ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 404 ตัวตนของโฉวเชียน
บทที่ 404 ตัวตนของโฉวเชียน
‘ฟู่…’
ควันครึ้มกลุ่มหนึ่งพัดโชยออกมาจากถุงหอม อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างลวงตาโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้นและลอยตัวอยู่ในอากาศ
ใบหน้าของเขาหมองคล้ำ ดวงตาไร้ซึ่งจิตวิญญาณ
หลังจากคนตาย ดวงวิญญาณคู่ ‘สวรรค์และโลก’ จะออกจากร่างทันที และตกอยู่ในภาวะสับสนโดยพลัน ส่วนวิญญาณมนุษย์จะออกมาหลังจากซ่อนตัวอยู่ในร่างเป็นเวลาเจ็ดวัน ชั่วเวลานั้น ดวงวิญญาณคู่สวรรค์และโลกทก็จะเริ่มออกตามหาวิญญาณมนุษย์
เมื่อวิญญาณทั้งสามรวมตัวกัน ก็จะสามารถฟื้นคืนความทรงจำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และกำจัดความสับสนทั้งหมดออกไปได้
นี่คือที่มาของสิ่งที่เรียกว่าเจ็ดวันหลังความตาย
“ตัวตนของชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา เขาล่วงรู้โชคชะตาในตัวข้าอย่างทะลุปรุโปร่ง บางทีข้าอาจจะถามความลับสำคัญจากเขาได้…”
สวี่ชีอันสูดหายใจเข้าเต็มปอด หัวใจเต้นรัว เลือดในร่างกายเดือดพล่าน เขาไม่ได้ตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้ว
เวลานี้เอง ใบหูของเขาขยับเล็กน้อย ได้ยินเสียงอันทรงเสน่ห์ของซูซูดังมาจากลานบ้านด้านนอก “ไอหยา เจ้าเข้าไปไม่ได้ สามีข้ากำลังพักผ่อน ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนรบกวนทั้งนั้น”
จากนั้นก็ตามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจของชิวฉานอี “ข้าจะเข้าไปดูหน่อย”
“แม้ว่านักบวชเต๋าฉานอีจะเป็นผู้ที่ออกบวชแล้ว แต่ก็ควรรู้ขอบเขตระหว่างชายหญิงในตอนกลางคืนด้วย ดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้ จะเข้าไปในห้องผู้ชายได้อย่างไรกัน”
“คุณชายสวี่มีพระคุณกับพรรคฟ้าดิน ข้าเข้าไปเยี่ยมในห้องแล้วจะเป็นอะไรไป นักบวชใจกว้างและมีจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ กระทำเหมาะสมย่อมไม่ละอาย”
“โธ่ กระทำเหมาะสมย่อมไม่ละอายงั้นรึ พรรคฟ้าดินของพวกเจ้ามีลูกศิษย์ตั้งสามสิบสี่คน ทำไมเจ้ามาคนเดียวล่ะ? ไม่ใช่เพราะอยากกินเขารึไง”“เจ้าๆๆ…” ชิวฉานอีหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“เจ้าๆๆ อะไรเล่า เจ้าไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์รัก ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อน มีหรือว่าข้าจะไม่รู้ว่าสาวน้อยอย่างพวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” ซูซูเท้าสะเอวราวกับแม่ไก่สาวก้าวร้าวตัวหนึ่ง
“สามีข้ารักในตัณหาพอๆ กับชีวิต ถ้าหิวแล้วก็กินไม่เลือก ข้าแนะนำให้สาวๆ เช่นเจ้ารักษาระยะห่างไว้จะดีกว่า ระวังตัวไว้เถอะ มิเช่นนั้นจะเสียความบริสุทธิ์ สุดท้ายหากโดนฟันแล้วทิ้ง พูดไปก็คงไม่น่าฟัง”
ซูซูพ่นลมหายใจ “หรือว่า…นี่เป็นความปรารถนาในจิตใจของนักบวชฉานอีอยู่แล้ว?”
“ข้า ข้าจะไปหาท่านอาจารย์อาจินเหลียน…”
สาวน้อยตัวเล็กๆ อย่างชิวฉานอี จะเอาอะไรไปต่อกรกับผีเจ้าเล่ห์อย่างซูซู นางจึงทำได้เพียงกระทืบเท้าด้วยความละอาย และวิ่งเตลิดออกไป
ไปหานักบวชเต๋าจินเหลียน…
สวี่ชีอันเหลือบมองวิญญาณที่ลอยอยู่ในห้อง พลางถอนหายใจและเก็บเข้าไปในถุงหอมอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้น เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองใจร้อนเกินไป ในคฤหาสน์มียอดฝีมือที่สติปัญญาหลักแหลมอย่างฉู่หยวนเจิ่นอยู่ ต่อให้ไม่ตั้งใจจะแอบฟัง แต่ถ้าเดินผ่านก็สามารถได้ยินความลับสุดยอดของเขาได้ทุกเมื่อ
ก่อนอื่น ต้องทำให้นักบวชจินเหลียนและคนอื่นๆ วางใจก่อน จากนั้นค่อยไปหาหยางเซียนฮ่วนให้วางค่ายกลเก็บเสียงให้…
สวี่ชีอันแขวนถุงหอมไว้ที่เอว ก่อนจะเปิดประตูและกวักมือเรียกซูซูที่ลานบ้านด้านนอก
ซูซูประสานมือไว้ด้านหลัง พลางฮัมเพลงเบาๆ และย่องฝีเท้าเบาเข้าไปในห้องด้วยความว่องไว
“ดูเหมือนเจ้าจะผูกพันกับตัวตนของตนเองมากขึ้นแล้ว” สวี่ชีอันกล่าวด้วยความพึงพอใจ
ผีผู้หญิงที่งดงามจนไม่มีใครเทียบได้ตนนี้ ถึงแม้ปากจะต่อต้าน แต่ใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์ นางรับบทบาทแทนที่ภรรยาน้อยตระกูลสวี่มานานแล้ว และยังเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงกับผู้หญิงที่พยายามวางแผนเกลี้ยกล่อมสามีของนาง
“ข้าแค่รู้สึกมีความสุขมาก ที่ได้ทำลายความดีและใส่ร้ายภาพลักษณ์ของเจ้า” ซูซูหัวเราะคิกคักด้วยความอิ่มเอิบใจอย่างยิ่ง
ผู้ชายชอบคิดว่าตัวเองถูกอยู่ตลอดเวลา จากการเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง และคิดว่าหญิงสาวต่อสู้กันเพราะหึงหวงเขา
สีหน้าของสวี่ชีอันจมมืด เขาเอื้อมมือไปวางบนไหล่ของซูซู พลางกล่าวเสียงเบาว่า “รอเจ้ามีกายเนื้อก่อน ข้าจะเติมเต็มความสุขให้เจ้าจนล้นทะลักเลยทีเดียว”
ซูซูเงยหน้าขึ้น ก่อนจะแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นใส่เขา เสน่ห์เย้ายวนของนางยิ่งทำให้นางดูงดงามและน่ารักขึ้นมาก
ในขณะที่กำลังสนทนา นักบวชเต๋าจินเหลียนก็มาถึง ตามด้วยนักพรตหญิงไป๋เหลียน หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่น สาวน้อยผิวคล้ำจากซินเจียงตอนใต้ และไต้ซือเหิงหย่วนตามลำดับ
หยางเชียนฮ่วนและหนานกงเชี่ยนโหรวไม่ได้มาเยี่ยมเขา
“พรุ่งนี้จะมีศึกชี้ขาดแล้ว พวกเราต้องปรึกษาหารือกันก่อน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” นักบวชเต๋าจินเหลียนคว้าข้อมือของสวี่ชีอันขึ้นมา หลังจากจับชีพจรแล้ว สีหน้าของเขาก็หนักอึ้งเล็กน้อย
“บำเพ็ญเพียรอีกสามถึงห้าวันถึงจะฟื้นตัว สำหรับศึกในวันพรุ่งนี้ ต้องขออภัยด้วย…”
สวี่ชีอันถอนหายใจ
สถานการณ์ของเขาในตอนนี้คือ ความแข็งแกร่งทางกายภาพฟื้นตัวแล้ว แต่พลังปราณกลับอ่อนแอมาก เขาต่อสู้ได้ แต่ใช้พลังที่แข็งแกร่งไม่ได้ เว้นแต่ศัตรูจะไม่ใช้พลังปราณเช่นกัน และต่อสู้กับเขาด้วยมือเปล่า
“งั้นก็แย่แล้ว!”
ทันใดนั้น ร่างในชุดขาวก็ปรากฏขึ้นในห้อง เขาหันหน้าไปทางหน้าต่างและหันหลังให้ทุกคน
หยางเชียนฮ่วนกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ค่ายกลที่ข้าจัดเรียงมีแปดชั้น ที่ตาวงแหวนของค่ายกลทุกชั้น จำเป็นต้องมียอดฝีมือคอยปกป้องหนึ่งท่าน เดิมทีข้า ตั้งใจจัดเรียงจัดค่ายกลตั้งรับอ้างอิงตามพลังเทพวชิระของเจ้า”
แม้ว่าจะสู้ชนะขาดรอยในตอนกลางคืน ฆ่าคุณชายวัยหนุ่ม ยอดฝีมือขั้นสี่สองท่าน รวมทั้งข้าราชบริพารผู้ติดตามได้ทั้งหมดแต่การปรากฎตัวของสองคนนี้ก็ถือว่ามากเกินพออยู่แล้ว ฝ่ายของตนเองยังขาดยอดฝีมือระดับสูงอย่างสวี่ชีอันไปอีก
สวี่ชีอันกล่าวพึมพำ “หนานกงเชี่ยนโหรวสามารถสกัดกั้นการคุกคามได้”
หยางเชียนฮ่วนหัวเราะอย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อเทียบกับพลังเทพวชิระของเจ้าแล้ว ร่างกายและพละกำลังของจอมยุทธ์ขั้นสี่ยังถือว่าเป็นรองอยู่มาก เจ้าอย่าลืมว่าสายลับของไหวอ๋องมีปืนใหญ่หน้าไม้อยู่ในมือ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายศีรษะกล่าวว่า “เดิมทีฆ้องทองคำหนานกงก็อยู่ในแผนอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร”
ฝ่ายศัตรูคือนิกายปฐพี มียอดฝีมือขั้นสี่หกคน ร่างโคลนผู้นำเต๋าขั้นสามหนึ่งคน ส่วนสายลับของไหวอ๋อง มีจอมยุทธ์ขั้นสี่สองคน ที่เหลือเป็นพวกยอดฝีมืออีกจำนวนหนึ่ง และกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มียอดฝีมือที่กำลังจะพ้นขั้นสามหนึ่งคน หัวหน้าและผู้พิทักษ์ประตูขั้นสี่อีกเล็กน้อย
ฝ่ายของตนเอง ผู้ที่มีพลังต่อสู้ขั้นสี่ที่สามารถยืนยันได้ตอนนี้ มีนักบวชเต๋าจินเหลียน นักพรตหญิงไป๋เหลียน ฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจิน สวี่ชีอัน และหยางเชียนฮ่วนกับหนานกงเชี่ยนโหรว
อย่างไรก็ตาม ความจริงพรรคฟ้าดินทำได้เพียงรับมือไม่ให้นิกายปฐพีและสายลับของไหวอ๋องรวมกลุ่มกันเท่านั้น แต่เพราะความได้เปรียบในการเป็นเจ้าถิ่น จึงมีการเตรียมวางค่ายกลไว้แล้ว พวกเขาถึงได้มีความมั่นใจที่จะต่อสู้กับทุกฝ่าย
ตามแผนของนักบวชเต๋าจินเหลียน ตราบใดที่เมล็ดบัวสุกงอมแล้ว พวกเขาก็สามารถละทิ้งคฤหาสน์ไปได้ทันที และไม่จำเป็นต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นตายอีกต่อไปสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าคือสามารถป้องกันได้
“ไม่สิ ไม่ว่าอาการของข้าจะหายดีหรือไม่ก็ตาม ในความเป็นจริงข้าก็ไม่สามารถปกป้องเม็ดบัวได้อยู่แล้ว แม้ว่าข้าจะสามารถ ‘บีบบังคับ’ ให้ชาวยุทธภพและยอดฝีมือขั้นสี่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ล่าถอยไปได้ แต่สมบัติล้ำค่ายั่วยุจิตใจผู้คน คงไม่ใช่ทุกคนที่จะไว้หน้าข้า ถึงเวลานั้น อย่างมากก็แค่ออมมือให้ หากเป็นเช่นนั้น สุดท้ายก็ปกป้องไว้ไม่ได้อยู่ดี…”
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็รู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ และตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นักบวชเต๋าจินเหลียน เขา…ยังต้องพึ่งพาอะไรข้าอีก?
เมื่อความคิดนี้ริเริ่มขึ้น ก็ได้ยินนักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สวี่ชีอัน เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ
ดวงตาที่มีรอยตีนกาเล็กน้อยของนักบวชเต๋าจินเหลียนมองมาที่เขาด้วยความอ่อนโยน และกล่าวเตือนว่า “ลองคิดดูดีๆ อีกครั้ง”
สวี่ชีอันหรี่ตาลงและจ้องมองเขา สายตาของทั้งสองสบกัน ดูเหมือนจะสงบ แต่ในความเป็นจริงกลับมีข้อมูลนับไม่ถ้วนส่องประกายอย่างคลุมเครือ
คำพูดของนักบวชเต๋าจินเหลียนหมายความว่าอะไร เขารู้ความลับของข้า…เป็นเรื่องโชคชะตาหรือเรื่องเสินซู?
นักบวชเต๋ารู้เรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับท่านโหราจารย์ ‘ไม่ชัดเจน’ สิ่งที่เขาไม่รู้คือข้าแบกรับโชคชะตาของอาณาจักรต้าฟ่ง…ข้าจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่ออกมาจากวังใต้ดิน ข้าอ้างเรื่องที่เอาชนะซากศพโบราณ ว่าโหราจารย์เก็บทักษะบางส่วนไว้ในตัวข้า และก็ไม่ผิดเลย ความจริงคือเขาเก็บทักษะบางส่วนไว้ในตัวข้าจริงๆ
ดังนั้น นักบวชเต๋าจินเหลียนจึงคิดว่า ‘ทักษะบางส่วน’ ของท่านโหราจารย์ยังอยู่ในตัวข้างั้นรึ? นี่เขาวางอุบายมาโดยตลอดใช่หรือไม่ มิน่าเขาถึงสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้ นักบวชเต๋าคิดว่าข้าสามารถระเบิดพลังต่อสู้ขั้นสูงออกมาได้ เหมือนที่วังใต้ดินครั้งนั้น
หรือเป็นเพราะนักบวชเต๋าจินเหลียนรู้แล้วว่าเสินซูอยู่ในตัวข้า
‘ยอดฝีมือปริศนา’ ของฉู่โจวยังคงเป็นปริศนาในสายตาของบุคคลภายนอก แต่ในมุมมองของคนที่รู้เรื่องราวบางส่วน ก็อดที่จะคิดทบทวนให้ชัดเจนไม่ได้จริงๆ
ตัวอย่างเช่น นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยเข้าร่วมคดีทะเลสาบซังผอ เขารู้ว่าวัตถุปิดผนึกมีความเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ นักบวชเต๋าจึงคุ้นเคยกับข้ามากเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังเคยคุยโวโอ้อวดต่อหน้าผู้นำเต๋านิกายปฐพี และผู้คนหลายหมื่นคนล้วนได้ยิน
เฮ้อ โชคดีที่นักบวชเต๋าไม่ใช่คนในราชสำนักของต้าฟ่ง มิเช่นนั้นข้าคงจัดการได้ยาก…
สวี่ชีอันถอนหายใจ
“ข้าไม่มีความเห็นจริงๆ ข้าไม่มีความสามารถเพียงพอ”
ประการแรก เทพเสินซูหลับสนิทไปแล้ว ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่น กลโกงนี้ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว ส่วนท่านโหราจารย์ ตาแก่คนนี้มีอุบายลึกซึ้ง บุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ใช่คนที่สวี่ชีอันสามารถควบคุมได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น เขาจึงไม่มีไพ่ใบสุดท้าย และไม่มีวิธีจริงๆ
ประกายในดวงตาของนักบวชเต๋าจินเหลียนจมมืดเล็กน้อย และไม่พูดอะไรอยู่นาน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ช่างเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทั้งหมดคงขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของสวรรค์”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ถอนหายใจยาว
“จริงสิ…”
ทันใดนั้น นักบวชเต๋าจินเหลียนก็หันไปมองฉู่หยวนเจิ่น “ข้าให้เจ้านำเรื่องนี้ไปบอกลั่วอวี้เหิง เจ้าแจ้งข่าวกับนางหรือยัง”
ฉู่หยวนเจิ่นเหลือบมองเขาด้วยความแปลกใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมนักบวชเต๋าถึงจงใจกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาจึงพยักหน้า พลางกล่าวว่า “ข้าแจ้งแล้วแน่นอน”
นักบวชเต๋าจินเหลียนถามต่ออย่างทันทีทันใด “นางว่าอย่างไร”
“ราชครูกล่าวเพียงว่า ‘รักษาตัวให้ดี’ “ ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยสีหน้าปกติ โดยปกติราชครูก็เป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์เรียบเฉย เป็นไปไม่ได้ที่นางจะกล่าวตักเตือนมากมาย
นักบวชเต๋าจินเหลียนขมวดคิ้ว พลางถามด้วยความคาดหวังและกระตือรือร้นเล็กน้อย “นาง…นางได้ให้อะไรเจ้ามาหรือไม่”
ฉู่หยวนเจิ่นชะงักครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “นักบวชเต๋าเดาทุกอย่างออกหมดเลยรึ…ราชครูได้มอบเครื่องรางชิ้นหนึ่งให้ข้าจริงๆ”
“รีบ…รีบเอาออกมา…”
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวซ้ำๆ ทุกคนต่างก็เห็นความตื่นตระหนกและความกระตือรือร้นของเขา
จู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้ว พลางหยิบเครื่องรางที่เป็นผ้ายันต์พับสีเหลืองซึ่งมีเชือกสีแดงผูกไว้ออกมาจากทรวงอก “นี่เป็นเพียงเครื่องรางธรรมดาๆ เท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก…”
อันที่จริง ฉู่หยวนเจิ่นไม่อยากนำมันออกมา นี่คือของที่ราชครูมอบให้ นับว่าเป็นน้ำใจของ ‘ผู้อาวุโส’
นักบวชเต๋าจินเหลียนเอื้อมมือออกไปหยิบเครื่องราง ในแววตาของเขาแสดงออกถึงความโล่งอกโล่งใจ จากนั้น เขาก็ทำสิ่งที่ทุกคนในห้องต่างก็คาดไม่ถึง…
“สวี่ชีอัน เจ้าจงเก็บเครื่องรางนี้ไว้ให้ดี”
ฉู่หยวนเจิ่น “???”
ทุกคนต่างมองไปที่สวี่ชีอัน
“นักบวชเต๋า ให้ข้าทำไม?” สวี่ชีอันมีท่าทีตกตะลึง
นักบวชเต๋า ฉู่หยวนเจิ่นจะกินหัวข้าแล้ว ท่านดูสายตาเขาเถอะ ท่านรีบมองสายตาเขาเร็วเข้า…
นักบวชเต๋าจินเหลียนราวกับเปลี่ยนเป็นตาแก่เจ้าเล่ห์คนหนึ่ง เขาหัวเราะเฮอเฮอและกล่าวว่า “หากอยากรู้ พรุ่งนี้ก็จะรู้เอง อืม เจ้าจงเฝ้าที่ด่านสุดท้าย เฝ้าอยู่นอกสระน้ำ”
สวี่ชีอันที่กำลังตกอยู่ในความงุนงง ได้รับสัญญาณเสียงจากนักบวชเต๋าจินเหลียนว่า ‘ในช่วงเวลาวิกฤติ จงเผาเครื่องรางและขอความช่วยเหลือจากนาง’
ขอความช่วยเหลือ? กับลั่วอวี้เหิงเนี่ยนะ อย่าล้อเล่นสินักบวชเต๋า ข้าไม่สนิทกับนางขนาดนั้น นางมอบดาบยันต์ให้ข้าก็เป็นการให้เกียรติมากแล้ว ข้าจะรบกวนนางครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร…
นี่ท่านกำลังทำให้ข้าลำบากใจนะเจ้าเสืออ้วน! สวี่ชีอันอยากจะโบกมือปฏิเสธว่า มิตรภาพยังไม่ถึงขั้นนั้น มิตรภาพยังไม่ถึงขั้นนั้น
แต่เนื่องจากความเข้าใจที่มีในตัวตาแก่คร่ำครึท่านนี้ เขาก็รู้ว่าหากไม่มีความมั่นใจ นักบวชเต๋าจินเหลียนคงไม่ตัดสินใจเช่นนี้แน่นอน
‘นักบวชเต๋าจินเหลียนหมายความว่าอะไร มีสิทธิ์อะไรนำเครื่องรางที่ราชครูมอบให้ข้าไปให้สวี่ชีอัน’ ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้วแน่นด้วยความรู้สึกว่าตนเองถูกล่วงเกิน
แต่เขาเป็นคนเฉลียวฉลาดและสงบนิ่ง เก่งในด้านการคิดวิเคราะห์และสร้างมโนภาพ เมื่อย้อนกลับมานึกถึงเจตนาของนักบวชเต๋าจินเหลียน ก็เริ่มระดมสมองอย่างหนัก
หลี่เมี่ยวเจินและไต้ซือเหิงหย่วนก็รู้สึกสับสนเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ไม่ใช่เพราะโง่เง่า เพียงแต่ไม่ชอบครุ่นคิดส่งเดช
ส่วนลี่น่านั้นโง่ของจริง นางไม่ได้วางแผนจะใช้สมองไตร่ตรองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ราวกับหวงแหนเซลล์สมองของตนเองอย่างมาก
ในเวลานี้เอง ชิวฉานอีก็นำทางลูกศิษย์สาวจำนวนหลายคนมาพร้อมกับอาหารจานร้อนอันเลิศรส ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องทันที
ซุปไก่ ขาหมูปรุงรส กุ้งแม่น้ำนึ่ง วอวอโถว [1]เนื้อแกะนึ่ง หมูสามชั้นน้ำแดง…
วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ
‘อึก…’
สวี่ชีอันและลี่น่ากลืนน้ำลายพร้อมกัน
“คุณชายสวี่ นี่คืออาหารที่ห้องครัวเตรียมไว้ให้ท่าน รอให้ท่านตื่นมากิน” ชิวฉานอีกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“ใช่ ใช่ ศิษย์พี่ฉานอีลงมือทำเองเลย” ลูกศิษย์สาวท่านหนึ่งป้องปากหัวเราะเบาๆ
ใบหน้ารูปไข่ของชิวฉานอีเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
สวี่ชีอันรีบกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เหลือบมองนักบวชเต๋าจินเหลียนและนักพรตหญิงไป๋เหลียนด้วยความอับอาย ก่อนจะพบว่าสีหน้าท่าทางของพวกเขาดูเป็นปกติ และไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองที่ลูกศิษย์มีอารมณ์รักแต่อย่างใด
“งั้นข้าไม่รบกวนแล้ว” นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นผู้นำในการเดินออกไปก่อน
จากนั้นฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ ก็เดินตามออกไป
ลี่น่ากลับไม่ขยับฝีเท้า ขาทั้งสองข้างของนางราวกับถูกโซ่ตรวนไว้แล้ว ดวงตาสีครามเข้มมองสวี่ชีอันอย่างไม่ลดละ
“มากินด้วยกันเถอะ”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก พลางหยิบวอวอโถวขึ้นมารับประทานกับหมูสามชั้นน้ำแดงและเนื้อแกะโดยทันที
“คุณชายสวี่ รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง” ชิวฉานอีเม้มริมฝีปากถามอย่างมีความหวัง
“ฝีมือของศิษย์พี่ฉานอียอดเยี่ยมมาก”
สวี่ชีอันยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาชื่นชม ก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า “เพียงแต่ฝีมือการชงชาค่อนข้างแย่”
“ฝีมือด้านการชงชาของข้าก็ดีมากเช่นกันเจ้าค่ะ” ชิวฉานอีกล่าวแก้ตัว
คุณชายสวี่ไม่เคยดื่มชาที่นางชงมาก่อน ก็เลยตัดสินตามการคาดเดา…นางย่นใบหน้าด้วยความรู้สึกน้อยใจที่ถูกคุณชายสวี่ดูหมิ่น
“สิ่งที่ข้าพูดถึงคือชาเขียว”
สวี่ชีอันยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “ที่จวนข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง อายุพอๆ กับเจ้า แต่ฝีมือการชงชาดีกว่าเจ้ามาก ถ้ามีเวลา ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก เรียนรู้จากนางเยอะๆ ล่ะ”
ซูซูจัดอยู่ในกลุ่มหญิงงามหยาดเยิ้ม ผู้หญิงประเภทนี้ มีเพียงชาเขียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้
หากเมื่อสักครู่เป็นหลิงเยว่ที่อยู่ที่นี่ นางก็คงจะร้องไห้ฮือๆ ออกมาตรงนี้ทันที จากนั้นก็เฝ้าอยู่ข้างนอกด้วยความ ‘น้อยใจ’ หากเฝ้าอยู่ข้างนอกและได้รับลมสักคืน นางก็ดีขึ้นแล้ว
และซูซูก็จะถูกตีตราว่าเป็น ‘ผีร้าย’ หลังเกิดเหตุ
หลังจากกินดื่มจนอิ่มหนำสำราญแล้ว สวี่ชีอันก็ส่งชิวฉานอีและหญิงสาวทุกคนกลับไป ก่อนจะส่งเสียงตะโกนอยู่ในห้อง “ศิษย์พี่หยาง!”
ร่างในชุดขาวปรากฎตัวขึ้น และหันหลังให้เขา พลางกล่าวอย่างใจเย็น “หากฟ้าไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน…”
ทุกคนเคยชินกับสิ่งนี้หมดแล้ว ท่านเล่นตัวไปก็คงไม่รู้สึกยินดีแล้วกระมัง…
สวี่ชีอันขัดจังหวะอย่างเฉยเมย “ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน”
หยางเชียนฮ่วนชะงักเล็กน้อย และถามด้วยท่าทีเย็นชาว่า “มีเรื่องอะไร”
“ข้าอยากขอให้ศิษย์พี่หยางช่วยข้าวางค่ายกลเก็บเสียง ถ้าจะให้ดีต้องสามารถตัดขาดการแอบถ้ำมองด้วย ต่อไปข้าต้องทำเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด” สวี่ชีอันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เหอะๆ เจ้าไม่กลัวข้าแอบฟังรึไง” หยางเชียนฮ่วนถามกลับอย่างขี้เล่น
“เหอะๆ นอกจากศิษย์พี่หยางแล้ว ข้าก็ไม่เชื่อใครทั้งนั้น ศิษย์พี่หยางเป็นคนที่ประเสริฐที่สุดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร” สวี่ชีอันกล่าวชื่นชมด้วยความนอบน้อมจริงใจ
“เจ้าตาถึงมาก” หยางเชียนฮ่วนยิ้มแย้มด้วยความสุขกายสบายใจอย่างยิ่ง
…
สวี่ชีอันปิดประตูและหน้าต่างในห้องจนสนิท จากนั้นก็เปิดถุงหอม ปลดปล่อยวิญญาณของโฉวเชียนออกมาอีกครั้ง
เมื่อลมครึ้มพัดโชย อุณหภูมิในห้องก็เริ่มลดลง
โฉวเชียนลอยอยู่ในอากาศอย่างเฉื่อยชา ราวกับคุณชายที่ว่านอนสอนง่ายในตระกูลร่ำรวย
“เจ้าชื่ออะไร” สวี่ชีอันลองถามหยั่งเชิง
“จีเชียน” โฉวเชียนตอบอย่างไร้ความรู้สึก
สวี่ชีอันไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ตัวตนของเจ้าคือใครกันแน่”
“ราชนิกุลแห่งต้าฟ่ง”
น้ำเสียงของโฉวเชียนมั่นคงมาก แต่กลับปลุกเร้าความบ้าคลั่งในสมองของสวี่ชีอัน ปลุกเร้าคลื่นพายุโหมกระหน่ำ เป็นผลให้ภูเขาถล่มและแผ่นดินแตกแยก
เขาคือราชนิกุลแห่งต้าฟ่ง?! มิน่าเขาถึงสกุลจี ไม่สิ ราชวงศ์ต้าฟ่งมีบุคคลนี้ด้วยรึ?
ความคิดต่างๆ ถาโถมเข้ามาไม่หยุด สวี่ชีอันพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองลง และถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เป็นคนสายเลือดใด”
เหตุผลที่เขาถามเช่นนี้ เพราะแน่ใจว่าไม่มีบุคคลดังกล่าวในราชวงศ์เมืองหลวงอย่างแน่นอน อาณาจักรต้าฟ่งยืนหยัดมาหกร้อยปี และค่อยๆ เติบโตจนแตกกิ่งก้านสาขา จีเชียนท่านนี้ ถ้าไม่ใช่คนเผ่าอื่น ก็เป็นลูกนอกสมรสของใครสักคน
เพราะฉะนั้น สวี่ชีอันจึงถามว่าเขาเป็นคนสายเลือดใด
จีเชียนกล่าวพึมพำ “สายเลือดเจิ้งถ่งเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว”
สวี่ชีอันเกือบจะควบคุมกิริยาอาการของตนเองไม่ได้ ท่อนแขนของเขาสั่นอย่างรุนแรง
เจิ้งถ่งเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว หรือพูดง่ายๆ ว่าเขาคือทายาทของจักรพรรดิองค์ก่อนที่ถูกจักรพรรดิอู่จงฆ่าตายงั้นรึ? ยังเหลือสายเลือดของจักรพรรดิองค์ก่อนอยู่อีกรึ? ไม่ใช่ว่าสายเลือดของจักรพรรดิองค์ก่อนตายด้วยน้ำมือของคนทรยศไปหมดแล้วหรอกหรือ…
เฮ้อ งั้นประวัติศาสตร์ท่อนนั้นต้องถูกขโมยไปดัดแปลงอย่างแน่นอน หนังสือประวัติศาสตร์เชื่อถือไม่ได้ แต่จักรพรรดิที่มีความสามารถอันโดดเด่นอย่างจักรพรรดิอู่จง ย่อมต้องรู้เหตุผลในการกำจัดศัตรูให้สิ้นซากอย่างแน่นอน
“เจ้ามีสถานะอะไรในราชวงศ์”
“ข้าคือลูกชายคนโตของท่านพ่อ”
“พ่อของเจ้าคือใคร”
“เขาชื่อจีเซียว เขาคงจะกลายเป็นเจ้าของร่วมแห่งจิ่วโจว แทนที่จักรพรรดิหยวนจิ่ง…”
สายเลือดเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว กำลังจะกลับมาแก้แค้นแล้วรึ? ข้าฆ่า ‘องค์รัชทายาท’ ท่านหนึ่งไปแล้ว…
สวี่ชีอันตกตะลึงอยู่นาน และพยายามแยกแยะข้อมูลอันน่าทึ่งนี้อย่างหนัก
หลังจากนั้น เขาก็ถามต่อไปว่า “เกิดอะไรขึ้นกับโชคชะตาของข้า?”
เขาเลือกที่จะไม่ถามข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลจี และถามเข้าประเด็นสำคัญอย่างตรงไปตรงมา
“…” จีเชียนยังคงเงียบขรึม และเงียบขรึม
ข้าตื่นเต้นเกินไปแล้ว…
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้า “เกิดอะไรขึ้นกับโชคชะตาของสวี่ชีอัน?”
“โชคชะตาของเขาคือการมีผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นดำรงอยู่ในร่างของเขา เป็นพลังช่วยเหลือสำคัญในการควบคุมแผนการใหญ่ เป็นรากฐานในการต่อต้านโหราจารย์ เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดของแผนการเดิมในการช่วงชิงอำนาจของพวกเรา”
ในขณะที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ สีหน้าไร้ความรู้สึกของโฉวเชียนก็แสดงออกถึงความมีชีวิตชีวาที่หาได้ยาก
ดูเหมือนเรื่องนี้จะประทับอยู่ในส่วนลึกจิตวิญญาณของเขา
“ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นคือใคร” ริมฝีปากของสวี่ชีอันสั่นเทา
เขาเกือบจะโพล่งคำถามต่อไปว่า ทำไมต้องฝากโชคชะตาไว้ที่ตัวข้า
เวลานี้เอง การแสดงออกของโฉวเชียนทั้งบิดเบี้ยวและทุรนทุรายอย่างเห็นได้ชัด
…
ค่ำคืนอันเงียบสงัด เสียงแมลงกลางคืนร้องระงมทั่วบริเวณ
บนเนินเขานอกป่าทึบ สุนัขจิ้งจอกจำนวนหนึ่งกำลังแทะกินศพ พลางเปล่งเสียง ‘ฮูฮู’ เพื่อแสดงอำนาจและข่มขู่เพื่อนร่วมฝูง
เท้าคู่หนึ่งที่สวมรองเท้าสีขาวลอยลงมาจากอากาศ และเหยียบลงบนร่างที่ไร้ศีรษะของโฉวเชียนอย่างแผ่วเบา
บุคคลนั้นขาวราวกับหิมะ เสื้อผ้าสีขาวและรองเท้าสีขาวตัดกับเส้นผมสีดำสนิทอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาหลายชั้น ลักษณะแปลกประหลาดราวกับไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้
การคงอยู่ของเขาจางลงอย่างไร้ขอบเขต เขาไม่ได้จงใจปกปิดการเคลื่อนไหวของตนเอง แต่หมาป่าที่อยู่รอบๆ ต่างแทะเล็มอาหารของตนเองอย่างสงบ เดิมทีพวกมันมีประสาทรับรู้ที่ว่องไวอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่พวกมันกลับไม่สังเกตเห็นการปรากฎตัวของร่างในชุดสีขาวแต่อย่างใด
ร่างในชุดสีขาวก้มศีรษะลง กวาดสายตามองซากศพที่น่าเวทนาด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ก่อนจะมองไปทางคฤหาสน์เยวี่ยจือเขาจ้องมองอยู่นาน พลางหัวเราะออกมาเบาๆ
………………………………………………………….
[1] วอวอโถว เป็นอาหารที่ทำจากแป้งที่ใช้เป็นอาหารหลัก พบได้ทั่วไปในภาคเหนือของจีน ทำจากแป้งข้าวโพดชนิดหยาบ มีลักษณะเป็นโคน ตรงก้นเป็นหลุม สีเหลืองนวลสวย ทานเป็นจานหลักอย่างเดียวกับหมั่นโถว