ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 402 สังหารศัตรู
บทที่ 402 สังหารศัตรู
‘ชิ้ง!’
กำแพงปราณใสก่อตัวขึ้น สกัดกั้นคมดาบที่ปะทะเข้าอย่างจัง ห่างจากลำคอของโฉวเชียนเพียงสามนิ้ว ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นระลอกคลื่นอย่างบ้าคลั่ง
ดาบเดียวของสวี่ชีอันไม่อาจจัดการได้ เขาจึงรีบถอยออกมาตั้งหลักโดยไม่ลังเล
“ศิษย์พี่หยาง ยิง” สวี่ชีอันตะโกน
‘ฟิ้ว…’
กระสุนปืนใหญ่พุ่งทะยานตัดผ่านอากาศส่งเสียงหวีดหวิว โจมตีใส่โฉวเชียนอย่างจัง เกิดแรงระเบิดรุนแรง เปลวเพลิงส่องสว่างทั่วบริเวณ กลุ่มควันลอยคละคลุ้ง
ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายเฝ้ามองสถานการณ์จากระยะไกล คล้ายจะรู้ตั้งแต่ต้นว่ากระบวนท่าดาบเดียวและการระเบิดนั้นไม่มีทางทำร้ายนายน้อยของเขาได้ จึงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ส่งเสียงเตือนสติด้วยความเคยชิน
“นายน้อย อย่าได้รีรอเลยขอรับ บ่าวเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา จัดการยากนัก”
ในตอนนี้เอง โฉวเชียนก็สลัดอาการวิงเวียนศีรษะออกไปได้ หนังศีรษะของเขารู้สึกชาเล็กน้อย ความรู้สึกหวาดกลัวเอ่อล้นออกมา
เขากำจี้หยกสีม่วงที่ห้อยอยู่ตรงผ้าคาดเอวไว้ในมือ พลางถอนหายใจ “อันตราย ถ้าไม่ได้สมบัติคุ้มกายาชิ้นนี้ ป่านนี้ข้าคงตายไปแล้ว หึ เจ้ามีระดับเพชรไร้พ่ายคุ้มกาย ข้าก็มีอาวุธเวทมนตร์คุ้มกายเช่นกัน”
ผู้เล่นสายเติมเกม[1]ไปตายให้หมด…สวี่ชีอันเหลือบมองหยางเชียนฮ่วนที่ระดมยิงปืนใหญ่จากระยะไกล ก่อนจะหันกลับมาสนใจโฉวเชียนอีกครั้ง
โฉวเชียนหัวเราะเยาะ “เจ้าคงคิดว่าตัวเองเป็นบุตรที่สวรรค์โปรดปรานงั้นสิ เป็นบุตรสวรรค์ที่พิชิตอ๋องสยบแดนเหนือได้งั้นหรือ เป็นบุคคลที่เก่งกล้าสามารถเกินใครงั้นหรือ ข้าจะบอกความลับให้เจ้าอย่างหนึ่ง ที่จริงแล้วเจ้ามันก็เป็นแค่ไอ้สวะชั้นต่ำ ที่เจ้าคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสนัก นั่นก็เป็นแค่ ‘พลัง’ ที่ตระกูลของข้าเขี่ยทิ้งให้เจ้าก็เท่านั้น”
“ตระกูลของเจ้าหรือ”
สวี่ชีอันกวัดแกว่งดาบยาวอย่างสบายๆ เกิดเสียงปังๆ สองครั้ง และสลายปราณกระบี่ที่ส่งมาจากโฉวเชียน
โฉวเชียนไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกดาบขึ้นพุ่งตัวเข้าไปสังหาร
ยอดฝีมือหนุ่มทั้งสองปะทะกันอย่างรวดเร็ว คมดาบและกระบี่กระทบกระทั่งกันอย่างดุเดือด แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้นี้รุนแรงเพียงใด
โฉวเชียนอยู่ในขั้นห้าสลายแรง ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าสวี่ชีอันควรจะบดขยี้สวี่ชีอันได้ง่ายดายทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเดือดดาลคือวิชาดาบที่แสนแปลกประหลาดนี้ ทำให้เขาเกิดอาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงทุกครั้งที่คมดาบปะทะกัน
เขาถูกขัดจังหวะโจมตีเสียทุกครั้ง บางครั้งเขาโจมตีอย่างเต็มแรง กระบี่เงาจันทร์ตัดผ่านกลางลำตัวของอีกฝ่าย ก็ทำให้เกิดเพียงประกายไฟพร่างพราวขึ้นเท่านั้น ไม่สามารถทำลายร่างทองไร้พ่ายของเขาได้
‘ไอ้เวรตะไลนี่ อยู่แค่ขั้นหกแต่กำจัดยากเย็นนักนะ’…โฉวเชียนใช้กระบี่ผลักสวี่ชีอันออก เขาไม่โจมตีซ้ำ เพียงแต่จ้องมองชายหนุ่มผู้มีร่างสีทองเรืองรอง พร้อมกล่าวเนิบๆ ว่า
“ตั้งแต่ข้าฝึกฝึกวรยุทธ์มา ข้าเคยฝึกวิชากระบี่เพียงประเภทเดียวเท่านั้น เรียกว่า ‘กระบี่เก้าวง’ วิชากระบี่นี้ ทำให้เกิดวงแหวนคล้องเกี่ยวกันเป็นทอดๆ กระบวนดาบซ้อนทับกันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ฝึกวิชากระบี่นี้สำเร็จ ในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกันข้าก็ไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเลย”
โฉวเชียนรูดปลายนิ้วไปตามสันดาบ พร้อมจ้องมองเขาอย่างยั่วยุ “เทียบกันในในแง่ของพลังเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า กล้ารับกระบี่เก้าวงจากข้าหรือไม่”
หลังจากพูดจบ เขาก็ยกกระบี่ขึ้น และพุ่งตัวเข้าใส่อย่างดุเดือด
ก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนฟ้ากว่าสิบจั้งเหนือร่างของเขา ราวกับนกพญาอินทรีบินโฉบ กระบี่เงาจันทร์ถูกเงื้อขึ้นสูง ดูดซับแสงจันทร์อย่างบ้าคลั่ง
ไหนบอกว่าเป็นวิชากระบี่ไง?…สวี่ชีอันบ่นอุบในใจและยกดาบยาวสีดำทองขึ้นตั้งรับ
‘ชิ้ง!’
คมดาบวางในแนวนอนขวางกระบี่ในแนวตั้ง เกิดประกายแสงสว่างวาบ ตามด้วยแรงระเบิดของพลังปราณเป็นระลอกคลื่น
กระบี่เงาจันทร์ฟาดฟันจนสุดแรง จุดประกายไฟบนคมดาบยาวสีดำทองขึ้นมา โฉวเชียนอาศัยจังหวะหมุนตัว และโจมตีด้วยกระบี่เป็นครั้งที่สองตามมาติดๆ
‘เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…’
ร่างของเขากลายเป็นลูกข่าง กวัดแกว่งกระบี่ซ้ำๆ ราวกับกระแสน้ำในมหาสมุทร พลังของกระบี่ที่ฟาดฟันแต่ละครั้ง สั่งสมส่งต่อไปยังครั้งถัดไป ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แข็งแกร่งมาก…สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นเซถอยหลัง ราวกับถูกแสงดาบที่เป็นดั่งคลื่นทะเลปะทะจนทรงตัวไม่อยู่
เมื่อถอยห่างออกไปช่วงหนึ่ง เขาก็เก็บดาบเข้าฝัก สะกดกลั้นอารมณ์และดับพลังปราณทั้งปวง
กระบี่เงาจันทร์ระเบิดแสงเจิดจ้า เช่นเดียวกับดวงจันทร์ที่สว่างไสวกลางนภากาศ
“ลืมบอกไปว่ากระบี่เงาจันทร์มีวิญญาณ สามารถกลืนกินแสงจันทร์ได้เอง ยามราตรีคือช่วงเวลาที่มันทรงพลังที่สุด”
โฉวเชียนกล่าวพร้อมกับแสยะยิ้ม หมุนตัวกลับมา และฟาดกระบี่เป็นครั้งสุดท้าย
กระบวนดาบดังกล่าวทำลายได้ตั้งแต่ขั้นสี่ลงไป ทำให้ดูเหมือนเป็นแสงแห่งดาบที่น่าทึ่งที่สุดในโลก
‘ชิ้ง!’ เสียงของดาบที่ถูกชักออกจากฝักดังขึ้นมาก่อน
ในยามรัตติกาล แสงแห่งดาบสีดำสนิทส่องประกายขึ้นอย่างเลือนราง รวดเร็วจนเกือบจะไวกว่าแสง
ดาบเดียวตัดฟ้าดิน!
หลังจากผ่านไปหลายเดือน ในที่สุดสวี่ชีอันก็ได้สำแดงท่าไม้ตายอันเป็นที่เลื่องลือของเขา และยังเป็นท่าไม้ตายเพียงหนึ่งเดียวของเขาอีกด้วย!
โฉวเชียนเห็นแสงดาบสีดำสนิทหายวับไปในชั่วพริบตา เพียงเสี้ยวขณะต่อมาแสงเรืองรองที่อัดแน่นบนกระบี่เงาจันทร์ก็ระเบิดตัว ทำให้ง่ามนิ้วของเขากางออก และกระบี่เล่มยาวกระเด็นหลุดออกจากมือไปไกล
แสงดาบที่ว่องไวจนเกือบเหนือความเร็วแสงพุ่งชนเข้ากับกำแพงปราณใส พลังของทั้งสองฝั่งนิ่งค้างไปไม่กี่วินาที ก่อนที่แสงดาบจะระเบิดตัวกลายเป็นพลังปราณแหลกละเอียดไม่ต่างจากห่าฝนตกกระหน่ำ ทิ้งเพียงหลุมตื้นๆ ไว้บนผืนดินรอบด้าน
โฉวเชียนเซถลาไปด้านหลัง ก้มศีรษะมองจี้หยกสีม่วงที่คาดเอวอย่างไม่เชื่อสายตา
อาวุธเวทมนตร์คุ้มกายที่สามารถป้องกันจอมยุทธ์ขั้นสี่ได้เกิดรอยร้าวขึ้น
สีหน้าของโฉวเชียนชะงักค้าง เขาพึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้อย่างไร”
เขารู้ว่าสวี่ชีอันเชี่ยวชาญในวิชาดาบที่แข็งแกร่ง พลังปะทะรุนแรง ในตอนที่สวี่ชีอันอยู่ในขั้นหลอมวิญญาณ เขาเคยใช้วิชาดาบนี้กรีดเนื้อเถือหนังผู้ที่อยู่ในขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงมาแล้ว
ทว่าหลังจากใช้วิชานี้โดยไม่มีใครคาดคิดเพียงครั้งเดียว เขาก็ไม่สำแดงวิชานี้อีกเลย
ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่ามันเป็นวิชาดาบที่ถูกใช้งานในระยะแรกเริ่ม ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก เมื่อระดับการฝึกตนสูงขึ้นแล้ว วิชานี้ก็จะค่อยๆ หมดพลัง และถูกเลิกใช้ในที่สุด
“ในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่มีคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้องั้นหรือ…” สวี่ชีอันพลิกดาบไปมา พลางยิ้มยียวน “แค่นี้เองหรือ?”
ใบหน้าของโฉวเชียนซีดเผือด
ในตอนนั้นเอง ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายที่อยู่ห่างไกลออกไปก็สะบัดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นหน้าไม้ขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างเหมือนปักษายักษ์สยายปีกเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครซุกซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุม เขาเล็งไปทางสวี่ชีอัน และเหนี่ยวไก
‘ปัง!’
เสียงหน้าไม้รุนแรงและทรงพลัง
หลังจากลูกศรถูกยิงออกไป มันก็ขยายตัวพร้อมเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นลำแสงที่พวยพุ่งไปข้างหน้า
สวี่ชีอันถอยหลังโดยสัญชาตญาณ เขาหลบลูกศรที่ทรงพลังมหาศาลนี้ได้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าลูกศรจะพุ่งเป้ามาทางเขา หลังจากเคลื่อนผ่านตัวเขาไปราวๆ สิบจั้ง มันก็วกกลับและพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ซ้ำร้ายความเร็วและความแรงของมันก็เพิ่มขึ้นยิ่งกว่าตอนที่ยิงออกมาจากหน้าไม้ ผิดหลักกลสาสตร์อย่างมหันต์
“ลูกศรนี้มีชื่อว่า ‘ไร้ตรอมตรม’ เมื่อยิงออกไปแล้วจะไม่มีวันผิดหวังเป็นอันขาด มันเป็นหนึ่งในอาวุธเวทมนตร์ที่วิเศษที่สุด แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอาวุธเวทมนตร์ที่ข้านำมาด้วยในครั้งนี้” โฉวเชียนมองดูมหรสพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เขาสยบโทสะที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ลง สะกดกลั้นความรู้สึกริษยาและพ่ายแพ้ที่ล้นทะลักอยู่ในใจและไม่อาจยอมรับได้
หลังจากที่สวี่ชีอันหลบลูกศรได้สองครั้ง เขาก็ตกตะลึงเมื่อพบว่าลูกศรนั้นแข็งแกร่งและเร็วขึ้นกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่พุ่งทะยานไปในอากาศ จะเป็นการสะสมพลังไปในตัว
นี่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แหล่งพลังงานของมันอยู่ที่ใดกันแน่ ความสับสนบังเกิดขึ้นในใจของสวี่ชีอัน เขาพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้จากภพชาติก่อนของตนตามสัญชาตญาณ
ข้าไม่เชื่อว่าความเร็วของมันจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีขีดจำกัด
สวี่ชีอันคิดในใจ แต่ไม่กล้าเอาความเป็นความตายของตนมาเดิมพัน จึงก้าวไปข้างหน้า เปิดฉากทำลายมันก่อนในดาบเดียว
‘ตู้ม!’
ลำแสงที่เกิดจากการระเบิดของลูกศรกระจุยกระจาย เศษลูกศร และประกายแสงกระทบผิวกายทองคำของสวี่ชีอัน สาดประกายสีทอง ส่งเสียงคล้ายกระสุนปืนลูกซองนับร้อยนัดกระทบกับกำแพงเหล็กไม่หยุดหย่อน
หลังจากผ่านไปอย่างยากลำบาก ร่างทองของสวี่ชีอันก็สิ้นแสงลง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และพบว่าตัวเองยืนอยู่บนปากเหวแห่งความพ่ายแพ้
จากนั้นเขาก็รู้ตัวว่าตนเองไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
แสงกระทบสีเงินสะกดเขาให้หยุดนิ่ง โฉวเชียนผู้ประสบความสำเร็จในการลอบโจมตีไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือลังเลให้เสียเวลา ถอดกระเป๋าหนังคาดเอวออกและสะบัดมือจนสุดแรง
ปืนใหญ่ปรากฏขึ้นทีละกระบอก หน้าไม้ปรากฏขึ้นทีละคัน ปากกระบอกปืนยกขึ้น พร้อมกับหน้าไม้เล็งมาที่สวี่ชีอัน
“ข้าต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งของเจ้าเกินความคาดหมายของข้าไปมาก เจ้าอยู่ในขั้นหกแต่สามารถทำลายอาวุธเวทมนตร์คุ้มกายาของข้าได้ ดาบเดียวเมื่อครู่ หากไร้อาวุธเวทมนตร์คุ้มกายา ลำพังกระดูกเหล็กผิวทองแดงอย่างข้าคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย หากปล่อยให้เจ้าเติบโตไปในภายภาคหน้าก็ไม่ต่างอะไรกับเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้ แน่นอนว่าเจ้าไม่มีโอกาสได้เติบโตอีกต่อไปแล้ว ช่างไม่รู้เสียเลยว่ามีดเชือดหมูที่ห้อยอยู่เหนือหัวกำลังจะตกลงมาบั่นคอของเจ้าแล้ว”
โฉวเชียนจ้องมองสวี่ชีอันด้วยสีหน้าชั่วร้าย ไม่ปิดบังความริษยาชิงชังของตนอีกต่อไป
“เกียรติยศเจ้าต่ำต้อยกว่าข้า บริวารของเจ้าก็เทียบข้าไม่ติด แผนการกลยุทธ์เจ้าก็เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือข้า เจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้า”
“เจ้ามันก็แค่คนนอกคอกที่ฉกฉวยโอกาสไปจากข้า ทุกสิ่งที่เจ้ามีตอนนี้มันควรเป็นของข้า แต่ถึงข้าจะพูดไปเช่นนั้น ข้าก็ยังมีเมตตาต่อผู้พ่ายแพ้เสมอ วันนี้ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่จะตัดมือตัดเท้า สยบการฝึกตนของเจ้าเป็นรางวัลของข้า”
ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายเยินยอ “นายน้อยช่างปรีชาสามารถ เป็นดั่งหงส์คู่มังกรท่ามกลางปุถุชน แต่ว่าอย่าเพิ่งดีใจเลยขอรับ รีบลงมือเถิด อย่ามัวแต่ฝันหวานจนเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้”
‘ตู้ม ตู้ม ตู้ม!’
‘ปัง ปัง ปัง!’
เขาลอกเลียนการกระทำของหยางเชียนฮ่วน ใช้อาวุธเวทมนตร์ที่ใช้สำหรับสมรภูมิรบมาจัดการกับจอมยุทธ์ขั้นหกตัวคนเดียว
สวี่ชีอันที่เผชิญหน้ากับอาวุธเวทมนตร์ที่ขนมาอย่างถล่มทลาย เอ่ยขึ้นมาเพียงสามคำ “พลาดเสียแล้ว”
ห่ากระสุนปืนใหญ่และลูกศรเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน ไม่เบี่ยงไปทางซ้าย ก็ลอยไปทางขวา หรือลอยขึ้นข้างบน หลบเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ระยะเวลาการลั่นประกาศิตยังใช้ได้
“เจ้า…”
รูม่านตาของโฉวเชียนหดลง เขาไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากสีแดงก่ำเป็นซีดเผือด เขาคำรามลั่น “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่มีโอกาสได้ใช้คัมภีร์วรยุทธ์ขงจื๊อนี่ เจ้าไม่มีโอกาสด้วยซ้ำ”
เขารู้ว่าสวี่ชีอันใช้คัมภีร์วรยุทธ์ขงจื๊อ จึงปิดกั้นโอกาสไม่ให้เขาใช้งานมาโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เห็นเขาหยิบออกมาใช้งานสักครั้ง
สวี่ชีอันส่งเสียง ‘เหอะ’ ออกมา “เจ้าคิดว่าที่ข้าให้หยางเชียนฮ่วนยิงปืนใหญ่เมื่อครู่ เป็นเพราะข้าใจร้อนหรือ”
ทันใดนั้น หยางเชียนฮ่วนก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ พร้อมทั้งซ้ำเติมนิ่มๆ “จอมยุทธ์ก็คือจอมยุทธ์ ทำตัวต่ำช้าน่าสมเพช”
เขาหายตัวไปอีกครั้ง และกลับไปทำสงครามไล่ล่ากับข้ารับใช้ฝ่ายขวาต่อ
ร่างกายของโฉวเชียนสั่นสะท้าน เพลิงโทสะเดือดดาลขึ้นกว่าเดิม
อันที่จริงสวี่ชีอันยังมีอีกหนึ่งวิธีที่เอาชนะได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่เอ่ยว่า ‘พลังปราณของข้าจงแข็งแกร่งขึ้นสิบเท่า!’
เขามั่นใจว่าสามารถสังหารโฉวเชียนได้ในดาบเดียว
ทว่าราคาที่ต้องจ่ายคือ ฆ้องเงินสวี่และศัตรูต้องพินาศไปพร้อมกัน
ประกาศิตของลัทธิขงจื๊อคือการแหกกฎ จึงต้องถูกผลสะท้อนจากกฎดังกล่าวคืนสนอง ทีแรกสวี่ชีอันไม่ทราบข้อมูลเบื้องลึกเช่นนี้ ในตอนศึกสวรรค์มนุษย์ครั้งนั้น เขาจึงท่องประโยคหนึ่งว่า
‘จิตเดิมของข้าจงแข็งแกร่งขึ้นสิบเท่า’
ราคาที่ต้องจ่ายคือหลังจากสิ้นสุดการใช้งานวรยุทธ์นั้น จิตเดิมของเขาถูกฉีกทึ้งเป็นเสี่ยงๆ
โชคดีที่หลี่เมี่ยวเจินฟื้นขึ้นมาทันเวลาและพบว่าเพื่อนชายปากแจ๋วบนอินเทอร์เน็ตขี้โม้จนได้เรื่อง แต่ก็ยังอุตส่าห์ช่วยชีวิต เป็นธุระรวบรวมเศษเสี้ยววิญญาณของเขา และใช้วรยุทธ์ของนิกายสวรรค์ซ่อมแซมวิญญาณให้อีก
หากฟื้นคืนสติช้ากว่านี้สักหนึ่งเค่อ [2]สวี่ชีอันคงได้โบกมือลาโลกของจริง
บอกได้คำเดียวว่าโชคช่วยแท้ๆ
แล้วจะใช้วรยุทธ์ขงจื๊ออย่างไรให้ถูกต้องล่ะ? สวี่ชีอันสรุปจากประสบการณ์ได้ว่า จงโม้แต่พองาม
เรื่องโม้เรื่องแรกคือ ‘ผลข้างเคียงของดาบเดียวตัดฟ้าดินจะล่าช้าไปสองเค่อ’ เรื่องโม้เรื่องที่สองคือ ‘พลาดเสียแล้ว’ ล้วนแต่เป็นเรื่องโม้เล็กๆ ที่สดใหม่และผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี
สวี่ชีอันเก็บดาบเข้าฝัก จากนั้นกระซิบแผ่วเบา “ข้าอยู่ข้างหลังเขา!”
เมื่อสิ้นเสียง ร่างของเขาก็หายวับไปจากเงาสะท้อน เสี้ยวขณะต่อมาเขาก็ไปโผล่อยู่ด้านหลังของโฉวเชียน
‘ชิ้ง!’
ดาบเดียวตัดฟ้าดิน ถูกชักออกจากฝักอีกครั้ง
แสงดาบดำทมิฬวาบผ่าน
‘ฉัวะ กร๊อบ…’
โฉวเชียนได้ยินเสียงแตกหักของจี้หยกที่ห้อยเอว และเสียงของกำแพงป้องกันปริแตก
ทันใดนั้นร่างของเขาก็ล้มลง ทรุดลงไปกองกับพื้น หัวเข่าของเขาถูกตัดออกจากร่างกาย เลือดสดๆ ไหลทะลัก
“อ๊กกก…”โฉวเชียนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
“นายน้อย!”
ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายส่งเสียงร้องลั่น และพุ่งตัวไปข้างหน้า
“ช่วยข้า มาช่วยข้าเร็วเข้า…”
ดวงตาของโฉวเชียนฉายแววดิ้นรนอยากมีชีวิตรอดอย่างแรงกล้าออกมา ดูจากพลังของข้ารับใช้ฝ่ายซ้าย การฆ่าสวี่ชีอันที่พลังเทพวชิระใกล้จะพังทลายนั้นง่ายดายราวกับกะดิกนิ้วมือ
หยางเชียนฮ่วนถูกข้ารับใช้ฝ่ายขวาไล่ล่า แม้ว่าตอนนี้เขาจะตอบโต้กลับได้ อย่างมากก็ทำได้เพียงพาตัวสวี่ชีอันหนีไปด้วย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะรักษาชีวิตตัวเองก่อน
ร่างของข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายหายวับ กลายเป็นภาพขาดช่วง พร้อมพุ่งทะยานเข้ามา ห่างออกไปเพียงสิบกว่าจั้ง ในเวลาไม่ถึงชั่วอึดใจ
ในตอนนี้เองก็มีเงาดำร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง คล้ายจะคาดการณ์วิถีโจมตีของข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายได้
‘ตู้ม…’
เงาดำนั้นใช้ศีรษะกระแทกข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายดั่งวัวคลั่ง จนอีกฝ่ายตัวปลิวราวกับกระสุนปืนใหญ่
ร่างนั้นคือคนงามหน้าตาสะสวย สวมเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และคล้องฆ้องทองคำไว้เหนือทรวงอก
ท่าทางของนางดูวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย ยืนซวนเซไปมา
จากนั้นนางก็หายตัวไปอีกครั้ง เกิดเสียงปะทุของพลังปราณจากที่ที่ไกลออกไป ตามมาด้วยเสียงคำรามของข้ารับใช้ฝ่ายซ้าย
แสงสว่างในดวงตาโฉวเชียนค่อยๆ มอดลง
“เอาอย่างนี้ดีว่า ข้าให้เวลาเจ้าสักหนึ่งเค่อ หากเจ้าคลานไปได้สักยี่สิบจั้ง ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” สวี่ชีอันยืนกอดดาบ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอเตือนด้วยความหวังดี รีบๆ คลานซะ บางทีอาจจะรักษาทันก่อนที่เลือดจะไหลหมดตัวเสียก่อน”
โฉวเชียนกรีดร้องอย่างลนลาน รีบคลานไปข้างหน้าจนสุดแรงเกิด ทิ้งรอยเลือดสองสายไปตามทาง
ความหวาดกลัวปะทุในใจของชายหนุ่ม เขาได้กลิ่นอายของความตาย ลมหายใจหายช่วง
จนกระทั่งเขาคลานเหมือนหมาขี้แพ้ไปข้างหน้าได้ระยะหนึ่ง สวี่ชีอันก็โน้มตัวลง คว้าเส้นผมของโฉวเชียนแล้วบังคับให้อีกฝ่ายมองดูการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป พลางกระซิบเสียงต่ำ “พลังต่อสู้เจ้าก็เทียบข้าไม่ติด กระบวนวิชาเจ้าก็เทียบข้าไม่ติด กลยุทธ์เจ้าก็เทียบข้าไม่ติด เจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้า”
เขาบดขยี้ความหวังของชายหนุ่มจนไม่เหลือซาก!
แสงสว่างอันริบหรี่ในดวงตาโฉวเชียนดับมอดลงสนิท เหลือเพียงความสิ้นหวังอันบาดลึก
ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายตะโกนกร้าว “อย่าฆ่านายน้อย สวี่ชีอัน เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ถ้านายน้อยตายนายท่านจะทำลายตระกูลเจ้าเก้าชั่วโคตร”
“งั้นเจ้าคอยดูให้ดีแล้วกัน”
สวี่ชีอันยกดาบขึ้นแล้วตัดคอโฉวเชียนขาดสะบั้น จากนั้นเปิดถุงหอมคาดเอวออก และใส่วิญญาณแฝด ‘ฟ้าดิน’ ของเขาลงไป
จบเห่แล้ว!
เมื่อเห็นฉากนี้ หนังศีรษะของข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายและขวาก็เย็นวาบราวกับอยู่ในโรงเก็บน้ำแข็งใต้ดิน
………………………………………………
[1] 氪金玩家ผู้เล่นสายเติมเกม หมายถึงคนที่ใช้เงินจริงเพื่อซื้อของภายในเกม เพื่อให้ผู้เล่นมีของที่ดีกว่าหรือเร็วกว่าคนอื่น (Pay to Win)
[2] หนึ่งเค่อ เท่ากับเวลาประมาณ 15 นาที