ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 410 ราชครูหญิง
บทที่ 410 ราชครูหญิง
ยันต์รูปร่างหน้าตาธรรมดาอันหนึ่ง พลันเกิดเปลวไฟลุกโชนเจิดจ้า กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว
เหล่าผู้ชมยังได้ยินเสียงกรีดร้องว่า ‘ท่านราชครู ช่วยข้าด้วย’ สะท้อนกลับมา แต่มันก็เผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว
ราชครู? ราชครูที่เอ่ยออกจากปากของเขาคงเป็นลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ราชครูหญิงแห่งราชสำนักกระมัง…
ได้อย่างไรกัน สวี่ชีอันสามารถอัญเชิญผู้นำเต๋านิกายมนุษย์มาได้?
ยันต์ใบนี้เป็นอาวุธเวทมนตร์ที่ใช้เรียกลั่วอวี้เหิง?
เป็นไปไม่ได้ ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์จดจ่อกับการบำเพ็ญธรรม ไม่สนใจเรื่องทางโลกและเก็บตัวอยู่ในเมืองหลวง เป็นไปได้อย่างไรที่สวี่ชีอันแค่คนเดียวจะสามารถอัญเชิญนางออกมาได้…
ทุกคนจ้องไปยังแผ่นยันต์ที่กลายเป็นเถ้าถ่าน ความคิดต่างๆ แวบเข้ามาในหัว ในขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิดฟุ้งซ่าน แต่ทว่า…ที่นั่นกลับไร้การเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรนอกเหนือจากลมที่แปรจนเกิดเสียงดัง
ผ่านไปอีกสักพัก เสียงลมก็ยิ่งดัง แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขี้เถ้าของยันต์ที่ถูกเผาไหม้ถูกลมม้วนวนขึ้น และพัดปลิวไปไกล
น่าอึดอัดยิ่งนัก คำกล่าวของข้าไม่น่าเชื่อถือกระมัง นักบวชเต๋าจินเหลียนผู้นี้คงกระวนกระวายใจไปเองแล้วทำอะไรวุ่นวายไปหมด…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก รู้สึกถึงความอัปยศชนิดที่ทำลายชื่อเสียงตนเอง
ในสายตาของเขา ลั่วอวี้เหิงเป็นราชครูที่อยู่ระดับสูง และเป็นยอดฝีมือขั้นสอง อีกทั้งความสัมพันธ์กับเขายังไม่ใช่เครือญาติหรือมิตรสหาย ไม่ใช่ท่านน้าแท้ๆ อีกด้วย
นางจะเห็นแก่หน้าเขา และรีบมาช่วยเหลือจากที่อันไกลโพ้นได้อย่างไร
นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบแผ่นยันต์ให้เขาก็เพื่อหยอกเล่นแบบนี้หรือ? นอกเหนือจากจะต้องผิดหวังแล้ว ฉู่หยวนเจิ่นยังรู้สึกว่าเดิมทีก็ควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
แผ่นยันต์ไม่ใช่อาวุธวิเศษที่จะสามารถอัญเชิญราชครูมาได้ ถึงอย่างนั้น ต่อให้แผ่นยันต์จะสามารถติดต่อกับราชครูได้ ก็ใช่ว่าสวี่ชีอันจะอัญเชิญนางออกมาได้เสียเมื่อไร
ในฐานะที่เขาเป็นลูกศิษย์ของนิกายมนุษย์ และเป็นตัวแทนนิกายมนุษย์ที่ต้องต่อสู้กับหลี่เมี่ยวเจิน ต่อให้มีภาษีดีถึงขั้นนี้ ท่าทีของราชครูที่มีต่อเขาก็ยังคงเย็นชาเหมือนเคย อย่างมากที่สุดก็แสดงความชื่นชมอยู่บ้าง
ไม่ว่าจะเป็นนิกายปฐพี นิกายสวรรค์ แม้กระทั่งศูนย์รวมอำนาจและสำนักอื่น เมล็ดพันธุ์อันยอดเยี่ยมเช่นเขาก็กลายเป็นเป้าหมายสำคัญในการปลูกฝังของใครหลายคนมาตั้งนานแล้ว แม้กระทั่งผู้สืบทอดการฝึกตนในอนาคต
อารมณ์ที่เงียบขรึมของลั่วอวี้เหิง แค่มองเห็นเพียงเล็กน้อยก็สามารถสรุปได้ทั้งหมดแล้ว
สวี่ชีอันกับนางไม่ได้มีความสัมพันธ์กันมากนัก อยากมากก็เจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง อย่างดีที่สุดคือไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน
หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นมีความคิดคล้ายกัน ลั่วอวี้เหิงเป็นผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์ มีตำแหน่งเท่ากับผู้นำเต๋าของนิกายสวรรค์
ในฐานะที่ตนเองเป็นเทพธิดาของนิกายสวรรค์ หากพบเจอกับความยากลำบากในยุทธภพ แล้วเรียกให้ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์มาช่วย คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วยหรือ
แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงไม่สนใจอยู่แล้ว มิฉะนั้นศิษย์พี่ใหญ่คงไม่ถูกไล่ตามเข่นฆ่าโดยหญิงสาวเป็นหลายพันลี้เพราะหนี้รัก จนถึงป่านนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม
ดังนั้น การที่สวี่ชีอันคิดจะอัญเชิญผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์มา ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเกินไปหน่อยหรือ
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กับชาวยุทธภพพากันส่ายหน้าและหัวเราะ ที่แท้ฆ้องเงินสวี่ก็กำลังวางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาและล้อเล่นกับทุกคนอยู่
เหล่านักบวชนิกายปฐพีหัวเราะเสียงดัง เผยให้เห็นการเยาะเย้ยหนึ่งรอบ นอกจากร่างกายจะแสดงท่าทีถากถางออกมาอย่างชัดแจ้ง พวกเขายังพูดฉีกหน้าสวี่ชีอันอย่างถึงอกถึงใจ
สายลับเทียนจีส่งเสียงยิ้มเยาะ กล่าวเหน็บแนม “ตําแหน่งราชครูนั้นสูงส่งเพียงใด แค่มดแมลงเช่นเจ้าอยากจะอัญเชิญก็อัญเชิญมาได้อย่างนั้นหรือ สวี่ชีอัน นี่เจ้าคิดจะทำให้พวกเราหัวเราะจนฟันร่วงหรืออย่างไร”
สายลับหญิงเทียนซูกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าเด็กอ่อนหัด”
ไม่มีใครสังเกตเลยว่ารอบข้างสายลมยิ่งพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ พัดเอาฝุ่นและใบไม้ขึ้นไป พัดผิวน้ำเป็นระลอกคลื่น
เฉาชิงหยางเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงหันขวับอย่างกะทันหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ดวงดาวสีทองสายหนึ่งสว่างขึ้น
แสงดาวพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ราวกับดาวตกที่พาดผ่านท้องฟ้า ลากหางเปลวไฟ ปะทะสู่สายตาและรูม่านตาของทุกคน
หลังจากนั้น แสงสีทองมหาศาลพลันพุ่งชนเข้ากับคฤหาสน์เยวี่ยจือ และลงสู่พื้นตรงเบื้องหน้าสวี่ชีอัน
นางร่อนลงสู่พื้นอย่างสง่างาม แสงสีทองที่ห่อหุ้มกายาราวกับหมอกที่พลิ้วไหว พื้นผิวกระจายเป็นระลอกคลื่น
เสื้อคลุมขนนกตัวยาวพลิ้วไสว ผมสีดำใช้ปิ่นไม้มะเกลือรวบไว้ทั้งศีรษะ ระหว่างคิ้วแต้มด้วยชาดสีแดงหนึ่งจุด ความงามของนางราวกับอยู่เหนือจุดสูงสุดของกาลเวลา และอยู่เหนือภาพลักษณ์ที่เรียบง่าย
ความบริสุทธิ์ ความน่ารัก ความงดงามหยาดเยิ้ม ความเย่อหยิ่ง ความเรียบง่าย…ล้วนประจักษ์ชัดอยู่ในสายตาของบุรุษมากหน้าหลายตา แต่ละคนมีมุมมองต่อภาพลักษณ์นั้นไม่เหมือนกัน
ชายที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างค้นพบความชื่นชอบในส่วนลึกของตนเองได้จากตัวนางกันทั้งสิ้น
มา…มาจริงๆ หรือ?!
สวี่ชีอันอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก จ้องมองไปยังร่างของหญิงสาวด้วยความตกตะลึง บทนักแสดงที่เป็นอมตะประโยคหนึ่งแวบเข้ามาในหัว
ท่านน้า ข้าอยากยอมแพ้แล้ว!
ไม่ไกลออกไป ฉู่หยวนเจิ่นมองไปที่หญิงงามล่มเมืองซึ่งอยู่ในเหตุการณ์อย่างเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย สิ่งแรกที่อัดแน่นอยู่ในใจไม่ใช่ความตื่นตะลึง แต่เป็นความว่างเปล่า
เขาตกอยู่ในความสงสัยที่ว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ จนถอนตัวไม่ขึ้นเป็นเวลานาน ส่งผลให้ความคิดเฉียบแหลมที่วิเคราะห์ได้เป็นอย่างดีในยามปกติเข้าสู่ภาวะชะงักงันในเวลานี้
หลี่เมี่ยวเจินเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
นางจ้องมองไปยังสวี่ชีอัน หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบ เต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉาที่พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง รู้สึกอยากโยนแผ่นยันต์เพื่อถ่ายทอดคำร้องขอให้ผู้นำเต๋าเข้ามาช่วยเหลือเหมือนกัน
…ในใต้หล้า ตนที่เป็นถึงเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ ชัดเจนแล้วว่าไม่มีหน้าตาเทียบเท่าเขา
“ราช ราชครู…”
เทียนจีอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หวีดร้องภายในใจ ‘เจ้ามาได้อย่างไร เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้มาตามคำเชิญของมดแมลงตัวหนึ่ง…’
เขาอดคิดตั้งคำถามและนึกตำหนิอีกฝ่ายไม่ได้ คิดจะย้ายฝ่าเท้าออกไป
เขาโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้ ทั้งตกใจและสับสน สีหน้าของเขาซีดเผือด…แต่สุดท้าย เขากลับเลือกที่จะนิ่งเงียบ
การเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งขั้นสองท่านหนึ่ง แม้จะมีจักรพรรดิคอยสนับสนุนก็ไร้ความหมาย ต่อให้ลั่วอวี้เหิงฆ่าตัดศีรษะเขาในเวลานั้นก็คงไม่มีใครออกหน้าเพื่อเขา
ตายอย่างไม่มีค่าอะไรเลย
คิดมาถึงจุดนี้ เทียนจีเอียงศีรษะเหลือบมองเทียนซู พบว่านางเองก็กำหมัดแน่นไม่ต่างกัน ร่างบอบบางสั่นเล็กน้อย อยู่ในช่วงพยายามระงับอารมณ์โกรธและตกใจของตนเองอย่างสุดความสามารถ
“ท่านนี้คือผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ราชครูหญิงจริงๆ หรือ?”
มีคนกระซิบเบาๆ
ใบหน้าของลั่วอวี้เหิงเป็นสิ่งที่ชายธรรมดาทั่วไปไม่สามารถแหงนหน้ามอง มีคนน้อยมากที่เคยพบเห็นตัวตนที่แท้จริงของนาง
“เป็น เป็นฆ้องเงินสวี่ที่อัญเชิญนางมา…”
หลังประโยคนี้กล่าวออกไป สถานการณ์ดูจะเงียบลงไปหลายส่วน ทุกคนเลื่อนสายตาโดยปริยาย มองไปทางเด็กหนุ่มรวบผมหางม้าที่ยืนอยู่ด้านหลังราชครูหญิง
สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ยืนตัวตรง ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความมั่นใจที่สามารถอัญเชิญผู้นำเต๋านิกายมนุษย์มาได้ ท่าทีสงบนิ่งจนมองไม่เห็นถึงอารมณ์ผันผวนใดๆ
นี่…ความสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชีอันกับผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์เป็นอย่างไรกันแน่?
ด้วยฐานะผู้นำเต๋าลั่วอวี้เหิง ราชครูที่น่าเคารพ คิดไม่ถึงว่านางจะถูกฆ้องเงินสวี่อัญเชิญออกมาได้ แทบไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ…
พวกเขาทั้งสองต้องมีความสัมพันธ์ลับอะไรบางอย่างต่อกันกระมัง แม้ชื่อเสียงของฆ้องเงินสวี่จะรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า ก็ควรมีขีดจำกัด ไม่มีทางทำให้ขั้นสองผู้สง่างามปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ได้…
ขั้นสองถือว่าเป็นบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของจิ่วโจว หากจะบอกว่าพวกเขาทั้งสองไม่มีเรื่องภายใน ให้ตายอย่างไรก็ไม่เชื่อ…
ในเวลานี้ความคิดในใจของเหล่า ‘ฝูงชน’ เรียกได้ว่าระเบิดแล้ว
เต๋ามารของนิกายปฐพีมองอย่างลุ่มหลงไปยังลั่วอวี้เหิงที่ราวกับนางฟ้าก็มิปาน ความชั่วร้ายในดวงตาอ่อนลงเล็กน้อย แทนที่ด้วยกามตัณหา แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปหาและครอบครองนางเสีย
ความสามารถของเต๋ามารนิกายปฐพีคือสนองความต้องการเบื้องลึกของจิตใจ สำหรับส่วนที่เสื่อมโทรมและน่าขยะแขยงที่สุดในธรรมชาติของมนุษย์ เมื่ออยู่บนร่างกายของเขาแล้ว จะสามารถขยายได้ถึงร้อยเท่าพันเท่า
ขณะเดียวกันเส้นทางนิกายมนุษย์ของลั่วอวี้เหิงก็มีข้อเสียในด้านนี้อยู่เช่นกัน ดังนั้นเต๋ามารของนิกายปฐพีซึ่งลุ่มหลงอยู่ในความปรารถนาจนถอนตัวไม่ขึ้นจึงยังมีสติอยู่บ้าง ทันทีที่ทราบว่าอีกฝ่ายคือผู้นำของนิกายมนุษย์ เขายิ่งไม่รอช้าที่จะสนองความต้องการของตนเอง แสยะยิ้มและพุ่งเข้าไปหา
ทันใดนั้นหว่างคิ้วที่หมุนวนของนักบวชเต๋าจินเหลียนปรากฏขึ้นอีกครั้ง ควันดำคล้ายหมอกหนาพยายามโผล่ออกมา แปลงร่างกลายเป็นร่างคนที่มีเพียงครึ่งบนและมีใบหน้าที่คลุมเครือ
ร่างอวตารของเฮยเหลียนมองลั่วอวี้เหิงอย่างละโมบ พลางแสยะยิ้มกล่าว “ลั่วอวี้เหิง หลานสาวคนดี อาจารย์อาอยากจะบำเพ็ญคู่กับเจ้ามาตั้งนานแล้ว ไฟแห่งกรรมบนร่างกายเจ้าจะต้องอร่อยอย่างหาที่เปรียบมิได้เป็นแน่ สามารถช่วยให้ความชั่วร้ายดั่งปีศาจของข้าเติบโตขึ้นอย่างมาก”
หนังศีรษะของนักบวชเต๋าจินเหลียนเกิดอาการชา สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก รีบหาทางแก้ไขอย่างหวาดหวั่น กล่าวด้วยเสียงคำราม
“เต๋ามาร หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว วันนี้อาตมาจะจัดการกับคนทรยศ ทำให้ร่างวิญญาณเจ้าถูกทำลายเสีย”
หว่างคิ้วที่หมุนวนระเบิดแรงดูดออกไปอย่างฉับพลัน ดูดควันดำกลับเข้าไปดังเดิม
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ วางแส้ขนหางจามรีที่อยู่ในมือลง
ความจริงนางเคยถูกเฮยเหลียนควบคุม แต่เมื่อเฮยเหลียนปล่อยวางจากตนเองและตกสู่ทางมาร นางที่ยังคงพัวพันกับไฟแห่งกรรมจึงรักษานิสัยเดิมให้คงอยู่ต่อไปอย่างระมัดระวัง
ในเวลานี้ ถ้าถูกความชั่วร้ายของเฮยเหลียนปนเปื้อน มีความเป็นไปได้มากที่ไฟแห่งกรรมในร่างกายจะปะทุ และทำให้นางตกสู่ทางมารเพราะเหตุนี้
แน่นอนว่าข้อควรระวังนี้เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวของนางเอง
ใบหน้าของเฉาชิงหยางดูจริงจัง พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ร่างแยกของราชครูร่างนี้ แม้จะอยู่ในขั้นสาม ก็ไม่ถือว่าอ่อนแอ”
ลั่วอวี้เหิงกล่าวอย่างราบเรียบ “รู้แล้วยังไม่รีบไสหัวไปอีก”
เฉาชิงหยางไม่ได้โกรธ แต่ยิ้มอย่างสบายๆ “สำหรับจอมยุทธ์แล้ว แม้จะมีกองกำลังเป็นหมื่นพัน ข้าก็สามารถหยุดได้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว”
แปลอย่างเรียบง่ายก็คือ ทหารหัวเหล็ก จะตีให้ตายก็ไม่หวาดกลัว
“ความคิดนี้ไม่เลว ใช่ว่าทหารทุกคนจะไม่เกรงกลัวความเป็นความตาย” ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นนำแส้ขนหางจามรีตีไปที่เฉาชิงหยาง
‘ปัง ปัง ปัง!’
ปราณกระบี่ระเบิดใส่ชุดคลุมสีม่วงบนตัวเขา ผลักเขาให้ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง ตัดชุดคลุมสีม่วงจนกลายเป็นเศษผ้าขาดรุ่งริ่ง
ปราณกระบี่ที่กระจัดกระจายได้นำหายนะมาสู่ผู้คนโดยรอบ มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนในที่เกิดเหตุ แต่ต่างก็เป็นชาวพเนจรทั้งสิ้น
อย่างเช่นพรรคฟ้าดิน นิกายปฐพี สายสืบและทหารของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ กองกำลังเหล่านี้ต่างมียอดฝีมือขั้นสี่คุ้มครอง จึงสามารถต้านทานคลื่นกระทบได้
“ถอยออกไป รีบถอยไป…” เซียวเยว่หนูกล่าวเสียงดุ
“ออกไปจากคฤหาสน์เยวี่ยจือ ยิ่งไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี”
เหล่ายอดฝีมือทั้งสี่ตะโกนเสียงดัง
ผู้คนหลายร้อยกระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง มุ่งหน้าหลบหนีออกจากคฤหาสน์เยวี่ยจือไป
เมื่อทุกฝ่ายจากไปแล้ว ยกเว้นนักบวชเต๋าจินเหลียนที่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ หลังจากไม่มีใครขวางทาง เฉาชิงหยางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือเป็นเหมือนมีด
พลังวิญญาณที่กลืนเข้าและคายออกเริ่มแข็งตัวกลายเป็นกระบี่เล่มใหญ่ที่ยาวสี่สิบเมตร ลำแสงกระบี่บิดเบือนบรรยากาศ
นี่ไม่ใช่พลังจอมยุทธ์ธรรมดา แต่เป็นพลังที่รวบรวมเจตนาของกระบี่ขั้นสามไว้
“ปราณกระบี่ยังยืดหยุ่นไม่พอ ที่แท้แก่นโลหิตของจอมยุทธ์ขั้นสามก็กำลังดึงต้นกล้าให้สูงเพื่อโตเร็ว” น้ำเสียงของลั่วอวี้เหิงดูเย็นชา
เฉาชิงหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มเหมือนเหยียดหยาม “ราชครูได้โปรดกรุณาให้คำชี้แนะด้วย”
กระบี่ยาวสี่สิบเมตรฟาดลงมาทันที
ในชั่วพริบตา ภายในดวงตาของลั่วอวี้เหิงมีเพียงแสงกระบี่ เป็นแสงกระบี่ที่ระยิบระยับและเจิดจ้าแสบตา บรรยากาศโดยรอบเหมือนกลายเป็นฉากกั้น ปิดกั้นทางหนีของนาง ทำให้นางไม่สามารถหลบหนีได้
ลั่วอวี้เหิงหลับตาลงเบาๆ ปรากฏให้เห็นขนตางอนหนาเป็นแพ มือขวาของนางกำแส้ขนหางจามรี มือซ้ายกรีดกรายเหมือนกับกระบี่ ค่อยๆ ลูบไปที่แส้ขนหางจามรี
เส้นใยหลายพันเส้นรวมกันเป็นเส้นเดียว ทั้งตรงและแข็งแกร่ง แส้ขนหางจามรีในเวลานี้ได้กลายเป็นกระบี่ที่คมกริบ
นางยื่นกระบี่ออกมาอย่างนุ่มนวล
‘ตู้ม!’
ลำแสงกระบี่และปราณกระบี่ส่งพลังทำลายล้างออกไปพร้อมกัน คลื่นกระแทกผสมปราณที่เฉียบคมทำลายสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างจนพังพินาศย่อยยับไปอย่างง่ายดาย
มีเพียงเบื้องหน้าของนักบวชเต๋าจินเหลียนที่ปรากฏม่านแสงสกัดกั้นคลื่นกระแทกเท่านั้น ลำแสงปราณกระบี่ที่กระจายอยู่ในม่านแสงปะทะจนเกิดเป็นเศษแตกกระจาย เหมือนกับระลอกคลื่นเงาของน้ำที่กระเพื่อมก็มิปาน
‘ตู้ม!’
ภายใต้ผลของคลื่นกระทบ ทำให้ผนังของสระน้ำเย็นแตกร้าว ระเบิดน้ำจนพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ฝักบัวสีทองหนึ่งท่อนระเบิดออก รวมถึงก้านที่โค้งงอเล็กน้อยก็ด้วย ปลายของก้านมีลักษณะไม่เหมือนเห็ด แต่เป็นฝักบัวสีทองเข้มอันหนึ่ง
ในเวลานี้ กลีบดอกหลากสีทั้งเก้ากลีบเหี่ยวเฉาลงแล้ว ในฝักบัวสีทองเข้มมีเมล็ดบัวเรียงกันสิบสี่เมล็ด
ดวงตาของเฉาชิงหยางลุกเป็นไฟ กะพริบระยิบระยับอยู่เหนือสระน้ำเย็น เอื้อมมือไปคว้าฝักบัวและเมล็ดบัวที่กระจายลอยอยู่
‘ปัง ปัง ปัง!’
เสาน้ำที่พุ่งขึ้นไปยังไม่ลดต่ำลงมา หยดน้ำทั้งหมดกลายเป็นกระบี่ขนาดเล็ก เมื่อรวมตัวกันแล้วกลับกลายเป็นฝนกระบี่ ทั้งหมดโจมตีไปยังร่างของเฉาชิงหยาง ค่อยๆ โจมตีให้เขาถอยห่างไปจากฝักบัว
ลั่วอวี้เหิงใช้โอกาสนี้ม้วนแขนเสื้อขึ้น กวาดฝักบัวพร้อมด้วยเมล็ดบัวจากไป ไม่ทราบว่านางหลบซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่
เฉาชิงหยางส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ ชุดคลุมสีม่วงขาดรุ่งริ่งเป็นวงกว้าง ความผันผวนของพลังปราณที่น่ากลัวทำให้ทุกคนที่หลบหนีไปหลายร้อยเมตรตัวสั่นด้วยความกลัว
คิ้วเรียวยาวประณีตของลั่วอวี้เหิงกระตุก พลางล่องลอยตามลม และทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไป
นางเตรียมจะเอาฝักบัวจากไป ไม่คิดเกี่ยวพันกับจอมยุทธ์ผู้หยาบคายอีก
เฉาชิงหยางเงยหน้าขึ้น ไม่คิดจะไล่ตาม แต่กลับยกกระบี่ขึ้น สะบัดซ้ายขวาแนวตั้งแนวนอน ฟันกระบี่ออกไปนับร้อยในทันที
หลังจากลำแสงกระบี่ถูกฟันออกก็อันตรธานหายไปในพริบตา ครั้นกลับมาปรากฏอีกครั้ง ก็พบว่ามันได้ปกคลุมบริเวณโดยรอบของลั่วอวี้เหิงที่กินระยะทางกว่าหลายสิบจั้งแล้ว
เฉาชิงหยางกำหมัดแน่น
ปราณกระบี่ที่พร้อมกำจัดทุกอย่างหดตัวลงอย่างรวดเร็ว เฉือนร่างกายของลั่วอวี้เหิงจนกลายเป็นขี้เถ้าละเอียดปลิวว่อน
กลางอากาศ รากบัวหนึ่งท่อนและฝักบัวร่วงหล่นลงมา
เฉาชิงหยางกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับมัน แต่สัญชาตญาณของชาวยุทธจักรทำให้ตระหนักถึงความน่ากลัว และจับสัมผัสได้ถึงวิกฤต อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้หลบเลี่ยง แต่เอนไปข้างหลังเพื่อวางแผนซ้อนแผน ราวกับเสาตั้งตรงที่พังลงมา
ในช่องว่างนั้น กระบี่แทงออกมา ชนเข้ากับเสาตั้งตรงพอดี เสียงดังปัง มือเล็กที่ขาวผ่องระเบิดกลายเป็นเศษลำแสงบริสุทธิ์
เฉาชิงหยางแข็งทื่อ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก
ร่างของลั่วอวี้เหิงปรากฏขึ้น ลมหายใจอ่อนลงอยู่หลายส่วน นางยกแขนข้างที่หักขึ้น รวบรวมเศษของลำแสงให้ควบแน่นกลายเป็นแขนรากบัวหนึ่งข้าง
จากนั้น นางแบฝ่ามือออก วิญญาณที่แตกสลายค่อยๆ รวมอยู่บนฝ่ามือ กลายเป็นภาพลวงตาที่ไม่ค่อยสมจริงอยู่ภาพหนึ่ง เหมือนกับใบหน้าของเฉาชิงหยางอย่างเลือนราง
…
สถานที่ไกลออกไป สวี่ชีอันอยู่ในกลุ่มพรรคฟ้าดิน คอยป้องกันการโจมตีของกองกำลังหลัก แสงสว่างส่องประกายอยู่ตรงหน้า เรือนร่างอันบอบบางของท่านราชครูปรากฏขึ้นในแสงสีทอง
“ราชครู!”
สวี่ชีอันเผยสีหน้าที่มีความสุข ทราบว่าการต่อสู้จบลงแล้ว และชัยชนะก็เป็นของฝั่งเขา
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า ท้องส่วนล่างเป็นประกายแสงสีทอง สิ่งของหลายชิ้นถูกเจาะออกมา แบ่งออกเป็นฝักบัว ความยาวของรากบัวเท่าแขนหนึ่งท่อนของเด็กหนุ่มหนึ่ง ส่วนฝักบัวมีขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งข้าง
ฝักบัวอันนี้ถูกตัดลงมา
“วิญญาณของคนผู้นี้อยู่ในมือของข้า เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?” ลั่วอวี้เหิงแบฝ่ามือออก มีคนตัวเล็กลอยอยู่ ใบหน้าดูเลือนรางเล็กน้อย ถึงจะไม่ชัดเจนแต่ก็สามารถดูออกว่าเป็นเฉาชิงหยาง
“ราชครูเก่งกาจยิ่ง สามารถจัดการขั้นสามท่านหนึ่งได้อย่างปราดเปรียวและง่ายดาย ความสำเร็จของการเป็นขั้นหนึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม เมื่อกวาดตามองทั่วทั้งจิ่วโจว ก็คงหาเทพธิดาเช่นท่านไม่พบอีกแล้ว”
สวี่ชีอันแสดงความสามารถด้านวาทศิลป์ และระเบิดคำเยินยอออกมาอย่างไม่ลังเล
“ร่างแยกมีพลังขั้นสาม จิตเดิมยังคงเป็นขั้นสี่ จำไว้ว่ากระบี่ใจก็ทำให้เขาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อได้” น้ำเสียงลั่วอวี้เหิงราบเรียบ ราวกับว่าการชนะคู่ต่อสู้เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่คู่ควรแก่การโอ้อวด
หยุดไปสักพักหนึ่ง นางก็กล่าวถาม “จะจัดการอย่างไร”
เอ่อ ราชครูให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของข้ามากขนาดนี้เลยหรือ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยนะเนี่ย…สวี่ชีอันคิดอยู่พักหนึ่ง กล่าว “ส่งเขามาให้ข้าก่อนดีกว่า คนคนนี้มีบุญคุณสำหรับข้า”
เฉาชิงหยางตบเขาห้าครั้ง ทำให้เขาบรรลุขั้นสลายแรงขั้นห้า บุญคุณนี้ต้องชดใช้คืน
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า ไม่สนใจจุดจบของเฉาชิงหยาง กล่าว “ร่างแยกนี้หมดสิ้นอายุขัยแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน พวกเจ้าก็ระวังตัวด้วย”
กล่าวจบ นางก็แปลงกายเป็นแสงสีทองบริสุทธิ์และสลายหายไป
“ถามจินเหลียนเพื่อขอรากบัวเม็ดเล็กนี้คืนเสีย…”
ก่อนที่แสงสีทองจะหายไป สวี่ชีอันก็ได้ยินข้อความเสียงของลั่วอวี้เหิงอีกครั้ง
ขอรากบัวคืน นี่คือภารกิจที่ราชครูมอบหมายให้ข้างั้นรึ? สวี่ชีอันตกตะลึง
…………………………………………………….