ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 399 หนึ่งแขน หนึ่งอาวุธเวทมนตร์
บทที่ 399 หนึ่งแขน หนึ่งอาวุธเวทมนตร์
วันนี้ซานเซียนฟางที่เดิมทีควรจะแออัด กลับถูกกันให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของคนกลุ่มหนึ่ง
หลิงอวิ๋นยืนอยู่ริมถนน สวมเสื้อยืดสีเข้มพร้อมด้วยดาบเหล็กเล่มหนึ่ง แต่งกายตามแบบฉบับชาวยุทธภพทั่วไป
โดยปกติแล้วทุกวันคฤหาสน์เยวี่ยจือจะส่งลูกศิษย์ลอบเข้าไปในเมืองเพื่อสืบเสาะข่าวคราวและสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของชาวยุทธภพที่มารวมตัวกันที่นี่
ภารกิจในวันนี้ควรจะเป็นหน้าที่ของลูกศิษย์คนอื่นๆ ทว่าหลิงอวิ๋นกลับแย่งชิงมาเสียก่อน ภารกิจ ‘เครือข่ายจักรพรรดิ’ ของฆ้องเงินสวี่ หากใครกล้าแย่งชิงกับเขาคงเป็นอันต้องเดือดร้อน
คนที่ในใจหลิงอวิ๋นชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธามากที่สุดคือฆ้องเงินสวี่
เมื่อก่อนเคยบำเพ็ญพรตในนิกายเซน ใจเคารพยำเกรงต่อผู้นำเต๋าและเหล่าผู้อาวุโส แต่สิ่งนี้ต่างจากการชื่นชม
เขาเดินไปรอบๆ เมืองเพื่อสืบหาข้อมูลสำคัญเรื่องหนึ่ง ส่วนเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีและกลุ่มคนลึกลับของราชสำนักได้เชิญกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาเพื่อพูดคุยที่ซานเซียนฟาง
พวกเขาใช้อำนาจเผด็จการในการเคลียร์พื้นที่ แต่ดูเหมือนไม่ได้สนใจว่าการสนทนาของตนนั้นจะถูกแอบฟังหรือเปล่า ดังนั้นจึงปล่อยให้พวกสอดแนมยืนอยู่ทางด้านล่างอาคารร่วมวงฟังด้วย
พวกเขาต้องแอบคุยกันว่าจะจัดการอย่างไรกับเยวี่ยจือแน่ๆ…
หลิงอวิ๋นกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ ใช้หูจับเสียงสนทนาบนชั้นสอง
บนชั้นสองของหอสังเกตการณ์ ผู้มาเยือนสามกลุ่มนั่งแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน โต๊ะหนึ่งเป็นนักพรตในอาภรณ์ผ้าขนนกสีขาว ทรงผมถูกหวีสางอย่างประณีต ดวงตาฉายแววร้ายลึก
ขณะมองซ้ายแลขวาพลันทำให้ผู้คนต่างตัวสั่นงันงก
อีกโต๊ะหนึ่งเป็นบุคคลลึกลับที่สวมชุดคลุมและหน้ากากเหล็กสีดำ ส่วนผู้นำนั้นสวมหน้ากากสีทอง ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นคนที่ลากปืนใหญ่และทิ้งระเบิดที่คฤหาสน์เยวี่ยจือเมื่อเช้าวันนี้
ส่วนโต๊ะสุดท้ายเต็มไปด้วยหญิงสาวหน้าตาสะสวย หนึ่งในนั้นมีผู้ที่โดดเด่นกว่าใครเป็นพิเศษ ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยผ้าบางๆ ดวงตาใสสะกดผู้คนราวกับสระน้ำในฤดูสารท
ด้วยสัดส่วนร่างกายที่สมบูรณ์แบบทำให้รูปร่างของนางดูดีกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่มีผู้ชายแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ส่งกลุ่มสาวๆ มาเจรจาน่ะ” นักพรตวัยกลางคนผู้มีดอกหลานเหลียน[1]ปักไว้บนหน้าอกเอ่ยเยาะเย้ย
ดวงตานักบวชหลานเหลียนมองไล้ไปตามเรือนร่างอันเย้ายวนและเจ้าเนื้อของหญิงสาวอย่างเปิดเผยด้วยอารมณ์ละโมบและจิตอกุศล
ความทรามของเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีแสดงออกประจักษ์แจ่มแจ้ง
เซียวเยว่หนูผู้ดูแลหอหมื่นบุปผา
นางถือพัดกระดูกเงินอันหนึ่งไว้ในมือ หรี่ตาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มีอะไรก็ว่ามา หากเจ้ายังมองซี้ซั้วอีก ข้าจะขุดลูกตาของเจ้านำมาทำเหล้าบ๊วยเสีย”
นักบวชหลานเหลียนปล่อยเสียงร้องโฮ ไม่เพียงแต่ไม่กลัวแต่กลับกลายเป็นคนไร้ยางอายมากขึ้นไปอีกโดยไม่สนใจต่อการยั่วยุ
“โอ้ การข่มขู่ของคนบ้าพวกนี้ มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง” ชายชุดดำสวมหน้ากากทองหัวเราะโพล่งขึ้นมา
เขากอบกุมถ้วยกระเบื้องซึ่งบรรจุเหล้าบ๊วยไว้ในมือ ไล้วนถ้วยไปมาก่อนเอ่ยว่า “เนื่องจากพวกเราตกลงที่จะจัดตั้งพันธมิตร เหตุใดสำนักโม่จึงลาออกถึงครึ่งหนึ่ง พวกเราต้องการคำอธิบายจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์”
เซียวเยว่หนูกล่าวเสียงเบา “ทุกนิกายภายใต้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ล้วนเป็นอิสระ การตัดสินใจของสำนักโม่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์”
นักบวชหลานเหลียนเยาะเย้ย “นี่เป็นคำแก้ตัวของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์หรือเปล่า?”
หรงหรงหัตถ์รื่นรมย์กรุ่นโกรธพลางเอ่ยตอบอย่างหัวเสีย “กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีข้อบังคับอันเป็นปัจเจก ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านจะมาขัดได้”
ดวงตามาดร้ายของนักบวชหลานเหลียนปะทะสายตาของนางอย่างฟาดฟัน
‘พรี่บ!’
พัดกระดูกเงินถูกกางออกบดบังใบหน้าของหรงหรง
เซียวเยว่หนูลงมือฉับพลันราวกับคาดคะเนอีกฝ่ายผิดคาด จึงสกัดกั้นอากาศไว้ เหล่าผู้อาวุโสหญิงแห่งหอหมื่นบุปผาตระหนักได้ถึงพลังที่มองไม่เห็นซึ่งถูกผู้ดูแลหอสกัดกั้นไว้ในทันที
ดวงตาคู่สวยของเซียวเยว่หนูเบิกกว้าง ประชดประชัน “หากนิกายปฐพีของท่านต้องการแตกหักกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของข้า เซียวเยว่หนูก็พร้อมดำเนินตามจนถึงที่สุด”
นักบวชหลานเหลียนพ่นลมและมองย้อนกลับไป
หรงหรงที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเดินอยู่รอบๆ ปากประตูนรก นั่งนิ่งด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที นางก็รู้สึกตัวว่าแผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ
“ไม่เพียงแต่สำนักโม่ หากข้าจำไม่ผิด ในวันพรุ่งนี้จะมีหลายนิกายที่จะถอนตัวจากการแข่งขัน” เซียวเยว่หนูเอ่ยเสียงราบเรียบ
“เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพอฆ้องเงินสวี่เข้าร่วมกับคฤหาสน์เยวี่ยจือ เขาที่มีสถานะสูงส่งในหัวใจของประชาชนชาวยุทธภพ สำนักโม่จึงไม่คิดเป็นศัตรูกับเขา”
หลานเหลียนกล่าวเสียงเข้ม “เกรงว่าไม่ใช่แค่ไม่อยากเป็นศัตรูกับเขา ข้าได้ยินมาว่า คนบางส่วนในกลุ่มจอมยุทธ์มีแผนที่จะปกป้องสวี่ชีอันด้วย”
นี่เป็นเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมนิกายปฐพีและกลุ่มคนชุดดำจึงขอให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาในครั้งนี้
ชายชุดดำสวมหน้ากากทองพึมพำ “หวังว่าผู้ดูแลหอเซียวจะกลับไปแจ้งเฉาเหมิงจู่ให้ลงมือหยุดยั้งเขาให้ดี อย่าเป็นม้าเพียงไม่กี่ตัวที่ทำลายฝูง จนทำให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทั้งหมดเสื่อมเสียไปด้วยเลย”
เซียวเยว่หนูเยาะเย้ย “นี่ท่านกำลังข่มขู่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อยู่งั้นหรือ?”
นางตระหนักได้ว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่าง คนของนิกายปฐพีน่ะหรือหวาดกลัวคฤหาสน์เยวี่ยจือ หากกล่าวตามเหตุผล แม้คฤหาสน์เยวี่ยจือจะได้รับการสนับสนุนจากหลี่เมี่ยวเจิน สวี่ชีอันและคนอื่นๆ แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาสในการชนะของฝ่ายตรงข้ามนั้นมีน้อยเกินไป
หากตัดเรื่องความเหนือชั้นของผู้แข็งแกร่งขั้นสี่ออกไป เพียงอาศัยผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีก็สามารถกวาดล้างคฤหาสน์เยวี่ยจือได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างอวตารก็ตาม
‘ดูเหมือนว่านิกายปฐพีไม่ต้องการให้ใครถอนตัว เนื่องด้วยความปรารถนาที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง นี่หมายความว่ามียอดฝีมือระดับสูงซุกซ่อนอยู่ในคฤหาสน์เยวี่ยจือจึงทำให้นิกายปฐพีหวาดกลัวและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรวมกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เข้าด้วยกัน’…เซียวเยว่หนูคิดในใจ
ในเวลานี้ จู่ๆ ก็ได้ยินใครบางคนเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “แค่สวี่ชีอันคนเดียว คุ้มค่าแล้วหรือที่สละเวลามาเพื่อเสวนากันที่นี่?”
เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันได ตรงบริเวณทางขึ้นบันไดปรากฏร่างคุณชายรูปงามคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวคาดเข็มขัดหยกเดินขึ้นมา ตามมาด้วยคนสวมหมวกและเสื้อคลุมสีดำ รูปร่างสูงใหญ่คล้ายหอคอยสองคน
นักบวชหลานเหลียนมองย้อนกลับไปพลางพูดอย่างก้าวร้าว “ปลาเน่าที่ไหนกันนะกล้ามารบกวนการสนทนาของข้า”
คุณชายชุดขาวหรี่ตา เอ่ยเสียงเรียบ “มือซ้าย ตบปากเขาซะ!”
ครั้นสิ้นเสียง ชายร่างยักษ์ที่อยู่ทางซ้ายก็หายวับไป ตามด้วยเสียงตบดังสนั่นภายในห้องโถงชั้นสอง
‘โครม…’
แผ่นไม้ที่ปูบนพื้นบุบหัก โดยมีใบหน้าครึ่งซีกของนักบวชหลานเหลียนฝังอยู่ในนั้น เลือดไหลออกทวารทั้งเจ็ดมี
รูม่านตาของลูกศิษย์เซียวเยว่หนูและชายสวมหน้ากากทองหดเล็กลง หญิงสาวกำพัดกระดูกสีเงินแน่น ส่วนชายหนุ่มกดด้ามมีดนิ่งค้าง
เหล่าสาวกนิกายปฐพีต่างลุกขึ้นฮือฮา จ้องมองไปที่เหล่าคุณชายชุดขาวทั้งสามด้วยสายตามุ่งร้าย
“ไม่ตาย ไม่ตาย ไม่ตาย…”
คุณชายชุดขาวโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เพียงลงโทษเขานิดหน่อย ผู้รับใช้ของข้าลงมืออย่างสมควร ทุกท่านวางใจได้”
เขายิ้มตลอดการพูด แสนเย่อหยิ่งและจองหอง
คนแบบนี้ไม่ใช่พวกเจ้าสำอางสมองกลวง แต่เป็นคนมีความมั่นใจพอดู
ดวงตาของชายชุดขาวจ้องไปยังเรือนร่างของเซียวเยว่หนูพลันเปล่งประกายขึ้นมาในทันใด ขณะถูแหวนปานจื่อก็สาวเท้าเข้าไปใกล้
ระหว่างที่เขาเดินผ่านชายชุดดำสวมหน้ากากทอง ชายชุดดำเคาะนิ้วอยู่หลายครั้งราวกับลังเลที่จะชักดาบออกมาจู่โจมอีกคน แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะล้มเลิกไป
ชายชุดขาวยกยิ้มมุมปากคล้ายเยาะเย้ย เดินผ่านโต๊ะนี้เพื่อไปพบกับโต๊ะเหล่าสาวงามกลุ่มนั้น
“เมื่อมาที่เจี้ยนโจว ข้าได้ส่งคนไปสอบถามเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและวิถีของเจี้ยนโจวมาแล้ว เดิมทียุทธภพเจี้ยนโจวแห่งนี้ไร้ชีวิตชีวาราวกับแอ่งน้ำนิ่ง กลับกันก็น่าสนใจมากทีเดียวหากแต่เพราะมีหอหมื่นบุปผา ว่ากันว่าเซียวเยว่หนูผู้ดูแลหอหมื่นบุปผางามล่มเมือง เป็นหญิงงามที่นับว่าหาได้ยากนัก จุ๊ๆ สมคำร่ำลือ สมคำร่ำลือจริงๆ”
คำพูดต่อมาของคุณชายชุดขาวทำให้ทุกคนในหอหมื่นบุปผาขมวดคิ้วกริ้ว เดือดดาลด้วยความโกรธ
“เมื่อสิ้นสุดการทัศนาจรยุทธภพครั้งนี้แล้ว ข้าจะพาผู้ดูแลหอเซียวกลับไปด้วย คงจะดีหากในห้องหอจะมีนางสนมผู้จงรักภักดีสักหนึ่งคน”
ท่านอาจารย์หรงหรงลุกขึ้นทันที ใบหน้าคร่ำเคร่งตบฝ่ามือพลังปราณไปที่หน้าอกของคุณชายชุดขาว
คุณชายชุดขาวยกมือขึ้นปัดไปที่ข้อมือขวา ทำให้ฝ่ามือซึ่งมีพลังปราณลึกล้ำกระแทกเข้ากับคานและแผ่นกระเบื้อง
ขณะที่เศษไม้และกระเบื้องกระเด็นกระดอน เขาเอื้อมมือไปคว้าหญิงสาวสวยเข้ามาไว้ในอ้อมแขนพลางเอ่ยกระซิบ “ถึงจะอายุมากไปสักหน่อยแต่ยังมีเสน่ห์ ข้าชอบผู้หญิงแบบเจ้า”
ยังไม่ทันที่เซียวเยว่หนูจะได้ลงมือ เขากลับตอบโต้นางได้ในทันทีที่เห็น ร่างชุดคลุมขาวก้าวถอยออกไป ทิ้งหญิงสาวสวยที่เขินอายและไม่พอใจไว้เบื้องหลัง
“ข้ามาที่นี่เพื่อสร้างพันธมิตร”
เขาหุบยิ้มแสนจองหอง เผยให้เห็นความสง่างามสุขุมอันแฝงด้วยเชื้อผู้ดีตระกูลชั้นสูง
“พันธมิตร?”
ชายชุดดำสวมหน้ากากทองเอ่ยถามอย่างชั่งใจ
“ข้าต้องการเมล็ดบัวและชีวิตอันไร้ค่าของสวี่ชีอัน”
คุณชายชุดขาวยกยิ้มแล้วพูดต่อ “พวกท่านไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง แต่ข้ากล้า! ยอมเทหมดหน้าตัก ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไม่ว่าภาพพจน์ของเขาในหัวใจประชาชนจะสูงส่งเพียงใดก็ตาม”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ชายชุดดำพูดด้วยความสนใจ
คุณชายชุดขาวไม่พูดอะไร เขาเดินไปที่หอสังเกตการณ์ สองมือค้ำลงบนราวบันได เพ่งโชคชะตาและพูดว่า “ทุกคนฟัง…”
เสียงดังกึกก้องดึงดูดผู้คนที่มาชุมนุมกัน รวมถึงชาวเมืองโดยรอบ
คุณชายชุดขาวเหยียดมือซ้ายออก “กล่องดาบ!”
ผู้รับใช้เบื้องด้านซ้ายยื่นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีเข้มให้โดยไม่ส่งเสียงใดๆ
“นายน้อยขอรับ ความผันผวนของจิตเดิมของคนผู้นั้นแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์หลายเท่า เขาเป็นคนของนิกายปฐพีของคฤหาสน์เยวี่ยจือ” ผู้รับใช้เบื้องซ้ายลดเสียงต่ำลง
คุณชายชุดขาวเดินไปตามสายตาของเขา เหลือบมองหลิงอวิ๋นที่สวมชุดเพื่อปลอมแปลงตัวอย่างเพิกเฉย ก่อนที่จะเปิดกล่องดึงดาบที่มีลักษณะคล้ายเข็มขนาดเล็กออกมาแล้วสะบัดมันด้วยนิ้วของเขา
ดาบเล่มเล็กพลิกไปมาขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นใบมีดสีเขียวสามฉื่อซึ่งฝังอยู่บนถนนที่ปูด้วยหินสีน้ำเงิน
รังสีอันเย็นเยียบของดาบแผ่ซ่านออกมา เผยให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของมัน ‘อาวุธเวทมนตร์’
คุณชายชุดขาวประกาศกร้าว “ผู้ใดก็ตามที่สามารถตัดแขนของสวี่ชีอันได้ จะได้รับรางวัลเป็นอาวุธเวทมนตร์ หากตัดแขนสองข้าง จะได้รับรางวัลเป็นดาบสองเล่ม หากตัดแขนและขา จะได้รับรางวัลเป็นดาบสี่เล่ม”
ขณะที่พูดเขาก็โบกสะบัดดาบยาวออกมา แล้วปักพวกมันไว้ที่กลางถนนทีละเล่ม
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่อาวุธเวทมนตร์ทั้งสี่ที่ไขว้สลับกันราวกับแม่เหล็กที่ดูดเข้าหาตะปูเหล็ก ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้
คุณชายชุดขาวตัดสินใจขั้นสุดท้าย “ใครสามารถตัดหัวของสวี่ชีอันได้ กล่องอาวุธเวทมนตร์ทั้งหมดนี้จะตกเป็นของผู้นั้น”
บนท้องถนนเกิดเสียงดังเซ็งแซ่
คุณชายชุดขาวหันกลับมาที่โต๊ะพลางมองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้ม ความตกตะลึงบนใบหน้าของเหล่าหญิงสาวแห่งหอหมื่นบุปผาเรียกรอยยิ้มที่มุมปากของเขากว้างขึ้น
เขาจ้องไปที่ชายชุดดำแล้วเงยหน้าขึ้นมองนักบวชหลานเหลียนที่ตื่นตระหนก ก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบ “สิ่งที่สำคัญที่สุดของเหล่าจอมยุทธ์พเนจรไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าของยังชีพแล้ว ข้าที่ส่งของยังชีพให้พวกเขาในตอนนี้ พวกท่านว่าคนเหล่านั้นจะยังคงเคารพสวี่ชีอันอยู่หรือเปล่า? ยังยำเกรงเขาอยู่อีกไหม? กล้าที่จะรุกรานเขาหรือไม่? ไม่มีนักพเนจรคนใดที่จะสามารถต้านทานสิ่งล่อใจอย่างอาวุธเวทมนตร์ได้หรอก ข้ารู้ รวมทั้งพวกท่านด้วย”
เซียวเยว่หนูกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าพูดเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?”
เหล่าจอมยุทธ์พเนจรไม่มีทางสังหารยอดฝีมือผู้ฝึกฝนพลังเทพวชิระได้หรอก
คุณชายชุดขาวยักไหล่เอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “สวี่ชีอันจะไม่ได้อ่านบทกวีเลยหรือ ต้องทนเห็นเสี่ยวเอ้อร์ได้เป็นขุนนางคนใหม่ ครั้งนี้เขาคงขึ้นสังเวียนประลองด้วยความโกรธแค้นแล้วเตรียมลงมืออีกครั้งเป็นแน่ นี่คือคำตอบของข้า”
‘เขากับสวี่ชีอันบาดหมางกันงั้นหรือ?’ เซียวเยว่หนูตกตะลึง นางเหลือบมองไปที่นักบวชหลานเหลียนแห่งนิกายปฐพี ก่อนจะตกใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งระงับความอาฆาตพยาบาทของเขาไว้และไม่ได้ตอบโต้
ดูเหมือนว่านิกายปฐพีจะกลัวคฤหาสน์เยวี่ยจือมากทีเดียว
ชายชุดดำยิ้ม ‘ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีเป้าหมายเดียวกัน’
ศัตรูของคุณชายสวี่ปรากฏตัวแล้วสินะ? คนของเขาสามารถทำให้นักบวชหลานเหลียนขั้นสี่บาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย ทั้งเขาก็เห็นว่าอาวุธเวทมนตร์เป็นของไร้ค่า…หลิงอวิ๋นตระหนักได้ทันทีว่าคุณชายชุดขาวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเล็กๆ นั้นเป็นศัตรูที่ช่างน่ากลัวและทรงพลังมากจริงๆ
เขาก้าวถอยหลังออกไปหลายสิบก้าวอย่างเงียบๆ แล้วหันกลับมาก่อนเตรียมตัวจากไป
เมื่อเริ่มก้าวแรก หลิงอวิ๋นพลันได้ยินเสียงของคุณชายชุดขาวดังมาจากหอสังเกตการณ์ที่อยู่ข้างหลังเขา “อ้อ ข้าลืมไป มีอีกอย่างที่ข้ายังไม่ได้ทำ ท่านคือนักพรตของคฤหาสน์เยวี่ยจือสินะ”
รูม่านตาของหลิงอวิ๋นหดตัวลงอย่างกะทันหัน เพียงรู้สึกว่าขนตามร่างกายลุกขึ้นซู่ ราวกับอารมณ์กำลังจะปะทุขึ้น
จากนั้นเขาก็พบว่าตัวเองเดินไม่ได้ เท้าทั้งสองคล้ายติดอยู่กับพื้นไม่ไหวติง
‘ไม่นะ รีบขยับเร็วเข้า ต้องกลับไปส่งข่าว ต้องรีบรายงานฆ้องเงินสวี่ เขาให้ข้ามาสืบข้อมูล ข้าจะทรยศต่อความไว้วางใจของเขาไม่ได้’…แก้มของหลิงอวิ๋นกระตุก ร่างกายของเขาเริ่มมีเหงื่อผุดซึม หยาดเหงื่อไหลรินรดหน้าผากของเขา
คุณชายชุดขาวปรากฏตัวต่อหน้าเขาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าต้องกลับไปรายงานข่าวสินะ?”
“ข้า ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร ข้าเป็นเพียงคนพเนจรเท่านั้น” หลิงอวิ๋นกล่าวเสียงหนักแน่น
คุณชายชุดขาวโบกมือเรียกดาบยาวที่ฝังอยู่ในถนนด้วยท่าทางยิ้มแย้ม “ข้าไม่ได้บอกว่าจะห้ามเจ้ารายงานข่าวเสียหน่อย แต่ว่า…”
เขาเว้นช่วงแล้วยกยิ้มเอ่ย “ขออภัยอย่างยิ่ง เจ้าคงต้องคลานกลับไปเสียแล้วล่ะ”
เขาโบกดาบอย่างเฉยเมย แสงแวบวาบพลันปรากฏขึ้น จากนั้นเข่าของหลิงอวิ๋นก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่แข้งทั้งสองจะแยกออกจากผู้เป็นเจ้าของมัน
“อ๊ากก…” เขากรีดร้องโหยหวนออกมา กลิ้งเกลือกด้วยความเจ็บปวด
คุณชายชุดขาวเหลือบมองเขา “นี่ถือเป็นการเตือน รีบคลานกลับไปเร็วๆ ล่ะ บางทีอาจได้รับการรักษาก่อนที่เลือดจะแห้งก็ได้นะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ยกดาบขึ้นในมือแล้วพูดว่า “ทุกท่านคงเห็นแล้วใช่หรือไม่ อาวุธเวทมนตร์ที่แท้จริงน่ะ ในวันพรุ่งนี้เมื่อเมล็ดบัวสุกงอม พวกท่านทุกคนล้วนมีโอกาสที่จะได้สังหารสวี่ชีอัน”
“นายน้อย หากถูกนายท่านพบเข้า ท่านจะถูกลงโทษได้นะขอรับ นายท่านบอกว่าอย่ายั่วโมโหเขาบ่อยๆ” ผู้รับใช้เบื้องซ้ายกล่าวเตือน
“ถ้าข้าไม่ยั่วยุเขา การเดินทางของข้าในครั้งนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร?” คุณชายชุดขาวหัวเราะเยาะเย้ย
“เจ้าบอกว่าถ้าข้าพาเด็กคนนั้นกลับมาได้ ด้วยคุณงามความดีอันล้นพ้นนี้ สถานะของข้าก็จะมั่นคงเทียบเท่ากับภูเขาไท่ไม่ใช่หรืออย่างไร?”
จุดประสงค์หลักของการเดินทางนี้คือเพื่อฝึกฝนวิทยายุทธ์ แต่การได้เห็นเด็กที่น่าจะเสียชีวิตไปเมื่อสิ้นปีของการตรวจสอบข้าราชสำนักก็เป็นจุดประสงค์ของเขาเช่นกัน
ตั้งแต่การตรวจสอบข้าราชสำนักเป็นต้นมา เขาก็ได้ยินวีรกรรมของสวี่ชีอันไม่ขาดสาย ภายในใจโกรธกริ้วจนบ้าคลั่ง
นามสกุลสวี่งดงามเพียงใด ในหัวใจของเขาก็ยิ่งโกรธแค้นมากเท่านั้น
ความรุ่งโรจน์และประสบการณ์เหล่านั้น มันควรจะเป็นของเขา
ที่สำคัญที่สุดคือ…โชคชะตาก็ควรจะเป็นของเขาด้วย!
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน สวี่ชีอันได้ฝึกฝนกระบวนวิชา ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ โดยลำพังในลานอันเงียบสงบ เพื่อให้กลิ่นอายและเลือดเข้าสู่ภายในและควบแน่นเป็นกระแสน้ำ
หากจะให้เปรียบเทียบ ก็เหมือนกับการเสริมสร้างหรือการควบคุมความแข็งแกร่งทางกายภาพ และเร่งการฝึกเปลี่ยนพลังงาน
เขารู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ มาถึงจุดคอขวด ห่างจากประตูเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถทำให้ประตูใหญ่ของขั้นห้าถูกเตะเปิดออก
“เหมือนมีบางอย่างขาดหายไป หวังว่าการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้จะทำให้ข้าได้เลื่อนขั้นตามที่ต้องการนะ…” ทันใดนั้นหูของสวี่ชีอันก็ขยับ ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ วิ่งเข้ามาหาเขา
ขณะที่เขาหาต้นตอ ศีรษะที่หันไปมาพลันพบเข้ากับใบหน้าเล็กๆ ของชิวฉานอีแห่งคฤหาสน์เยวี่ยจือ สีหน้าซีดเซียวพร้อมทั้งดวงตากลมโตที่เอ่อนองด้วยน้ำตา
หลังจากที่สบตาของสวี่ชีอัน หยาดน้ำตาใสก็พรั่งพรูลงมาราวกับไข่มุกที่ร่วงโรยไม่ขาดสาย
ชิวฉานอีพูดสะอึกสะอื้น “คุณชายสวี่ หลิงอวิ๋น หลิงอวิ๋นตายแล้ว…”
………………………………………………………
[1] ดอกหลานเหลียน หรือดอกบัวสีน้ำเงิน