ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 411 สัญชาตญาณของแมว
บทที่ 411 สัญชาตญาณของแมว
ภายในคฤหาสน์เยวี่ยจือเงียบงันราวกับหุบเขา การต่อสู้ที่ราวกับคลื่นยักษ์ไม่ได้กินเวลานานนัก มันจบลงในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ
ในที่ห่างออกไป ผู้คนที่กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศซึ่งรอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นว่าในคฤหาสน์ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับการสู้รบไม่เคยเกิดขึ้น ทุกคนก็พากันเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวัง
ยอดฝีมือขั้นสี่เป็นคนนำ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เหลือเดินตามอยู่ข้างหลัง
เจ้าลัทธิและหัวหน้าของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์รวมตัวกันและค่อยๆ ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์กลางหุบเขา ขณะที่นิกายปฐพีและสายลับของไหวอ๋องรวมตัวกันอยู่ที่ไกลๆ
สีหน้าของพวกเซียวเยว่หนูตึงเครียด แม้จะเชื่อมั่นในกลุ่มพันธมิตรของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม และแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่ร่างแยกหนึ่งร่าง แต่ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ก็ยังเป็นนักพรตขั้นสอง
ไม่สามารถตัดสินด้วยมาตรฐานทั่วไปได้
“ไม่ต้องห่วงหรอก เฉาเหมิงจู่นั้นเป็นยอดฝีมือขั้นสาม ต่อให้ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะเหมิงจู่ได้ภายในเวลาสั้นๆ” ฟู่จิงเหมินเอ่ยเสียงขรึม
“แต่การต่อสู้จบลงแล้วจริงๆ” เจ้าลัทธิสำนักเฉียนจีเอ่ย
“ตามความเห็นของข้า เฉาเหมิงจู่ชนะ” เซียวเยว่หนูมีสีหน้าผ่อนคลายและขยิบตาเล่นอย่างสนุกสนาน
นางตัดสินแบบนี้โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าจอมยุทธ์นั้นฆ่าได้ยากที่สุดในระดับเดียวกัน ในเมื่อร่างอวตารของเหมิงจู่และผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ล้วนอยู่ในขั้นสองทั้งคู่ เช่นนั้นหากคิดจะเอาชนะเหมิงจู่ให้ได้ ก็ย่อมทำไม่ได้ในเวลาสั้นๆ อย่างแน่นอน
แต่การต่อสู้ในส่วนลึกของคฤหาสน์เยวี่ยจือกลับจบลงแล้ว ส่วนผลลัพธ์เป็นอย่างไรนั้นไม่ต้องคิดก็รู้ได้
หยางชุยเสวี่ยทอดถอนใจกล่าว “เหมิงจู่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งสู่ขั้นสอง ทั้งยังเอาชนะร่างอวตารของราชครูได้ เรื่องนี้หากแพร่ออกไป พวกเรากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และชื่อเสียงของเหมิงจู่ก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง”
“ยุทธภพต้าฟ่งสิบสามดินแดนก็จะมีพวกเรากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นผู้นำแล้ว” เจ้าลัทธิอีกคนกล่าวเสริม
ทุกคนต่างมองหน้าแล้วหัวเราะกัน จิตใจก็เบาสบายขึ้นเช่นกัน พวกเขาไม่รู้สึกตึงเครียดอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้คลายความระมัดระวัง พลางก้าวเดินช้าๆ ไปข้างหน้า
“ชิ…”
เทียนจีที่อยู่ห่างไกลออกไปแค่นเสียงออกมา ไม่ใช่เพราะว่าราชครูพ่ายแพ้ แต่เป็นเพราะเฉาชิงหยางได้ก้าวสู่ขั้นสาม พร้อมทั้งมีชื่อเสียงและตำแหน่งนับแต่นั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวดีอะไรนักสำหรับราชสำนักเลย
ยิ่งอิทธิพลของยุทธภพแกร่งกล้ามากเท่าใด อำนาจของราชสำนักต่อพื้นที่นั้นๆ ก็จะยิ่งอ่อนแอลง
โดยรวมแล้วหากสงบสุขก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่หากเกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อใด พื้นที่เหล่านี้ก็จะกลายเป็นกลุ่มกบฏแรกๆ อย่างแน่นอน
เมื่อเดินผ่านบ้านเรือนที่พังทลาย ตัดผ่านสวนรกชัฏ แล้วเดินต่อเข้ามาหนึ่งเค่อ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงริมสระเย็น และมองเห็นเงาร่างสวมชุดสีม่วงยืนอยู่ไกลๆ ด้วยท่าทียโส
มีเสียงแค่นหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นมาในเต๋ามารนิกายปฐพี
สีหน้าของพวกหยางชุยเสวี่ยแสดงออกถึงความยินดี แต่ทันใดนั้นก็เปลี่ยนไป สีหน้าของพวกเขากลายเป็นความตระหนกและตื่นกลัว เจ้าลัทธิและหัวหน้าสิบกว่าคนรีบพุ่งไปยืนอยู่ตรงหน้าเฉาชิงหยาง
เฉาชิงหยางไร้ลมหายใจแล้ว ทั้งยังไม่มีการตอบสนองของสัญญาณชีพใดๆ ด้วย
เต๋ามารนิกายปฐพีสังเกตเห็นก่อนแล้วว่าจิตเดิมของเฉาชิงหยางดับไปแล้ว ดังนั้นจึงแค่นหัวเราะเย้ยหยันออกมา
“มะ เหมิงจู่!”
เจ้าลัทธิแห่งสำนักเฉียนจีคร่ำครวญออกมา เขาได้รับการโจมตีทางจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งผลลัพธ์นี้แตกต่างจากที่เขาคิดไว้มากนัก
“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร”
ฟู่จิงเหมินแห่งลัทธิหมัดเทพเจ้าคุกเข่าต่อหน้าร่างของเฉาชิงหยาง หมัดขวาทุบตีพื้นดินไม่หยุด
“เฉาเหมิงจู่สิ้นแล้ว…”
ร่างกายของเซียวเยว่หนูสั่นไหว สีเลือดบนใบหน้าจางหายไปทีละนิด ภายใต้ผ้าบังหน้า ริมฝีปากที่เดิมเป็นสีกุหลาบชุ่มชื้นก็ซีดเผือดไปด้วยเช่นกัน
นางจดจ้องไปยังเฉาชิงหยางที่หลับตาอย่างเงียบสงบโดยไม่ไหวติง ความสับสนและความสูญเสียใหญ่หลวงมารวมกับความตื่นตระหนกเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เสาหลักของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ดับสิ้นแล้วที่คฤหาสน์เยวี่ยจือ ว่าที่เหมิงจู่คนใหม่ก็ยังไม่ได้ตัดสิน เพราะเฉาชิงหยางยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ทั้งช่วงวัยและพลัง
นี่หมายความว่าสำนักใหญ่แต่ละแห่งในเจี้ยนโจว รวมถึงหน่วยงานใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็จะตกอยู่ในความโกลาหลเพราะต้องแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งเหมิงจู่น่ะสิ
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก่อตั้งมาหกร้อยปี มีไม่ถึงสามครั้งที่เหมิงจู่สิ้นชีพกลางคัน เช่นนี้จะทำเช่นไรดีเล่า จะทำเช่นไรดี” หยางชุยเสวี่ย เจ้าสำนักแห่งสำนักโม่ริมฝีปากสั่นเทา
เวลาเช่นนี้ ศิษย์และคนในสำนักของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต่างก็รีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นภาพนี้ก็พากันหลั่งน้ำตาระงม
โดยเฉพาะศิษย์จากหน่วยงานใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ต่างพากันคุกเข่าร่ำไห้ด้วยความโศกสลด
เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขายังโห่ร้องให้กับการเลื่อนสู่ขั้นสองของเฉาชิงหยางอยู่เลย คิดว่ายุครุ่งโรจน์ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ใกล้จะมาถึงแล้ว ทั้งพละกำลังและชื่อเสียงก็จะยิ่งโด่งดังขึ้นอีกขั้น
นี่เพิ่งผ่านมาเท่าใดเอง
สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว เฉาเหมิงจู่สิ้นชีพ จากข่าวดีก็กลายเป็นข่าวร้าย จากยอดเขาก็ตกลงมาสู่หุบเขา
“จุ๊ๆ ลั่วอวี้เหิงยังคงเด็ดขาดในการสังหารเช่นเคย ไม่เคยเห็นอกเห็นใจกันเลย” นักบวชเต๋าชื่อเหลียนที่มีผมสีดอกเลาทั้งศีรษะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด
ในเมื่อเฉาชิงหยางตายแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอะไรอีก
สำนักใหญ่แต่ละแห่งของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กล้าลงมือเพราะความโกรธเกรี้ยว นั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดี จากนั้นนักพรตเหลียนฮวาแห่งนิกายปฐพีจะใช้เลือดล้างเจี้ยนโจวและดำเนินการสังหารหมู่เอง
“เอ๋ ดอกบัวเก้าสีหายไปแล้ว” เทียนจีกวาดตามองไปรอบๆ พักหนึ่งก็ไม่เห็นเมล็ดบัว
เทียนซูส่งเสียงทางจิตไปให้กับเหล่านักพรตจากนิกายปฐพี
“ดอกบัวเก้าสีคงถูกราชครูนำไปด้วยแล้ว นางใช้ร่างอวตารมา แต่ถึงมาแต่ก็ไม่อาจกลับได้ ดอกบัวจะต้องอยู่ในมือของสวี่ชีอันแน่นอน ไปเร็ว ไปฆ่าสวี่ชีอันแล้วชิงเมล็ดบัวมา”
หลังจากส่งเสียงทางจิตออกไป นางก็ร่ายอาคมกล่าวทุกคนว่า “ร่างอวตารของราชครูนั้นเป็นสิ่งที่สวี่ชีอันเรียกมา เขารู้ว่าราชครูเป็นยอดฝีมือขั้นสองแท้ๆ แต่ก็ยังเรียกมาได้ เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ที่นี่เป็นที่ตายของเฉาเหมิงจู่ สงสารก็แต่เฉาเหมิงจู่ที่ยกย่องชื่นชมเขาและหล่อเลี้ยงเขามา ทั้งยังช่วยให้เขาเลื่อนตำแหน่งไปถึงขั้นห้า สุดท้ายบุญคุณกลับกลายเป็นความแค้นเสียอย่างนั้น”
ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มองหน้ากันด้วยความโกรธ พวกเขาพากันจ้องไปที่นางด้วยสายตาเคียดแค้น
เทียนซูแค่นเสียงแล้วมองตอบสายตาของทุกคนพลางกล่าวต่อไป
“ทำไมรึ ข้าพูดผิดตรงไหน ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ พวกเจ้าลองถามตัวเองสิว่าสวี่ชีอันผู้นั้นตอบแทนคุณด้วยความแค้นจริงหรือไม่ เฉาเหมิงจู่ตายอย่างอยุติธรรมใช่หรือไม่”
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก
“หุบปาก!” หยางชุยเสวี่ยตะโกนอย่างโกรธแค้น โมโหจนชี้ง้าวใส่ “ถ้าเจ้ากล้าสร้างความสับสนให้ผู้คนอีก ข้าจะฟันเจ้าซะ”
เทียนซูแค่นเสียงเย็น “ก็มาสิ!”
สายลับของไหวอ๋องพากันพุ่งเข้าไปทันที แต่ละคนล้วนกุมด้ามดาบไว้แน่น
ตอนนี้เอง นักพรตเต๋าชื่อเหลียนก็ลงมือฉับพลันโดยไม่มีสัญญาณเตือน เขาหยิบกระบี่บินออกมาจากแขนเสื้อแล้วโจมตีไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไกลๆ
‘พลั่ก!’
กระบี่บินกระทบเข้ากับกำแพงปราณที่มองไม่เห็นแล้วถูกดีดกลับมาจนบินพุ่งขึ้นฟ้า
“ทุกท่าน ช่วยพวกเราสังหารเจ้าเฒ่าผู้นี้เสียก่อน แล้วค่อยไปคิดบัญชีกับสวี่ชีอัน ดีหรือไม่” นักพรตเต๋าชื่อเหลียนเอ่ยเสียงดัง
ขณะเดียวกับที่เขากำลังพูด เหล่านักพรตของนิกายปฐพีก็เริ่มลงมืออย่างไม่หยุดยั้ง โดยควบคุมกระบี่บินไปโจมตียังกำแพงปราณ แต่ก็ไม่มีใครทำลายปราการป้องกันชั้นนี้ได้
เหล่าเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีรู้ดีถึงร่างที่แท้จริงของจินเหลียน แต่ตอนนี้ผู้นำเต๋ากับจินเหลียนกำลังพัวพันอยู่ในสายธารแห่งปัญญา จึงยากจะแยกตัวเขาออกมาได้ ความจริงแล้วหากจะทำลายภาวะหยุดชะงักเช่นนี้ก็เป็นเรื่องง่ายดายมาก เพียงแค่ต้องทำลายกายเนื้อของจินเหลียนเท่านั้น
หากทำได้ วิญญาณที่เสียหายของจินเหลียนก็จะลอยล่องเหมือนจอกแหนไร้ราก จากนั้นก็สามารถใช้โอกาสนี้โจมตีอย่างหนักได้พอดี ถึงขั้นกำจัดเขาให้สิ้นซากเลยก็ว่าได้
หากสามารถดึงคนจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เข้ามาได้ เช่นนั้นก็ไม่มีทางพลาดแน่นอน
ส่วนจะทำร้ายผู้นำเต๋าหรือไม่นั้น เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดเลย เพราะผู้นำเต๋ามาแค่เพียงร่างอวตาร
เทียนจีตกลงทันที “ดี ทุกคนไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระแล้ว เราฆ่าเจ้านักพรตเฒ่านี่ก่อนค่อยว่ากัน เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเขา ก็ต้องฝังเขาไปพร้อมกับเฉาเหมิงจู่เสีย”
เขาฉลาดนักที่ไม่ได้เอ่ยถึงการต่อกรกับสวี่ชีอัน เพราะเรื่องนี้จะต้องทำให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกคนเกิดความลังเลและต่อต้านอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่
ฟู่จิงเหมินที่มีนิสัยตรงไปตรงมาก่นด่าว่า “เมล็ดบัวสารเลว หากไม่มีคนจากคฤหาสน์เยวี่ยจือ เหมิงจู่ก็คงไม่ตาย ข้าจะฝังเจ้านักพรตเฒ่านี่ไปพร้อมกับเหมิงจู่”
ตอนนี้เอง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ “เฉาเหมิงจู่ยังไม่ตาย”
ฝีเท้าของฟู่จิงเหมินหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโต สงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือไม่ “เจ้านักพรตหน้าเหม็น เจ้าพูดอะไรนะ”
หยางชุยเสวี่ยและพวกเซียวเยว่หนูต่างตกตะลึง
“จิตเดิมสิ้นไปแล้ว แล้วจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เจ้านักพรตเฒ่า อย่ามาโกหกเสียให้ยาก” เจ้าลัทธิคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม น้ำเสียงนั้นสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นเช่นนี้จริงๆ อาตมามิได้โกหกพวกเจ้า” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว
เขาระเบิดพลังออกมาในช่วงวิกฤตแล้วพยายามสยบร่างอวตารของเฮยเหลียนลงไปได้ จากนั้นก็อาศัยโอกาสนี้เอ่ยปากหวังจะเกลี้ยกล่อมกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ให้ปกป้องเขาสักระยะหนึ่ง
แต่สิ่งที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์สนใจที่สุดตอนนี้คือความเป็นความตายของเฉาชิงหยาง
เซียวเยว่หนูหายใจเข้าลึกแล้วพูดเสียงอ่อนออกมาว่า “นักพรตเต๋าโปรดชี้แนะ หากท่านช่วยชีวิตเฉาเหมิงจู่ได้ จะเป็นพระคุณต่อกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างมาก”
หยางชุยเสวี่ยทำความเคารพด้วยท่าทีจริงจัง “ขอให้ท่านนักพรตอย่าถือสาอดีต โปรดช่วยชีวิตเฉาเหมิงจู่ด้วย”
ฟู่จิงเหมินรีบเปลี่ยนท่าทีโดยเร็ว เขาจ้องหน้านักบวชเต๋าจินเหลียนเขม็ง “นักพรตเฒ่า ไม่สิ ท่านนักพรต หากเจ้าสามารถช่วยชีวิตเฉาเหมิงจู่ได้ วันนี้ต่อให้ข้าฟู่จิงเหมินต้องสิ้นชีพ อย่างไรก็ต้องปกป้องเจ้าให้ได้”
คนอื่นๆ รีบตอบรับเห็นด้วยทันที และเอ่ยขอให้นักบวชเต๋าจินเหลียนช่วยชีวิตคน คำพูดคำจาของพวกเขาให้ความเคารพอย่างยิ่ง
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหน้า “คนที่พวกเจ้าควรไปขอนั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นสวี่ชีอัน”
เซียวเยว่หนูเบิกตาเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ฆ้องเงินสวี่”
‘นี่ ทำไมถึงได้เกี่ยวข้องกับฆ้องเงินสวี่อีกแล้วล่ะ เขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยซ้ำ…’ ทั้งเจ้าลัทธิและหัวหน้าต่างมองหน้ากันอย่างตะลึงงัน
“ท่านนักพรต รีบพูดมาเถอะ ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว เหตุใดฆ้องเงินสวี่ถึงช่วยชีวิตเหมิงจู่ได้หรือ” ฟู่จิงเหมินทั้งอยากรู้ทั้งร้อนใจ
คนอื่นๆ ต่างพากันมองไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียน
“จากนิสัยของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ นางสังหารเด็ดขาด เมื่อเจอศัตรูก็ลงมืออย่างไร้เมตตา แต่เมื่อครู่อาตมาเห็นนางนำวิญญาณของเฉาเหมิงจู่ไป…”
เมื่อครู่เหล่านักพรตนิกายปฐพีก็พูดเช่นกัน ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์สังหารไร้ปรานี ไม่มีทางออมมืออย่างแน่นอน…เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาของเซียวเยว่หนูก็เปล่งประกาย นางคาดเดาในใจและเอ่ยเสียงอ่อนว่า
“เป็นเพราะชะตาของฆ้องเงินสวี่ใช่หรือไม่”
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า “คาดว่าก่อนที่ฆ้องเงินสวี่จะเรียกผู้นำเต๋านิกายมนุษย์มา ก็ได้ขอชีวิตให้กับเฉาเหมิงจู่แล้ว”
ฟู่จิงเหมินร้อนรนทนไม่ไหว “ไป รีบไปตามหาฆ้องเงินสวี่กัน”
แต่หยางชุยเสวี่ยกลับหยุดเขาไว้ แล้วกวาดตามองนิกายปฐพีและสายลับไหวอ๋องก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ฆ้องเงินสวี่มีจิตใจห้าวหาญ อุปนิสัยสูงส่งบริสุทธิ์ หากวิญญาณของเหมิงจู่อยู่ในมือของเขา พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
เจ้าลัทธิสำนักเฉียนจีคล้อยตาม “ใช่ ตอนนี้เราต้องคุ้มครองนักพรตท่านนี้ก่อน”
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จมจ่อมอยู่ในความยินดีที่รู้ว่าเหมิงจู่ ‘ตายแต่ฟื้นขึ้นมาได้’ แต่ก็ไม่ได้คลายความระมัดระวัง ด้านหนึ่งเตรียมรับมือกับนักพรตนิกายปฐพีและสายลับของไหวอ๋อง อีกด้านก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้กับนักบวชเต๋าจินเหลียน
และในตอนนี้เอง กลิ่นอายหลายสายก็เข้ามาใกล้ สมาชิกพรรคฟ้าดินทุกคนพากันรบพุ่งเข้ามา
“สมควรตาย!”
เทียนจีก่นด่า รู้ว่าเรื่องราวผิดปกติไปแล้ว
หากมีเพียงคนจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ พวกเขาก็สามารถร่วมมือกับนักพรตจากนิกายปฐพีและสามารถต่อกรได้แล้ว แต่ถ้าหากมีพวกฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินอยู่ ต่อให้ฝืนสู้ไปก็มีแต่ตายกับตาย
“ไป!”
เทียนซูตัดสินใจแน่วแน่ยิ่งกว่า เขารีบพาผู้ใต้บังคับบัญชาถอยไปอีกทางทันที
เต๋ามารนิกายปฐพีตามติดอยู่ข้างหลัง
“หยุดพวกเขาไว้!”
มีคนในพรรคฟ้าดินและกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน
หลี่เมี่ยวเจินเหยียบอยู่บนกระบี่บินแล้วพุ่งไปข้างหน้า แววตาของนางหดเกร็งจนเป็นสีดำ แล้วกลายเป็นแก้วบริสุทธิ์ นางหงายฝ่ามือพุ่งไปหากลุ่มคนที่กำลังหลบหนีเหล่านั้น
ในชั่วพริบตา สายลับของไหวอ๋องและเต๋ามารนิกายปฐพีถูกเสื้อผ้าของตนผูกมัดเอาไว้ กระบี่บินของพวกเขาและดาบพกพากันคิดกบฏ พวกมันหนีออกมาจากฝักแล้วกลายเป็นมีดหันไปหาเจ้านายตน
โชคดีที่การโจมตีนี้ไม่ถือว่ารุนแรงอะไรนัก และสายลับทั่วไปกับศิษย์นิกายปฐพีถือว่ามีพลังที่ไม่อ่อนด้อยเลย จึงเพียงแค่บาดเจ็บกัน ทว่าไม่ได้อันตรายถึงชีวิต
แต่หลี่เมี่ยวเจินได้รับสิ่งที่นางต้องการแล้ว
สายลับหญิงเทียนซูฉีกเสื้อตัวนอกและกระโปรงโดยใช้พลังปราณและพยายามสลัดให้หลุดจากการผูกมัด นางสวมเพียงแค่กางเกงกับชุดชั้นในเท่านั้น เผยให้เห็นเอวเรียวเปลือยเปล่าและเส้นกล้ามเนื้อตื้นๆ
ผิวหนังที่ต้นขาหนั่นแน่น เรียวยาว และทรงพลัง
นางกระโจนเข้าหาหลี่เมี่ยวเจินราวกับเสือดาวตัวเมีย โดยพยายามที่จะสังหารเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ผู้นี้
หลี่เมี่ยวเจินจะยอมให้นางเข้าใกล้ตัวง่ายๆ ได้อย่างไร นางเหยียบกระบี่บินแล้วถอยไป ขณะเดียวกันก็บินสูงขึ้นด้วย
เทียนซูไม่ได้ไล่ตาม นางไม่สนใจแรงภายนอก แต่ฟันอย่างรวดเร็วแล้วรีบหนี
เป็นเพราะนางเห็นสวี่ชีอันพุ่งเข้ามา เจ้าคนผู้นี้เพิ่งจะบรรลุขั้นห้า แต่ความสามารถในด้านการต่อสู้ประชิดตัวกลับแข็งแกร่งมาก หากไปต่อสู้พัวพันกับเขา เช่นนั้นก็ยากจะถอนตัวออกมาได้แล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เทียนซูพบว่าดวงตาของเจ้าคนผู้นี้สว่างวาบขึ้นราวกับแทบรอที่จะมาต่อสู้แบบประชิดตัวกับตนที่สวมเพียงชุดชั้นในไม่ไหวแล้ว
ทางด้านกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ พวกเซียวเยว่หนูกำลังไล่ล่ามาติดๆ ผู้ดูแลหอเซียวแห่งหอหมื่นบุปผาร่างกายคล่องแคล่ว นางนำอยู่หน้าพวกหยางชุยเสวี่ยไปสกัดกั้นเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีก่อนใคร
นักพรตเต๋าชื่อเหลียนทักทายด้วยกระบี่บิน พร้อมกับเสียงผิวปากแหวกอากาศดังขึ้นมา
เซียวเยว่หนูหยิบพัดกระดูกเงินจากในแขนเสื้อแล้วสะบัดเบาๆ จนมีกระบี่บินออกมา ทันใดนั้นนางก็ร้องขึ้นมา ใบหน้าแดงก่ำ สองขาอ่อนแรง รู้สึกร้อนวูบในท้องน้อย
นักพรตเต๋าชื่อเหลียนแค่นหัวเราะแล้วโบกแขนเสื้อก่อนผลักนางกระเด็น
เซียวเยว่หนูตกลงสู่อ้อมกอดแน่นๆ ข้างหูได้ยินเสียงไม่คุ้นหูดังขึ้น “ผู้ดูแลหอเซียว ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
นางเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ชุ่มชื้น และเห็นใบหน้าหล่อเหลาองอาจ นั่นคือสวี่ชีอันผู้แทบอดใจเข้าต่อสู้ประชิดกับเทียนซูที่สวมเพียงชุดชั้นในไม่ไหวนั่นเอง
เซียวเยว่หนูเด้งตัวออกจากอ้อมแขนของเขาราวกับถูกไฟช็อต ใบหน้ารูปไข่แดงก่ำดุจเมามาย และพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติ นางเอ่ยอย่างโอนอ่อนว่า “ไม่เป็นอะไร ขอบคุณฆ้องเงินสวี่ที่ช่วยเหลือ”
เต๋ามารนิกายปฐพีทำให้จิตใจของผู้คนโสมม วิธีการที่จะกระตุ้นความปรารถนานั้นก็ทรงพลังอย่างยิ่ง…จิตใจของสวี่ชีอันแข็งทื่อ ในฐานะที่เขาเป็นผู้ชายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แค่มองปราดเดียวก็รับรู้ถึงความผิดปกติของผู้ดูแลหอเซียวทันที
ถ้าดาบเมื่อครู่ของชื่อเหลียนโดนตัวล่ะก็ แค่ข้าบิดเอวเบาๆ ภายในระยะสามหมื่นลี้ก็จะไม่มีใครกล้ามายุ่งแล้ว…ขณะที่คิด เขาก็นำผู้คนไล่ล่าต่อไป
พวกเขาไล่ล่ากันออกมาจากคฤหาสน์เยวี่ยจือ พวกนักบวชเต๋าของนิกายปฐพีกับสายลับของไหวอ๋องเหยียบกระบี่บินพุ่งขึ้นฟ้าไป
‘ปัง!’
เสียงคันธนูดังชัดเจนและรุนแรง ยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญด้านธนูของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์พลันปรากฏตัวขึ้น และยิงศิษย์สี่คนร่วงไปพร้อมกับกระบี่บินสองเล่ม เมื่อเขายิงออกไปเป็นครั้งที่สาม ความสูงของศิษย์นิกายปฐพีก็เกินกว่าระยะยิงของธนูแล้ว
นักพรตนิกายปฐพีสามารถใช้กระบี่บินไปไหนมาไหนได้ ส่วนฝ่ายนี้มีเพียงหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นที่สามารถบินได้เท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าพลังต่อสู้ของทั้งสองคนยังเทียบกับคนจากนิกายปฐพีไม่ติด
แม้ว่ายอดฝีมือฝ่ายนี้จะมีจำนวนมากกว่าอีกฝ่าย แต่ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ล้วนมีแต่จอมยุทธ์เท่านั้น…สวี่ชีอันหรี่ตามองไปบนฟ้าสูงแล้วคิดในใจ
ให้พวกเขากลับเมืองหลวงไปหาจักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยหน้าดำคร่ำเคร่งแบบนั้นก็ไม่เลว
“ฆ้องเงินสวี่…”
เสียงนุ่มนวลของเซียวเยว่หนูดึงเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบัน สวี่ชีอันมองใบหน้าไข่มุกแห่งเจี้ยนโจวแล้วพยักหน้าให้ “วิญญาณของเฉาเหมิงจู่อยู่ที่ข้า เดี๋ยวข้าจะส่งวิญญาณเขากลับไปเอง”
สีหน้าทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต่างเต็มไปด้วยความหวัง
“เมี้ยว…”
แมวสีส้มเดินผ่านซากปรักหักพังและหยุดอยู่ที่ไกลๆ ดวงตาสีมรกตจ้องมองทุกคนเงียบๆ
แมวตัวนี้ไม่รู้ว่าหลบซ่อนตัวและรอดมาจากภัยพิบัติโดยที่ไม่ตายได้อย่างไร หรือมันเพิ่งจะกลับมาจากข้างนอกแล้วพบว่าบ้านของตัวเองกลายเป็นเศษซากกันแน่
สวี่ชีอันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉาชิงหยางแล้วเปิดถุงหอมออกภายใต้สายตารอคอยจากทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ จากนั้นก็ปลดปล่อยวิญญาณของเฉาชิงหยางและชักนำให้เขากลับคืนสู่ร่างกายของตน
ตอนนี้เอง หว่างคิ้วของนักบวชเต๋าจินเหลียนก็ปรากฏวังวนขึ้นมา ร่างวิญญาณที่เป็นแสงสีทองและไอหมอกสีดำพวยพุ่งออกมาแล้วพยายามเข้าไปแย่งชิงกายเนื้อของเฉาชิงหยาง
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเหนือความคาดหมายของทุกคน นอกจากนั้น พวกจอมยุทธ์ก็ยังยากจะหยุดยั้งการแย่งชิงร่างจากเทพเจ้าหยินของลัทธิเต๋าด้วย เนื่องจากไม่มีวิธีโจมตีที่มีประสิทธิภาพมากพอ
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างหนัก
“เมี้ยว…”
แมวสีส้มกรีดร้องออกมาแล้วแอ่นหลังของมัน ขนยาวตั้งตรงแล้วแยกเขี้ยวให้กับร่างวิญญาณที่มีแสงทองและหมอกดำพัวพันกันอยู่
แมวมีสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมต่อหยินอย่างยิ่ง
ชั่วพริบตาที่แมวร้องออกมา ร่างวิญญาณนั้นก็นิ่งชะงัก จากนั้นมันก็หันเหทิศทางเหมือนลืมตัว แล้วพุ่งเข้าไปหาร่างของแมวส้มตัวนั้นทันที
…………………………………………………………..