ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 400 แก้แค้นไม่ใช่แค่ชั่วข้ามคืน
บทที่ 400 แก้แค้นไม่ใช่แค่ชั่วข้ามคืน
หัวใจของสวี่ชีอันจมดิ่งลงในทันใด เขาเอื้อมมือคว้าดาบที่พิงอยู่ขอบหิน จ้ำอ้าวไปหาหญิงสาวที่ดวงตาบวมแดง “เขาอยู่ที่ไหน?”
“ส่งกลับมาในเมืองแล้วเจ้าค่ะ”
ชิวฉานอีเดินนำสวี่ชีอันออกไป อีกฝ่ายสะอึกสะอื้นพลางกล่าว “ร่างของหลิงอวิ๋นที่ถูกส่งกลับมา ขาของเขาถูกตัดขาดออกไป เราเรียกคืนวิญญาณของเขาไม่ได้ ทั้งนี้ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียนบอกว่าเพราะเขามีปณิธานที่ยังไม่บรรลุ”
มุมปากของสวี่ชีอันเม้มเป็นเส้นโค้งขรึม
หลังเดินผ่านสวนดอกไม้ไปตามทางเรียบที่ปูด้วยหินอ่อน ทั้งสองก็มาถึงด้านนอกลานบ้าน เมื่อเข้าใกล้จุดหมายก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญ
ภายในลานบ้านเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ประตูหลักถูกเปิดออกปรากฏให้เห็นจินเหลียนและไป๋เหลียน ฉู่หยวนเจินและหลี่เมี่ยวเจินพร้อมด้วยคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่กลางบ้าน ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ยืนอยู่ภายในลานนอกบ้าน
นอกจากนี้สวี่ชีอันยังเห็นคนที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
คุณชายหลิ่วแห่งสำนักโม่
สวี่ชีอันข้ามธรณีประตู สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะล้มลงบนเตียง ซึ่งที่นั่นมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ใบหน้าซีดไร้เลือดฝาด บ่งบอกว่าอีกฝ่ายตายไปนานแล้ว
ขาทั้งสองข้างของเขาถูกตัดขาดจากหัวเข่า รอยบากแดงก่ำ ดูเหมือนคนลงมือไม่เพียงแต่ทรงพลังเท่านั้นแต่อาวุธยังคมกริบมากอีกด้วย
สวี่ชีอันสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำเสียงให้เรียบนิ่ง “ใครเป็นคนทำ?”
คุณชายหลิ่วประสานมือ กล่าวเสียงเข้ม “เป็นชายหนุ่มลึกลับสวมชุดคลุมสีขาว ข้างกายมีคนร่างยักษ์สวมหมวกไม้ไผ่สาน ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ปะทะกับนักบวชหลานเหลียนแห่งนิกายปฐพีที่ซานเซียนฟาง คนร่างยักษ์ที่อยู่ข้างๆ ตบนักบวชหลานเหลียนจนได้รับบาดเจ็บ…”
ภายในภัตตาคารเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างปิด ทั้งระยะห่างระหว่างสองฝ่ายก็ไม่ไกลกันนัก ชาวยุทธจักรจึงมีข้อได้เปรียบเหนือสำนักอื่นๆ อย่างท่วมท้น แต่ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามที่อย่างน้อยก็ระดับอาวุโสสี่แล้ว นักพรตเหลียนฮวาเรียกได้ว่าคงอยู่ในระดับกลางค่อนมาล่างในหมู่นักพรต
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์
คุณชายหลิ่วกล่าวต่อ “ต่อมาชายผู้นั้นก็ตั้งรางวัลต่อหน้าสาธารณชน เขาใช้ลมปราณนำอาวุธเวทมนตร์สี่ชิ้นออกมา ก่อนจะประกาศกร้าวว่าผู้ใดสามารถตัดแขนข้างหนึ่งของคุณชายสวี่ได้ ผู้นั้นก็จะได้รับรางวัลเป็นอาวุธเวทมนตร์หนึ่งชิ้น แขนขารวมกันนับสี่ จำนวนรางวัลก็นับเป็นสี่เช่นเดียวกัน หรือหากสามารถตัดศีรษะของคุณชายสวี่ได้ อาวุธเวทมนตร์ทั้งหมดในกล่องดาบก็จะมอบให้กับผู้สร้างคุณูปการ”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวปรามาส “จองหองนัก”
ดูเหมือนนางจะโกรธมากกว่าสวี่ชีอันเสียอีก
ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างใคร่ครวญ “ดูเหมือนว่าคุณชายชุดขาวผู้นั้นจะมุ่งมาทางเจ้าสินะหนิงเยี่ยน?”
เหิงหย่วนประสานมือ ส่ายหัวและพูดว่า “อมิตตาพุทธ อาตมาคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ ใต้เท้าสวี่เคยอยู่ที่เมืองหลวงมาก่อนก็จริง แต่เขาเพิ่งมาถึงเจี้ยนโจวในวันนี้ ข่าวไม่น่าจะแพร่กระจายไปได้รวดเร็วขนาดนั้น หรือกระทั่งดึงดูดศัตรูของเขา เว้นแต่ว่าคุณชายชุดขาวจะอยู่ในเจี้ยนโจวอยู่ก่อนแล้ว แต่คุณชายหลิ่วกล่าวว่าตัวตนของคนผู้นั้นลึกลับและไม่ได้เป็นชาวเจี้ยนโจว ดังนั้นเขาอาจจะมาเพื่อเมล็ดบัวก็เป็นได้”
ระดับสติปัญญาของไต้ซือเหิงหย่วนนั้นสูงกว่าคนทั่วไป กล่าวได้ว่าอาจเทียบเท่ากับหลี่เมี่ยวเจิน
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองไปที่สวี่ชีอันพลางพูดเสียงขรึม “เจ้ามีเบื้องหลังกับคนผู้นี้หรือเปล่า?”
“ข้าไม่รู้จักเขา” สวี่ชีอันส่ายหัว หยุดนิ่งชั่วขณะแล้วยิ้มหยันเอ่ย “แต่ข้ารู้ว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน”
หากมองภาพรวมทั่วทั้งจิ่วโจว จากกองกำลังต่างๆและสำนักใหญ่ๆ ใครกันเล่าที่สามารถคิดค้นอาวุธเวทมนตร์ได้มากมายและปฏิบัติกับมันเฉกเช่นสิ่งของไร้ค่า?
สำนักโหราจารย์อย่างไรล่ะ!
แต่ไม่ใช่สำนักโหราจารย์เสียทีเดียว หากจะพูดให้ถูกคือโหรเท่านั้นที่ทำเรื่องพวกนี้ได้ และต้องเป็นโหรลำดับสูงไปจนถึงปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสี่ ถึงจะมีความสามารถในการปรับแต่งอาวุธเวทมนตร์
คุณชายชุดขาวผู้นั้นต้องมีโหรลำดับสูงคอยหนุนหลังอยู่แน่
โหรลำดับสูงที่ไม่ได้มาจากสำนักโหราจารย์สวี่ชีอันย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
สมาคมโหรลึกลับอยู่ในโชคชะตาความดูแลของข้า เดิมทีพวกเขาพยายามใช้คดีภาษีเล่นงานข้าอยู่แล้ว คุณชายชุดขาวผู้นั้นคงจะรู้เรื่องโชคชะตา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แสดงความเกลียดชังรุนแรงต่อข้าเช่นนี้หรอก
สมาคมโหรลึกลับเพ่งเล็งข้าอย่างนั้นหรือ?
จังหวะหายใจของสวี่ชีอันค่อยๆ ถี่กระชั้น
แม้เขาอยากจะปฏิเสธการคาดเดานี้ แต่สิ่งที่ไต้ซือเหิงหย่วนกล่าวมานั้นก็ถูก นี่เป็นการพบกันโดยบังเอิญ คุณชายชุดขาวผู้นั้นเพียงมาได้เวลาเหมาะเจาะ และคงรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่เจี้ยนโจว
กิริยาสง่าผ่าเผยเช่นนี้ดูต่างออกไปจากลักษณะของโหรลึกลับผู้นั้น อาจไม่ใช่เขาที่บงการอยู่เบื้องหลัง คงเป็นโคจรปราณที่ทำให้ข้าได้พบกับคุณชายชุดขาวผู้นั้นเสียมากกว่า…
เมื่อเป็นเช่นนี้สำหรับข้านี่อาจเป็นโอกาส
ฆ่าเขา เรียกคืนวิญญาณ ไขข้อสงสัยทั้งหมด
เมื่อทุกคนเห็นว่าเขานิ่งเงียบไปและไม่มีท่าทีอยากจะอธิบายใดๆ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไรอีก
คุณชายหลิ่วเอ่ย “จากนั้นคุณชายชุดขาวก็คว้าตัวหลิงอวิ๋น ตัดขาของเขาหวังให้คลานกลับไป ในตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย เมื่อได้รับข่าวก็รีบแจ้นไปทันที”
เมื่อเอ่ยถึงสิ่งนี้คุณชายหลิ่วก็แสดงท่าทีโกรธเคือง
“ข้าเห็นหลิงอวิ๋นกำลังคลานอยู่บนถนน เลือดรินไหลทอดยาวขนาบเป็นสองสาย ในขณะนั้นเขาหมดสติแต่กลับยังคงพยายามออกแรงคลาน…คุณชายชุดขาวผู้นั้นเดินตามหลิงอวิ๋น ในมือถือเหล้าบ๊วยดูรื่นเริงยิ้มร่า ไม่ยอมให้ใครเข้าช่วยหลิงอวิ๋น”
“หลิงอวิ๋นคลานออกไปได้เพียงนอกเมืองก่อนที่เขาจะตาย หลังคุณชายชุดขาวผู้นั้นจากไป ข้า ข้าถึงกล้าที่จะออกจากที่ซ่อนและพาเขากลับมา…โปรดอภัยให้ด้วยขอรับ”
หลี่เมี่ยวเจินกัดฟันกรอดๆ
ใบหน้าสะสวยของนักพรตหญิงไป๋เหลียนนิ่งค้างราวกับน้ำค้างแข็ง นางเคยได้ยินมาหนหนึ่งแล้วแต่ยังคงไม่อาจระงับความโกรธของตัวเองได้อยู่ดี
“ศิษย์พี่จินเหลียน พรรคฟ้าดินของข้าตกต่ำถึงจุดนี้เชียวหรือ? ที่ใครต่างก็เหยียบย่ำได้” นักพรตหญิงไป๋เหลียนกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “หลิงอวิ๋นเป็นเด็กที่พวกเราคอยเฝ้ามองการเติบโตแท้ๆ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองไปที่สวี่ชีอันพลางเอ่ยเสียงเข้ม “ไม่อาจเรียกคืนวิญญาณของเขาได้ ทั้งดวงตาก็ปิดไม่สนิท เจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับเขาหรือเปล่า?”
สวี่ชีอันเดินไปที่ข้างเตียง เพียงมองหลิงอวิ๋นเงียบๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พูดขึ้นแผ่วเบา “เจ้าทำภารกิจสำเร็จแล้วนะ”
เขาเหยียดมือออกไป ลูบไล้ใบหน้าของหลิงอวิ๋น จากนั้นดวงตาของอีกฝ่ายก็พลันปิดลง
สวี่ชีอันราวกลับถูกสายฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางใจ
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวปลอบโยน “สำหรับลูกศิษย์ลัทธิเต๋าแล้ว ความตายไม่ใช่จุดจบ พวกเราจะคอยเฝ้าดูแลวิญญาณของเขา เขาเพียงอยู่กับเราในรูปแบบที่ต่างออกไปเท่านั้น”
สวี่ชีอันไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ พร้อมมองไปที่ฝูงชน
“สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายมาก ทั้งการปรากฏตัวของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นิกายปฐพี และสายลับของไหวอ๋อง แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะยังไม่แน่ชัด แต่ผู้ติดตามข้างกายทั้งสองอย่างน้อยที่สุดคงอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นสี่ นอกจากนี้เป็นไปได้ว่าพวกอาวุธเวทมนตร์อาจจะมีอีกมาก พรุ่งนี้แม้ว่าเราจะได้รับการปลุกเสกค่ายกล แต่พวกเราเพียงไม่กี่คนจะสามารถต่อต้านยอดฝีมือจำนวนมากได้จริงๆ หรือ?”
คำถามนี้ ทุกคนในที่นี้ต่างก็คิดเรื่องนี้เช่นกันและบทสรุปก็น่าผิดหวัง
ก่อนหน้านี้ทุกคนจมอยู่ในพิษแรงโกรธที่ได้พบหลิงอวิ๋น จึงไม่มีใครเอ่ยถึงมัน
นัยน์ตาของนักบวชเต๋าจินเหลียนฉายแววเป็นกังวล
“ให้ลูกศิษย์ทุกคนออกไปจากลานบ้าน ข้ามีความคิดหนึ่ง…” สวี่ชีอันกระซิบ
ทุกคนหันไปมองทันที
นักพรตหญิงไป๋เหลียนออกไปที่ประตู ก่อนไล่เหล่าลูกศิษย์ในลานบ้านให้ออกไป
หลังจากปิดประตู สวี่ชีอันก็เริ่มพูด “ตอนนี้ข้อได้เปรียบของเจ้าถิ่นนี้ถูกบีบคั้นแล้ว แทนที่จะรอให้ศัตรูมารวมกันในวันพรุ่งนี้ สู้เริ่มโจมตีและแบ่งแยกพวกเขาออกจากกันก่อนคงจะดีกว่า”
ดวงตาของเขาสบสอดประสานกับสายตาทุกคน แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ต้องฆ่ามัน หลังพลบค่ำ ต้องฆ่ามันให้ได้!”
นักพรตหญิงไป๋เหลียนที่ไม่คาดคิดว่าเขาจะพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ โพล่งขึ้นมา
“ไม่ได้ พวกเราต้องปกป้องเมล็ดบัว จะตามไปฆ่าถึงในเมืองได้อย่างไร นอกจากนี้เมืองนี้เต็มไปด้วยยอดฝีมือ หากเจ้าไม่ได้รับการปลุกเสกค่ายกล ย่อมไม่มีทางเอาชนะพวกเขาได้”
การละทิ้งข้อได้เปรียบของเจ้าถิ่นแล้วเลือกฆ่าในพื้นที่ของศัตรูถือเป็นการทำลายตนเอง
สวี่ชีอันเอ่ย “การที่เจ้านั่นจงใจก่อจลาจลใหญ่โตเพียงนี้ ทั้งดูถูกหลิงอวิ๋น ไม่ใช่ว่าเขาต้องการให้ข้าไปหาหรอกหรือ เขาย่อมต้องรู้เส้นสนกลในและนิสัยของข้าเป็นแน่”
ไม่ว่าจะเป็นการกุดหัวผู้บังคับบัญชาของเขา หรือต่อสู้กับพวกกบฏเพียงลำพังในอวิ๋นโจว หรือแม้แต่การบั่นคอเจ้าชายในครั้งต่อมาก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าสวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์ที่หุนหันพลันแล่นและดื้อรั้น ในตอนกลางวันสิ่งที่เจ้านั่นทำ อาจเป็นเพียงแค่นิสัยของมันหรือไม่ก็ต้องการจะหลอกล่อเขาให้ติดกับของตัวเอง
“เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้ายังจะไปอยู่อีกหรือ?” หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว
“ข้าบอกว่าต้องฆ่า แต่ไม่ได้บอกให้สู้ในเมืองเสียหน่อย” สวี่ชีอันหัวเราะเย้ย
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ฉู่หยวนเจิ่นตกตะลึง
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กลับเอ่ยอย่างใคร่ครวญ
“พรุ่งนี้กองกำลังที่รวมตัวกันในเมืองจะก่อการโจมตีครั้งใหญ่ ซึ่งพวกเราต้องแบกรับแรงกดดันทั้งหมด ไม่ว่าจะยอดฝีมือของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ยอดฝีมือของนิกายปฐพี สายลับของไหวอ๋อง และเจ้าเด็กใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวนั่น ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะได้รับการปลุกเสกค่ายกล พวกเราก็อาจจะไม่สามารถชนะได้ แต่หากศัตรูถูกแยกออกจากกันเสียก่อนล่ะ?”
ชั่วครู่ต่อมาสวี่ชีอันออกจากลานบ้านก็พบว่าลูกศิษย์ของพรรคฟ้าดินไม่ได้แยกย้ายกันไปแต่กลับรวมตัวกันด้านนอกลาน
กระบอกตาของชิวฉานอีแดงก่ำ ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว บนใบหน้าของสาวน้อยทอประกายความหวัง “คุณชายสวี่ ท่าน ท่านจะล้างแค้นให้หลิงอวิ๋นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สวี่ชีอันพยักหน้าเงียบๆ
เหล่าลูกศิษย์พลันโค้งคำนับ
เมืองเล็กๆ ณ ที่ใดที่หนึ่งในบ้าน หรงหรงนั่งชันแก้มอยู่บนท่อนไม้เล็กๆ ภายในลานบ้านพลางจ้องมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย
“เจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่?”
เสียงนุ่มนวลราบรื่นดังมาจากด้านหลัง
หรงหรงรีบผงกขึ้นจากท่อนไม้และก้มศีรษะลง “ผู้ดูแลหอ”
เซียวเยว่หนูพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาสุกใสมองสำรวจหรงหรง ยิ้มเอ่ย “พอกลับมา เจ้าก็คอยแต่สอบถามถึงตัวตนของคุณชายผู้นั้นไปซะทั่ว ตกหลุมรักเขาแล้วสิ?”
หรงหรงตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มแหยส่ายหัว
“ดูเหมือนตกหลุมรักเขาเสียแล้วจริงๆ ด้วย”
“ไม่ ไม่ใช่นะเจ้าคะ…”
ขณะที่หรงหรงกำลังจะอธิบาย คำพูดของเซียวเยว่หนูกลับทำให้นางพูดไม่ออก “ที่ข้าหมายถึงคือสวี่ชีอันต่างหาก”
หรงหรงพูดเสียงเบาราวกับเสียงหึ่งหวี่ของยุง “นั่นก็ไม่ใช่เจ้าค่ะ ลูกศิษย์เพียงเคารพเขา ชื่นชมเขา และเป็นห่วงเขาเท่านั้น”
ความชื่นชมที่ไม่ใช่ความรู้สึกระหว่างชายหญิง
อย่างเช่น คุณชายสำนักโม่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนาง ทั้งฆ้องเงินสวี่นางก็ชื่นชมเป็นอย่างมาก
เซียวเยว่หนูพยักหน้า “คุณชายชุดขาวมีที่มาลึกลับ ผู้ติดตามข้างกายทั้งสองก็ทรงพลังยิ่ง กล่าวได้ว่าในเจี้ยนโจวพวกเขาอยู่ในอันดับต้นๆ เขาไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา แต่ย่อมไม่ใช่คนอ่อนแอเช่นกัน”
หรงหรงรู้สึกประหม่า “ข้าแน่ใจว่ามีหลายคนที่จูงใจไปกับอาวุธเวทมนตร์เหล่านั้น ในวันพรุ่งนี้ฆ้องเงินสวี่อาจตกอยู่ในอันตราย”
“หากไปสะกิดศัตรูที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ทั้งยังเป็นผู้มั่งคั่งเข้า ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยอันตรายได้ ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของฆ้องเงินสวี่ก็ไม่อ่อนด้อยเช่นกันและเขาก็มีพลังระดับเพชรที่จะปกป้องตัวเอง แม้ว่าคู่ต่อสู้จะไม่ใช่ผู้ติดตามทั้งสอง แต่หากจะหลบหนีก็คงทำได้ไม่ยากนักหรอก” เซียวเยว่หนูกล่าวด้วยความโล่งใจ
ขอเพียงรอดมาได้ก็นับว่าดีถมแล้ว
…
หลังพลบค่ำ ณ โรงเตี๊ยมในเมือง
โฉวเชียนที่สวมชุดคลุมสีขาวพร้อมด้วยเข็มขัดหยก กำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ข้างหน้าต่าง ส่วนชายร่างยักษ์ทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะ คนหนึ่งเงียบไม่พูดไม่จา อีกคนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นายน้อย แบบนี้ก็เท่ากับว่าท่านทำให้แผนการพัง จะทำเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ”
โฉวเชียนยิ้มเยาะกล่าว “ในยามเกิดวิกฤต เจ้าควรจะมั่นใจในตัวข้า การไม่ทำอะไรเลยทำให้ข้ายุ่งยากมากขึ้นเท่านั้น แต่หากเจ้าจับสวี่ชีอันและพาเขากลับมาได้ ภัยคุกคามและความทะเยอทะยานทั้งหมดก็จะหายไป จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดสามารถสะเทือนตำแหน่งของข้าได้”
ผู้ติดตามเบื้องซ้ายชี้แนะต่อ “ผู้ที่ครอบครองโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ ย่อมมีโชคเข้าข้างอยู่เสมอ คนผู้นั้นสามารถลื่นไหลไปตามสถานการณ์ได้โดยสัญชาตญาณ ไม่เช่นนั้นเขาคงตายไปนานแล้ว เป็นเช่นนี้ท่านยังอยากจะลงมืออยู่อีกหรือขอรับ?”
โฉวเชียนขมวดคิ้วมุ่น ไม่พอใจเล็กน้อย “โชคชะตาไม่ได้มีอำนาจทุกสิ่ง ไม่เช่นนั้นคนที่ยังบำเพ็ญอยู่เล่า? ล้วนแข่งขันกันเพื่อโชคชะตาทั้งนั้น”
เขาหันศีรษะมองดูพระอาทิตย์ที่ตกทางทิศตะวันตกพลางผ่อนเสียงลง “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเขาต่ำเกินไป ไม่คิดเลยว่าเราจะตกเหยื่อไม่ได้ เฮ้อ บางทีสหายรอบตัวเขาอาจจะหยุดยั้งเขาไว้ก็เป็นได้”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นที่ประตูห้องพัก ก่อนมันจะถูกผลักให้เปิดออก
โฉวเชียนขมวดคิ้วพลางหันไปรอบๆ ก่อนพบเข้ากับชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่นอกประตูพร้อมกับกระบี่ที่คาดอยู่บริเวณเอว ดวงตาที่เย็นชากวาดมองคนทั้งสาม
เมื่อมองชายที่ปลอมตัวมาจนแน่ชัดแล้ว บนใบหน้าของโฉวเชียนพลันเผยรอยยิ้มน่าสยดสยอง “สวี่ชีอัน!”
“ข้าเอง!” สวี่ชีอันพยักหน้า ให้คำตอบยืนยัน
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
โฉวเชียนเผยรอยยิ้มปรีดาให้กับแผนที่สำเร็จลุล่วง “ข้าได้วิเคราะห์นิสัยของเจ้าแล้ว หุนหันพลันแล่น แข็งกร้าวและยึดมั่นในแนวทางของตน การที่ข้ายั่วโมโหต่อหน้าสาธารณชนในเมืองและฆ่าลูกศิษย์ของนิกายปฐพี ด้วยนิสัยของข้า เจ้าคงทนไม่ได้สินะ”
“เจ้าเดาถูกแล้ว” สวี่ชีอันพยักหน้า ให้คำตอบยืนยันอีกครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าเดาได้หรือไม่ว่านักพรตที่ตกสู่ทางมารของนิกายปฐพีและสายลับไหวอ๋องได้ล้อมรอบโรงเตี๊ยมไว้หมดแล้ว” โฉวเชียนยิ้มด้วยความมั่นใจอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
“มีผู้อาวุโสคนหนึ่งเคยบอกข้าว่านิสัยของทุกคนล้วนมีจุดอ่อน หากผู้ใดที่จับจุดได้ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ถือไม้ตาย”
กลิ่นอายหยิ่งทะนงหลายเฮือกปรี่เข้ามาใกล้โรงเตี๊ยม
โฉวเชียนยิ้มกว้างขึ้น
“เจ้าคงจับจุดอ่อนของข้าได้จริงๆ นั่นแหละ”
สวี่ชีอันผู้ซึ่งมักไม่แสดงอารมณ์ยิ้มเยาะเย้ย “ไอ้คนอวดฉลาด”
เมื่อเสียงพูดแผ่วลง ร่างในชุดขาวก็ปรากฏขึ้นภายในห้องพร้อมกับเสียงเอื้อนทุ่มต่ำ “เมื่อทะเลถึงจุดสิ้นสุดฟากฟ้าจะเป็นฝั่ง เมื่อการรู้ตื่นถึงขั้นสุดข้าจะกลายเป็นจุดสุดยอด”
ทันทีที่ของของเขาก้าวลงมา พื้นก็สว่างไสวสาดส่องไปทั่วทั้งห้องอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นก็หายวับไป
……………………………………………………..