วยความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นความเจ็บปวดที่มาจากจิตวิญญาณข้างใน
เขากุมศีรษะแน่น ใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง กินเวลานานกว่าสิบวินาที ก่อนที่ความเจ็บปวดทั้งหมดจะสลายไป
“ของวิเศษที่เชื่อฟังเจ้าของก็จะเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของ บังคับให้ตัดออกก็ไม่ต่างอะไรกับการตัดแขน…” นักบวชเต๋าจินเหลียนเก็บหนังสือปฐพีหมายเลขสามไว้อย่างดี ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากเจ้ายังพกมันต่อไป เฮยเหลียนก็จะยังสัมผัสถึงมันได้ ดังนั้น เวลาเช่นนี้ให้ข้าเก็บรักษามันไว้ก่อน รอจนกว่าเรื่องราวจะจบ ค่อยคืนให้เจ้า”
สวี่ชีอันมองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีที่ถูกเก็บเข้าไปในอ้อมอกของนักบวชเต๋าจินเหลียนตาปริบๆ ราวกับผักกาดขาวที่เลี้ยงอย่างประคบประหงมมาสิบแปดปีถูกหมูใช้จมูกดุนจนเสียหาย เขาจึงกล่าวด้วยความกังวลใจว่า “นักบวชเต๋า ท่านต้องรักษามันให้ดีล่ะ เสร็จเรื่องแล้วต้องคืนให้ข้านะ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนหัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะรู้สึกอุ่นใจกับพรรคฟ้าดินมากนะ”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ใช่สักหน่อย เป็นเพราะในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีนั่น มีภรรยาที่รักของข้าต่างหาก”
เป็นภรรยาที่ข้ารักคูณสิบ
…
บริเวณรอบนอกคฤหาสน์เยวี่ยจือในบริเวณที่ที่ถูกทิ้งระเบิดปืนใหญ่จนเป็นซากปรักหักพัง ชายชาตรียุทธภพสิบกว่าคนกำลังเผชิญหน้ากับลูกศิษย์พรรคฟ้าดิน
เมื่อสักครู่ ที่นี่เพิ่งเกิดการยิงต่อสู้ช่วงสั้นๆ ทุกคนต่างได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่รุนแรงจนถึงชีวิต
“เหล่านักพรตน้อย รีบหลีกทางเถอะ สิ่งที่พวกพี่ใหญ่ต้องการคือสมบัติ ไม่ได้จะมาเอาชีวิตใคร”
“ถ้ากล้าขวางทางพวกพี่ใหญ่อีกล่ะก็ อย่าหาว่าพวกเราหยาบคายก็แล้วกัน”
ชาวยุทธภพนับสิบกระจายตัวไปทั่วทุกสารทิศ กวัดแกว่งอาวุธ พลางคุกคามด้วยการพูดไปข่มขู่ไป
เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินที่เผชิญหน้ากับพวกเขา ต่างก็ถืออาวุธเวทมนตร์อย่างกระบี่บิน ไม้บรรทัดหยก กรวยทองแดง โดยไม่ยอมถอยหลังแม้แต่ครึ่งก้าว
สาวน้อยท่านหนึ่งยกกระบี่ในมือขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง พลางกล่าวด้วยความโกรธว่า “เฮ้ย ไอ้พวกไร้ยางอาย เอาแต่จ้องสมบัติพรรคฟ้าดินของข้าตาเป็นมัน หากคิดจะใช้กำลังช่วงชิงไป ก็ฝันไปเถอะ”
“หึ!”
เสียงพ่นลมหายใจอันเยือกเย็นนั้น เป็นของชายแข็งแกร่งรูปร่างอ้วนท้วน เขาเดินออกมาพร้อมกับถือค้อนเหล็กสีดำสองอันอยู่ในมือ
สาวน้อยผู้มีใบหน้างดงามและสวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าไม่มีท่าทีเกรงกลัวสักนิด นางโยนกระบี่บินออกไปเบาๆ เสียงเหล็กแหลมทะลุผ่านอากาศดังขึ้นอย่างชัดเจน
‘ชิ้ง!’
ประกายไฟซัดสาดไปทั่ว ชายอ้วนท้วนที่หลบหลีกกระบี่บินได้หัวเราะเยาะเบาๆ ก่อนจะทุบค้อนทั้งสองไปที่สาวน้อยอย่างรุนแรง
แต่เขาไม่สามารถทุบได้ มีมือเล็กคู่หนึ่งสกัดกั้นค้อนเหล็กเอาไว้ ซึ่งเป็นฝ่ามืออันเรียวเล็กและได้สัดส่วนของผู้หญิง แต่ที่น่าแปลกคือ มือคู่นี้สกัดกั้นค้อนเหล็กโดยไม่มีความผันผวนของพลังปราณเลยสักนิด และไม่มีเสียงที่เกิดขึ้นจากการกระทบกันของวัตถุแต่อย่างใด
มีเพียงเนื้อหนังเปล่าๆ เท่านั้น ที่ต้านทานการโจมตีอันทรงพลังเช่นนี้?
เมื่อเห็นฉากนี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของพรรคฟ้าดิน หรือว่าชาวยุทธภพมือดี ต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ
เป็นฝีมือของสาวน้อยงดงามคนหนึ่ง ดวงตาสีครามเข้ม ผิวสีเมล็ดข้าวสาลี
นางมีลักษณะเฉพาะของคนซินเจียงตอนใต้ชัดเจนมาก
สีหน้าของชายอ้วนท้วนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์การต่อสู้ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทำให้เขาตัดสินได้โดยไม่ต้องไตร่ตรอง เขาละทิ้งค้อนเหล็กสีดำและล่าถอยกลับไปทันที
“ชายชาตรีแห่งที่ราบกลางอย่างพวกเจ้าล้วนเป็นกุ้งนิ่มหรอกรึ เล่นของเล่นอะไรอ่อนหัดเช่นนี้”
ลี่น่าถือค้อนเหล็กสองอันอยู่ในมือ ราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังเล่นตุ๊กตาและโยนไปโยนมา
ชาวยุทธ์พเนจรทุกคนมองฉากตรงหน้าด้วยความทึ่ง โดยไม่สามารถปกปิดความตกตะลึงบนใบหน้าได้แม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องพูดถึงพลังการต่อสู้ของนาง เพียงแค่อาศัยความแข็งแกร่งนี้ก็สามารถบดขยี้พวกเขาทุกคนได้อย่างง่ายดาย
“เผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้ เขตลี่กู่รึ?”
มีคนขมวดคิ้ว และกล่าวพึมพำด้วยความไม่มั่นใจนัก
ม่านตาสีครามเข้มของลี่น่ากวาดมองทุกคน ทันทีที่นางฉีกยิ้ม ก็เผยให้เห็นฟันเขี้ยวน้อยๆ ลี่น่าหัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า “ที่ราบกลางของพวกเจ้ามีคำกล่าวว่า มิตรภาพจะยืนยงอยู่ไม่ได้ หากมีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
นอกจากยอดฝีมือไม่กี่คน เหล่าชาวยุทธภพจำนวนมาก ต่างก็แอบจับอาวุธอย่างเงียบๆ
‘แกร๊ก…’
เมื่อลี่น่าเหยียบพื้นกระเบื้องที่แตกร้าว ทันใดนั้น ก็ราวกับมีธนูหน้าไม้ยิงใส่ฝูงชนอย่างต่อเนื่อง
คนเหล่านั้นล่าถอยอย่างทันทีทันใด และร้องคำรามไม่หยุด นางล้มชายชาตรีคนหนึ่งได้ด้วยหมัดเดียว ความแข็งแกร่งอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งทักษะทางกายภาพของนางยังปราดเปรียวและทรงพลังมาก
หลังจากล้มลงหลายสิบรอบ ก็ไม่มีใครสามารถออกโรงได้อีก
แข็งแกร่งมาก…
ดวงตาของเหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้ ความสนใจของพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่หลี่เมี่ยวเจิน สวี่ชีอัน และฉู่หยวนเจิ่น โดยละเลยสาวน้อยต่างเผ่าท่านนี้ไป เพราะคิดว่านางเป็นแค่กำลังเสริมพิเศษ คิดไม่ถึงว่านางจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
จนกระทั่งมีชายชาตรีท่านหนึ่งแก้ปัญหาด้วยการใช้กระบองทองแดง ถึงจะยับยั้งการโจมตีของลี่น่าได้
ชายชาตรีนับสิบถือกระบองทองแดงนำอยู่เบื้องหน้า และก่อตัวล้อมนางไว้ นอกจากนี้ยังมีมือดีหลายคนที่ใช้อาวุธลับแฝงตัวอยู่ในฝูงชน บางครั้งก็โยนอาวุธลับเจ้าเล่ห์ออกมาจากมุมใดมุมหนึ่ง
ด้วยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ในที่สุดชาวยุทธภพก็สามารถพลิกฟื้นความได้เปรียบ
เหล่าชาวยุทธภพใช้ประโยชน์จากจำนวนคนที่มากกว่าครอบงำสาวน้อยต่างเผ่าคนนี้ ชายที่ถือกระบองทองแดงตะโกนคำราม หมุนตัวและเหวี่ยงกระบองทองแดงออกไป เสียงทะลุทะลวงในชั้นบรรยากาศหนักแน่นและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ลี่น่ายกมือขึ้นและใช้ฝ่ามือสกัดกั้นอาวุธอีกครั้ง นางยกเท้าเตะ จนร่างของชายชาตรีลอยออกไป เลือดทะลักไหลออกมาไม่หยุด
“ลี่น่า พอแล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินเดินอ้อมออกมาทางด้านหลังเหล่าลูกศิษย์ และกล่าวห้ามปรามเสียงดัง
การต่อสู้อันดุเดือดของทั้งสองฝ่ายหยุดลงกะทันหัน
ลี่น่าโยนกระบองทองแดงทิ้งไป ก่อนจะเดินผ่านฝูงชนด้วยเรียวขาอันทรงพลังกลับไปข้างกายหลี่เมี่ยวเจิน
“เจ้า…เจ้าคือจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน?!”
ชาวยุทธภพคนหนึ่งจำหลี่เมี่ยวเจินได้
จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน? ทุกคนมองตามหลี่เมี่ยวเจินด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์กวาดสายตามองเหล่าชาวยุทธภพ และถามว่า “ใครคือผู้นำ?”
นางรู้จักยุทธภพเป็นอย่างดี หากเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องสามัคคี เหล่าชาวยุทธภพก็จะเลือกผู้ที่มียศศักดิ์สูงสุด หรือผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดออกมาหนึ่งท่านเพื่อเป็นผู้นำชั่วคราว
บางครั้ง กระทั่งยศศักดิ์และชื่อเสียงก็สำคัญกว่าความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งสามารถทำให้คนตื่นตระหนกและหวาดกลัวได้ก็จริง แต่มีเพียงเกียรติและชื่อเสียงเท่านั้น ที่สามารถโน้มน้าวใจคนได้
ชายผู้แข็งแกร่งกุมบริเวณหน้าท้อง พลางเดินโซเซออกมาด้านหน้า ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาคารวะและกล่าวว่า “ข้าหลิวหู่ จากเขตหนานไหว เมืองเจี้ยนโจว ท่านหญิงคือจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินจริงๆ รึ?”
‘ก็แค่กลุ่มจอมยุทธ์พเนจรที่มีพลังอ่อนแอกลุ่มหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องให้สวี่ชีอันออกหน้า ข้าก็สามารถจัดการได้…’ หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า และกล่าวเสียงเบาว่า “ทุกท่าน เมล็ดบัวเก้าสีคือสมบัติล้ำค่าของนิกายปฐพี
ตอนนี้มันถูกห้อมล้อมด้วยศัตรูที่ทรงพลังมาก พลังของพวกเจ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้อย่างแน่นอน หากเข้าร่วมอย่างสะเพร่า มีเพียงทางเดียวที่รอพวกเจ้าอยู่ นั่นคือหนทางสู่ความตาย สู้ไว้หน้าข้า แล้วถอยกลับไปเถอะ อย่าเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้”
นี่…
สีหน้าของหลิวหู่เต็มไปด้วยความสับสน เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินมาก่อน ไม่ใช่แค่เพียงได้ยิน แต่ชื่อเสียงของนางโด่งดังดุจฟ้าร้องดังก้องหู
นับตั้งแต่เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ท่านนี้เปิดตัวเมื่อปีก่อน และได้ท่องไปในยุทธภพ ก็กระทำวีรกรรมอันกล้าหาญ นางค่อนข้างมีชื่อเสียงในยุทธภพ มิตรสหายก็มากนับไม่ถ้วน
‘หากทำให้นางขุ่นเคืองใจ แค่นางขยับปาก ข้าก็อาจจะถูกคนที่ติดหนี้บุญคุณนางตามจัดการอย่างแน่นอน…’
ถึงแม้เมล็ดบัวจะล่อตาล่อใจ แต่ที่จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินพูดก็มีเหตุผล เดิมทีครั้งนี้ก็เป็นการมาพบกับโอกาสโดยบังเอิญ แต่ในเมื่อโอกาสยังมาไม่ถึงก็ไม่ควรดึงดันต่อไป…
จิตใจของหลิวหู่เริ่มล่าถอย
ชาวยุทธภพคนอื่นๆ ก็เริ่มหวาดกลัวเช่นกัน และไม่กล้าทำให้หลี่เมี่ยวเจินขุ่นเคืองใจ
พวกเขาอาจจะไม่เกรงกลัวฝ่ายราชการ ไม่แม้กระทั่งใส่ใจราชสำนักสักนิด แต่พวกเขาไม่กล้ารุกรานจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ผู้มีเครือข่ายกว้างขวางในยุทธภพ
สมแล้วที่เป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน อิทธิพลนี้ ได้เปรียบกว่าพวกชื่อเสียงโด่งดังที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งเสียอีก…นักพรตหญิงไป๋เหลียนที่เฝ้าดูจากระยะไกลพยักหน้าเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า ถึงแม้สวี่ชีอันจะไม่ออกหน้า แค่มีหลี่เมี่ยวเจินก็เพียงพอแล้ว
นางคิดออกโดยทันทีว่า เทพธิดาและเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์แต่ละยุคในอดีตล้วนท่องไปในยุทธภพอย่างฉาบฉวย ราวกับขนนกลอยเหนือน้ำ แต่ดูเหมือนเทพธิดาหลี่เมี่ยวเจินยุคนี้จะแตกต่างกับเหล่าอาวุโส
นางผสมผสานประสบการณ์กระทั่งกลายเป็นวีรสตรีแห่งยุค…
หลี่เมี่ยวเจินยิ้มแย้ม พลางยกสองมือขึ้นมาประสานและกล่าวว่า “เมี่ยวเจินขอบคุณทุกท่าน ต่อไปพบปะกันในยุทธภพ ก็ถือว่าเป็นมิตรสหายกันแล้ว มีอะไรต้องการความช่วยเหลือ สามารถพูดออกมาได้เต็มที่ เมี่ยวเจินจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถแน่นอน”
ทุกคนยังคงไม่เต็มใจ แต่เมื่อได้รับสัญญาด้วยวาจาของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ความต่อต้านในจิตใจก็เริ่มลดลง
“จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินน่าเกรงขามมาก”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของชายชาตรีดังลอยมา เจ้าของเสียงนั้นเป็นนักดาบวัยกลางคนที่ไว้เคราสวย ห้าอวัยวะบนใบหน้าสมดุล ท่าทางสง่างามและโดดเด่น ในมือกำลังถือฝักดาบสีดำ
ด้านหลังเขา มีนักดาบในชุดสีน้ำเงินเข้มจำนวนหนึ่ง คุณชายหลิ่วและท่านอาจารย์ของเขาก็อยู่ในนั้นด้วย
“นั่นคือสำนักโม่!”
“เจ้าสำนักหยางซุยเสวี่ย!”
เหล่าจอมยุทธ์พเนจรที่วินาทีก่อนหน้ายังต้องแบกรับความอัปยศ และจำต้องประนีประนอมกับความเป็นจริง ตอนนี้ราวกับค้นพบผู้เป็นเหมือนกระดูกสันหลัง จึงเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เขาเล็กน้อย
แม้ว่าในเจี้ยนโจวจะมีมากมายหลายนิกาย แต่สำนักโม่ก็เป็นนิกายใหญ่ชั้นแนวหน้า
หลี่เมี่ยวเจินหรี่ตาลงเล็กน้อย และมองนักดาบที่มีเคราสวยอย่างละเอียด “วิชาดาบเก้าท่วงท่า สำนักโม่แห่งหงเหอ?”
สำนักโม่เป็นนิกายที่ตั้งตระหง่านอยู่ในเจี้ยนโจวมากว่าร้อยปี มีภูมิหลังที่ลึกซึ้ง ตามตำนานว่าไว้ว่า ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งบรรลุธรรมที่หงเหอ เห็นเก้าท่วงท่าแห่งหงเหอ ย่อมตระหนักได้ถึงสุดยอดวิชาดาบ
และสำนักโม่ก็ถูกสร้างขึ้นที่ริมฝั่งหงเหอ
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวขวัญคือ หยางซุยเสวี่ยเป็นยอดฝีมือสูงสุดในขั้นสี่ ทักษะการใช้ดาบของเขามีความลึกล้ำอย่างมาก บันทึกผลการรบที่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางที่สุดคือ ต่อสู้กับยอดฝีมือขั้นสี่ถึงสองท่านเพียงลำพัง การต่อสู้อันดุเดือดกินเวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ผลคือเสมอกัน
“ยินดีที่ได้พบ!”
หยางซุยเสวี่ยผงกศีรษะ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อันคำว่า สุราชั้นดีและความมั่งคั่งนำไปสู่การเกิดอาชญากรรมได้ แล้วนับประสาอะไรกับสมบัติล้ำค่าอย่างดอกบัวเก้าสี จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินใช้อำนาจกดขี่ผู้คนเช่นนี้ ไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยรึ”
หลี่เมี่ยวเจินยิ้มด้วยความเย็นชา “ได้ยินว่าเจ้าสำนักหยางไม่ยกยอประจบสอพลอใคร และปฏิบัติตนอย่างตรงไปตรงมา ที่แท้ก็เป็นคนมีเหตุผล แต่การให้เหตุผลล้วนผิดเพี้ยน เดิมทีดอกบัวเก้าสีเป็นสมบัติของนิกายปฐพี แต่พวกเจ้าจะใช้กำลังช่วงชิงมันไป สิ่งที่ท่านพูดช่างขัดแย้งกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูดี”
นางเคยได้ยินชื่อเสียงของสำนักโม่หยางซุยเสวี่ยมาก่อนแล้ว ลือกันว่าบุคคลนี้ซื่อตรงและมีคุณธรรม เป็นผู้กล้าที่น่าชื่นชมที่สุด และมักจะมอบเงินให้กับเหล่านักดาบทรงคุณธรรมที่มีชื่อเสียงไม่เลวอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกเรียกว่า ผู้ทรงคุณธรรมหยาง
“หึ จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินคือเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ ย่อมไม่รู้ถึงความทุกข์ยากของคนพเนจรอย่างพวกเรา มีคนกล่าวว่า ทัศนคติช่างแปลกประหลาดนัก กลัวตายแล้วยังจะไปยุทธภพทำไมกัน? ไม่ว่าจะเป็นรากฐานของข้าหรืออาวุธวิเศษนี้ ล้วนใช้ชีวิตต่อสู้อย่างหนักหน่วงเพื่อแลกมันมา นั่นก็คือ หากไม่สู้สักตั้ง จะรู้ได้อย่างไรว่าสุดท้ายแล้วชัยชนะจะตกอยู่ในมือใคร?”
เมื่อมีคนสนับสนุน น้ำเสียงของเหล่าจอมยุทธ์พเนจรก็หนักแน่นขึ้นโดยทันที
หยางซุยเสวี่ยส่ายศีรษะและกล่าวว่า “จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินคือเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ มิได้ขาดแคลนวิชายุทธ์ มิได้ขาดแคลนท่านอาจารย์ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าจอมยุทธ์พเนจรไม่มีทางเลือก บางคนติดอยู่ในขั้นหนึ่ง และไม่สามารถก้าวผ่านได้เป็นสิบปี ครั้นต้องการขอคำแนะนำ หันไปกลับไม่พบท่านอาจารย์ บางคนขาดแคลนอาวุธเวทมนตร์ที่สะดวกสบาย แต่ก็ใช้อาวุธเหล็กมาเป็นสิบปีจนถึงตอนนี้ ไม่เอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วจะเลื่อนขั้นได้อย่างไร? จะเหนือกว่าคนอื่นได้อย่างไร? ข้าแค่คิดว่า ท่านสามารถสู้ชนะพวกเขาได้ หรือแม้กระทั่งฆ่าพวกเขาได้ แต่ไม่ควรกีดกันความสามารถของพวกเขา”
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ด้านหลังหลี่เมี่ยวเจินต่างก็ตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง และเตรียมตัวพร้อมสำหรับการต่อสู้
หลี่เมี่ยวเจินหรี่ตาลงด้วยความโกรธ นางรู้สึกรำคาญเล็กน้อยเมื่อถูกบุคคลนี้ก่อกวน เหล่าชาวยุทธ์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างก็กระสับกระส่ายและเตรียมพร้อมเคลื่อนไหวอีกครั้ง
นางอดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินจับด้ามดาบ พลางกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าสำนักหยางเป็นตัวแทนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มากวนน้ำให้ขุ่นหรอกรึ?”
กระบี่บินสั่นไหวด้วยท่าทีฉวัดเฉวียน ราวกับพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ
นักดาบในชุดสีน้ำเงินเข้มมากกว่าสิบท่าน ต่างก็ชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
หยางซุยเสวี่ยยกมือขึ้นไปจับด้ามดาบ ท่วงท่าดาบที่หลี่เมี่ยวเจินปลุกระดมขึ้นมาก็อันตรธานหายไปในชั่วพริบตาเดียว
“จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินเป็นศิษย์ของลัทธิเต๋าก็จริง แต่อย่างไรทักษะดาบของนางก็ค่อนข้างแย่” หยางซุยเสวี่ยกล่าวเสียงเบา
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกช็อก เหล่าจอมยุทธ์พเนจรธรรมดาๆ นั้นไม่มีอะไรต้องกลัว แต่พลังปราณของเจ้าสำนักโม่ท่านนี้ทรงพลังมาก ถึงแม้จะอยู่ในขั้นสี่แต่ก็เป็นผู้แข็งแกร่ง…
ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้วแน่น และไม่นิ่งดูดายอีกต่อไป
เขาก้าวออกไป และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าน้อยคือฉู่หยวนเจิ่น”
หยางซุนเสวี่ยชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาคารวะด้วยท่าทีเคร่งขรึม “นักดาบอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ข้าชื่นชมชื่อเสียงของท่านมาช้านาน”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวทันทีว่า “ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักจะไว้หน้าข้าน้อย จะไว้หน้านิกายมนุษย์สักหน่อยได้หรือไม่”
หยางซุยเสวี่ยส่ายศีรษะ “ตัวข้าหยางนั้นเป็นเพียงจอมยุทธ์คนหนึ่ง นิกายมนุษย์คือลัทธิเต๋า เกี่ยวอะไรกับข้า และเกี่ยวอะไรกับทุกคนที่นี่? สำหรับศิษย์พี่ฉู่…ขออภัยด้วยที่ข้าต้องพูดตรงๆ แต่ท่านไม่มีความดีความชอบสักนิด มีหน้าส่วนใดที่ข้าต้องไว้ด้วยรึ?”
สีหน้าของฉู่หยวนเจิ่นจมมืดลง
หยางซุยเสวี่ยกล่าวต่อไปว่า “ข้าเป็นนักดาบ ตรงไปตรงมาไม่ต่างอะไรกับดาบ มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ลัทธิเต๋าห่างไกลจากโลกมนุษย์ ทำให้คนเกรงกลัวแต่ไม่เกรงขาม จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินมีวีรกรรมกล้าหาญ แต่อย่างไรก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าละทิ้งโอกาสตรงหน้าที่รอมานาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศิษย์พี่ฉู่”
หลิวหู่พยักหน้าอย่างหนักแน่น
หลี่เมี่ยวเจินยิ้มเยาะ “เอาแต่พูดมาก บอกให้ไว้หน้าใครก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สู้มาดูทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงของพวกเราเถอะ”
หยางซุยเสวี่ยส่ายศีรษะอีกครั้ง “ไม่ ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่หน้าของท่านทั้งสองยังไม่เพียงพอ ท่านต้องรู้ว่าผู้รับใช้ชาติ ผู้รับใช้ประชาชน ผู้เป็นที่เคารพรักของประชาชน ล้วนอยู่ในนี้”
“น่าสนใจ!”
เวลานี้เอง สวี่ชีอันก็เดินอ้อมออกมาจากด้านหลังเหล่าลูกศิษย์ เขาเดินไปยิ้มไป พลางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าถ้าเป็นใบหน้าของข้า เจ้าสำนักหยางจะยังให้เกียรติอยู่หรือไม่?”
………………………………………………………
[1] ภิกษุจีนที่มีรอยจี้ธูปบนศีรษะ จะเป็นการแสดงว่าภิกษุรูปนั้นได้รับศีลบริสุทธิ์แล้ว รอยธูปเปรียบเสมือนคำสาบาน ว่าบวชแล้ว จะคงเป็นพระภิกษุไปตลอดชีวิต ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ต้องประพฤติพรหมจรรย์ ไม่สามารถมีครอบครัวได้ เคร่งครัดเรื่องกินเจ ไม่กินไข่ ไม่ดื่มนม