ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 403 ไพ่ตาย
บทที่ 403 ไพ่ตาย
“เร็วเข็า เร็วเข้า พวกเขาอยู่ข้างหน้านี้แล้ว”
กองกำลังจำนวนหนึ่งถือคบเพลิง เคลื่อนตัวผ่านป่าทึบ พวกเขาถืออาวุธและวิ่งตะบึงราวกับสายลม
ในหมู่พวกเขามีสายลับของไหวอ๋อง มีเต๋ามารแห่งนิกายปฐพี และชาวยุทธ์ที่ฉวยจังหวะในช่วงโกลาหลหมายจะชิงอาวุธเวทมนตร์ติดตามมาด้วย แน่นอนว่ายังมีผู้คนจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เช่นคุณชายหลิ่วและหรงหรงด้วย
เบื้องหน้าของเขาอาจจะเหมือนคุณชายเจ้าสำราญ แต่ที่จริงแล้วเป็นชายผู้ห้าวหาญที่พร้อมจะสนับสนุนฆ้องเงินสวี่
พวกหลี่เมี่ยวเจินรั้งตัวยอดฝีมือขั้นสี่ แต่ไม่อาจหยุดยั้งเหล่าลูกน้องและลูกศิษย์คนอื่นๆ ได้
การต่อสู้กลางเมืองเล็กๆ ปะทุขึ้น หลังจากได้ทราบสถานการณ์ ทุกฝ่ายต่างออกจากเมืองโดยสัญชาตญาณ และตามหา ‘ที่อยู่’ ของสวี่ชีอันและคุณชายปริศนากันให้ควั่ก
“เร็วเข้า ชักช้าเดี๋ยวสวี่ชีอันก็ถูกคนผู้นั้นตัดหัวเสียก่อน ยังอยากได้อาวุธเวทมนตร์หรือไม่”
“ฆ่าฆ้องเงินสวี่ไม่มีโทษหรือ”
“จะกลัวอะไรเล่า ข้าแปลงโฉมแล้ว คนเราถ้าไม่หาลำไพ่พิเศษบ้างก็ไม่มีวันร่ำรวย ถ้าอยากเหนือกว่าคนอื่น ก็ต้องรู้จักเล่นสกปรกกันบ้าง”
“ก็จริง แต่ปัญหาหนึ่งเดียวในตอนนี้คือฆ้องเงินสวี่อาจจะถูกฆ่าตายไปแล้วนี่สิ ชิ ยอดฝีมือสองคนที่ติดตามคุณชายท่านนั้นเก่งกาจอย่าบอกใครเชียว”
…
“ท่านผู้ดูแลหอ เจ้าลัทธิหมัดเทพเจ้ากับเจ้าสำนักโม่ต่างก็ออกโรงนำหน้ากันไปก่อนแล้ว รออีกประเดี๋ยวท่านค่อยตามไปช่วยฆ้องเงินสวี่ก็ได้นี่เจ้าคะ”
หรงหรงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะติดตามผู้ดูแลหอของตระกูลตนไป ไม่ให้หลุดออกจากขบวน แม้ว่าผู้ดูแลหอจะลดความเร็วลงก็ตาม แต่นางก็ยังหืดขึ้นคออยู่ดี
ร่างกายของเซียวเยว่หนูเบาหวิว นางกระโดดอย่างต่อเนื่อง น้ำเสียงเย็นชา “ดอกบัวเก้าสีเป็นสิ่งที่พวกเรากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต้องการ สมบัติล้ำค่าย่อมตกเป็นของผู้แข็งแกร่ง หากได้มาก็ถือเป็นโชคของข้า หากสูญเสียไปก็เท่ากับชีวิตข้าสูญสิ้น ส่วนฆ้องเงินสวี่…”
หืม? หรงหรงจ้องมองผู้ดูแลหอ
เซียวเยว่หนูยิ้มหวาน “ฆ้องเงินสวี่มีเพียงคนเดียว ต้าฟ่งสถาปนามาเนิ่นนาน กว่าจะมีคนอย่างฆ้องเงินสวี่ถือกำเนิดขึ้นมาสักคน ถ้าปล่อยให้ตายในที่แบบนี้คงหมดสนุกกันพอดี”
“ดังนั้น รีบตามไป ขืนชักช้าฆ้องเงินสวี่จะตกอยู่ในอันตราย”
ฝั่งหนึ่งคือชายหนุ่มลึกลับผู้มาพร้อมกับข้ารับใช้ยอดฝีมือขั้นสี่ถึงสองคน และอาวุธเวทมนต์ไม่จำกัด ส่วนอีกฝั่งคือสวี่ชีอันที่สหายทั้งหมดมัวแต่เอ้อระเหยลอยชายอยู่ในเมือง อย่างมากก็มีเพียงผู้ช่วยเพียงคนเดียว
ตาชั่งความพ่ายแพ้และชัยชนะจะเอนเอียงไปทางใด ก็พอจะคาดเดาได้
หรงหรงหัวเราะร่าและพยักหน้าหงึกหงัก
กองกำลังเหล่านี้ติดตามคลื่นพลังปราณ เสียงระเบิดที่ดังสนั่นและเสียงดีดของสายหน้าไม้ มาจนถึงสนามรบอย่างรวดเร็ว
หรงหรงสังเกตเห็นทันทีว่าผู้ดูแลหอเบื้องหน้าของนางหยุดชะงัก ออกอาการมึนงงและตะลึงงันอย่างชัดเจน นางถูกตรึงอยู่กับที่ ราวกับเห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ
น่าแปลกที่ผู้อาวุโสหลายท่านของหอหมื่นบุปผา รวมทั้งท่านอาจารย์ของหรงหรงเองก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกัน
สายตาของหรงหรงมองข้ามพวกเขาไปยังสนามรบ
นางเข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใด ท่ามกลางราตรีอนธการ ชายหนุ่มในชุดจิ้นจวงสีดำ รวบผมหางม้าสูง มือหนึ่งถือดาบยาวใบมีดเรียวโค้ง ส่วนมืออีกข้างถือศีรษะที่ชุ่มโชกด้วยโลหิต
ซึ่งเป็นของชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่งและหุนหันพลันแล่นในตอนกลางวัน
เขาตายแล้วหรือ?!
รูม่านตาของหรงหรงหดตัว เรียวปากบางสีดอกกุหลาบอ้าพะงาบๆ นี่มันผิดจากที่นาง ผู้ดูแลหอและคนส่วนใหญ่คาดคิดอย่างมหันต์
ฝูงชนทยอยออกมาจากแนวป่า มาถึงบริเวณไหล่เขา และแล้วก็พบว่าการต่อสู้สิ้นสุดลงไปแล้ว
ศีรษะของชายหนุ่มลึกลับผู้สูงศักดิ์ ภูมิหลังล้ำลึกถูกฆ้องเงินสวี่หิ้วไว้ในมือ สร้างความตกตะลึงอย่างใหญ่หลวงให้กับทุกคน
สวี่ชีอันเห็นฝูงชนหลายร้อยคนที่ออกมาจากแนวป่า มาจากกองกำลังต่างพรรคต่างพวกกัน
เขาชูศีรษะหันไปทางนั้น จ้องมองด้วยแววตาคมกริบราวกับมีด “มีใครจะฆ่าข้าอีกหรือไม่”
กองกำลังนักรบเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าตอบโต้
ซึ่งรวมถึงนักพรตเต๋าแห่งนิกายปฐพี และสายลับของไหวอ๋องด้วย
พวกเขามีใจอยากสังหารสวี่ชีอันอย่างแรงกล้า แต่ไม่กล้าลุกขึ้นรนหาที่ตาย
สวี่ชีอันยิ้มเยาะ เมินเฉย และหันไปชมการต่อสู้จากสองฝ่ายแทน
…
“เขา เขาตายด้วยน้ำมือของฆ้องเงินสวี่…”
“อุตส่าห์นึกว่าจะแข็งแกร่งกว่านี้ เล่นประกาศตั้งค่าหัวไว้ซะสูง ข้าเลยตัดสินใจว่าจะเสี่ยงแหกกฎฆ่าฆ้องเงินสวี่อยู่แล้วเชียว”
“หึ พวกไร้ค่า”
ชาวยุทธ์ที่ตัดสินใจเสี่ยงอันตราย ต่างมีสีหน้าซับซ้อน
ส่วนชาวยุทธ์และคนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่เป็นห่วงสวี่ชีอันต่างก็รู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ฆ่าไปแล้วก็ดี พวกเราประเมินฆ้องเงินสวี่ต่ำเกินไปเอง กล้าลงมือสังหารอย่างอุกอาจเช่นนี้ แสดงว่ามีที่พึ่งละสิ” ชายคนหนึ่งหัวเราะเสียงดัง
“นึกว่าสหายของเขาอยู่ที่เมืองกันหมด…สมแล้วที่เป็นฆ้องเงินสวี่ เป็นห่วงเก้อเลย เอ่อ แล้วโหรชุดขาว กับแม่นางคนงามผู้นั้นเป็นใครกัน ถึงได้ต่อสู้กับจอมยุทธ์ขั้นสี่ได้สูสีขนาดนี้”
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป สองคนนั้นเป็นจ้าวแห่งยอดฝีมือขั้นสี่ ตราบใดที่พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้ จนกว่าท่านผู้อาวุโสนิกายปฐพีของข้าจะมาถึง ตอนนั้นใครจะแพ้ใครจะชนะเดี๋ยวได้รู้กัน” ลูกศิษย์หนุ่มจากนิกายปฐพีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ดวงตาของเขาเย็นชา เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
สายลับในเสื้อคลุมสีดำพูดช้าๆ “อันที่จริง เจ้านั่นตายไปได้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้กระทบกับสถานการณ์โดยรวมอยู่แล้ว กลับกันยังกระตุ้นให้ยอดฝีมือสองคนนั้นแก้แค้นอย่างถึงที่สุดอีกด้วย”
สวี่ชีอันมองดูการต่อสู้ด้วยสายตาที่เย็นชา ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านมาแล้วหนึ่งเค่อ เหลือเวลาอีกหนึ่งเค่อ ความอ่อนล้าจากดาบเดียวตัดฟ้าดินจะย้อนกลับมาหาข้าเป็นทวีคูณ เพราะปฏิกิริยาสะท้อนกลับของวรยุทธ์ขงจื๊อ แต่ในเมืองมีเพียงหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นที่ใช้พลังต่อสู้ขั้นสี่ได้ ลี่น่ากับไต้ซือเหิงหย่วนยังด้อ่อนอยกว่า ยื้อต่อไปได้ไม่นานแล้ว ต้องเร่งการต่อสู้ให้จบลงโดยเร็ว…
ทว่าจ้าวแห่งจอมยุทธ์ขั้นสี่นั้นตายยากตายเย็นนัก ต่อให้สู้กันจนถึงรุ่งสาง ก็ไม่แน่ว่าจะตัดสินแพ้ชนะได้…
ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายวับ เกิดความคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาชูศีรษะของโฉวเชียนขึ้นสูง พร้อมทั้งตะโกนยั่วยุ
“นายสิ้นลมบ่าวต้องตายตกตามไป พวกเจ้าทั้งสองเอ๋ย นายของเจ้าถูกข้าบั่นคอไปแล้ว เหตุใดยังเสนอหน้ามีชีวิตต่อไปอีกเล่า ยังไม่รีบปลิดชีพตนชดใช้ความผิดอีก หรือพวกเจ้าอยากแก้แค้น? งั้นก็มาเลย ถ้าเจ้าแน่จริงก็เข้ามาสังหารข้าสิ”
วิธีปลุกเร้าที่ดีที่สุดคือการขยี้บาดแผลและถากถางพวกเขา
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ดึงความโกรธแค้นให้พุ่งถึงขีดสุด เขาจึงจงใจทำท่าทางของผู้ร้ายที่ลำพองใจ
แน่นอนว่าชายร่างยักษ์ทั้งสองโกรธจัดดังคาด และพวกเขายังเห็นตรงกันว่าการเอาชนะฆ้องทองคำ และโหรขั้นสี่นั้นยากเย็นจนหืดขึ้นคอ เทียบกันแล้วสังหารสวี่ชีอันยังจะง่ายเสียกว่า
ทั้งยังช่วยล้างแค้นให้นายน้อยได้อีกด้วย
ทันใดนั้น คนหนึ่งก็เมินเฉยต่อปืนใหญ่ที่ปะทุ ส่วนอีกคนก็เมินการโต้ตอบอันรุนแรงของหนานกงเชี่ยนโหรว แม้กระทั่งยอมเจ็บตัวเพื่อแลกมาซึ่งโอกาสหลบหนี พุ่งเข้าโจมตีสวี่ชีอันพร้อมกัน จากทั้งทางซ้ายและขวา
ข้าถูกผู้ชายห้อมล้อมทั้งซ้ายขวาเลยแฮะ…ใบหน้าของสวี่ชีอันสงบจริงจัง รอจ้าวแห่งจอมยุทธ์ขั้นสี่ทั้งสองพุ่งตัวเข้าใส่ หมายสังหารเขาอย่างรวดเร็วจนตาเนื้อของคนทั่วไปมองไม่ทัน กระทั่งทั้งสองห่างจากตัวเขาไปไม่ถึงหนึ่งจั้ง เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ข้าอยู่ด้านหลังข้ารับใช้ฝ่ายซ้าย จงกักขัง…”
เขาพูดโม้สองเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของเขาก็หายวับ ชายร่างกำยำสองคนเกิดอาการหยุดชะงักไปเล็กน้อย แต่เพราะพวกเขาหยุดชะงักไป จึงกักขังไม่สำเร็จ
แต่สำหรับสวี่ชีอัน โอกาสในเสี้ยวขณะที่มาไม่ถึง ก็เป็นโอกาสจู่โจมที่เขาต้องคว้าเอาไว้
ในขณะที่ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายและขวากำลังชะงักงันนั้น สวี่ชีอันก็โผล่มาอยู่ข้างหลังของข้ารับใช้ฝ่ายซ้าย และหยิบแผ่นยันต์สีเหลืองออกมา
เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วบริเวณชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหายไป
ร่างของข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายและขวาขาดสะบั้นทันที ร่างกายส่วนล่างยังคงวิ่งพล่านไปทั่ว แต่ส่วนบนร่วงลงกับพื้น อวัยวะภายในทั้งหลายไหลออกมากองข้างนอก
ร่างกายส่วนล่างของทั้งสองวิ่งชนกัน และล้มลงกับพื้นพร้อมๆ กัน เท้าของพวกเขาตะเกียกตะกายอย่างอ่อนแรง
ไม่กี่วินาทีต่อมา มีเสียงภูเขาถล่มดังมาจากระยะไกล พลังกระบี่ของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ รุนแรงจนน่าสะพรึงกลัว
“เจ้า เจ้า…”
แม้ว่าจะถูกผ่าครึ่ง แต่ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายก็ยังไม่สิ้นลม ดวงตาเบิกโพลง จ้องเขม็งไปยังสวี่ชีอันอย่างเคียดแค้น
สวี่ชีอันถอยหนีอย่างรู้เท่าทัน ไม่ให้โอกาสทั้งสองสู้กลับ
พลังชีวิตของจอมยุทธ์ขั้นสี่นั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ตราบใดที่ยังไม่ตาย ก็ยังสามารถปลิดชีพเขาได้ สวี่ชีอันไม่ย่ามใจจนทำเรื่องผิดพลาดโง่ๆ
ข้ามีท่านโหราจารย์เป็นผู้สนับสนุน ในกายมีลูกพี่ ในมือมียันต์ที่ได้จากคุณน้าจิตใจดี นอกจากผู้สนับสนุนของข้าแล้ว ข้าก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น…สวี่ชีอันส่งสายตาดูแคลนให้กับข้ารับใช้ฝ่ายซ้าย และบดขยี้ศีรษะของโฉวเชียนในมือจนเละเป็นจุณต่อหน้าต่อตาอีกฝ่าย
เจ้าสวะชั้นต่ำ ต่อให้เจ้าเป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าฟ่ง ก็ไม่มีค่าให้ข้าชายตามอง
ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายถลึงตาด้วยความโกรธแค้น
หนานกงเชี่ยนโหรวปรากฎตัวต่อหน้าข้ารับใช้ฝ่ายซ้าย และเตะเข้าที่หัวของอีกฝ่าย พรากลมหายใจสุดท้ายของเขาไป จากนั้นเขาก็หันหลัง ยกขาขึ้นสูง และกระทืบลงไปอย่างแรง ศีรษะของข้ารับใช้ฝ่ายขวาถูกเหยียบย่ำเละเป็นจุณ
หึ ล่าหัวก็ไม่เลวเหมือนกัน…สวี่ชีอันโล่งใจหันไปส่งยิ้มให้เขา
หนานกงเชี่ยนโหรวแค่นยิ้มถากถางคืนมา
หากการที่หยางเชียนฮ่วนเข้ามาร่วมมือด้วยเป็นเรื่องบังเอิญ หนานกงเชี่ยนโหรวก็เป็นดั่งไพ่ตายของสวี่ชีอัน และเป็นหัวใจสำคัญในแผนการทั้งหมดของเขาในค่ำคืนนี้
สถานการณ์สามต่อสองย่อมทำให้โฉวเชียนย่ามใจ คิดว่าได้ชัยชนะมาอยู่ในมือ
การที่โฉวเชียนท้าให้ต่อสู้ตัวต่อตัว เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด
แน่นอนว่าหากโฉวเชียนไม่คิดจะสู้ตัวต่อตัว สวี่ชีอันที่ให้หนานกงเชี่ยนโหรวลงมือลอบจู่โจมข้ารับใช้ฝ่ายขวาอยู่ดี จากนั้นเขากับหยางเชียนฮ่วนจะร่วมมือกัน สามคนรวมพลังสังหารข้ารับใช้ฝ่ายขวาก่อน
เมื่อมีไพ่ตายในมือ กลยุทธ์ย่อมยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้
“มีอาวุธเวทมนตร์เพียบเลย”
หนานกงเชี่ยนโหรวถอดกระเป๋าหนังคาดเอวออก เปิดดูด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
“เอาไปคนละส่วน เจ้าอย่าโลภมาก แบ่งให้หยางเชียนฮ่วนส่วนหนึ่งด้วย”
สวี่ชีอันค้อมตัวไปแย่งกระเป๋าหนังคาดเอว และกระบี่เงาจันทร์ของโฉวเชียนมา
หลังจากทั้งสามคนแบ่งสันปันส่วนกันเรียบร้อยแล้ว หยางเชียนฮ่วนก็เก็บกวาดปืนใหญ่และหน้าไม้ที่อยู่ในสนามรบทั้งหมด เอื้อมมือไปจับไหล่ของทั้งสองคน แล้วกระทืบเท้าเบาๆ
และแล้วพวกเขาก็หายวับไปต่อหน้าทุกคน
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน กลิ่นอายคุกคามซึ่งประกอบด้วยสายลับเทียนจี เทียนซู นักพรตเต๋าหกรูป ชื่อ เฉิง หวง ลวี่ ชิง หลันก็เร่งรุดมาถึง
เมื่อพวกเขาเห็นศพสามศพที่กระจัดกระจาย พวกเขาก็รู้ว่ามาถึงจุดจบที่ไม่อาจย้อนคืนได้แล้ว
เทียนจีระงับโทสะของตนและเอ่ยถาม “เหตุใดผู้นำเต๋านิกายปฐพีจึงไม่ลงมือ”
นักบวชเต๋าชื่อเหลียนผู้มีอาวุโสสูงสุดกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าลืมผู้แข็งแกร่งลึกลับที่ปรากฏตัวในฉู่โจวไปแล้วหรือ หากผู้นำเต๋าลงมือ แล้วยอดฝีมือคนนั้นตลบหลังล่ะ? ร่างอวตารของผู้นำเต๋าต้องใช้ในการช่วงชิงเม็ดบัว”
สีหน้าเทียนจีหม่นหมอง
สายลับหญิงเทียนซูกล่าวอย่างโกรธเคือง “พวกเจ้าสามคนหายหัวไปที่ใด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นักบวชเต๋าชื่อเหลียนยิ่งทวีความขุ่นแค้น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “เจ้าสำนักโม่ และหัวหน้ากลุ่มหมัดเทพเจ้าขัดขวางพวกเราไว้ พวกทหารชั้นต่ำ ถึกทนหนังหนา รับมือไดยากนัก”
เทียนซูไม่พูดไม่จา แต่กวาดสายตามองฝูงชนที่รายล้อมรอบด้าน และถอนหายใจ “หลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไป พวกนักท่องยุทธภพไม่มีใครกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับสวี่ชีอันแน่”
“พรรคต่างๆ ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อาจจะแตกคอกันเพราะเรื่องนี้ได้ ส่วนใหญ่อาจจะถอนตัวออกไป สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก”
หัวใจของเหล่านักพรตเหลียนฮวาแห่งนิกายปฐพีหล่นวูบ
…
คฤหาสน์เยวี่ยจือ
ลวดลายที่สลักไว้บนพื้นค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมาทีละดวงๆ ก่อนจะค่อยๆ สว่างชัดขึ้น ร่างของคนสามคนปรากฎขึ้นใจกลางค่ายกล
นักบวชเต๋าจินเหลียน นักพรตหญิงไป๋เหลียน พร้อมทั้งลูกศิษย์พรรคฟ้าดินอีกสามสิบสี่คน ยืนอยู่ข้างค่ายกลอย่างเงียบเชียบ ทันทีที่เห็นการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็ล้อมวงเข้ามาทันที
ชิวฉานอีวิ่งปรี่ไปอยู่ข้างหน้าสุด ดวงตาสดใสของสาวน้อยจ้องมองอย่างสงสัยใคร่รู้ “คุณชายสวี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ถามจบ นางก็กลั้นใจ สีหน้าฉายแววกังวล
ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็จ้องมองสวี่ชีอัน รอคอยคำตอบของเขาอย่างร้อนใจ
“ฆ่าไปแล้ว!” สวี่ชีอันพยักหน้า
เสียงโห่ร้องยินดีกึกก้อง ใบหน้าของลูกศิษย์พรรคฟ้าดินเปื้อนรอยยิ้ม แต่ขณะเดียวกันก็น้ำตาคลอหน่วย
ชิวฉานอีจ้องมองเขาด้วยความปีติยินดี แววตาเต็มเปี่ยมด้วยความชื่นชม
นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยถาม “ขั้นสี่สองคนนั้น…”
สวี่ชีอันพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ยิ่งดีไปใหญ่” นักพรตเต๋าคลี่ยิ้มกว้าง
“ไม่ดี”
สวี่ชีอันเบียดเหล่าลูกศิษย์ออกมา และสั่งการ “เตรียมยารักษา อาหาร น้ำร้อนและเสื้อผ้าสะอาดที ท่านนักบวชเต๋า ช่วยข้าด้วย…”
เขาเซถลาอย่างแรงแล้วล้มลงกับพื้น
ทุกคนตกตะลึง จนเสียงโห่ร้องเงียบลงทันที พวกเขาตกใจเมื่อพบว่าใบหน้าของฆ้องเงินสวี่ซีดเผือด ดวงตาขุ่นมัว ผิวหนังแห้งผากหมองคล้ำ และแขนขากระตุกอย่างรุนแรง
กลิ่นอายจางหาย การเต้นของหัวใจและลมหายใจหยุดลง
นี่เป็นสัญญาณของการหมดแรงจนถึงแก่ความตาย
ปฏิกิริยาสะท้อนกลับของวรยุทธ์ขงจื๊อทำให้การสูบกลืนพลังวิญญาณของดาบเดียวตัดฟ้าดินทวีความรุนแรงจนทำให้อ่อนเพลียถึงแก่ความตายได้
ชิวฉานอีกรีดร้องและรีบวิ่งไปอยู่ข้างกายสวี่ชีอัน ใบหน้าของนางซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
นักบวชเต๋าจินเหลียนก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างเร่งร้อน เขาเริ่มตรวจลมหายใจก่อน จากนั้นจึงจับชีพจร และพบว่าอวัยวะภายในของสวี่ชีอันกำลังอ่อนแรงลง
ปราณชีวิตหายไปอย่างรวดเร็ว
“ไปเอายาชูกำลังมา เอาโสมโลหิตที่ข้าเก็บไว้ออกมาด้วย” …นักบวชเต๋าจินเหลียนออกคำสั่งลงไปหลายชุด
หนานกงเชี่ยนโหรวย่อตัวไปข้างหน้า แล้วคว้ามืออีกข้างของสวี่ชีอันไว้ พร้อมสูบฉีดพลังปราณเข้าไป เพื่อทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่น
เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินลงมือทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล เหล่าลูกศิษย์หญิงพากันปาดน้ำตาด้วยความหวาดกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฆ้องเงินสวี่
…
เมื่อสวี่ชีอันฟื้นขึ้นมา ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว
ค่ำคืนเงียบสงัด เสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงมนอกมุ้งลวด ตะเกียงน้ำมันวางอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆ ดวงไฟขนาดพอๆ กับเม็ดถั่ว ส่องให้ภายในห้องเกิดรัศมีสีส้ม
เขาเห็นสาวสวยในชุดขาวนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมเอามือเท้าคาง เฝ้าดูเขาอย่างเบื่อหน่าย
“อ๊ะ เจ้าฟื้นแล้ว!”
หญิงในชุดขาวกล่าว
เสียงของนางมิใช่เสียงหวานใสของสาวน้อย แต่ฟังดูเฉื่อยชาและเปี่ยมเสน่ห์
สวี่ชีอันหลับตา แล้วลืมตาขึ้นมา แล้วก็หลับตาอีก วนอยู่หลายรอบ
“เจ้าทำอะไรอยู่” นางถาม
“บางทีข้าอาจจะลืมตาผิดวิธี ตอนที่ข้าหมดสติไป คนที่อยู่เคียงข้างข้าคือเจ้าเองหรือ”
“เจ้าจะลืมตาอีกกี่พันครั้ง ก็เห็นแต่ข้านั่นแหละ”
ซูซูกล่าวอย่างฉุนเฉียว “เจ้าไม่ชอบที่ข้าอยู่ที่นี่หรือ หรือว่าเจ้าอยากให้สาวน้อยที่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรมาคอยดูแลเจ้ามากกว่า เอ ชื่อชิวฉานอีสินะ”
“สวี่ชีอันเจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ ไปที่ไหน ก็เที่ยวหว่านเสน่ห์ไปทั่ว เจ้าเป็นม้าป่าที่พร้อมจะผสมพันธุ์ทุกเมื่อหรือไง”
“อันที่จริงผู้หญิงที่ข้าสามารถพูดคุยเปิดใจ และผูกสัมพันธ์ฉันมิตรด้วยได้มีอยู่เพียงน้อยนิด” สวี่ชีอันหยัดกายที่อ่อนล้าของตนให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“มัวนั่งบื้อใบ้อะไรอยู่เล่า เทน้ำให้ข้าสักแก้วสิ ข้าหิวน้ำ”
แม้ปากของซูซูจะบ่นกระปอดกระแปด แต่กลับเทน้ำให้แต่โดยดี
“เจ้าอย่าคิดว่าปัญหามันมาจากตัวข้า เพราะว่าข้าเสน่ห์แรง ไปไหนก็มีแต่สาวๆ ชอบพอสิ แบบนี้ถือว่าเป็นการโทษเหยื่อชัดๆ เลย”
สวี่ชีอันบรรเทาความกระหายในลำคอ และส่งคืนถ้วยชาให้กับซูซู “เหตุใดถึงเป็นเจ้าที่มาดูแลข้า”
ซูซูนั่งลงข้างเตียง ถือถ้วยน้ำชาไว้ในมือ แล้วกลอกตาทรงเสน่ห์ของนาง “นายท่านบอกว่าข้าเป็นอนุของเจ้า ยามสามีป่วยไข้ อนุก็ต้องคอยปรนนิบัติเปลี่ยนผ้าผ่อนถึงข้างเตียง”
“ก็เลยส่งชิวฉานอีกลับไป แล้วให้ข้าอยู่เฝ้าเจ้าแทน”
ไล่สาวน้อยไป แล้วให้คนกระดาษมาดูแลแทน…สวี่ชีอันรู้สึกว่าหลี่เมี่ยวเจินชั่วร้ายเกินคน แล้วจึงถามต่อ
“ข้าหมดสติไปนานเท่าไร”
เขาพยายามกำหมัด แต่ไม่สามารถออกแรงได้แม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงของร่างกายที่ถูกสูบพลังจนหมด
แต่สามารถชดเชยพลังกลับมาและฟื้นขึ้นมาได้ภายในหนึ่งชั่วยามเช่นนี้ ก็แสดงว่าน่าจะหมดยาบำรุงไปหลายขนาน
“ฝากขอบคุณนักบวชเต๋าจินเหลียนแทนข้าที คงผลาญของดีไปไม่น้อยเลยสิท่า” สวี่ชีอันกล่าวยิ้มๆ
ซูซูเอียงศีรษะพลางมุ่ยหน้า “พรรคฟ้าดินยากจนจะตายไป ถ้าให้พวกเขารักษาเจ้า พรุ่งนี้เจ้าก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก โหรสติไม่ดีคนนั้นต่างหากที่ช่วยเจ้า”
“ศิษย์พี่หยางน่ะหรือ?”
สวี่ชีอันตกตะลึงชั่วครู่ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องรักษาคน นักพรตเต๋าไม่อาจเทียบเคียงโหรได้ จึงพยักหน้าหงึกหงัก
“แต่อย่างไรเสียพรรคฟ้าดินก็พยายามช่วยเหลือเจ้าจนสุดความสามารถ ใช้ทั้งยาที่ดีที่สุดและโสมโลหิตมารักษาเจ้า แต่เจ้าโหรสติไม่ดีนั่นกลับพูดว่า ‘นักพรตเต๋าอย่างไรก็เป็นนักพรตเต๋าวันยังค่ำ ยากจนข้นแค้นจนน่าสงสาร’ ”
“จากนั้นก็เอายาอายุวัฒนะมาป้อนให้เจ้ากิน ข้าได้ยินมาว่ายาอายุวัฒนะนั่นสูงค่าพอๆ กับยาเลือดตัวอ่อนในครรภ์เชียวนะ” ซูซูกล่าว
โหรร่ำรวยสินะ เป็นพวกหมามีอันจะกินเหมือนนิกายมนุษย์…สวี่ชีอันจินตนาการภาพในหัว เป็นภาพของศิษย์พี่หยางเก๊กท่าทำเท่อยู่
วนไปเวียนมา
“ซูซู ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ อ้อ ไปเฝ้าข้างนอก อย่าให้ใครเข้ามารบกวนข้าล่ะ” สวี่ชีอันสั่งการ
“ข้าไม่ใช่อนุของเจ้าสักหน่อย กล้าดียังไงมาสั่งข้าแบบนี้” ซูซูพูดอย่างไม่พอใจ
“ไปเร็วๆ!”
สวี่ชีอันตบก้นกระดาษของนางหนึ่งที
หลังจากที่ซูซูปิดประตูจากไปแล้ว สวี่ชีอันก็ปลดถุงหอมคาดเอว ปลดปล่อยวิญญาณของโฉวเชียนออกมา
………………………………………………..