ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 417 การคุ้มครอง
บทที่ 417 การคุ้มครอง
ลั่วอวี้เหิงไม่แยแสสักนิด ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร “อาตมามอบเครื่องรางชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญให้กับฉู่หยวนเจิ่น”
กล่าวจบแล้ว นางก็ปิดเปลือกตาลงครึ่งหนึ่ง และไม่อธิบายอะไรอีก
เป็นของขวัญของฉู่หยวนเจิ่น…สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งบูดบึ้งเล็กน้อย ถ้าเป็นเช่นนั้น ใครเป็นคนใช้เครื่องรางเรียกราชครูก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ยังไม่สามารถขจัดข้อสงสัยออกไปได้ทั้งหมด จึงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ราชครู ถึงแม้ท่านและนิกายปฐพีจะมีมิตรภาพของศิษย์ในสำนักเดียวกัน แต่ท่านก็คือราชครูของต้าฟ่ง นิกายมนุษย์คือศาสนาประจำชาติของต้าฟ่ง ท่านเองก็รู้ดีว่าข้าส่งคนไปช่วงชิงเมล็ดบัว แล้วยังจะ…”
เขาแสดงความโกรธออกมาเล็กน้อย
เมื่อเผชิญกับคำถามของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ลั่วอวี้เหิงก็นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างกะทันหัน “ความจริงแล้ว ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นกับนิกายปฐพี ผู้นำเต๋านิกายปฐพีได้เข้าไปพัวพันกับเหตุต้นผลกรรมและตกสู่ทางมาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อลูกศิษย์ส่วนใหญ่ มีลูกศิษย์บางส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมัน เนื่องจากเหตุผลบางประการ ลูกศิษย์ที่หนีออกมากลุ่มนี้ ก่อตั้งองค์กรหนึ่งที่ชื่อว่า พรรคฟ้าดิน ตั้งรกรากและพักฟื้นฟูอยู่อย่างลับๆ รวบรวมกองกำลัง และพยายามชำระล้างนิกาย เมล็ดบัวเก้าสีมีความสำคัญสำหรับพวกเขามาก ไม่นานมานี้ คนของพรรคฟ้าดินเกลี้ยกล่อมให้ฉู่หยวนเจิ่นติดต่อข้า ด้วยความหวังว่าข้าจะสามารถช่วยพวกเขาได้ การประคองรักษาให้ผู้สืบทอดของทั้งสามนิกายให้คงอยู่ต่อไป คือฉันทามติของพวกเรา กระทั่งนิกายสวรรค์ที่มิเคยถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ ก็ยังถือวิธีคิดเดียวกัน”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง ลั่วอวี้เหิงก็จ้องมองจักรพรรดิหยวนจิ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ใช่รอยยิ้ม “หรือว่าฝ่าบาทไม่รู้?”
นี่คือเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่นางเข้าไปแทรกแซง…
เครื่องรางคือของขวัญที่มอบให้ฉู่หยวนเจิ่น ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับสวี่ชีอัน นี่ข้าอ่อนไหวเกินไปรึ? แต่เรื่องที่สวี่ชีอันเข้าไปมีส่วนร่วมกับดอกบัวเก้าสี มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเขาคือบุคคลที่ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินติดค้างหนี้บุญคุณ วันนั้นทั้งสองยังเคยขัดขวางทหารรักษาวังของข้า…
จักรพรรดิหยวนจิ่งมีความคิดที่เปลี่ยนไป เขาส่ายศีรษะด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
‘ข้าจะรู้ความลับของนิกายปฐพีได้อย่างไร?’
ทั้งสองจบการสนทนา และนั่งบำเพ็ญธรรมราวกับเป็นเรื่องปกติ จากนั้น ลั่วอวี้เหิงก็ได้เทศนาคัมภีร์ลัทธิเต๋า และอธิบายหลักการของการมีอายุยืนยาว ครึ่งชั่วยามต่อมา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เคลื่อนขบวนออกจากอารามรัตนะ
เมื่อกลับถึงห้องบรรทม จักรพรรดิหยวนจิ่งดื่มชาเพื่อสุขภาพที่ขันทีนำมาถวาย และสั่งกำชับว่า “ไปจัดการสองเรื่อง หนึ่ง ให้เทียนจีไปสืบภูมิหลังของพระภิกษุรูปนั้น พยายามจับเป็นมาให้ได้ สอง เรียกรองเจ้ากรมทหารฉินหยวนเต้ามาพบข้าในวัง”
ขันทีชราพยักหน้า และกล่าวหยั่งเชิงว่า “ทาสผู้ต่ำต้อยขอบังอาจถามฝ่าบาท ทรงเตรียมจัดการกับสวี่ชีอันอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เขาคิดว่าเป็นไปได้มากที่จะเริ่มจากสวี่เอ้อร์หลาง ญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน หรือสมาชิกคนอื่นๆ ในตระกูลของเขา
จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ “เว่ยเยวียนเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น ข้ามีแผนของตัวเอง”
ฝ่าบาทไม่พูด แสดงว่ายังไม่ได้คิดว่าจะจัดการกับสวี่ชีอันอย่างไรดี หรือไม่มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ชั่วขณะ…
ขันทีชราสับสนเล็กน้อย เพราะก่อนออกจากวัง เขายังเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่อยากจะทำลายล้างตระกูลของสวี่ชีอันทั้งตระกูล
ตอนนี้กลับมีท่าทีอ่อนลงราวกับลมพัดเบาๆ ในฤดูใบไม้ผลิ
…
ให้ตายเถอะ!
สวี่ชีอันไม่จำเป็นต้องส่องกระจก ก็รู้ว่าสีหน้าของตนเองตอนนี้ทั้งบิดเบี้ยว ทรุดโทรม และอ้าปากกว้างเพียงใด…
มีความลับสามประการในตัวของสวี่ชีอัน นั่นคือ การข้ามเวลา โชคชะตา และเสินซู
เขาซ่อนความลับทั้งสามประการนี้อย่างระมัดระวังมาโดยตลอด โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งและรุ่นนี้คือผู้เล่นหมากรุก และยังเป็นคนที่อยู่ในเรื่องราว ไม่มีทางปิดบังซ่อนเร้น และไม่จำเป็นต้องปิดบัง
นอกจากนี้ สวี่ชีอันเคยเปิดเผยเรื่องโชคชะตากับชายชราทั่วไปเท่านั้น เหตุผลมีสองประการ การเคลื่อนไหวของกองกำลังไท่ผิงยิ่งใหญ่เกินกว่าจะปกปิดได้ และเขาต้องการเลียแข้งเลียขาคนมีชื่อเสียง เพื่อเพิ่มทุนการต่อสู้ของตนเอง
สำหรับเว่ยเยวียน เขาคือคนที่สวี่ชีอันเชื่อใจ แต่เพราะมองวีรบุรุษแห่งชาติที่ฉลาดปราดเปรื่องท่านนี้ไม่ทะลุปรุโปร่ง ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา
คิดไม่ถึงว่าเว่ยเยวียนจะรู้มานานแล้ว ว่าไต้ซือเสินซูอยู่ในตัวข้า
“เว่ยกง…รู้ได้อย่างไร?” น้ำเสียงของสวี่ชอันแหบแห้งและติดขัดเล็กน้อย
เว่ยเยวียนกล่าวเสียงเบาว่า “เขย่าลูกเต๋าแล้วค่อยพูดเถอะ”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ไม่จำเป็นต้องเขย่าลูกเต๋าแล้ว”
ไม่จำเป็นแล้วจริงๆ เว่ยเยวียนไม่ได้ถามข้อมูลเกี่ยวกับโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง แต่ถามถึงวัตถุปิดผนึกใต้ทะเลสาบซังผอ นี่ก็กำลังบอกสวี่ชีอันแล้วว่า ข้ารู้ความลับของเจ้าหมดแล้ว
หงายไพ่อย่างตรงไปตรงมาเลยเถอะ
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้า และกล่าวว่า “ตอนที่อยู่เจี้ยนโจว ข้าพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่าจีเชียน พวกเราเกิดปะทะฝีมือกัน และข้าก็ฆ่าเขาตาย หลังจากไต่ถามวิญญาณ ก็พบว่าที่แท้เขาคือสายเลือดราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว หลังจากจักรพรรดิอู่จงกวาดล้างเหล่าคนชั่วรอบตัวพระองค์ พวกเขาก็ถูกคุ้มครองโดยท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็กบดานอยู่อย่างเงียบๆ มาจนกระทั่งตอนนี้ สงครามที่ด่านซานไห่ถูกปลุกระดมโดยท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งและผู้นำเผ่าเทียนกู่ เป้าหมายคือขโมยโชคชะตาของต้าฟ่ง จากนั้นก็สนับสนุนสายเลือดเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ขึ้นครอบครองบัลลังก์อีกครั้ง พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่ชื่อว่าสวี่โจวมาโดยตลอด ข้าสงสัยว่านั่นเป็นสถานที่อันไร้ซึ่งกฎหมายไร้ซึ่งสวรรค์ และอยู่นอกเหนือการควบคุมของราชสำนัก…”
เขาบรรยายขั้นตอนการไต่ถามวิญญาณฉากต่อฉาก และซ่อนเรื่องที่ตนเองโอบกอดโชคชะตาไว้ชั่วคราว
เว่ยเยวียนฟังอย่างเงียบๆ จนจบ ก่อนจะกล่าวช้าๆ “ดังนั้น ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก็เลยผนึกกำลังกับเผ่าอนารยชน เพื่อจัดการกับอ๋องสยบแดนเหนือ ต่อไป ก็ถึงตาข้าแล้วใช่หรือไม่?”
สวี่ชีอันเลื่อมใสอย่างบริสุทธิ์ใจ “ใช่แล้ว”
เว่ยเยวียนถอนหายใจ “ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งยังไม่ตาย นี่เกินความคาดหมายของข้า เจ้าเตือนข้าแล้ว หลังจากจักรพรรดิอู่จงรับช่วงครองบัลลังก์ต่อในตอนนั้น ก็ได้ส่งคนสนิทไปค้นหาอะไรบางอย่างทั่วทุกมุมโลกอย่างลับๆ เพื่อการนี้ เขาถึงกับล่องเรือออกสู่ทะเลอย่างไม่ลังเล เรื่องนี้ไม่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ แต่ถูกเขียนไว้ในชีวประวัติโดยปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง รุ่นที่หนึ่งอดทนอดกลั้นมาเป็นเวลานานเช่นนี้ ประการแรกคือไม่ได้กำจัดอ๋องสยบแดนเหนือและข้า ประการที่สองคือ ไม่สามารถนำโชคชะตาในตัวเจ้ากลับคืนมาได้ชั่วคราว…เอ๊ะ เจ้าลงไปใต้โต๊ะทำไมกัน?”
เว่ยเยวียนถามด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ยิ้ม
“ข้ากำลังหาขาของเว่ยกง ให้ข้ากอดสักครู่เถอะ…”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างขี้เล่น เพื่อปกปิดอารมณ์ที่ปั่นป่วนในจิตใจของเขา
‘ก๊อก ก๊อก!’
เว่ยเยวียนเคาะโต๊ะ พลางกล่าวด้วยความเคร่งขรึม “ออกมา!”
สวี่ชีอันลุกออกมาจากใต้โต๊ะและนั่งตัวตรง “เว่ยกง ท่านรู้ทุกอย่างเลย ท่านรู้ทุกอย่างจริงๆ”
เว่ยเยวียนถอนหายใจ
“เจ้าเป็นคนที่ข้าถูกใจ ขอให้เป็นคนที่ข้าบ่มเพาะ ข้าก็ต้องตรวจสอบและเฝ้าสังเกตอย่างละเอียดรอบคอบ การเรียนรู้และฝึกฝนที่รวดเร็วเป็นพิเศษของเจ้า ความโปรดปรานที่ท่านโหราจารย์มีต่อเจ้า ทัศนคติที่มังกรวิญญาณมีต่อเจ้า การปรากฏตัวของดาบสลักแห่งลัทธิขงจื๊อในพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ การปรากฏตัวของดาบสลักตอนที่ตัดศีรษะฮู่กั๋วกง อืม แล้วการที่เจ้าเขย่าลูกเต๋าได้แต้มสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกรึ ยังมีข้อบกพร่องในตัวเจ้าอีกมาก หยิบข้อมูลที่กระจัดกระจายเหล่านี้ออกมาดูคนเดียวก็เท่านั้น แต่ข้าเข้าใจสถานการณ์ของเจ้าดี เมื่อนำเบาะแสทั้งหมดมาผสมผสานกัน รวมกับความลับบางอย่างที่ข้ารู้อยู่แล้ว ทบทวนอย่างง่ายๆ ก็พอเดาออกถึงแปดในสิบ หลังจากเจ้าชนะการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ในวันนั้น และวิ่งมาถามข้าเกี่ยวกับรายละเอียดของสงครามที่ด่านซานไห่ ข้าเคยถามเจ้าว่ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ ข้านึกว่าเจ้าจะสารภาพกับข้าอย่างตรงไปตรงมา แต่เจ้าเลือกที่จะปิดบัง”
สวี่ชีอันอ้าปากค้าง เดิมทีอยากจะอธิบาย แต่ก็คิดว่าไม่จำเป็น จึงกล่าวด้วยความท้อแท้ว่า “แล้วเรื่องวัตถุปิดผนึกใต้ทะเลสาบซังผอล่ะ?”
“พิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธเผยให้เห็นว่าโชคชะตาอยู่ในตัวเจ้า และความจริงที่ว่าเจ้าโอบกอดวัตถุปิดผนึก แน่นอน พึ่งแค่สิ่งนี้ยังไม่พอ ยังต้องมีหลักฐานอื่นๆ อีก อย่างเช่น ตอนที่เดินทางไปเหนือ เจ้าฆ่าผู้นำเผ่าอนารยชนขั้นสี่ และลักพาตัวพระมเหสีมาได้อย่างไร?”
เว่ยเยวียนหัวเราะอยู่ในลำคอ “ในเมื่อข้ารู้แล้วว่าโชคชะตาอยู่ในตัวเจ้า เช่นนั้นยอดฝีมือปริศนาที่สามารถใช้ดาบสยบดินแดนที่ฉู่โจวได้เป็นใคร ก็คงไม่จำเป็นต้องคาดเดาแล้ว อันที่จริง ก่อนที่จะเดินทางไปเหนือ ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่า ‘วัตถุปิดผนึก’ อยู่ในตัวเจ้า เจ้าปกปิดไว้เป็นอย่างดี เพราะไว้ใจท่านโหราจารย์ ไว้ใจคนนอกรีตของสำนักพุทธนั่นรึ?”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ “ท่านโหราจารย์เป็นบุคคลอมตะ ข้าจะไว้ใจหรือไม่ไว้ใจก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร สำหรับวัตถุปิดผนึก เขามีนามในศาสนาว่า เสินซู ข้าเคยสัญญากับเขาว่าจะเก็บเป็นความลับ”
เขากล่าวข้อตกลงระหว่างเขากับเสินซูออกมา
เว่ยเยวียนกล่าวอย่างครุ่นคิด “ท่านโหราจารย์ยินยอมให้เผ่าพันธุ์ปีศาจปลดปล่อยผนึกทะเลสาบซังผอ คาดว่าเพื่อวางหมากเจ้า ใช้เขามาสยบโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ในวันที่เสินซูเข้ามาในตัวเจ้า โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้า ไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย ตอนนี้เขากำลังหาวิธีการแก้ปัญหาอย่างแข็งขัน เกี่ยวกับตัวตนของสำนักพุทธนอกรีตท่านนี้ ข้าพอจะเดาได้บางส่วน ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรหมื่นปีศาจและการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีในตอนนั้น ในอนาคตที่เจ้าท่องไปในยุทธภพ ก็สามารถไปที่ภูเขาสือว่านทางซินเจียงตอนใต้สักครั้ง ไปที่นั่นเพื่อค้นหาความจริง”
เอ๋? เสินซูเกี่ยวข้องกับสงครามกวาดล้างปีศาจหกสิบปีตอนนั้นหรือไม่? นี่เป็นสิ่งที่สวี่ชีอันไม่เคยนึกถึงมาก่อน
“แล้วเว่ยกงเตรียมจะลงโทษข้าอย่างไร?” สวี่ชีอันถามหยั่งเชิง
กล่าวจบแล้ว สวี่ชีอันก็จ้องเว่ยเยวียนตาเขม็ง ด้วยความกลัวว่าจะเห็นเจตนาฆ่าจากสายตาของเขา
“อันที่จริงข้าอยากจะฆ่าเจ้า ถ้าทำได้” เว่ยเยวียนล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในแขนเสื้อ พลางก้มลงไปมองที่โต๊ะ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ถูกขังโดยท่านโหราจารย์ทั้งสองรุ่น ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ดังนั้น จึงสารภาพกับข้าอย่างตรงไปตรงมา เป้าหมายของเจ้าคืออยากชนะ และได้รับการคุ้มครองจากข้า”
เป็นคำพูดที่แทงใจดำจริงๆ!
สวี่ชีอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ
“หากเจ้าอยากจะถามว่าท่านโหราจารย์ไว้ใจได้หรือไม่ ข้าไม่สามารถให้คำตอบเจ้าได้ เพราะข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน สำหรับท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว คนที่ประลองไหวพริบกับเขาคือท่านโหราจารย์รุ่นนี้ คนที่เคลื่อนไหวและวางกลยุทธ์ไม่ใช่เจ้า สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าพัฒนาระดับขั้น และสะสมทุนเอาไว้”
หลังจากเงียบครู่หนึ่ง แววตาของเว่ยเยวียนก็อ่อนลง และกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สวี่ชีอันถึงยกภูเขาออกจากอกอย่างแท้จริง และรู้สึกจิตใจสงบลงมาก
เขากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะขอคำแนะนำจากเว่ยกงพอดี”
เว่ยเยวียนพยักหน้า
สวี่ชีอันไอกระแอมและกล่าวว่า “ข้าจะเลื่อนสู่ขั้นสี่ได้อย่างไร”
เว่ยเยวียนชะงักครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าเลื่อนสู่ขั้นห้าแล้วรึ?”
สวี่ชีอันพยักหน้า
เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีในการสลายแรงขั้นห้า…เว่ยเยวียนสติล่องลอยกะทันหันเป็นเวลานาน เมื่อนัยน์ตาขยับเล็กน้อย สติของเขาก็ฟื้นคืน และถอนหายใจกล่าวว่า
“จริงสิ เจ้าแบกรับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ หนึ่งขั้นก็พอจะมีหวัง น่าเสียดายที่อนาคตต้องเดินไปตามเส้นทางของเกาจู่ อู่จง เจ้าอาจจะไม่รู้ โชคชะตาคือดาบสองคม”
“ผู้ที่ได้รับโชคชะตา ไม่สามารถมีชีวิตยืนยาว” สวี่ชีอันกล่าว
“เจ้ารู้ไม่น้อยเลยทีเดียว!” การแสดงออกของเว่ยเยวียนซับซ้อนอย่างยิ่ง
เว่ยกง ท่าทางของท่านในตอนนี้ราวกับกำลังพูดว่า นี่เจ้าแอบไปเรียนเสริมมาแล้วปิดบังข้าใช่หรือไม่!
สวี่ชีอันหัวเราะคิกคัก
“สำหรับทหาร ขั้นสี่เป็นขั้นหนึ่งที่สำคัญมาก มันจะเป็นตัวตัดสินเส้นทางที่เจ้าต้องเดินในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่จะเข้าใจเจตนาของกระบี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านดาบจะเข้าใจเจตนาของดาบ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” เว่ยเยวียนกล่าว
“แก่นของขั้นสี่อยู่ที่ ‘เจตนา’ เพียงคำเดียว เจตนาก็สามารถเรียกว่า ‘เส้นทาง’ ได้เช่นกัน เส้นทางที่ทหารจะเดินในอนาคต ดังนั้น ทหารขั้นสองจะเรียกมันว่า ผสานเต๋า สวี่ชีอัน เจ้าคิดเส้นทางที่ตนเองจะเดินแล้วหรือยัง”
เว่ยกง ข้าขอถามหน่อยเถอะ บนโลกนี้มีเจตนาที่เรียกว่า ค้ากาม หรือไม่…
สวี่ชีอันถามหยั่งเชิงว่า “กวาดล้างความอยุติธรรมบนโลกนี่นับด้วยหรือไม่?”
“นั่นคืออุดมการณ์ต่างหาก!” เว่ยเยวียนกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “เจ้าพบผู้คนก็เอาแต่ตะโกนว่า กวาดล้างความอยุติธรรมบนโลก! จากนั้น ผู้คนก็ยอมศิโรราบภายใต้อุดมการณ์ของเจ้างั้นรึ?”
“…”
“ที่เรียกว่าเจตนา จำเป็นต้องอาศัยความรุนแรงภายในของทหาร พูดให้ชัดคือ วิธีการโจมตีและฆ่าฟัน อย่างเช่น ดาบ หอก กระบี่ ง้าว กำปั้น เป็นต้น เจ้าเป็นคนหนึ่งที่ใช้ดาบ ย่อมรู้เจตนาของดาบอย่างแน่นอน”
“แล้วจะซ่อมแซมเจตนาของดาบได้อย่างไร?” สวี่ชีอันขอคำแนะนำอย่างถ่อมตน
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เริ่มจากขั้นห้า ทั้งหมดจำเป็นต้องใช้ความเข้าใจ! พรสวรรค์ของเจ้าไม่เลว ความเข้าใจก็ยอดเยี่ยม เจ้าสามารถควบคุมตนเองเลื่อนสู่ขั้นห้าในระยะเวลาอันสั้น แต่บางคนกลับไม่มีพรสวรรค์ ตลอดชีวิตก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังทางกายภาพได้อย่างสมบูรณ์ จึงไม่มีทางเลื่อนขั้นได้ สำหรับวิธีการที่จะเข้าใจเจตนาของดาบ สิ่งที่ข้าสามารถสอนเจ้าได้ มีเพียงประสบการณ์เท่านั้น อย่างแรก เจ้าต้องไปให้ถึงขอบเขตความเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ พูดง่ายๆ คือการเข้าใจดาบอย่างลึกซึ้ง สิ่งนี้เจ้าจำเป็นต้องตระหนักรู้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างตนเองและวิชาดาบ ต้องใช้เวลาสะสมเป็นเดือนเป็นปีถึงจะได้ ต่อมา เจ้าต้องรวมความเชื่อมั่นและศรัทธาของตนเองเข้ากับดาบ ดาบเดียวตัดฟ้าดินที่เจ้าฝึกฝน ก็คือความศรัทธาของผู้สร้างการฝึกพลังนี้” เว่นเยวียนให้คำแนะนำอย่างจริงใจ
ใช่แล้ว ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ของข้าก็เป็นเจตนาของดาบชนิดหนึ่ง ความเชื่อมั่นและศรัทธาของบรรพบุรุษท่านนั้นคือ ไม่มีอะไรที่ดาบเดียวตัดไม่ขาด หากมี งั้นก็วิ่งหนีซะ
“เว่ยกง สามารถพูดได้หรือไม่ ว่าข้าเข้าใจเจตนาของดาบเพียงครึ่งเดียว? เช่นนั้นข้าสามารถเพิ่มสิ่งของของตนเองเข้าไปในรากฐานของ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ได้หรือไม่ ทำให้มันกลายเป็น ‘เจตนา’ ของข้าเพียงคนเดียว?” สวี่ชีอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เด็กๆ ยังสามารถสอนได้” เว่ยเยวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
การสนทนาเดินทางมาถึงตอนท้าย จู่ๆ เว่ยเยวียนก็กล่าวว่า “จำครั้งแรกที่พวกเราพบกันได้หรือไม่?”
“ในหอดูดาวครั้งนั้น?” สวี่ชีอันไม่ค่อยแน่ใจ
“อืม!”
เว่ยเยวียนพยักหน้า “เพลงที่เจ้าร้องตอนนั้นน่าสนใจมาก ข้ายังจำได้จนถึงทุกวันนี้…ข้ายืนอยู่ท่ามกลางลมแรง ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าจะระบายความเจ็บปวดในใจออกไปได้ มองขึ้นไปบนฟ้า เมฆเคลื่อนตัวไปทั่วทุกสารทิศ ดาบอยู่ในมือ ถามว่าใครคือวีรบุรุษในใต้หล้า”
เขาฮัมเพลงค่อนข้างธรรมดามาก
“ท่อนต่อไปล่ะ? ข้าชอบเพลงนี้มาก” เว่ยเยวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่ยังเด็ก สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดคือการถูกคุณครูเชิญขึ้นเวที และร้องเพลงต่อหน้าทุกคน…
สวี่ชีอันกล่าวว่า “รอให้เว่ยกงบอกข้าเรื่องของท่านกับฮองเฮาก่อน ข้าค่อยร้องเพลงให้ท่านฟัง”
…
หลังจากออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันขี่แม่ม้าน้อยตัวโปรดเข้าไปยังที่ทำการปกครอง เขาใช้ยาน้ำเปลี่ยนรูปลักษณ์ในที่ทำการปกครอง ก่อนจะขี่แม่ม้าน้อยไปบนถนนอีกครั้ง
หลังจากขี่ม้าไปรอบๆ อยู่นาน ก็ยืนยันได้แล้วว่าไม่มีใครสะกดรอยตามเขามา สวี่ชีอันก็เคาะประตูบ้านอย่างเงียบๆ
‘แอด~’
ประตูบ้านเปิดออก เป็นหญิงชราร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์คนหนึ่ง
“??”
เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นในจิตใจของสวี่ชีอันทันที พระมเหสีของข้าล่ะ พระมเหสีที่ข้าลักพาตัวมาอย่างยากลำบากล่ะ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งของข้าล่ะ?
กลายเป็นหญิงชราอ้วนได้อย่างไร?!
“เจ้าเป็นใคร”
หญิงชราจ้องสวี่ชีอันด้วยความสงสัย สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
สวี่ชีอันตัดความซับซ้อนของชื่อตนเองลง “ข้าชื่อสวี่ชีอัน คุณป้าท่านนี้ ทำไมถึงมาอยู่ในบ้านข้าได้ล่ะ?”
“บ้านเจ้า?”
แววตาของหญิงชราเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง “รอเดี๋ยวเถอะ!”
นางหันหลังเดินกลับเข้าไปโดยไม่ได้ปิดประตู
หลังจากผ่านไปประมาณชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย หญิงชราก็ถือไม้กวาด เดินพุ่งตัวออกมาอย่างดุดัน และตะโกนด่าว่า “ไอ้หมาเนรคุณ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ไล่ตามมาถึงนี่จนได้นะ นางไม่ใช่คนที่ลูกหมาอย่างเจ้าจะทำตัวกำเริบเสิบสานด้วยได้”
เมื่อหญิงชราตวัดไม้กวาดมาทางเขา สวี่ชีอันก็ก้มศีรษะลง และมุดเข้าไปหลบในลานบ้าน
หญิงชรากรีดร้องด้วยความโกรธและไล่ตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
ประตูของห้องหลักเปิดออก พระมเหสีถือถ้วยถั่วลิสงอยู่ในมือ พลางพิงประตูและยืนมองเหตุการณ์อย่างมีความสุข
เมื่อหญิงชราเห็นนางคลี่ยิ้มสดใสราวกับดอกไม้เบ่งบาน ก็เพิ่งตระหนักได้ถึงกลอุบายในนั้น นางกระชับไม้กวาดในมือ พลางชายตามองสวี่ชีอันด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปมองพระมเหสีอีกครั้ง
“ข้าเป็นผู้ชายของนางจริงๆ”
สวี่ชีอันกล่าวอธิบาย เมื่อเห็นหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาสีเรียบ บนศีรษะเสียบปิ่นราคาถูกก็เดินเข้าไป และเขกหน้าผากนางเบาๆ “สนุกมากหรือ?”
ภรรยาหม้ายของอ๋องสยบแดนเหนือ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งท่านนี้ลูบหน้าผากด้วยสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง แสดงท่าทีเพิกเฉยต่อเขาด้วยความดื้อดึง และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านป้าจาง ท่านกลับไปก่อนเถอะ”
ป้าจางบ่นพึมพำเล็กน้อย ก่อนจะวางไม้กวาดพิงลงบนกำแพง และเดินออกไปจากลานบ้าน
…………………………………………………………