ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 40 การต่อสู้
หลี่มู่ไป๋มองไปที่ผนังประกาศ นักเรียนมารวมตัวกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เหล่าอาจารย์ในสำนักเมื่อได้ยินข่าวก็มาด้วย พวกเขาตบต้นขาด้วยความตื่นเต้น ยกย่องบทกวีนี้ว่าดี เรียบง่ายและสมเหตุสมผล
ใบหูของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลี่ขยับ จับการสนทนาที่ลมภูเขาส่งมาเป็นระยะๆ
“บทกวีคราวก่อน ‘ใต้หล้านี้มีใครไม่รู้จักข้า’ ตอนนี้ก็ยังมีบทกวีส่งเสริมการเรียนรู้ หรือว่าเส้นทางบทกวีของกลุ่มนักปราชญ์ต้าฟ่งของข้าจะเรืองอำนาจขึ้นอีกครั้ง”
“สองร้อยปีที่ผ่านมา มีผลงานชิ้นเอกด้านบทกวีมีน้อยมาก แต่ตอนนี้กลับออกมาถึงสองบท ในที่สุดปัญญาชนรุ่นเราก็มีหน้าไปเผชิญกับคนรุ่นหลังแล้ว”
“เทียบกับ ‘ใต้หล้านี้มีใครไม่รู้จักข้า’ บทกวีส่งเสริมการเรียนรู้บทนี้ต้องแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางเป็นแน่ คงถูกนำมาตักเตือนเหล่าปัญญาชนบ่อยๆ”
“เหตุใดจึงไม่ได้ลงนาม ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านไหนแต่งหรือ”
‘ไม่ได้ลงนาม…บทกวีบทนี้ต้องแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางเป็นแน่…’ หลี่มู่ไป๋ฉุกคิดขึ้นในใจ และเหลือบมองสหายทั้งสองคนที่คุยกันเบาๆ เขาถอยหลังอย่างใจเย็น และจากไป
จางเซิ่นพบว่าหลี่มู่ไป๋หายตัวไป “พี่ฉุนจิ้งล่ะ”
“เมื่อสักครู่ก็ยังอยู่ตรงนี้…” เฉินไท่มองไปรอบๆ และชี้นิ้วไปทางผนังเตี้ย “อยู่นั่น”
จางเซิ่นมองไปตามเสียง เห็นหลี่มู่ไป๋แยกฝูงนักเรียนออก และถือพู่กันหมึกเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษแผ่นใหญ่
จางเซิ่นกับเฉินไท่ตั้งสมาธิ รูม่านตาของพวกเขาแคบลง มองเห็นได้ไกลถึงร้อยเมตร
ทั้งสองคนเห็นชัดเจนว่า หลี่มู่ไป๋เขียนอักขระตัวเล็กๆ ข้างๆ คำว่า ‘บทกวีส่งเสริมการเรียนรู้’
“ปลายปีเกิงจื่อต้นปีซินโฉ่ว อาจารย์ของข้ามู่ไป๋ส่งเสริมการเรียนรู้ จึงแต่งบทกวีบทนี้จากความรู้สึก”
ความหมายคือ ปลายปีเกิงจื่อต้นปีซินโฉ่ว อาจารย์หลี่มู่ไป๋เตือนให้ข้าปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง จึงเขียนบทกวีบทนี้
‘นี่ก็ถูไถได้เช่นกันหรือ’ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองท่านมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาทันที
“โจรเฒ่าไร้ยางอาย รีบวางพู่กันหมึกลงเลย!”
…
ศาลาด้านหลังสำนัก สร้างขึ้นบนภูเขา ทิศตะวันออกติดกับน้ำตกหลิวเต๋อ ทิศตะวันตกเป็นป่าไผ่ที่เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี
ไม้ไผ่เป็นของหายากในภาคเหนือ ทั้งเลี้ยงดูยาก และเพาะพันธุ์ยาก ภาพที่มันจะงอกเงยอย่างรวดเร็วในปริมาณมากนั้นสามารถเห็นได้เพียงที่ภาคใต้เท่านั้น
เหล่าอาจารย์ในสำนักปลูกไม้ไผ่ทางภาคใต้ และเพาะพันธุ์อย่างหนัก ใช้เวลาห้าสิบปีถึงเลี้ยงป่าไผ่ที่เขียวชอุ่มแห่งนี้ออกมาได้
นักปราชญ์ชอบไม้ไผ่เป็นพิเศษ และยกย่องความหยิ่งทะนงของมัน พวกเขามักใช้ไม้ไผ่อุปมาคน และอุปมาตัวเอง (เน้นชื่นชมเป็นหลัก)
เจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นลู่มาดูเป็นบางวัน ‘โอ้ ป่าไผ่เขียวชอุ่มเช่นนี้แล้ว ไม้ไผ่ไม่กลัวความหนาวเหน็บ และหยิ่งทะนงในทุกฤดู คนที่พรรณนาไม่ใช่ข้าหรอกหรือ ทุกคนต่างจากไป หลังจากนั้นก็มีแต่ข้าที่อยู่ที่นี่’
ดังนั้นศาลาจึงกลายเป็นสถานที่เก็บตัวของเจ้าสำนัก
ภายในห้องน้ำชาที่กะทัดรัดและเรียบหรู ชายชราที่สวมชุดผ้าป่านนั่งดื่มชากับหญิงสาวในอาภรณ์หรูหรา ยามสวมเกราะหนักอาวุธครบมืออยู่ด้านนอกศาลา
ผมหงอกของชายชราสยาย เผยให้เห็นความยุ่งเหยิงและองอาจเล็กน้อย ร่องแก้มกับรอยย่นระหว่างคิ้วลึกมาก และตอนที่ยิ้ม ตีนกาก็จะมากกว่าสองอย่างแรก
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว ยากจะทำให้ผู้คนคิดว่าชายชราที่แต่งตัวเป็นนักปราชญ์ขงจื๊อท่านนี้จะเป็นเจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นลู่
ผู้นำลัทธิขงจื๊อร่วมสมัย
หญิงสาวที่นั่งดื่มชากับเขาข้ามวัยยี่สิบมานานแล้ว แต่ยังมวยผมทรงก้นหอยอย่างเรียบง่าย และปักปิ่นสีทองเปล่งประกาย เห็นชัดว่าเป็นการแต่งกายของหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน
นางสวมชุดกระโปรงงดงามสีขาวแสงจันทร์ ชายกระโปรงยาวลากพื้น
ใบหน้าของนางงดงามไร้ที่ติ เหมือนกับดอกบัวที่ไม่เคยแปดเปื้อน ดวงตากระจ่างใสราวกับกระจกน้ำแข็ง ยากจะปกปิดความเย็นชาและสง่าเลิศล้ำไว้ได้
รูปร่างเพรียวบางหุ่นดี มีส่วนโค้งเว้าที่น่าดึงดูด
“ไม่เจอกันครึ่งปี เส้นสีเงินในผมของเจ้าสำนักเพิ่มขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก
“พวกมันคือไหมแห่งปัญญา” เจ้าสำนักดื่มชาพลางหัวเราะ
“วันนี้ข้าขึ้นไปบนภูเขา ได้ยินศิษย์ในสำนักอ่านบทกวีบทหนึ่ง… ‘ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน’ ” ดวงตาขององค์หญิงใหญ่ขยับเล็กน้อย ราวกับกระจกน้ำแข็งแตก “ผลงานชิ้นเอกเช่นนี้ ข้าได้ฟังแล้วมีความสุขมาก ไม่รู้ว่าเป็นผลงานใหม่ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นหรือไม่”
หลังจากเจ้าสำนักจ้าวโส่วฟัง เขาก็ส่ายหน้าและหัวเราะ
“เหตุใดเจ้าสำนักจึงหัวเราะข้า”
“ข้าไม่ได้หัวเราะองค์หญิง ข้าหัวเราะสำนักอวิ๋นลู่ที่เต็มไปด้วยคนมีความสามารถ แต่พวกเขาแต่งตามอารมณ์ไม่เหมือนกับผู้อื่น ไม่สิ กลุ่มนักปราชญ์ทั่วทั้งต้าฟ่งล้วนมีแนวคิดเฉยเมย ล้าสมัย ขาดจิตวิญญาณ แต่บทกวีให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณมากที่สุด”
“…คำพูดของเจ้าสำนักทำให้ข้าสับสน” สีหน้าขององค์หญิงใหญ่สงบนิ่ง กล้วยไม้งามหมุนถ้วยชาเชื่องช้า ท่าทางการดื่มชาของนางทั้งสูงศักดิ์และสง่างาม
จ้าวโส่วถอนหายใจ “ผู้ที่แต่งบทกวีบทนี้ มิใช่ปัญญาชน แต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างคนหนึ่งในอำเภอฉางเล่อเท่านั้น”
องค์หญิงใหญ่ประทับใจเล็กน้อย
องค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าฟ่งผู้นี้ แตกต่างจากหญิงสาวทั่วๆ ไป หญิงสาวตระกูลขุนนางที่มาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงด้านวรรณกรรม เชี่ยวชาญศิลปะสี่แขนงถึงขั้นมีพรสวรรค์
และองค์หญิงใหญ่ผู้นี้ นางเรียนหมากรุกกับเว่ยเยวียน เรียนกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารกับจางเซิ่น เรียนการปกครองกับเฉินไท่ นางท่องพระคัมภีร์ได้อย่างไหลลื่น ด้านบทความและเรียงความก็ไม่แพ้นักเรียนของราชวิทยาลัยหลวง
ขยันหมั่นเพียร และมีความรู้มาก
ตอนอายุสิบแปดปี จักรพรรดิอนุญาตให้นางเข้าร่วมงานเรียบเรียงหนังสือของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน[1] ปีก่อนองค์หญิงใหญ่พยายามจะเรียบเรียงหนังสือประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่รวมกลุ่มประท้วงจึงต้องปล่อยผ่านไป
“เจ้าสำนักไม่คิดจะเข้ารับราชการจริงๆ หรือ” สายตาขององค์หญิงใหญ่จริงใจ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลัทธิขงจื๊อมุ่งเน้นผู้คน ชีวิตไม่ยืนยาว เจ้าสำนักโปรดอย่าเสียเวลาเลย”
มีน้อยคนมากที่รู้ว่า ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลชิงโจว เดิมทีถูกมอบให้จ้าวโส่ว
เพียงแต่จ้าวโส่วหลบเลี่ยงไม่เต็มใจเข้ารับตำแหน่ง และยังเขียนจดหมายแนะนำฆราวาสจื่อหยางส่งไปที่ราชสำนักอีก
“หากการหลบเลี่ยงสามารถเปิดเส้นทางการเรียนรู้ให้คนรุ่นหลังได้ เหตุใดข้าจะไม่ทำล่ะ” จ้าวโส่วถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ป่าไผ่รู้แจ้งในสัจธรรมมากว่าสิบปี ทุ่มเททั้งกายและใจ แต่ก็ยังไม่อาจก้าวข้ามคูน้ำ[2]ที่รองปราชญ์เอก[3]เฉิงชื่อวาดไว้ได้”[4]
“เจ้าสำนักหมกมุ่นมากเกินไปแล้ว เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” องค์หญิงใหญ่เติมชาให้ตัวเองอย่างสงบนิ่ง “เสด็จพ่อเชื้อเชิญให้ท่านเข้ารับตำแหน่ง เพราะตั้งใจจะให้สำนักอวิ๋นลู่ดำรงตำแหน่งสำคัญอีกครั้ง หากท่านนึกถึงนักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่จริงๆ ก็ไม่ควรปฏิเสธ”
จ้าวโส่วยิ้มเยาะ “เพราะไม่อาจควบคุมเว่ยเยวียนได้มากขึ้นเรื่อยๆ หรือว่า ‘กลยุทธ์ปราบมังกร[5]’ ของขุนนางบุ๋นบู๊นับวันยิ่งเฉียบคมมากขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ”
“เพื่อประชาชนของต้าฟ่ง เพื่อคนทั้งโลก” องค์หญิงใหญ่พูดออกมาจากใจจริง
รอยยิ้มบนใบหน้าจ้าวโส่วดูเย้ยหยันมากขึ้นเรื่อยๆ
น้ำเสียงอันเย็นเยือกขององค์หญิงใหญ่เปลี่ยนไป นางถอนหายใจออกมา “หลังจากสงครามซานไห่ ความแข็งแกร่งระดับชาติของต้าฟ่งก็อ่อนแอลงทุกวันๆ ภัยพิบัติทางธรรมชาติก็เกิดติดต่อกันมาหลายปี ผู้ถือครองตำแหน่งแต่ไม่ทำงานก็มีนับไม่ถ้วน หายนะของเจ้าหน้าที่ระดับล่างจึงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ”
“ขุนนางในท้องพระโรงรู้เพียงแค่ข้อพิพาทของฝ่ายต่างๆ เท่านั้น มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนเอาแต่พูด และมีเพียงไม่กี่คนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาประเทศชาติ เจ้าสำนัก องค์จักรพรรดิกำลังขาดคนทำงาน”
เมื่อพูดจบ นางก็ไม่รอให้จ้าวโส่วพูด และพูดจาฉะฉานต่อ “สามปีก่อน พวกคนเถื่อนทางเหนือฉีกสนธิสัญญา ละเมิดเขตชายแดนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำยังปล้นสะดมประชาชน”
“พวกคนเถื่อนทางใต้ก็ทำลายเส้นทางขนส่ง ลอบโจมตีกองทัพ และพยายามชิงอาณาเขตที่เสียไปกลับคืนอย่างเปล่าประโยชน์”
“ประเทศแถบตะวันตกก็มองดูอย่างเงียบๆ พุทธศาสนาถือว่าสิ่งนี้เป็นภัยคุกคามและต้องการเทศนาในที่ราบภาคกลาง”
นางค่อยๆ เพิ่มน้ำเสียง จนน้ำเสียงไม่เยือกเย็นอีกต่อไป “เจ้าสำนัก ในฐานะปัญญาชน ท่านไม่ควรแสดงความทะเยอทะยานและฟื้นฟูศักดิ์ศรีของประเทศชาติหรือ”
จ้าวโส่วจ้ององค์หญิงใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาจากใบหน้าที่งามสง่าและสูงศักดิ์นี้ เขามองไปทางป่าไผ่ที่เขียวชอุ่มนอกหน้าต่าง และส่ายหน้าถอนหายใจ
“มิใช่ไม่เต็มใจ แต่ยังไม่ถึงเวลา เชิญองค์หญิงใหญ่กลับไปเถิด”
องค์หญิงใหญ่ไม่อาจซ่อนความผิดหวังในดวงตาของนางได้ นางกำลังจะกล่าวลาและจากไป เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังมาจากด้านนอกศาลา อาจารย์ในสำนักคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ และตะโกนเสียงดัง
“เจ้าสำนัก เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว หลี่มู่ไป๋ จางเซิ่นและเฉินไท่ทะเลาะวิวาทกันขอรับ”
…………………………………
[1] สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน เป็นหน่วยงานรวมบัณฑิตที่มีความสามารถ บัณฑิตฮั่นหลินมีหน้าที่ร่างราชโองการและเอกสารราชการต่างๆ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง บัณฑิตฮั่นหลินจะคัดเลือกจากผู้ที่สอบ ‘บัณฑิตขั้นสูง’ ซึ่งเป็นบัณฑิตที่ผ่านการสอบชั้นสูงสุดของจีนได้
[2] คูน้ำ เป็นแนวปราการธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ อุปมาถึง ช่องว่างจากสิ่งเดิมสู่สิ่งใหม่ว่าห่างไกล เป็นเรื่องยากที่จะข้ามผ่านได้
[3] รองปราชญ์เอก เป็นขั้นหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ
[4] จ้าวโส่วเปรียบเปรยว่า ป่าไผ่ที่ปลูกยากเป็นดั่งตัวเขาที่ต้องทุ่มเทกายใจในการศึกษาและปฏิบัติจนรู้แจ้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจก้าวข้ามขั้นหนึ่งของลัทธิขงจื๊อที่รองปราชญ์เอกเฉิงชื่อทำไว้ได้
[5] กลยุทธ์ปราบมังกร เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการเล่นหมากล้อม หมายถึง การรุกฆาตหมากรุกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ของฝ่ายตรงข้าม