ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 416 พูดความจริง หรือ เลือกรับคำท้า
บทที่ 416 พูดความจริง หรือ เลือกรับคำท้า
เทียนจีและเทียนซูสบสายตากัน ก่อนจะคุกเข่าลง “ขอฝ่าบาททรงอภัยโทษด้วย กระหม่อมไม่สามารถแย่งชิงเมล็ดบัวมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของจักรพรรดิหยวนจิ่งค่อยๆ จางหายไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจมมืดและกล่าวช้าๆ ว่า “ปืนใหญ่ยี่สิบกระบอก ยอดฝีมือยี่สิบหกคน และยอดฝีมือขั้นสี่อย่างพวกเจ้าสองคน มีนักพรตนิกายปฐพีเข้าร่วมกับพวกเจ้า ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอธิบาย หากมีเหตุผลจริงๆ ข้าก็สามารถให้อภัยได้”
เทียนจีหันศีรษะไปมองสหายร่วมอุดมการณ์ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ฝ่าบาท ครั้งนี้เจี้ยนโจวทรงพลานุภาพขึ้นอย่างมาก นอกจากพวกเรากับนิกายปฐพีแล้ว ยังมียอดฝีมือของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ออกมาช่วงชิงเมล็ดบัวอย่างเต็มกำลังด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งไร้ซึ่งความรู้สึก “ดังนั้น เจ้าจึงแพ้ให้กับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์รึ?”
เทียนจีรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง จึงเร่งรีบกล่าวว่า “มิใช่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์พ่ะย่ะค่ะ กลุ่มนักพรตนิกายปฐพีที่ปกป้องดอกบัวเก้าสี ระดมกำลังเสริมมาหลายคน พวกเขาแบ่งเป็น เทพธิดานิกายสวรรค์หลี่เมี่ยวเจิน อดีตฆ้องเงินสวี่ชีอัน ลูกศิษย์ที่มีชื่อในนิกายมนุษย์ฉู่หยวนเจิ่น สำนักโหราจารย์หยางเชียนฮ่วน ยังมีพระสงฆ์หนึ่งรูป และสาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้อีกหนึ่งคน…”
สายลับหญิงเทียนซูที่สงบนิ่งมาเป็นเวลานาน สังเกตเห็นว่าเมื่อฝ่าบาทได้ยินชื่อ ‘สวี่ชีอัน’ สามพยางค์นี้ จู่ๆ ก็มีท่าทีร้อนรนขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของจักรพรรดิ แต่ก็พอจะเดาออก ว่าสีหน้าของฝ่าบาทในตอนนี้ต้องดูไม่ดีอย่างแน่นอน
ไม่เพียงแต่สีหน้าอันมืดมนของจักรพรรดิหยวนจิ่ง แต่การแสดงออกของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจเช่นกัน เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากปูดโปนออกมาเล็กน้อย เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่ออดกลั้นต่อความโกรธ
“ไม่คิดเลยว่าบุคคลตัวเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญอะไรในตอนนั้น ตอนนี้จะกลายเป็นหมาที่เที่ยวกัดคนได้”
เสียงหัวเราะอันเย็นชาของจักรพรรดิหยวนจิ่งลอดออกมาตามไรฟัน “ข้าเพิ่งออกกฤษฎีกาต้องโทษ เดิมทีคิดว่าให้ผ่านพายุลูกนี้ไปก่อน แล้วค่อยชำระบัญชีกับเขา ตระกูลสวี่ทั้งหมดล้วนอยู่ในเมืองหลวง คอยดูเถอะว่าข้าจะทำอย่างไรกับเขา”
หลังจากเงียบชั่วครู่ เขาก็กล่าวว่า “เจ้าพูดต่อไป”
เทียนจีแถลงข้อเท็จจริงที่ตนเองได้เห็นและได้ยินทั้งหมดออกมาเป็นฉากๆ ในนั้นรวมถึงความขัดแย้งระหว่างคุณชายปริศนาและสวี่ชีอัน แน่นอนว่ามุมมองของเทียนจีสำหรับส่วนนี้คือ คุณชายปริศนาท่านนั้นเป็นผู้สืบทอดของกองกำลังบางอย่าง เนื่องจากอิจฉาชื่อเสียงของสวี่ชีอัน เลยคิดจะเหยียบย่ำชื่อเสียงสวี่ชีอันให้ป่นปี้ จึงจงใจมุ่งเป้าไปที่เขา
นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
“สวี่ชีอันเข้าไปเกี่ยวข้องกับนักพรตนิกายปฐพีได้อย่างไร?” จู่ๆ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เกิดคำถามขึ้นมากะทันหัน
“กระหม่อมยังมิได้ตรวจสอบเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” เทียนจีกล่าวรายงาน เมื่อเห็นจักรพรรดิหยวนจิ่งเงียบลงอีกครั้ง เขาก็ข้ามหัวข้อนี้ไป และกล่าวต่อ
จักรพรรดิหยวนจิ่งฟังอย่างเงียบๆ จนกระทั่งได้ยินเทียนจีกล่าวว่า สวี่ชีอันสะบัดเครื่องรางออกมา และตะโกนว่า “ราชครูช่วยข้าด้วย” และราชครูก็ขี่แสงทองมาจริงๆ…
สีหน้าของจักรพรรดิชราก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“ราชครูเข้ามายุ่งได้อย่างไร เขาจะเรียกนางมาได้อย่างไร เขามีสิทธิ์อะไรไปเรียกราชครู…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งเดินไปเดินมาในห้องทรงพระอักษร บางครั้งสีหน้าก็เคร่งขรึม บางครั้งก็จมมืด
ราชครู ทำไมนางต้องตอบรับคำร้องขอของสวี่ชีอัน ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันตั้งแต่เมื่อใด?
ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ท่วมท้นในจิตใจของเขา จู่ๆ การแสดงออกทางสีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว เขาเกิดความคิดที่จะฆ่าสุนัขสวี่ชีอันที่เที่ยวกัดคนตัวนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน โดยไม่คำนึงถึงกฤษฎีกาต้องโทษ ไม่คำนึงถึงความเห็นของเหล่าขุนนาง ไม่คำนึงถึงความคิดของประชาชนใต้หล้า…
ไม่ใช่เพราะกลัวการพัฒนาที่รวดเร็วของเขา จักรพรรดิหยวนจิ่งเห็นคนที่มีพรสวรรค์ราวกับฟ้าประทานมานักต่อนัก ฉู่หยวนเจิ่นก็เช่นกันไม่ใช่รึ แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการกับเขา
แต่เป็นเพราะสวี่ชีอันขอความช่วยเหลือจากราชครู และราชครูก็ตอบรับเขา!
“เคลื่อนขบวน ข้าจะไปอารามรัตนะ!” จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวทีละพยางค์อย่างชัดถ้อยชัดคำ
…
หอเฮ่าชี่
สวี่ชีอันสวมชุดผ้าแพรสีคราม ซึ่งปักลวดลายเมฆสีฟ้าอ่อนอย่างประณีต เหน็บวงแหวนหยกเสียงดังกริ๊งกร๊าง เก็บผมด้วยมงกุฎทองแกะลายฉลุ สวมรองเท้าบูทลายเมฆ
มองแวบแรก เขาดูมั่งคั่งและสูงส่งกว่าพระราชโอรสเสียอีก เขายังมีร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาลึกล้ำและเปล่งประกายระยิบระยับ เรียวคิ้วดาบเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง…
กลายเป็นการผสมผสานระหว่างคุณชายในตระกูลชั้นสูงกับบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของหนุ่มเจ้าสำราญในตลาดได้อย่างลงตัว
เว่ยเยวียนเห็นชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ผงะเล็กน้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เห็นเจ้าสวมเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจนชินตาเสียแล้ว พอเปลี่ยนการแต่งตัว ช่างสะดุดตาจริงๆ”
“น้องสาวของข้าเย็บให้ ตะเข็บต่อตะเข็บ”
สวี่ชีอันถือถ้วยน้ำชา พลางนึกถึงสายตาอันน่าหลงใหลของสวี่หลิงเยวี่ยตอนนั้น และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เว่ยกง ข้าไปสู่ขอองค์หญิงฮว๋ายชิ่งด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ ท่านว่าข้าพอจะมีความหวังหรือไม่?”
เว่ยเยวียนมองเขาอย่างสงบ นัยน์ตาแฝงไปด้วยประสบการณ์อันโชกโชน “นี่ไม่ใช่การพูดตามปกติของเจ้า มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”
“ตอนที่สืบคดีพระสนมฝู ข้ารู้มาจากปากของกั๋วจิ้ว ว่าเว่ยกงและฮองเฮามีใจให้กันตั้งแต่ยังเยาว์ และรักฮว๋ายชิ่งเหมือนลูกของตนเอง ข้าคิดอยู่ว่า ถ้าข้าเป็นราชบุตรเขย เว่ยกงก็ต้องปฏิบัติต่อข้าที่เป็นลูกเขยราวกับลูกของตนเองอย่างแน่นอนกระมัง”
สวี่ชีอันยิ้ม และกล่าวว่า “เว่ยกงปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี เมตตาของท่านหนักเท่าภูเขา ข้าไร้ญาติขาดมิตรแต่กลับบ่มเพาะปลูกฝังข้าเป็นอย่างดี…”
ท่าทีของเว่ยเยวียนเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “การเดินทางไปเจี้ยนโจวครั้งนี้ ดูเหมือนเจ้าจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มากเป็นพิเศษ”
สวี่ชีอันวางถ้วยน้ำชาลง หยิบลูกเต๋าสามลูกออกมาจากแขนเสื้อของเขา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะทีละลูก และกล่าวเสียงเบาว่า “ที่บ้านเกิดของข้า…อืม ตอนที่เป็นมือปราบอยู่ที่อำเภอฉางเล่อก่อนหน้านี้ ข้าเรียนรู้การละเล่นในวงสุรามาจากคนในตลาด เรียกว่าเกมพูดความจริงหรือเลือกรับคำท้า ใช้แต้มของลูกเต๋ามาเป็นสมมติฐาน คนที่แต้มน้อย ถ้าไม่ตอบคำถามหนึ่งคำถาม ก็ต้องดื่มสุราหนึ่งจอก ข้าผู้ต่ำต้อยอยากเล่นเกมนี้กับเว่ยกง ไม่ดื่มสุรา เพียงแค่พูดความจริง”
เขามองเว่ยชิงอีด้วยสีหน้าสงบ “ถ้าเว่ยกงไม่เต็มใจ เช่นนั้นข้าผู้ต่ำต้อย…ก็ขอตัวก่อน ต่อจากนี้ จะไม่รบกวนท่านอีก”
คราวนี้ ใบหน้าของเว่ยเยวียนไร้ซึ่งรอยยิ้ม และจ้องมองเขาอยู่นาน
“คิดดีแล้วรึ?”
“อืม”
เว่ยชิงอีพยักหน้า พลางยกมือที่อยู่ในแขนเสื้อขึ้นมาผายมือเชื้อเชิญ
‘ฟู่…’
สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่กลับรู้สึกประหม่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขายกถ้วยชาขึ้นมาและสัมผัสเบาๆ ก่อนจะทอยลูกเต๋าสามลูกลงในถ้วย
‘แป้ก แป้ก แป้ก!’
ลูกเต๋ากระทบกันและหมุนติ้วอยู่ในถ้วยน้ำชา เมื่อสวี่ชีอันคว่ำถ้วยลง ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
เขาเปิดถ้วยชาขึ้น หก หก หก!
ข้ารู้อยู่แล้ว หากอาศัยโชคชะตาของข้า ใต้หล้านี้ไม่มีใครทอยลูกเต๋าเทียบข้าได้ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่จี้หยกที่โหราจารย์มอบให้แตกออก จนโชคชะตารั่วไหลออกมา…สวี่ชีอันพูดในใจ
เว่ยเยวียนหยิบถ้วยชาขึ้นมา และสัมผัสเล็กน้อย หลังจากเขย่าอยู่ครู่หนึ่งก็คว่ำถ้วยชาลงบนโต๊ะ และเปิดออกอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ลุ้นแม้แต่น้อย
สอง ห้า หก
เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า “เจ้าอยากถามอะไรรึ?”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างไตร่ตรองว่า “ท่านมีความสัมพันธ์กับฮองเฮาอย่างไร”
เขาเลือกคำถามนี้ ไม่มีทางที่มันจะเป็นเพียงเรื่องซุบซิบนินทาธรรมดาๆ แน่นอน
ประการแรก ความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยเยวียนและฮองเฮาเป็นอย่างไร จะเป็นตัวตัดสินระดับความแตกแยกของเว่ยเยวียนและจักรพรรดิหยวนจิ่งได้
ต่อมา พระสนมเฉิน มารดาผู้ให้กำเนิดหลินอันคือบุตรในเงามืดของโหรปริศนา ความสัมพันธ์ของฮองเฮาและเว่ยเยวียน จะเป็นตัวตัดสินว่าโหรปริศนาจะใช้เล่ห์กลเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือไม่ โดยการวางแผนใส่ร้ายเว่ยเยวียนผ่านการวางหมากฮองเฮา
สุดท้าย ตามสัญชาตญาณแล้ว สวี่ชีอันคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างฮองเฮากับเว่ยเยวียนไม่ธรรมดา
“เจ้ารู้ไม่น้อยเลยนะ”
เว่ยเยวียนเก็บท่าทีอ่อนโยนของตนเองกลับไป ในรูม่านตาที่มีความผันผวนหดตัวเล็กน้อย และจดจ่ออยู่กับการจ้องมองชั่วขณะ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เรื่องของข้ากับฮองเฮา ค่อยบอกเจ้าทีหลัง แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เฮ้อ เจ้าก็ไม่ได้บอกนี่ ว่าต้องพูดออกมาตอนนี้”
การขุดช่องโหว่เช่นนี้ของท่านไม่น่าสนุกอีกต่อไปแล้ว…
สวี่ชีอันพยักหน้า “ตกลง”
สำหรับคำพูดของเว่ยเยวียน การอำพรางความจริงก็เป็นการยอมรับว่าความสัมพันธ์ของเขาและฮองเฮาไม่ปกติ ซึ่งก็นับว่าเป็นคำตอบอย่างหนึ่งเช่นกัน
ตาที่สอง แต้มของสวี่ชีกันคือ หก หก หก อีกครั้ง ส่วนแต้มของเว่ยเยวียนคือ ห้า ห้า หนึ่ง
สวี่ชีอันหลุบตาลง มองลูกเต๋าที่อยู่เบื้องหน้าเว่ยเยวียน หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเขาก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปมองหน้าเว่ยเยวียนและกล่าวว่า “เว่ยกง ท่านรู้หรือไม่ว่าความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสงครามที่ด่านซานไห่คืออะไร?”
เว่ยเยวียนกล่าวเสียงเบาว่า “ถ้าเจ้าหมายถึงเรื่องขโมยโชคชะตาของต้าฟ่ง เช่นนั้นข้าก็รู้ดี”
เขารู้ความลับที่ชะตากรรมของต้าฟ่งถูกขโมยไปอย่างที่คาดไว้จริงๆ…ทันทีที่ความประหลาดใจของสวี่ชีอันเพิ่มขึ้น ก็ถูกเขาเก็บกลับไปด้วยสีหน้าปกติ
สายตาของเว่ยเยวียนหลุบลงต่ำเล็กน้อย และกล่าวว่า “ทุกครั้งที่สงครามเริ่มต้นขึ้น ก็จะเป็นเวลาที่ชะตากรรมของประเทศสั่นคลอน หากชนะ ชะตากรรมของประเทศก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น หากแพ้ ชะตากรรมของประเทศก็จะลดลงหนึ่งขั้น ยิ่งสงครามมีขนาดใหญ่มากเพียงใด ชะตากรรมของประเทศก็จะสั่นคลอนมากเท่านั้น ช่วงกลางของราชวงศ์ต้าฟ่ง ข้าราชบริพารตามหัวเมืองต่างๆ ก่อกบฏ กลุ่มกบฏเข้าโจมตีเมืองหลวงแห่งต้าฟ่ง ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ตอนนั้นจิตใจผู้คนตกอยู่ในความว้าวุ่น ชั้นปัญญาชนต่างก็หวาดหวั่นและกระสับกระส่าย ถึงแม้ภายหลังจะปราบปรามกบฏจนสงบลง แต่กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของต้าฟ่ง แต่ละประเทศเข้าร่วมการต่อสู้ในสงครามด่านซานไห่ภายใต้ความโกลาหลวุ่นวาย การลงทุนในกองกำลังทหารมีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้าน โครงสร้างสงครามขนาดใหญ่ หาได้ยากในประวัติศาสตร์ ชะตากรรมของประเทศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คิดๆ ดูแล้วเป็นตอนที่จักรพรรดิอู่จงกวาดล้างคนเลวรอบข้างในตอนนั้น”
คิดจะขโมยโชคชะตา สงครามที่ด่านซานไห่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งตระหนักถึงเรื่องนี้ภายหลัง
การลงทุนกองกำลังทหารมากกว่าหนึ่งล้านที่เว่ยเยวียนพูดถึง คือทหารชั้นยอดที่แท้จริง ไม่ใช่ทหารอาสาสมัคร ในหนังสือประวัติศาสตร์มักจะพรรณนาว่ามีกองทัพทหารแนวหน้าหนึ่งแสนนาย หรือสามแสนนาย
แต่ความจริงมีส่วนที่เป็นเท็จอยู่มาก รวมทั้งกองทหารอาสาสมัครแนวหลัง จำนวนทหารที่ต่อสู้ในสนามรบอย่างแท้จริง อาจไม่ถึงหนึ่งในสามของทั้งหมด
แต่สงครามที่ด่านซานไห่ สำหรับต้าฟ่ง เผ่าอนารยชนทางใต้และทางเหนือ เผ่าพันธุ์ปีศาจ สำนักพ่อมด สิ่งที่กองกำลังเหล่านี้ลงทุน ทหารชั้นยอดที่สามารถทำการต่อสู้ในสงครามได้อย่างแท้จริงมีมากกว่าหนึ่งล้าน
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าผู้นำเทียนกู่ยุคแรกถึงได้วางแผนทำสงครามเช่นนี้ นั่นก็เพื่อเคลื่อนย้ายราชวงศ์ดั้งเดิมในเมืองหลวงและโชคชะตาของต้าฟ่ง…สวี่ชีอันตระหนักได้ในทันใด
ถึงแม้เขาจะรู้แล้วว่าชะตากรรมของต้าฟ่งถูกขโมยในสงครามด่านซานไห่ แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลอยู่ดี
ตาที่สาม
โคจรปราณของสวี่ชีอันระเบิดขึ้น เขาเขย่าได้ หก หก หก อีกครั้ง แต่ครั้งนี้สถานการณ์ต่างออกไป เมื่อเว่ยเยวียนเปิดถ้วยชาออก เขาก็ได้ หก หก หก เช่นกัน
“เป็นไปได้ยาก!”
เว่ยเยวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเช่นนั้นถามคนละคำถามไม่ดีกว่ารึ?”
สวี่ชีอันพยักหน้า เป็นสัญญาณว่าเห็นด้วย และเป็นผู้นำในการถามคำถามของตนเองก่อน “เว่ยกงรู้หรือไม่ว่าคนที่ขโมยโชคชะตาคือใคร? มีจุดประสงค์อะไร?”
เว่ยเยวียนส่ายศีรษะ “ในแต่ละระบบที่ยิ่งใหญ่ คนที่มีสัมพันธ์อันแนบแน่นกับโชคชะตามีเพียงโหรและลัทธิขงจื๊อเท่านั้น ส่วนนิกายมนุษย์ถือว่ามีเพียงครึ่งเดียว และคนที่สามารถเคลื่อนย้ายชะตากรรมของประเทศได้ ก็มีเพียงโหรและลัทธิขงจื๊อ ระบบลัทธิขงจื๊อในตอนนี้ ผู้ที่มียศสูงสุดคือเจ้าแห่งสำนักอวิ๋นลู่ จ้าวโส่ว หากเขาคิดจะเคลื่อนย้ายโชคชะตาของต้าฟ่งก็คงจะยากไปหน่อย เช่นนั้นก็มีเพียงโหรเท่านั้น โหรสามารถปิดบังความลับกับสวรรค์ได้ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเป็นใคร ถึงแม้จะรู้ ก็ ‘ลืม’ ไปนานแล้ว”
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า “เป็นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็จ้องเว่ยเยวียนตาไม่กะพริบ ด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็น ‘สีหน้าที่เปลี่ยนไป’ ในแววตาของเขา
แววตาของเว่ยเยวียนจมมืดทันทีทันใดตามที่คาด และนิ้วมือที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นเล็กน้อย
เขาจ้องสวี่ชีอันตาเขม็ง และอดที่จะโน้มตัวเข้าไปไม่ได้ จากนั้นก็ถามด้วยความร้อนรนเล็กน้อย “พูดมาให้ชัด เจ้าไปรู้อะไรมา เจ้ามีข้อมูลอะไรอยู่ในมือ”
สวี่ชีอันกล่าวว่า “เว่ยกง นี่คือคำถามของท่านรึ”
เว่ยเยวียนส่ายศีรษะโดยไม่คาดคิด สงบสติอารมณ์ ก่อนจะฟื้นคืนท่าทางอันอ่อนโยนและเป็นกันเองอีกครั้ง
เว่ยชิงอีส่ายศีรษะ และถามด้วยความอ่อนโยนว่า “คำถามของข้าคือ วัตถุปิดผนึกใต้ทะเลสาบซังผออยู่ในตัวเจ้าใช่หรือไม่”
สายฟ้าฟาดลงมาตอนกลางวันแสกๆ
…
อารามรัตนะ
จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่ในห้องเงียบสงัดที่คุ้นเคย มองหญิงงามไร้ที่ติที่อยู่ตรงข้าม ลั่วอวี้เหิงคือหนึ่งในผู้หญิงที่เขาเคยเห็น และทำให้หัวใจเต้นแรงได้มากที่สุด
ไม่ว่าอารมณ์ของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร คุณลักษณะของผู้หญิงที่ชื่นชอบจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ลั่วอวี้เหิงก็สามารถตอบสนองสุนทรียภาพของเขาได้เสมอ โดยไร้ซึ่งความเบื่อหน่าย
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่เคยสัญญาว่าจะบำเพ็ญคู่กับเขา แต่ในใจของจักรพรรดิหยวนจิ่ง นางถูกห้ามมานานแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น แผนการเป็นอมตะที่เขาถวิลหาแม้ในยามฝัน ยังต้องพึ่งพาผู้หญิงคนนี้มาเติมเต็ม
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าชายใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปมาหาสู่หรือสนิทสนมใกล้ชิดกับลั่วอวี้เหิง
นางปฏิเสธข้าได้ นางปฏิบัติกับข้าอย่างขอไปทีได้ นางจะกระทำการไม่เหมาะสมกับข้าก็ย่อมได้ สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญสักนิด แต่หากนางแสดงความโปรดปรานหรือเอาใจใส่ต่อผู้ชายคนใดเป็นพิเศษ
ผู้ชายคนนั้นก็จะเหลือเพียงหนทางสู่ความตายเท่านั้น
จักรพรรดิหยวนจิ่งเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะฆ่าสวี่ชีอันอย่างแรงกล้า ต่อให้พายุเรื่องกฤษฎีกาต้องโทษจะยังไม่ผ่านพ้นไป แต่เขาก็ยังมีวิธีอีกมากมายที่จะเล่นงานสวี่ชีอัน
จักรพรรดิมีความประสงค์จะจัดการกับคนธรรมดาคนหนึ่ง ยากมากรึ?
ไม่ยากเลยสักนิด
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเขาอยู่ในสายตา ปล่อยให้เขากระโดดขึ้นกระโดดลงอย่างอิสระ นั่นเป็นเพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่เคยมองว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้และไม่มีคุณสมบัติพอ ศัตรูของเขาคือขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก คือท่านโหราจารย์ คือจ้าวโส่ว
สวี่ชีอันเป็นเพียงแค่บริวารรับใช้หน้ารถม้าในคลื่นลม
แม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่เห็นสวี่ชีอันเป็นศัตรู เดิมทีคิดว่ารอให้พายุลูกนี้ผ่านไปก่อน ค่อยชำระบัญชีหลังฤดูใบไม้ร่วง
คิดไม่ถึงว่าสุนัขชั่วร้ายตัวนี้จะกัดเนื้อที่ไม่ควรกัด
ถ้าอย่างนั้น ต่อให้ต้องจ่ายราคาแพงสักหน่อย ก็ต้องฆ่าสุนัขชั่วตัวนี้ให้จงได้
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองราชครูหญิง และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ได้ยินสายลับของไหวอ๋องกลับมารายงาน ว่าราชครูก็เข้ามาแทรกแซงเรื่องที่เจี้ยนโจวด้วยรึ”
ใบหน้าสวยราวกับหยกขาวอันไร้ที่ติของลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเล็กน้อย
“เหตุใดราชครูต้องเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้” จักรพรรดิหยวนจิ่งถามเข้าประเด็น
“ดอกบัวเก้าสีเป็นสมบัติลัทธิเต๋าของข้า จะยอมให้คนนอกจ้องตาเป็นมันได้อย่างไร” ริมฝีปากบางสีแดงก่ำของลั่วอวี้เหิงแยกออกจากกันเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ว่าแต่ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงต้องการช่วงชิงเมล็ดบัวด้วยเล่า?”
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวอธิบายด้วยความอดทน “พรสวรรค์ในการบำเพ็ญธรรมของข้าต่ำต้อยนัก ตั้งนานก็ไม่สามารถสร้างยาอายุวัฒนะได้ ข้าร้อนอกร้อนใจมาก เมื่อรู้ว่าเมล็ดบัวเก้าสีสามารถเปิดทางสู่การตรัสรู้ได้ จึงส่งคนไปนำมันมา”
เมื่อกล่าวจบแล้ว ก็เห็นลั่วอวี้เหิงพยักหน้า ยอมรับคำชี้แจงของตนเอง ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มแย้ม และกล่าวด้วยความสงบว่า “ได้ยินว่าสวี่ชีอันเผาเครื่องรางเรียกราชครู เฮ้อ ข้าชื่นชมเขามากจริงๆ เขามีพรสวรรค์ มีความทะเยอทะยาน และยุติธรรม เพียงแต่เขายังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจเรื่องประโยชน์ของส่วนรวม ยังต้องใช้เวลาลับคมเขาอีกหลายปี คราวนี้ลดขั้นเขาสู่สามัญชน ก็เป็นการขัดเกลานิสัยเขาพอดี แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะมีมิตรภาพกับราชครูถึงขั้นนี้”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง จะมีค่าอะไรมาผูกสัมพันธ์กับข้า”
ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งเปล่งประกายสดใส และรีบถามต่อว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดเขาถึงเรียกราชครูมาได้”
………………………………………………………