ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 398 ถอยไป
บทที่ 398 ถอยไป
หยางซุยเสวี่ยหรี่ตาพร้อมหันไปตามเสียง ผู้ที่มาคือชายหนุ่มอายุน้อยผู้หนึ่งสวมชุดจิ้นจวงสีดำ มัดหางม้าขึ้นสูงและห้อยดาบเล่มยาวเอาไว้ที่ด้านหลังเอว
ดูเหมือนว่าจะคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้างเล็กน้อย…ทันทีที่ความคิดผุดขึ้น เขาก็ได้ยินคนเฝ้าประตูที่อยู่ข้างหลังตะโกนขึ้น
“สวี่ชีอัน เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? “
คนที่พูดคือคุณชายหลิ่ว เขาและสวี่ชีอันเคยได้พบกันตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่เมืองหลวง
เมื่อพบสวี่ชีอันอีกครั้ง คุณชายหลิ่วก็ดีใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกหากไม่ปะทะกันก่อนก็คงไม่ได้รู้จักกัน แม้ว่าความประทับใจแรกของฆ้องเงินสวี่ต่อคนอื่นๆ จะไม่ค่อยดีนัก (พบหน้ากันก็ตัดดาบอันเป็นที่รักของเขาหักเป็นสองท่อนเสียแล้ว)
แต่ความจริงก็ปรากฏ บุคลิกประจำตัวของฆ้องเงินสวี่นั้นควรค่าแก่การคบหา เขาลักพาตัวแม่นางหรงหรงไปโดยไม่ได้ฉวยโอกาสใช้กำลังครอบครองนาง และหลังจากที่รู้ว่าตนเองเข้าใจผิด เขาไม่เพียงแต่ขอโทษเท่านั้น แต่ยังชดเชยด้วยอาวุธเวทมนตร์หนึ่งกองที่เขาผลิตให้กับสำนักโหราจารย์
คุณชายหลิ่วหวนนึกถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมา ทันใดนั้นก็มองเห็นใบหน้าของเจ้าสำนักของตนอิงอยู่บนไหล่ของเขาด้วยความตื่นเต้น พลางจ้องมองด้วยสายตาแวววาว พร้อมกับเอ่ยถามหาหลักฐานพิสูจน์
“เขา เขาคือสวี่ชีอัน?”
คุณชายหลิ่วพยักหน้าอย่างงุนงง “ข้าเคยเจอกันที่เมืองหลวง และท่านอาจารย์ก็รู้จักเช่นกัน”
หยางซุยเสวี่ยมองไปที่ศิษย์น้องของเขาทันทีและท่านอาจารย์ของคุณชายหลิ่วก็พยักหน้า “คือฆ้องเงินสวี่จริงๆ แน่นอน”
เมื่อหยางซุยเสวี่ยมองไปที่สวี่ชีอันอีกครั้ง ก็เหมือนกับภาพคนที่อยู่ในความทรงจำ เขาคือสวี่ชีอันจริงๆ ไม่ผิดแน่
ดวงตากลมโตของหลิวหู่เบิกโพลงขึ้นในทันที ร่างของชายหนุ่มสะท้อนภาพออกมาจากดวงตาคู่นั้น นึกถึงหัวข้อสนทนาที่ยังคงติดอยู่บนริมฝีปากของเขาเมื่อสองสามวันก่อน
เจี้ยนโจวและเมืองหลวงอยู่ห่างกันสองพันลี้ ไม่รวมเหล่าเครือข่ายหน่วยข่าวกรองขององค์กรขนาดใหญ่ คนของยุทธภพที่กระจัดกระจายอยู่และอีกทั้งประชาชนทั่วไปที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการสังหารหมู่เมืองที่แท้จริงตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ได้เห็นพระราชกฤษฎีการับผิดของจักรพรรดิ อันที่จริงก็เพิ่งจะผ่านไปห้าวันเท่านั้น
หลังจากข่าวแพร่มาถึงฉู่โจว ก็สร้างความฮือฮาอยู่ครู่หนึ่ง จากทั้งยุทธภพไปจนถึงขุนนาง ทุกคนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้ และทุกคนต่างปรบมือแสดงความยินดีให้กับความชอบธรรมของฆ้องเงินสวี่
หลังจากพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ สวี่ชีอันก็มีชื่อเสียงกระจายไปทั่วใต้หล้าอีกครั้ง กลายเป็นวีรบุรุษและข้าราชการที่ซื่อสัตย์ในสายตาของเหล่าประชาชน
ผู้คนจากทั่วยุทธภพที่อิจฉาริษยาอย่างเช่นคู่อริ ต่างก็เคารพนับถือเขามากยิ่งขึ้น
คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้เห็นบุคคลในตำนานด้วยตาของตนเอง
‘บุคลิกลักษณะดูองอาจภูมิฐานอย่างที่คิดไว้ และมีพรสวรรค์โดดเด่นสะดุดตา’ หลิวหู่ชื่นชมอยู่ในใจ
อารมณ์ของเหล่าคนอื่นๆ ในยุทธภพก็เหมือนๆ กันกับเขา ในความประหลาดใจงงงวยนั้นก็ปะปนไปด้วยความดีใจ
พวกเราได้พบกับฆ้องเงินสวี่แล้วที่ฉู่โจว…นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรค่าแก่การนำเอาไปพูดโม้เป็นหัวข้อสนทนากัน
สีหน้าของหยางซุยเสวี่ยดูเคร่งขรึม เขาจัดเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อย จากนั้นจึงได้ขึ้นไปต้อนรับ พลางโค้งตัวคำนับและพูด “ข้าหยางซุยเสวี่ยแห่งสำนักโม่ ได้พบกับฆ้องเงินสวี่แล้ว”
ยอดฝีมืออาวุโสขั้นสี่ท่านหนึ่ง ที่เป็นหัวหน้าสำนักสำนักหนึ่ง ทักทายผู้น้อยด้วยการทำความเคารพ เดิมทีก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียหน้าอย่างยิ่ง แต่เหล่าบุคคลในยุทธภพที่อยู่ที่ลาน ตลอดจนเหล่ามือกระบี่ข้าราชการผู้น้อยเสื้อสีครามขั้นเก้าแห่งสำนักโม่ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของหยางซุยเสวี่ยนั้นมีอะไรที่ผิดปกติ
วีรกรรมของฆ้องเงินสวี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของคดีสังหารหมู่ในฉู่โจว สมควรได้รับความเคารพจากพวกเขา
“เจ้าสำนักหยางถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าน้อยสวี่ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองเช่นนี้” สวี่ชีอันยื่นมือออกมาเพื่อประคองไว้
“ตัวข้าหยางนั้นเลื่อมใสศรัทธาฆ้องเงินสวี่มาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้ได้พบเจอตัวจริง รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว” หยางซุยเสวี่ยยิ้มอย่างอบอุ่นและศรัทธา โดยไม่มีมาดหรือท่าทางของเจ้าสำนักเลยแม้แต่น้อย
เลื่อมใสศรัทธากันมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ทุกที
สวี่ชีอันยิ้มพลางพูด “ข้าน้อยก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้าสำนักมานานแล้ว”
อันที่จริงก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่พูดเพื่อการค้าก็สามารถทำได้
เหล่าลูกศิษย์ของพรรคฟ้าดินมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ เดิมทีเจ้าสำนักท่านนี้มีท่าทางหยิ่งยโส พูดจาเสียดสีทั้งหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่น แต่ในตอนนี้กลับไม่มีท่าทีเสแสร้งแม้แต่น้อย เขายิ้มอย่างอบอุ่นให้ฆ้องเงินสวี่ วาจานอบน้อมจริงใจ
เหล่าคนในยุทธภพที่กระจายกันอยู่ไกลๆ มือกระบี่เสื้อฟ้ามองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศตึงเครียดก็หายไปโดยสมบูรณ์
ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าลูกศิษย์หญิงต่างพากันมองสวี่ชีอันด้วยสายตาที่หลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆ ชายผู้นี้มีบุคลิกที่มีเสน่ห์และดึงดูดใจคนได้มากเลยทีเดียว
การไล่ตามดวงดาวที่เปล่งประกายสว่างที่สุดคือสัญชาตญาณธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน
ที่นี่และเวลานี้ สวี่ชีอันก็คือดวงดาวที่เปล่งประกายสว่างที่สุดในสายตาของพวกนางโดยไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยแม้แต่น้อย
เขามีชื่อเสียงและความนิยมอย่างมากเกินความคาดหมาย…นัยน์ตาที่สวยงามของนักพรตหญิงไป๋เหลียนยากที่จะปกปิดความแปลกใจเอาไว้ได้ นางมีนิสัยที่ไม่แยแส จิตใจบริสุทธิ์ ไม่ละโมบ ทั้งยังเฉยชาต่อชื่อเสียงและลาภยศ ตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานของตน นั่นทำให้นางประเมินชื่อเสียงและความนิยมของสวี่ชีอันผิดไป
“เจ้าสำนักหยาง ศักดิ์ศรีหรือเกียรติยศอะไรนั่น เมื่อครู่นี้ก็เป็นเพียงแค่คำพูดล้อเล่นขำๆ เท่านั้น”
หลังจากทักทายไม่กี่คำ สวี่ชีอันก็เข้าเรื่องหลัก โค้งคำนับอย่างเคร่งขรึมพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจนอบน้อม “ข้าและเทพธิดานิกายสวรรค์ตลอดจนพี่ฉู่ มีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นต่อกัน ครั้งนี้ได้รับคำเชิญชวนจากพวกเขาทั้งสองให้มาที่คฤหาสน์เยวี่ยจือเพื่อช่วยปกป้องเมล็ดบัว ขอให้เจ้าสำนักได้โปรดเข้าใจ และให้การสนับสนุน”
หยางซุยเสวี่ยครุ่นคิดสักครู่ แล้วส่ายหัวอย่างไม่มีทางเลี่ยง “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ในเมื่อรู้ว่าฆ้องเงินสวี่ปกป้องเมล็ดบัวอยู่ คนแก่อย่างข้าก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มิฉะนั้นเทศกาลยามค่ำนี้ก็จะไม่ปลอดภัย”
น้ำเสียงกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง
“ขอบคุณมาก!”
สวี่ชีอันหันไปมองคนอื่นๆและพูดเสียงดัง “ทุกท่าน คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ได้มาพบกันโดยบังเอิญก็ถือว่าเป็นโชคชะตา หวังว่าจะได้โปรดเข้าใจและให้การสนับสนุน ทุกคนล้วนคบหาเป็นสหายกัน หากในอนาคตมีเรื่องทุกข์ยาก ก็ให้รีบบอกได้โดยไม่ต้องเกรงใจ สวี่ชีอันจะพยายามสุดกำลังอย่างแน่นอน”
ฟังในคำพูดนี้ ทุกคนก็รู้สึกสุขในเป็นอย่างยิ่ง
การหล่อหลอมยุทธภพเข้าด้วยกัน อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด?
คือการให้ความรักและให้เกียรติ
ถ้าไม่ให้ความรักและให้เกียรติคน ยังจะหล่อหลอมยุทธภพไปทำไม
ยิ่งไปกว่านั้นคือคนอย่างฆ้องเงินสวี่ ถ้าเขาพูดคำที่ดีเพียงคำเดียว มันจะมีผลมากกว่าหมื่นคำที่พูดโดยคนทั่วไป
หลิวหู่แสยะยิ้มมุมปากและพูดเสียงดัง “แม่ของข้าชอบฟังคำพูดคุยเล่นของคนอื่น ก่อนหน้านี้พักหนึ่งก็ได้ยินเรื่องราวคุณงามความดีของท่านมาบ้างแล้ว หลังจากกลับถึงบ้าน นางก็ยังคงพูดชมเชยฆ้องเงินสวี่อยู่ บอกว่าท่านเป็นข้าราชการระดับสูง เพื่อให้เขารู้ว่าข้ากับท่านนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน”
“ข้าก็ถอนตัวออกไปเช่นกัน ให้ตายเถอะ ตัวข้าเองก็ไม่ต้องการให้ชาวบ้านละแวกเดียวกันมาลอบกัดลับหลังเช่นกัน” มีคนพูดส่งเสียงดังคล้อยตามมา
“ฆ้องเงินสวี่ ชายผู้ที่วาจามีค่าดั่งทองคำพันชั่ง คำที่รับปากนั้นเชื่อถือได้มาก รับปากแล้วทำได้เสมอ บอกว่าจะเข้าร่วมก็เข้าร่วม พวกข้าเขียนคำเช่นนี้ออกมาไม่ได้ ทว่ารู้ซึ้งซึ่งคุณธรรมในข้อนี้” มีอีกคนพูดขึ้นมาอีก
นี่คือบุคคลที่มีเกียรติอย่างแท้จริงสินะ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและความนิยมอย่างแท้จริง จึงไม่มีใครเต็มใจที่จะต่อต้านเขา
หลี่เมี่ยวเจินทำแก้มป่อง รู้สึกริษยาเล็กน้อยอยู่ในใจ
สวี่ชีอันได้สะสมอำนาจและชื่อเสียงได้หยั่งรากลึกเช่นนี้ไปเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว
จำได้ว่าในตอนแรก มีครั้งหนึ่งเขาเคยส่งจดหมายผ่านหนังสือปฐพีโดยขอให้นางช่วยติดตามและจับกุมโจวชื่อสวงหัวหน้ากองร้อยองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ที่ใช้อวิ๋นโจวเป็นทางหลบหนี ในเวลานั้นเขาทั้งอ่อนแอ โดนเหยียดหยาม และขาดเส้นสาย
ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนหรือชื่อเสียงและความนิยม เขาก็ไล่ตามนางจนทันแล้ว
ส่วนของชื่อเสียงและความนิยมนี้ แม้แต่เหล่าข้าราชการชั้นสูงของราชสำนัก ก็ยังต้องโมโหและอิจฉาจนไม่พอใจกันแน่ๆ แหละ
ฉู่หยวนเจิ่นที่อยู่ข้างๆ มองดูอยู่เงียบๆ เขาอยู่ในยุทธภพมาหลายปี ช่วงขาขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นสวี่ชีอันนี้ ไม่เพียงแค่เป็นบุคคลที่หายากเพียงเท่านั้น แต่ยังกล่าวได้ว่าเขานั้นเป็นบุคคลที่มีหนึ่งเดียว และไม่เหมือนใคร
หยางซุยเสวี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้น “สำนักโม่ไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว แต่มีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในยุทธภพมากมาย ล้วนเป็นเหล่ายอดฝีมือ เช่นเดียวกับนักพรตดั้งเดิมของนิกายปฐพี ฆ้องเงินสวี่จงเป็นนกน้อยที่ทำรังแต่พอตัว อย่าได้โอ้อวดฝีมือ
“พรุ่งนี้ข้าจะมาเฝ้าสังเกตการณ์และคอยให้กำลังใจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ”
เขาไม่ได้พูดอย่างชัดแจ้ง
เจ้าสำนักแห่งสำนักโม่เป็นบุรุษที่ใจกว้างและกล้าหาญไม่ใช่หรือ มิน่าล่ะ เจียงลวี่จงมักจะบอกว่า ยุทธภพน่าสนใจมาก น่าสนใจกว่าวงการของชนชั้นข้าราชการเป็นหมื่นเท่า หากมีเวลาว่างข้าก็จะท่องเที่ยวไปรอบๆ ยุทธภพสักครั้ง
สวี่ชีอันพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธความตั้งใจดีของอีกฝ่าย พร้อมตอบกลับ “ขอบคุณเจ้าสำนัก”
หยางซุยเสวี่ยโบกมือ พร้อมกับโค้งคำนับอีกครั้ง และจากไปพร้อมกับศิษย์ของสำนักโม่
หลิวหู่และคนอื่นๆ ก็ตามหลังออกไป
เฮ้อ…เหล่าศิษย์ของพรรคฟ้าดินต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ดูเบิกบานใจขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณชายสวี่”
ในน้ำเสียงที่หวานหยาดเยิ้ม สาวน้อยที่หน้าตาสะสวยโดดเด่นเป็นพิเศษก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า สองมือของนางไขว้ไว้ข้างหลัง พลางเม้มริมฝีปาก “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณชายสวี่”
นางมีแววตาที่ฉลาดที่รู้จักพูด อายุดูยังไม่โต หลังจากสลัดไขมันวัยทารกออกไปได้ คางแหลมของสาวน้อยที่เพิ่งจะถูกเผยออกมานั้นแสดงให้ข้าได้เห็นถึงความอ่อนโยน
หากผ่านไปอีกสักปีหรือสองปี ก็คงสามารถทำให้คุณชายชื่นชมพลางเชยคางแหลมสวยเด่นนั้นขึ้นมา พลางพูดยั่วเย้า ‘สาวน้อย วันนี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว’
‘สาวน้อย ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว มีแฟนแล้วหรือยัง ขอแอดวีแชทสักหน่อยได้หรือไม่?’ สวี่ชีอันถามสามคำถามติดกันในใจ แต่แสดงออกอย่างเย็นชา และเพียงแต่พยักหน้าเท่านั้น
สาวน้อยรวบรวมความกล้าและพูด “ข้าน้อย ข้าน้อยชื่อชิวฉานอี สวี่…คุณชายสวี่ เจ้าก็เป็นผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทั้งไต้ซือเหิงหย่วน ฉู่หยวนเจิ่น ตลอดจนหลี่เมี่ยวเจิน ก็มองมาโดยทันที
ให้ตายสิ สาวน้อย เจ้านี่ช่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว อยากทำให้ข้าตายต่อหน้าสาธารณะงั้นหรือ? สวี่ชีอันกล่าวด้วยใบหน้าขรึม “ไม่ใช่ข้า”
“อ้อ?”
คำตอบนี้เกินความคาดหมายของชิวฉานอี นางอ้าปากเล็กนั้นค้างและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็มาที่นี่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่เมี่ยวเจินและศิษย์พี่ฉู่จริงๆ หรอกหรือ”
ศิษย์คนอื่นๆ ก็มองมาเช่นกัน
พวกเขาต่างหวังว่าฆ้องเงินสวี่จะเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดิน ไม่ใช่ช่วยเหลือเพราะคุณธรรมหรือไมตรีจิต
จุดนี้สำคัญมาก
“ข้ามาเพื่อตรวจสอบคดี” สวี่ชีอันพูดอย่างไม่พอใจ
“ตรวจสอบ?”
ชิวฉานอีเอียงศีรษะของนางอย่างไร้เดียงสาและใสซื่อ “พรรคฟ้าดินของพวกเราจะมีคดีอะไร”
ทำไมแม่แมวถึงกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าในตอนกลางคืน เพราะเหตุใดนักบวชเต๋าเฒ่าหกสิบปีจึงมักนอนเอนกายเหมือนศพอยู่เสมอ? เพราะเหตุใดแม่แมวในคฤหาสน์จึงต้องตั้งท้อง? นี่คือความบิดเบือนของจิตใจมนุษย์หรือว่าเป็นความเสื่อมเสียของศีลธรรมกันแน่ สิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นคดีหรือไม่
มุมปากของสวี่ชีอันกระตุกขึ้นยิ้มเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับกล่าว “ข้าและนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นมิตรสหายสนิทชิดเชื้อกัน ถึงแม้ไม่ใช่ผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี แต่ก็ไม่ใช่คนนอกเช่นกัน”
นักพรตหญิงไป๋เหลียนมองมาที่เขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ไม่เข้าใจว่าทำไมฆ้องเงินสวี่ต้องปฏิเสธตัวตนของตนเองด้วย
“เอ๋ แล้วศิษย์พี่หยางล่ะ?” สวี่ชีอันหันมองไปรอบๆ ทุกทิศ
“ไม่รู้สิ หลังจากเหล่าคนในยุทธภพปรากฏตัวออกมา เขาก็หายตัวไปแล้ว” มีลูกศิษย์เอ่ยตอบ
หยางเชียนฮ่วนแสร้งทำเป็นวิ่งหนีไปไหนอีกแล้ว
สวี่ชีอันพูดวิเคราะห์ “ข่าวการมาที่นี่ของข้า ต้องถูกคนเหล่านั้นกระจายออกไปทั่วอย่างแน่นอน ห่างจากคฤหาสน์เยวี่ยจือไปไม่ไกล มีเมืองเล็กๆ อยู่ใช่หรือไม่”
ลูกศิษย์คนนั้นที่เพิ่งพูดเมื่อครู่พยักหน้า
“ศิษย์น้องชื่ออะไร?” สวี่ชีอันเอ่ยถาม
“ฆ้องเงินสวี่ ข้าชื่อหลิงอวิ๋น” ศิษย์อายุน้อยได้ตอบกลับ
สวี่ชีอันพยักหน้า “ศิษย์น้องหลิงอวิ๋น ขอไหว้วานเจ้าสักหนึ่งเรื่อง เจ้ารีบปลอมตัวบัดเดี๋ยวนี้ ไปในเมืองเพื่อสืบเสาะถามข่าวและดูท่าทีโต้ตอบของเหล่ากองพลทหารม้าในถนนแต่ละสาย”
นักพรตน้อยหลิงอวิ๋นพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “คุณชายสวี่วางใจเถอะ ข้าจะทำภารกิจให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน”
ในมุมลับตาคนที่เงียบสงบที่ไหนสักแห่ง หยางเชียนฮ่วนนั่งยองๆ อยู่ที่พื้น พลางวาดนิ้วบนพื้นเป็นวงกลมและพึมพำ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว ก่อนอื่น ข้าต้องสั่งสมชื่อเสียงและความนิยมให้มากพอเสียก่อน”
…
ห่างจากคฤหาสน์ออกไปสิบกว่าลี้ มีเมืองเล็กๆ อยู่เมืองหนึ่ง ขนาดไม่ได้นับว่าใหญ่โต ทำกิจการในด้านหอคณิการะดับล่างหนึ่งแห่ง โรงเตี๊ยมสองแห่งและภัตตาคารหนึ่งแห่ง
ชื่อของภัตตาคารนั้นคือซานเซียนฟาง รายการไก่อบ ซาลาเปาไข่ปู และเหล้าบ๊วย ทั้งสามสิ่งนี้ถูกเรียกว่าซานเซียน
อากาศร้อนระอุในวันฤดูร้อนเช่นนี้ การได้สั่งเหล้าบ๊วยแช่เย็นสักหนึ่งไหและห่านย่างหนึ่งกองก็เป็นหนึ่งในความสุขใจที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
ในช่วงไม่กี่วันนี้ มีผู้คนนับไม่ถ้วนจากทั่วยุทธภพแห่กันมาที่เมืองเล็กๆ นี้ โรงแรมทั้งสองแห่งและหอคณิกาล้วนเต็มไปด้วยผู้คน แต่ยังคงสามารถรองรับชาวยุทธ์ที่หลั่งไหลมาจากการได้ยินข่าวได้อย่างไม่สิ้นสุด
ดังนั้นจึงมีคนพักอาศัยค้างคืนอยู่ที่บ้านของเหล่าชาวบ้าน หากเปลี่ยนเป็นประชาชนของที่อื่นๆ คงไม่กล้ารองรับเหล่าคนจากยุทธภพแน่ๆ โดยเฉพาะบ้านที่มีสะใภ้ที่ยังอายุน้อย
แต่ประชาชนชาวเจี้ยนโจวก็มีความอดทนสูงต่อเหล่าคนในยุทธภพ
เนื่องจากเหล่าคนในยุทธภพของเจี้ยนโจวจะทำหน้าที่เป็นรับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่แล้วในระดับหนึ่ง เมื่อบางคนในยุทธภพจากที่อื่นๆ มาที่นี่ ไม่สนว่าจะเป็นเสือโคร่งหรือมังกรอะไรก็ต่างต้องสำรวมพรรคพวกของตนไม่ให้ก่อเรื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วโมโหกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นี้
นอกจากนี้ก็ยังมียอดฝีมือที่ไม่กลัวกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เพียงแต่ยอดฝีมือเหล่านั้นไม่ว่าจะอยู่ไหนระดับไหน ก็ไม่เคยไปสร้างความรบกวนแก่ประชาชน
นับตั้งแต่กลับมาจากการไปสอบสวนเหล่าบุรุษของคฤหาสน์เยวี่ยจือ ทั้งเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็อยู่ในสถานการณ์ที่คึกคักและเดือดพล่าน
‘สวี่ชีอันมาแล้ว’
‘ไม่ผิดแน่ นี่คือฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่ง สวี่ชีอันแห่งแดนประหารหัวสุนัขขุนนางตำแหน่งสูงสุดของไช่ซื่อโข่ว’
ข่าวนี้ดังระเบิดไปทั่ว เมืองหลวงห่างไกลจากฉู่โจวอยู่สองพันลี้ ข่าวการสังหารหมู่ในฉู่โจวเพิ่งจะแพร่มาถึงที่เจี้ยนโจวเมื่อไม่กี่วันก่อน นั่นทำให้ยุทธภพและขุนนางรู้สึกทึ่ง
นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวลือที่ว่าฆ้องเงินสวี่เป็นบุคคลที่ซื่อตรงและชอบธรรมอย่างที่สุด ก็ได้ปรากฏตัวที่เจี้ยนโจว
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าฆ้องเงินสวี่มาที่คฤหาสน์เยวี่ยจือแล้ว เขารู้จักกับคนทรยศแห่งนิกายปฐพีมาโดยตลอด เจ้าสำนักหยางแห่งสำนักโม่ประกาศแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“โห เจ้าสำนักหยางวางตัวอย่างชอบธรรมและเป็นกลาง เป็นการดีที่สุดที่จะผูกมิตรกับจอมยุทธ์และไม่ต้องสู้กับฆ้องเงินสวี่ไปโดยปริยาย”
“ข้าล่ะอยากรู้เสียจริง เจ้าว่าในสำนักของเจี้ยนโจวของพวกเรายังจะมีคนถอนตัวออกไปอีกเยอะเท่าใด? ถ้าหากว่ามีเพียงสำนักโม่แล้วละก็ หึหึ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าสำนักหยางก็คงจะยิ้มหน้าบานเลยทีเดียว”
“ใช่สิ ชื่อเสียงที่ดีล้วนถูกสำนักโม่ยึดครองไปหมด ข้าเองก็จะไม่เข้าร่วมแล้วเช่นกัน ฆ้องเงินสวี่ผู้คุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า สิ่งที่เขาต้องการปกป้อง ข้าจะไปใช้กำลังยื้อแย้งมาโดยไม่กระดากใจได้อย่างไร”
“เหล้าเพิ่งจะเข้าปากไปไม่เท่าไร เจ้าก็เริ่มสับสนเลอะเลือนเสียแล้วหรือ สำหรับคนอย่างเจ้า แค่ฆ้องเงินสวี่ดีดเพียงปลายนิ้วเดียวก็ตายได้แล้ว”
มีคนสามคนบังเอิญผ่านมาที่โรงเตี๊ยม และได้ยินคำพูดเมื่อครู่ไปโดยไม่ขาดตกไปสักคำเดียว
การรวมกลุ่มกันของสามคนนี้แปลกมาก คนที่เดินตรงกลางเป็นคุณชายเจ้าสำราญสวมชุดคลุมสีขาวและเข็มขัดหยก ใบหน้าของเขาหล่อเหลาดุจหยกงามที่ฝังอยู่ในมงกุฎ ผิวพรรณก็ดีเลิศ มีเพียงแต่ระหว่างคิ้วของเขาเพียงเท่านั้นที่เปี่ยมไปด้วยความหม่นหมองและเคร่งเครียด
ด้านหลังของเขามีร่างสูงเก้าฟุตสองร่างของ ‘คนยักษ์’ สวมหมวกหญ้าและคลุมผ้าคลุมสีดำทั้งตัว ร่างหนึ่งอยู่ทางซ้ายอีกร่างอยู่ทางขวา คอยประกบดูแลชายหนุ่มเจ้าสำราญชุดขาวอยู่ทั้งสองฝั่ง
“สวี่ชีอันก็มาที่เจี้ยนโจวแล้วเช่นกันหรือ?”
คุณชายเจ้าสำราญสวมชุดคลุมสีขาวกระตุกมุมปากเผยถึงความเยือกเย็น พลางพูด “พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น ตอนแรกคิดอยากจะข้ามเวลาไปตามหาเขาให้พบ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบกันเสียที การเข้าร่วมสนุกรอบนี้ไม่เสียเปล่า”
ชายร่างยักษ์ทางด้านซ้ายกระซิบเสียงต่ำ “นายน้อย นายท่านเคยบอกแล้วว่าไม่ให้นายน้อยไปควรยั่วยุหรือวุ่นวายเขา”
ชายร่างยักษ์ทางขวานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
คุณชายเจ้าสำราญสวมชุดคลุมสีขาวยิ้มหรี่ตาพลางพูด “มันก็เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเข้าบ้านคนอื่นโดยพลการก็เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรเลย ถือเป็นการวุ่นวายอย่างไรกัน? สักวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้ นายน้อยเช่นข้าต้องมีโอกาสได้ได้สูบเลือดสูบเนื้อเขา ลอกหนังหักกระดูก ทำให้เขาได้รับความเจ็บปวดทรมาน”
ในคำพูดนั้นเจือไปด้วยความมั่นใจ คล้ายดังว่าเรื่องนี้ได้ถูกกำหนดไว้ก่อนตั้งนานแล้ว
ชายร่างยักษ์ทางซ้ายพูด “แม้ว่าเด็กชายคนนี้จะมีกำลังและอำนาจยังไม่เต็มที่มาก แต่ความสามารถของเขาไม่ได้เป็นรองของนายน้อยเลย นายน้อยต้องเข้าใจความจริงที่ว่าคนที่หยิ่งผยองกล้าเกินไปมักพ่ายแพ้ ทางที่ดีห้ามประมาทเลินเล่อ หรือชะล่าใจโดยเด็ดขาด”
ชายร่างยักษ์ทางด้านขวานิ่งเงียบไม่พูดอะไร
คุณชายเจ้าสำราญสวมชุดคลุมสีขาวพูดอย่างหงุดหงิด “รู้แล้วน่า รู้แล้ว ข้าไม่เคยประเมินเขาต่ำไป พวกเจ้าสองคนนี่…คนหนึ่งก็เงียบเป็นใบ้ ส่วนอีกคนก็เอาแต่ว่ากล่าว น่าเบื่อที่สุด”
ตัวแทนทางซ้ายและขวาเป็นนักพรตเต๋าผู้คุ้มกันของเขาที่ท่านพ่อของเขาจัดหามาให้ ถึงแม้จะน่ารำคาญสักหน่อย แต่พวกเขาก็เป็นทหารที่องอาจห้าวหาญชั้นเยี่ยมที่สุด คุณชายเจ้าสำราญสวมชุดคลุมสีขาวยังไม่เคยเห็นพวกเขาพ่ายแพ้มาก่อน
คุณชายเจ้าสำราญสวมชุดคลุมสีขาวลูบไล้แหวนปานจื่อ พลางพูดอย่างสบายๆ “ข้าได้ยินมาว่าดาบเล่มนั้นของสวี่ชีอันคือเล่มที่ท่านโหราจารย์ทำให้เองกับมือ อืม…คราวนี้ข้าจะแย่งชิงดาบของเขามาก่อน เก็บมาเป็นดอกเบี้ยเสียหน่อยคงไม่เป็นการทำเกินไปหรอกนะ”
ชายร่างยักษ์ทางด้านซ้ายแสดงความคิดเห็น “ความคมของดาบเล่มนี้ไม่มีใครเทียบได้ เคยได้ยินว่ามันถูกหลอมขึ้นด้วยเงาจันทร์ นายน้อยแย่งชิงมาก็ไม่เลวเลยทีเดียว”
ชายร่างยักษ์ทางขวานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
คุณชายเจ้าสำราญสวมชุดคลุมสีขาวพูดพลางหัวเราะเสียงดังลั่น “ไปกันเถอะ ได้ยินมาว่าที่ซานเซียนฟางกำลังมีงานรวมตัวสังสรรค์ พวกเราไปร่วมสนุกกันเถอะ เจ้าของอาคารหอหมื่นบุปผาผู้นั้นเป็นสาวงามที่หาได้ยาก”
……………………………………