ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 409 เมล็ดบัวสุกเต็มที่
บทที่ 409 เมล็ดบัวสุกเต็มที่
‘โครม!’
ก่อนที่หมัดทั้งสองจะปะทะกัน ดวงตาของเฉาชิงหยางก็เปล่งประกายอย่างชื่นชม
เสียงหมัดกระทบกันดังชัดเจน ร่างของสวี่ชีอันเอนลงไปข้างหลัง หากใช้ตามองก็คือล้มลงไปกับพื้น แต่ทันใดนั้น…เอวและกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาก็สั่นราวกับคลื่นน้ำ ดูเป็นวิธีออกแรงแบบไม่ถูกหลักเพื่อใช้ดึงร่างเขากลับมา
เฉาชิงหยางก้าวถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า พลางออกแรงสกัดและสะบัดแขนที่เจ็บปวดไปด้วย
บรรยากาศตึงเครียดอันรุนแรงที่ลานด้านนอกก็หยุดนิ่งลง
หลังจากที่ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินเลี่ยงดาบแหลมออกไป พวกเขาก็หยุดชะงัก แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยเหลือแต่ก็ไม่ได้โต้กลับเช่นกัน มองไปที่สวี่ชีอันด้วยความประหลาดใจ
‘คงไม่ใช่หรอกนะ…’
เทียนจีและเทียนซูทั้งตกใจและโกรธ ทั้งสองคนจ้องมองที่สวี่ชีอัน จ้องมองทุกท่าทุกการเคลื่อนไหว จ้องมองการเปลี่ยนแปลงท่วงท่าทั้งร่างกายแขนขาของเขาอย่างละเอียดอ่อน
ความคิดหนึ่งที่ยากจะเชื่อผุดขึ้นมาในใจของพวกเขา
เต๋ามารแห่งนิกายปฐพีหรี่ตาลง จ้องไปที่สวี่ชีอันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ดวงตาของนักบวชหลานเหลียนประกายไปด้วยความชั่วร้าย พลางพูดเย้ยหยัน “เฉาชิงหยาง เจ้ายังจะเล่นอีกนานแค่ไหน?”
ในสายตาของระบบบำเพ็ญธรรมลัทธิเต๋าของพวกเขา เฉาชิงหยางผู้นี้มีทั้งความเมตตา ทั้งการให้อภัย และได้อ่อนข้อให้อย่างที่สุดแล้ว
“เมื่อครู่…หมัดนั้นเมื่อสักครู่นี้…”
เหล่ายอดฝีมือกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต่างได้แต่มองหน้ากัน
ในฐานะจอมยุทธ์ระดับสูง พวกเขามีความรู้มากกว่านักบวชของนิกายปฐพีอยู่มาก
การเคลื่อนไหวของหมัดนั้น การถอยกลับอย่างรุนแรงของเฉาเหมิงจู่ และการปัดป้องไม่หยุดนั้น ทุกคนยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้แสดง เป็นการกระแทกกลับโดยหมัดของสวี่ชีอันจริงๆ
ฮู่ว…
สวี่ชีอันถอนหายใจเสียงหนัก ข่มอารมณ์ลิงโลดแทบบ้าไว้ภายในใจ ไม่จำเป็นต้องแสดงอารมณ์ดีใจให้ปรากฏออกทางสีหน้า ยังคงรักษาท่าทางเย็นชาเอาไว้ พลางพูดช้าๆ
“ข้าบรรลุขั้นห้าแล้ว!”
อันที่จริง ประโยคที่เขาคิดอยากจะพูดจริงๆ ก็คือ ข้านั้นบรรลุเป็นเทพเซียนของแผ่นดินแล้ว!
แต่ประโยคนี้ก็ยังคงสร้างเสียงดังสะท้านในหมู่ ‘คนดู’ อย่างใหญ่โต
เขาอยู่ขั้นห้าจริงๆ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นห้า…
อารมณ์ภายในใจของหลี่เมี่ยวเจินนั้นซับซ้อนมาก ทั้งมีความสุขทั้งผิดหวัง
นางเป็นถึงเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ เทพธิดาคืออะไรน่ะหรือ? บรรดาคนรุ่นเดียวกันในนิกายสวรรค์ ผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นล้ำเลิศที่สุด และมีศักยภาพสูงสุดเท่านั้น จึงจะมีสถานะเป็นถึงเทพธิดา’
อีกทั้งสถานะของนิกายสวรรค์ในยุทธภพก็คือยืนอยู่เหนือมวลชน ทุกครั้งที่ผู้คนมองขึ้นไปก็จะมองเห็นเสมอ ลูกศิษย์ของนิกายสวรรค์ทุกท่านที่อยู่ในยุทธภพล้วนเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์
หลี่เมี่ยวเจินก็เป็นหนึ่งในเทพธิดาอันเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์
ตอนนางเพิ่งจะอายุได้ยี่สิบต้นๆ ก็บรรลุขั้นสี่แล้ว หากรอจนเมื่อนางเติบโตถึงอายุที่กลายเป็นดอกไห่ถังที่อุดมสมบูรณ์ การฝึกบำเพ็ญนั้นจะสามารถบรรลุได้ถึงระดับใด?
ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์เคยกล่าวไว้ว่า เทพบุตรและเทพธิดารุ่นนี้มีความหวังอย่างมากที่จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นสาม และมีลำดับขั้นเหนือกว่าชาวบ้านธรรมดา
หลี่เมี่ยวเจินภูมิใจในเรื่องนี้มายี่สิบปี จนกระทั่งได้พบกับสวี่ชีอัน นางถึงค้นพบได้ทันใดว่าพรสวรรค์ที่ตนเองภาคภูมิใจนักหนา เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วเหมือนนับได้ว่าพอใช้เพียงเท่านั้น
“อัจฉริยะ พรสวรรค์อัจฉริยะ”
หยางซุยเสวี่ยแสดงสีหน้าตื่นเต้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนถอนหายใจ “ชายหนุ่มรูปงามผู้มีคุณธรรมและสติปัญญาสูงที่คนแก่อย่างข้าเคยได้พบนั้ นมีมากเหมือนดั่งปลาที่ว่ายข้ามแม่น้ำ ฆ้องเงินสวี่นับว่าโดดเด่นที่สุดในคนเหล่านั้น พรสวรรค์ส่วนนี้ทำให้คนตื่นตะลึง”
“บุกทะลวงและเข้าร่วมรบด้วยตนเอง จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นห้า ฆ้องเงินสวี่นั้นช่างพิเศษและโดดเด่นจริงๆ ข่าวลือในยุทธภพที่บอกว่าปัญญาของเขานั้นไม่แพ้อ๋องสยบแดนเหนือ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย” เซียวเยว่หนูกล่าวออกจากใจจริง
นางปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุมของสตรี จึงมองเห็นสีหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก เห็นแค่เพียงแค่น้ำที่เอ่อล้นอยู่ในดวงตาคู่นั้น เปล่งประกายคล้ายกับแสงดาวระยิบระยับ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้าราชสำนักเมื่อปลายปี เพียงแต่ว่าในขณะนั้นเขายังอยู่ในหลอมจิตขั้นสูงสุด ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี กลับได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากทหารขั้นเก้าระดับสูงสุด ไปเป็นสลายแรงขั้นห้า…
เทียนจีและเทียนซูสองสายลับระดับสวรรค์ ในหัวนั้นผุดข้อมูลของสวี่ชีอันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
‘พรสวรรค์ส่วนนี้ เมื่อเทียบกับฉู่หยวนเจิ่นแล้วกลับเหนือชั้นยิ่งกว่า’
ปีนั้นฉู่หยวนเจิ่นลาออกจากการเป็นขุนนางเพื่อฝึกวรยุทธ์ และเขาก็ผ่านช่วงวัยที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฝึกวรยุทธ์ไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จและสร้างผลงานได้ในทางวิทยายุทธ์
ความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เทียบเท่าการลุกขึ้นมาตบหน้าทุกๆ คน
ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ก็ได้ท้าประลองกับฆ้องทองคำขั้นสี่อย่างเปิดเผย ณ เวลานั้น พรสวรรค์ส่วนนี้ทำให้เกิดแรงสะท้านสะเทือนอย่างยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง อีกทั้งเว่ยเยวียนก็ยกย่องเขาในฐานะนักดาบอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
เหตุผลก็เป็นเช่นนี้
ไม่น่าเชื่อว่าความสามารถของสวี่ชีอันจะแข็งแกร่งกว่าฉู่หยวนเจิ่นในทุกด้าน
ถ้าหากคนเช่นนี้ไม่ตายไปเสีย ในอนาคตจะต้องเกิดปัญหาอันใหญ่หลวงแน่นอน
จมูกของชิวฉานอีแดงก่ำ ดวงตาของนางก็แดงก่ำเช่นกัน น้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มยังเปียกชื้น ณ เวลานี้ นางเผยอริมฝีปากเล็กน้อย ตกอยู่ในความตะลึงอย่างมาก
“ขอบคุณเฉาเหมิงจู่อย่างมากที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์”
สวี่ชีอันกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อมและจริงใจ
เฉาชิงหยางพยักหน้า พลางพูด “ร่างทองของเจ้านั้นดูท่าจะถึงคราวเข้าตาจน หากไม่มีพลังเทพคุ้มกายานี้แล้ว แม้ว่าเจ้าจะเข้าสู่สลายแรงขั้นห้าก็ตาม สำหรับข้าก็เป็นเพียงแค่เรื่องของหมัดหนึ่งหมัด ยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถอะ”
การป้องกันร่างเนื้อเป็นรากฐานของการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวของจอมยุทธ์ หากไม่มีกระดูกเหล็กผิวทองแดง เขาจะต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร
สวี่ชีอันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ “หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ?”
เฉาชิงหยางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เช่นนั้นครั้งนี้ ข้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว”
เสียงล่องลอยอยู่ในอากาศ ร่างกายของเขาราวถูกลมพัดฉีกแหลกสลาย แต่นั่นเป็นเพียงแค่ภาพติดตาเท่านั้น เฉาเหมิงจู่ในชุดสีม่วงปรากฏตัวต่อหน้าเขา ออกหมัดโจมตีเข้าโดยตรงที่ใบหน้า
ร่างของสวี่ชีอันสลายหายไป ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นทางด้านซ้ายของเฉาชิงหยาง
“หรือเฉาเหมิงจู่ลืมเคล็ดลับทักษะพิเศษของข้าไปเสียแล้ว?”
สวี่ชีอันพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว หมัดของเขาต่อยกระทบร่างของเฉาชิงหยางเสียงดังกังวานและเต็มไปด้วยพลัง
เขาหายตัวไปอีกครั้ง โดยหลบไปอยู่ด้านหลังของเฉาชิงหยาง ต่อด้วยปรากฏตัวขึ้นอีกด้านหนึ่งของเฉาเหมิงจู่ กำลังจะเริ่มต้นการต่อสู้โจมตีระยะประชิดอีกรอบ
แต่สัญชาตญาณชาวยุทธจักรของเฉาชิงหยางก็เฉียบแหลมและว่องไวไม่แพ้กัน เขาพลิกมือไปคว้าข้อมือของสวี่ชีอันไว้ พลางเอนตัวลง ทำให้ตนเองกลายเป็นเสาหินที่ถล่มลงมา
สวี่ชีอันดึงมือของเขาออกก่อนแล้วออกหมัดสลับรัวๆ เพื่อโจมตีกลับเสาหินที่ถล่มลงมาเสานี้
‘ปัง ปัง ปัง!’
‘เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!’
ทั้งสองประลองร่างกายกันอย่างเข้มข้น เกิดเป็นฉากที่น่าตื่นตะลึงต่อเหล่าผู้คนที่ล้อมชมอยู่ การต่อสู้ของพวกเขาดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังรุนแรงและดุดัน
หากเปลี่ยนเป็นระดับเดียวกันของระบบอื่น การต่อสู้ประชิดตัวที่ดุเดือดรุนแรงเช่นนี้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคงถูกทุบตีจนตายเป็นร้อยครั้งพันครั้งไปตั้งนานแล้ว
ผู้คนด้านนอกลานค้นพบว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง ทว่าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฆ้องเงินสวี่เกือบจะต้านทานเฉาเหมิงจู่ไว้ไม่อยู่
ดูเหมือนว่าฆ้องเงินสวี่จะสามารถทำนายอนาคตได้ล่วงหน้า เขาสามารถหลบหลีกการโจมตีจากอีกฝ่ายได้ทุกครั้งไป หรือไม่ก็สามารถตัดการโจมตีของเฉาเหมิงจู่ได้ จากนั้นก็โจมตีกลับอย่างดุดัน
แม้ว่าเฉาเหมิงจู่กำลังต่อสู้กับร่างกายที่แข็งแกร่งยากจะตีแตก ถึงกระนั้นก็ไม่สนใจ มองข้ามการโจมตีของฆ้องเงินสวี่ แต่การที่เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนั้นคือเรื่องจริง
นี่อาจเป็นเพราะเป็นพลังเทพวชิระที่เกือบจะพังทลายของฆ้องเงินสวี่ ถ้าหากสภาวะพัฒนาไปจนถึงสุดขีด เกรงว่าเฉาเหมิงจู่อาจทำได้เพียงสกัดกั้นจนตอบโต้กลับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย…หลายคนอดคิดไม่ได้
ในเวลานี้ ใบหน้าของสวี่ชีอันแดงก่ำขึ้นทุกขณะ แม้แต่ท่าทางก็เริ่มติดขัด จุดอ่อนสำคัญเช่นนี้ไม่ถูกอีกฝ่ายมองข้าม เฉาชิงหยางฉวยโอกาสออกหมัดต่อยเข้าที่หน้าอกสวี่ชีอัน จนทำให้เขาเดินโซเซถอยกลับ
จากนั้นก็ทำการจู่โจมแบบไร้ช่องว่าง หลังจากออกหมัดก็ตามด้วยลูกเตะที่ลอยมา ต่อยซ้ำๆ ตามด้วยสับศอกและฟาดแข้งที่คมเสมือนแส้ จากนั้นก็ดึงร่างอีกฝ่ายกลับมาอีกครั้ง ตามด้วยการโจมตีอันทรงพลังอีกชุด
‘โครม!’
แสงสีทองกะพริบอย่างรุนแรง ก่อนจะสลายไปอย่างสมบูรณ์
พลังเทพวชิระถูกทำลายลงแล้ว
สวี่ชีอันตบหน้าอกของเฉาชิงหยางด้วยฝ่ามือ ข้อมือพลิกคว่ำลง ฝ่ามือหงายขึ้น พลางปัดขึ้นไปตามหน้าอกที่แข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ แล้วตบเข้าที่คางของเฉาชิงหยาง
‘ตุบ ตุบ ตุบ’…เฉาเหมิงจู่ถอยหลังไปสองสามก้าว รู้สึกว่ากรามของเขาเกือบจะหลุดออกมา
สวี่ชีอันจบสิ้นการแข่งขันอันหนักหน่วงนี้แล้ว ป้องมือโค้งคำนับ “ข้าแพ้แล้ว”
ดูเหมือนว่าฝีมือของเฉาเหมิงจู่ยังคงเหนือกว่า…ทันทีที่ทุกคนคิดเช่นนั้นในใจ พวกเขาก็ได้ยินเฉาชิงหยางตอบกลับ
“ร่างกายเจ้าบาดเจ็บ ถ้าหากถึงสภาวะสุดขีดแล้วละก็ ข้าอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
ความหมายของเฉาเหมิงจู่ คือเขาไม่สามารถเอาชนะสวี่ชีอันได้ด้วยการอาศัยทักษะทางกายภาพเพียงอย่างเดียวได้งั้นหรือ?
สายตาแปลกๆ เหล่านั้นจ้องมองไปที่สวี่ชีอัน
ขณะเดียวกันนั้น กลางสระน้ำ ดอกบัวเก้าสีพลันเปล่งประกายสีสันสวยงาม ราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงผ่านกลุ่มเมฆลงมาจากท้องฟ้าโดยตรง
หลังจากหายใจเข้าไม่กี่อึดใจ ลำแสงนั้นก็หายไป ดอกตูมเก้าสีที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำค่อยๆ ผลิบานทีละดอก
ตาของพวกเขาละจากสวี่ชีอันแล้วมองไปที่ดอกบัว เพียงชั่วพริบตาเดียว ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่หายใจเร็วและแรงขึ้นมาทันที
หว่างคิ้วของนักบวชหลานเหลียน จู่ๆ ก็มีหมอกสีดำขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาเหมือนน้ำตก
หมอกสีดำรวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์ที่มีใบหน้าเลือนราง ดูเหมือนช้าแต่รวดเร็ว ก่อนที่ทุกคนจะทันได้ตอบสนอง เงานั้นก็พุ่งไปทางสระน้ำ ปลายทางคือดอกบัวเก้าสี
ไม่น่าเชื่อว่าร่างอวตารของผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีหลบซ่อนอยู่ในร่างของนักบวชหลานเหลียนมาโดยตลอด ปิดบังหลอกลวงทุกคน
เขาคิดจะแย่งดอกบัวแบบสายฟ้าแลบโดยไม่ให้ใครตั้งรับทัน ก่อนที่ยอดฝีมือซึ่งเคยปรากฏตัวที่ฉู่โจวจะกลับมามีปฏิกิริยาตอบสนอง ป่านนั้นเขาก็หลบหนีไปอย่างรวดเร็วแล้ว
ใช่แล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีเข้าใจว่าบุคคลผู้แข็งแกร่งและลึกลับผู้นั้นต้องซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ ตนเองอย่างแน่นอน
เฉาชิงหยางตั้งรับ ฟาดฝ่ามือออกมาตัดผ่านหมอกสีดำไปเบาๆ ได้อย่างง่ายดาย ทว่าหมอกสีดำรวมตัวกันได้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง จึงไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากนัก
ข้างสระน้ำ นักบวชเต๋าจินเหลียนซึ่งนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา
“เฮยเหลียน รอเจ้าอยู่ตั้งนานแล้ว”
ขณะที่พูด คิ้วของนักบวชเต๋าจินเหลียนก็กดต่ำลงราวกับหลุมดำ พายุหมุนที่ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่นั้น จ้องจะกลืนกินร่างของนักบวชเต๋าเฮยเหลียนเข้าไป
นักบวชเต๋าจินเหลียนหลับตาลงทันที เหมือนรูปปั้นหินที่อยู่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาต้องต่อสู้กันอีกคำรบหนึ่ง ต่อสู้กับร่างอวตารของผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพี
นักบวชเต๋าจินเหลียนใช้อำนาจจัดการปัญหา เสนอเมล็ดบัวเก้าสีให้กับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
นักพรตเหลียนฮวาแห่งนิกายปฐพีและสายลับของไหวอ๋องต่างร่วมมือกันต่อสู้เพื่อชิงเมล็ดบัว
สำหรับภัยคุกคามของเหล่า ‘ตัวประกอบ’ พวกนี้ เฉาชิงหยางเพียงแค่พลิกฝ่ามือเพียงฝ่ายเดียว ก็กวาดปัญหาทั่วทุกสารทิศในลานนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง
“ฟู่…”
นอกเหนือจากยอดฝีมือขั้นสี่ที่อยู่กลางลาน ทุกคนต่างก็กระอักเลือดจากการกวาดล้างของฝ่ามือนั้น
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้ายืนหยัดอยู่ต่อหน้าเขา
เฉาชิงหยางหรี่ตาลง จ้องไปที่ชายหนุ่มไม่รู้จักพอผู้นี้ พร้อมกับพูดอย่างเย็นชา
“ฆ้องเงินสวี่ การพนันต่อสู้ของพวกเราจบลงแล้ว ครั้งนี้ข้าคงไม่สามารถอ่อนข้อให้ได้อีกแล้ว เกียรติของเจ้าที่ควรได้รับ ข้าก็ได้มอบให้ไปหมดแล้ว ต่อไปนี้ แม้ว่าข้าต้องตีเจ้าให้ตาย ในยุทธภพนี้ก็คงไม่มีใครสามารถพูดว่าข้านั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไป”
เทียนจีและเทียนซูที่กำลังตกใจและโกรธแค้นอยู่นั้น เมื่อเห็นฉากนี้ ก็รู้อย่างฉับพลันว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ปรากฏว่าตรงกันกับสิ่งที่พวกเขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด
ทั้งสองกังวลว่าสวี่ชีอันคงไม่อาจถูกสังหารได้โดยง่าย เพราะยังมีพวกคฤหาสน์เยวี่ยจือคอยถือหางให้ท้าย และยังมีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่ประกาศตนว่ามีจิตใจกล้าหาญ รักความยุติธรรม คอยปกป้องคุ้มกันอีก
ทันใดนั้น เรื่องราวต่างๆ ก็กลับตาลปัตร
เฉาชิงหยางมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเพื่อดอกบัวเก้าสี เขายอมถอยให้แล้วเมื่อครู่ ทั้งเห็นแก่หน้าและให้เกียรติสวี่ชีอันมากพอแล้ว ตอนนี้ถ้าสวี่ชีอันไม่เห็นแก่หน้าเขาบ้าง ทั้งยังหาทางกีดกันเขาในทุกทาง ถึงแม้ว่าเฉาชิงหยางจะลงมือทำร้ายคนหรือถึงขนาดฆ่าคน โลกภายนอกก็คงไม่สามารถตำหนิหรือต่อว่าเขาได้
เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินต่างเร่งรีบตะโกน
“คุณชายสวี่ ท่านทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ไม่จำเป็นต้องปกป้องเมล็ดบัวอีกต่อไป”
“คุณชายสวี่ ท่านรีบถอยไป รีบถอยไปเร็ว”
พวกเขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้เพียงพอแล้ว ฆ้องเงินสวี่พยายามอย่างเต็มที่และใช้พลังอย่างสุดความสามารถแล้ว เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินตระหนักดีว่า เมื่อเทียบกับความปลอดภัยของฆ้องเงินสวี่ เมล็ดบัวก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
สวี่ชีอันไม่สนใจ พลางมองไปที่เฉาชิงหยาง และพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ว่าข้าอยากขัดขวางเจ้า แต่ว่ายังมีคนอื่นอีก”
เขาเอื้อมมือไปหยิบชิ้นส่วนยันต์คุ้มกายาสีเหลืองออกมาจากในอก แล้วใช้พลังปราณที่แทบจะไม่เหลืออยู่เพื่อจุดไฟเผามัน
ตะโกนเสียงดัง “ท่านราชครู ช่วยข้าด้วย… ข้าคือ… สวี่ชีอัน”
………………………………………………………….