ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 419 คลื่นใต้น้ำได้ซัดสาดอย่างรุนแรง
บทที่ 419 คลื่นใต้น้ำได้ซัดสาดอย่างรุนแรง
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของบันทึกประจำวันก็คือลายมือของเจ้าช่างเขียนได้หวัดเลอะเทอะอะไรขนาดนี้ละเนี่ย…ถามจบ สวี่ชีอันก็วิจารณ์อยู่ในใจ
สวี่เอ้อร์หลางจิบชาให้ชุ่มคอ พลางพูดอธิบาย “อาลักษณ์มักจะรับหน้าที่โดยบัณฑิตขั้นสูงอันดับหนึ่ง เป็นขุนนางโอรสแห่งสวรรค์ที่แท้จริง มาจากครอบครัวชนชั้นสูง
“การสอบขุนนางจัดขึ้นทุกๆ สามปี ดังนั้น อย่างมากที่สุดอาลักษณ์จะถูกแทนที่ภายในสามปีและบางคนก็ทำได้ไม่ถึงหนึ่งปี ข้าเปิดดูบันทึกชีวิตประจำวันเหล่านี้ที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ก็พบเรื่องประหลาดมากๆ อยู่เรื่องหนึ่ง”
เขาจงใจขายจุดตื่นเต้นออกมาให้เห็น เมื่อเห็นพี่ใหญ่หรี่ตามองมาที่ตน เขาก็กระแอมไอและรีบปฏิเสธความคิดที่จะขายความลับนี้ พลางพูด
“หยวนจิ่งปีที่สิบและหยวนจิ่งปีที่สิบเอ็ดของบันทึกชีวิตประจำวัน ไม่มีบันทึกที่เอ่ยถึงชื่อของอาลักษณ์ ซึ่งนี่ผิดปกติเป็นอย่างมาก”
สวี่ชีอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เป็นไปได้หรือไม่ว่าในบันทึกจะมีความผิดพลาดที่เกิดจากความสะเพร่า ลืมลงนาม?”
สวี่เอ้อร์หลางส่ายหัว “ฝ่ายอาลักษณ์เป็นของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน หากพวกเราต้องรวบรวมหนังสือและชื่อสกุล จะเกิดความผิดพลาดสะเพร่าเช่นนี้ได้อย่างไร? พี่ใหญ่อาจจะดูถูกสำนักบัณฑิตฮั่นหลินของพวกเรามากเกินไปหน่อย”
“นอกจากนี้ คนที่ครองตำแหน่งอาลักษณ์ทั้งหมดได้ลงนามในชื่อของพวกเขา แตกต่างจากหยวนจิ่งปีที่สิบและปีที่สิบเอ็ดที่ไม่มี? นี่มันแปลกเกินไป ข้าคาดว่า ปีที่สิบและปีที่สิบเอ็ดเป็นคนคนเดียวกัน”
บันทึกประจำวันของหยวนจิ่งปีที่สิบและปีที่สิบเอ็ดล้วนไม่มีการลงนามในบันทึก ไม่รู้ว่าคนที่สัมพันธ์กับอาลักษณ์นั้นคือใคร…ถ้าหากว่านี่ไม่ใช่ความผิดพลาดจากความสะเพร่า เช่นนั้นทำไมจึงต้องลบชื่อคนออกไปล่ะ?
ถ้าหากบันทึกประจำวันมีปัญหา เช่นนั้นก็ควรแก้ไขบันทึกประจำวันส่วนนี้ แทนที่จะลบชื่อของอาลักษณ์
สวี่ชีอันคิดวนไปมา แล้วพูดวิเคราะห์ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าบันทึกประจำวันมีปัญหา สำเนาที่เจ้าคัดลอกมาได้ถูกแก้ไขหลังจากนั้น และเป็นเพราะอาลักษณ์ท่านนั้นบันทึกเนื้อหาส่วนนี้และได้รู้ข้อมูลบางอย่าง ดังนั้นจึงถูกฆ่าปิดปาก และลบชื่อของเขาออกไป”
สวี่เอ้อร์หลางส่ายหัว “ไม่ใช่ ตามการคาดเดาของพี่ใหญ่ ถ้านับว่าเป็นการฆ่าปิดปาก ก็ไม่มีความจำเป็นต้องลบชื่อออกหรอกใช่หรือไม่ ปัญหาที่แท้จริงคือบันทึกประจำวัน ไม่ใช่การลงนามของอาลักษณ์ สิ่งที่ต้องทำคือจำเป็นต้องแก้ไขบันทึกชีวิตประจำวันเท่านั้น”
“เจ้าพูดถูก”
สวี่ชีอันพยักหน้า ความสัมพันธ์หลักและรองไม่ค่อยจะสอดคล้องกัน สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือบันทึกชีวิตประจำวัน เพียงแค่ต้องแก้ไขเนื้อหาเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าอาลักษณ์ในเวลานั้นจะถูกไล่ออกหรือฆ่าปิดปาก ก็ไม่จำเป็นต้องลบชื่อของเขา
“ถ้าเช่นนั้น ก็เป็นตัวของอาลักษณ์เองที่มีปัญหา” สวี่ชีอันได้ข้อสรุป
“อาลักษณ์ผู้นี้กับจักรพรรดิหยวนจิ่งมีความสัมพันธ์ที่เป็นความลับกัน?”
สวี่เอ้อร์หลางลดเสียงเบาลง เวลาดึกแล้ว แต่ดวงตาของเขากลับยังสว่างไสวและเฉียบคม ทั้งยังดูฮึกเหิมอย่างชัดเจน
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเขากับจักรพรรดิหยวนจิ่งมีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่ แต่ข้าคิดออกอยู่เรื่องหนึ่ง…”
สวี่ชีอันกดคลึงระหว่างคิ้ว เขาค้นพบอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโหรโดยไม่ได้ตั้งใจ
หากปัญหาอยู่ที่ตัวของอาลักษณ์เอง และเขาสมัครใจลบชื่อของเขาเอง การกระทำที่คุ้นเคยขนาดนี้ เหมือนกับกรณีของคดีบิดาของซูซูทุกประการ และเหมือนกับกระทำของโหรเพื่อปกป้องความลับของสวรรค์
ในคดีของซูหัง เบื้องหลังนั้นมีร่องรอยการควบคุมโดยโหร และชื่อของอาลักษณ์ท่านนี้ก็ถูกลบไปด้วยเช่นเดียวกัน…ระหว่างสองคนนี้ต้องยังคงมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อกันแน่นอน
ในท้องพระโรงปีนั้น ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นและมันเป็นเรื่องที่สะเทือนลั่นไปทั่วพื้นปฐพีไม่ผิดแน่
“ทำไมข้าจึงรู้สึกเหมือนมองข้ามอะไรไป? ถูกแล้วล่ะ เมื่อตอนที่ออกจากเจี้ยนโจว ข้าเคยอาศัยเลขาธิการศาลต้าหลี่และหัวหน้ามือปราบเฉินแห่งกรมอาญาให้ช่วยตรวจสอบค้นหาสำนวนคดีของซูหัง”
สวี่ชีอันตะลึงตกใจ ถ้าไม่ใช่เพราะบันทึกประจำวันส่วนนี้ของเอ้อร์หลาง ทำให้เขาต้องเริ่มตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้งและเขาเกือบจะลืมเกี่ยวกับสำนวนคดีของซูหังไปแล้ว
ด้วยการฝึกฝนสลายแรงขั้นห้าของเขา ความทรงจำของเขาก็ไม่ควรจะแย่ขนาดนี้
ดูเหมือนว่าข้าต้องเขียนบันทึกประจำวันไว้ทุกเวลาเสียแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่ลืมพวกเบาะแสที่กว่าจะได้มาแบบไม่ใช่ง่ายๆ เหล่านี้…สวี่ชีอันพูดในใจ
“จะตรวจสอบอาลักษณ์คนนี้ได้อย่างไร? วิธีที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด” สวี่ชีอันถาม
“เป็นธรรมดาที่ต้องสืบถามจากข้าราชการอาวุโส” สวี่ฉือจิ้วไม่แม้แต่จะคิด
ถ้าหากเป็นการป้องกันความลับของสวรรค์ละก็ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครสามารถจำได้
สวี่ชีอันส่ายหัว “ยังมีวิธีที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่?”
“ไปตรวจสอบที่กรมปกครอง คลังเอกสารของกรมปกครองนั้นเก็บสำนวนคดีของขุนนางไว้ทั้งหมดตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมา ข้อมูลทั้งหมดของขุนนางเมืองหลวงเป็นเวลาหกร้อยปี” สวี่เอ้อร์หลางกล่าว
เขาส่ายหัวทันที “ทั้งหมดนี้เป็นความลับ พี่ใหญ่ ตัวตนของท่านในตอนนี้อ่อนไหวมาก กรมปกครองไม่สามารถและไม่กล้าที่จะให้เจ้าเข้าไปในเขตอำนาจได้”
เว้นเสียแต่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว
ถ้าต้องการให้จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้ และเมตตาที่จะไสหัวออกไปให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ บางทีอาจจะต้องแต่งเรื่องกล่าวหาให้ติดคุก
“เจ้ากรมกรมปกครองดูเหมือนว่าจะเป็นคนของพรรคหวาง พ่อตาในอนาคตของเจ้าคงจะช่วยข้าได้นะ” สวี่ชีอันพูดติดตลก
“พี่ใหญ่หยุดพูดเรื่องเพ้อเจ้อได้แล้ว ข้ากับคุณหนูหวางบริสุทธิ์ใจต่อกัน จะว่าไป แม้ว่าข้ากับคุณหนูหวางจะสนิทสนมกัน สมุหราชเลขาธิการหวางก็คงไม่ยอมรับข้า ถึงขนาดที่คงจะไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของข้า”
สวี่เอ้อร์หลางโบกมือ ปฏิเสธคำขอที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของพี่ใหญ่
“งั้นเจ้าจะใช้อะไร” สวี่ชีอันวิจารณ์น้องชาย
“ถ้าเจ้ารีบพาคุณหนูหวางเข้าเรือนหอไปเร็วกว่านี้ละก็ ก็คงจะไม่ยุ่งยากมากกว่านี้ และคงไม่มีทางจะแก้ไขอะไรได้อีก พรุ่งนี้ข้าก็คงจะสามารถเข้าไปในกรมปกครองเพื่อตรวจสำนวนคดี เอ้อร์หลางเอ๋ย จุดนี้เจ้ายังทำได้ไม่เก่งเท่าพี่ใหญ่ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นพี่ใหญ่ คุณหนูตระกูลหวางก็คงเป็นนางสนมไปแล้ว”
สวี่เอ้อร์หลางร้อง ‘โอ้โฮ’ ออกมา พลางพูดอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “พี่ใหญ่นอกจากจะนอนกับคณิกาของสำนักสังคีตแล้ว ยังเคยนอนกับบุตรีขุุนนางด้วยหรือ?”
สีหน้าของสวี่ชีอันเฉยชาขึ้นทันที
พี่ใหญ่หัวเราะเยาะพี่สอง และพี่สองก็เหน็บแนมพี่ใหญ่ การต่อสู้นั้นตีคู่เสมอกันมา
บรรยากาศนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน และพี่น้องยังคงพูดคุยกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สวี่ชีอันไตร่ตรอง “ต้องหาทางที่จะเข้าไปในกรมปกครองให้ได้สักครั้ง…นี่สำคัญมาก เอ้อร์หลาง…เจ้าไปช่วยพี่ใหญ่ตรวจสอบบันทึกชีวิตประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อน”
บันทึกประจำวันของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ในอดีตเป็นหลักฐานที่สำคัญสำหรับการเขียนบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ และสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการเรียบเรียงและรวบรวม สวี่เอ้อร์หลางต้องการที่จะตรวจสอบบันทึกประจำวัน ก็ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
สวี่ฉือจิ้วพยักหน้าโดยไม่ถามหาเหตุผล
จะเข้ากรมปกครองได้อย่างไร? เรื่องนี้แม้แต่เว่ยกงก็ไม่สามารถทำได้ เว้นแต่เขาจะเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ไม่เช่นนั้นเว่ยกงเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปกรมปกครองเพื่อตรวจสอบสำนวนคดีเช่นกัน…และข้าก็ไม่มีเส้นสายใดๆ ในกรมปกครอง เอ่อ…เหมือนกับจะมีอยู่คนหนึ่งที่พอถูๆ ไถๆ ได้ แต่หลานชายของคนคนนั้นถูกข้าเนรเทศไปแล้ว หมดวิธีที่จะบีบบังคับเขาอีก
สวี่ชีอันนวดคลึงหว่างคิ้ว คิ้วขมวดไม่คลาย
“ใช่แล้ว ฉือจิ้วรู้จักสวี่โจวหรือไม่?”
สวี่ชีอันสงบสติอารมณ์และเปลี่ยนหัวข้อโดยไม่ลืมเส้นทางแรกของท่านโหราจารย์ และสืบถามข่าวจากน้องชายคนเล็กที่มีความรู้มากมาย
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว หวนนึกย้อนไปเมื่อนานมาแล้ว พลางส่ายหัว “ไม่เคยได้ยินมาก่อน รอเมื่อมีเวลาว่าง จะไปช่วยพี่ใหญ่สืบหาอีกรอบ ทุกราชวงศ์จะต้องมีเหตุการณ์ให้เปลี่ยนชื่อเขตปกครองตลอด
“นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปยังมีวิธีเรียกชื่อรัฐต่างกันไป ตัวอย่างเช่นเจี้ยนโจว ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าอู่โจว เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีอิทธิพลมากในเจี้ยนโจว ควบคุมขุนนางในเมือง ดังนั้น ในตอนแรกจึงเรียกกันแบบติดตลกว่าอู่โจว จากนั้นชื่อนี้ก็ค่อยๆ แพร่หลายต่อๆ กันไป”
“ทวีปใหญ่นั้นยังพอจะใช้ได้ การเปลี่ยนชื่อไปๆ มาๆ ล้วนง่ายต่อการตรวจสอบ แต่รัฐขนาดเล็กและขนาดกลาง มีจำนวนต่างกันไป ต้องใช้เวลานานเพื่อตรวจสอบ”
เจี้ยนโจวมีอีกชื่อว่าอู่โจว ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าสวี่โจวเองก็ยังมีชื่ออื่นๆ อีกเช่นกัน? สวี่ชีอันคิดไตร่ตรองขึ้นมา พลางพูด “ต้องรบกวนเอ้อร์หลางแล้วล่ะ”
…
วันต่อมา สวี่เอ้อร์หลางขี่ม้ามาที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน
พูดถึงความเข้มงวดของซู่จี๋ซื่อ ไม่ใช่ตำแหน่งขุนนาง แต่เป็นช่วงหนึ่งของการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน
หลังจากเป็นซู่จี๋ซื่อแล้ว สวี่เอ้อร์หลางต้องศึกษาต่อและได้รับการอบรมสอนโดยปราชญ์สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ในช่วงเวลานั้นเขาได้ร่วมทำงานซ่อมแซมหนังสือ ช่วยปราชญ์ในการจดบันทึกหนังสือ ร่างพระราชโองการแทนจักรพรรดิ เพื่ออธิบายหนังสือคัมภีร์และอื่นๆ ให้แก่จักรพรรดิ พระราชโอรส และพระราชธิดา
เพราะเหตุผลของสวี่ชีอัน อนาคตของสวี่เอ้อร์หลางจะได้รับผลกระทบอย่างมาก เขาจะพลาดงานร่างพระราชโองการแทนจักรพรรดิ และพลาดการอธิบายหนังสือคัมภีร์และอื่นๆ ให้แก่จักรพรรดิ
และก็เป็นเพราะเหตุผลของสวี่ชีอันอีก ที่เขาอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็เหมือนกับปลาได้น้ำ ได้รับการปฏิบัติตอบรับเป็นอย่างดี
ขุนนางของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเป็นคนที่มาจากครอบครัวชนชั้นสูง มีความหยิ่งยโสในตนเอง พวกเขาชื่นชมสวี่ชีอันเป็นอย่างมาก และรวมไปถึงปฏิบัติต่อสวี่เอ้อร์หลางอย่างสุภาพเช่นกัน
หลังจากฟังการบรรยายของปราชญ์มหาสำนักหม่าซิวเหวินแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน สวี่ซินเหนียนก็เข้าไปในคลังเอกสารและเริ่มตรวจสอบบันทึกประจำวันของจักรพรรดิรุ่นก่อน
บันทึกประจำวันของจักรพรรดิไม่ได้เป็นความลับ นับเป็นข้อมูลประเภทหนึ่งและใครก็ตามในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินล้วนสามารถตรวจสอบได้ ถึงอย่างไรบันทึกชีวิตประจำวันก็จะต้องเขียนลงในหนังสือประวัติศาสตร์
และหนังสือประวัติศาสตร์ก็ต้องให้คนได้อ่าน
เมื่อเทียบกับหนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์ ในอนาคตได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่ามีความสำเร็จมากกว่า ตัดสินข้อโต้แย้งที่มีค่อนข้างมากของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ชีวิตของจักรพรรดิองค์ก่อนหน้าพอจะเรียกได้ว่าธรรมดาไม่มีอะไรแปลก แต่ก็ไม่ได้ดีนัก ในการครองราชย์สี่สิบเก้าปี มีการเปิดสงครามกับต่างประเทศเพียงสองครั้งเท่านั้น
หรือพวกเผ่าอนารยชนทางเหนือและใต้ที่ถูกบีบคั้นอย่างหนักจนต้องส่งกองกำลังทหารไปปราบปราม
เปิดพลิกไปเรื่อยๆ สวี่เอ้อร์หลางก็เห็นบทสนทนาท่อนหนึ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ยี่สิบแปด ตัวเอกของบทสนทนาคือจักรพรรดิองค์ก่อนหน้าและผู้นำเต๋านิกายมนุษย์รุ่นก่อน
จักรพรรดิองค์ก่อนกล่าว ‘นับตั้งแต่โบราณกาลมา บุคคลผู้ที่ได้รับมอบหมายจากสวรรค์ ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป วิธีการมีอายุยืนยาวของลัทธิเต๋า สามารถแก้ไขข้อจำกัดอายุขัยนี้ได้หรือไม่?’
ผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์กล่าว ‘การมีอายุยืนยาวเป็นไปได้ แต่การมีอายุชั่วนิรันดร์เป็นไปไม่ได้’
จักรพรรดิองค์ก่อนยังกล่าวอีก ‘ได้ยินว่า ปรมาจารย์เต๋ามีคาถาสร้างไตรวิสุทธิเทพ เป็นจุดเริ่มต้นของสามนิกาย ไม่รู้ว่าสามสิ่งหนึ่งคน หรือว่าสามสิ่งสามคน?’
การสนทนาสิ้นสุดที่นี่
“เอ๋ ทำไมด้านหลังมันไม่มีแล้ว?” สวี่เอ้อร์หลางพึมพำและเปิดต่อไป
ว่ากันว่าเมื่อสองร้อยปีก่อน ตอนที่ลัทธิขงจื๊อเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก จักรพรรดิก็ไม่สามารถอ่านบันทึกชีวิตประจำวันได้ และไม่มีคุณสมบัติที่จะแก้ไข จนกระทั่งราชวิทยาลัยหลวงสถาปนาขึ้น ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ก็ถอนตัวออกจากท้องพระโรง อำนาจของจักรพรรดิสามารถควบคุมทุกอย่าง
ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา จักรพรรดิก็สามารถทบทวนและแก้ไขบันทึกประจำวันได้
แน่นอนว่าฐานะของปัญญาชนแห่งราชวิทยาลัยหลวงก็ใช่ว่าไม่มีอำนาจเลย พวกเขาสามารถใช้หลักเหตุผลมาถกเถียงกับจักรพรรดิอย่างเต็มที่ และยังคงปกป้องรักษาเนื้อหาที่แท้จริงไว้ได้ในระดับหนึ่ง
สวี่เอ้อร์หลางไม่ได้สนใจรายละเอียดยิบย่อยนี้ แล้วก้มลงดูเนื้อหาด้านล่างต่อไป ทั้งอ่านทั้งจำไปด้วย
ไม่ทันได้รู้ตัว ก็ล่วงเลยจนมาถึงเวลาอาหารกลางวัน
สวี่เอ้อร์หลางออกมาจากคลังเอกสารและไปที่ห้องอาหารเพื่อทานอาหาร ระหว่างนั่งที่โต๊ะ เขาก็ได้ยินบัณฑิตคัมภีร์ทั้งห้าหลายคนพูดคุยกันขณะรับประทานอาหาร
“ท้องพระโรงวันนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ เลย”
“เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยงกล่าวหาสมุหราชเลขาธิการหวางว่ารับสินบน รองเจ้ากรมกรมทหารฉินหยวนเต้าก็กล่าวหาสมุหราชเลขาธิการหวางว่าทุจริตเงินเดือนและเสบียงของทหาร อีกทั้งยังมีขุนนางใกล้ชิดอีกหกหน่วยงานที่ยื่นหนังสือกล่าวหาเขาต่อผู้มีอำนาจ ราวกับว่าได้มีการปรึกษาหารือกันมาก่อนอย่างดีแล้ว”
“โอ้ สมุหราชเลขาธิการหวางเกลียดฝ่าบาทอย่างที่สุดเพราะเรื่องคดีการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือ เรื่องนี้ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าฝ่าบาทมุ่งเป้าไปที่สมุหราชเลขาธิการหวาง และคุกคามบังคับให้เขาต้องวิงวอนร้องขอชีวิต”
“เว่ยเยวียนดีใจจะแย่แล้วล่ะ เขาและสมุหราชเลขาธิการหวางมักจะมีความขัดแย้งทางการเมืองกันมาโดยตลอด”
“วันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นหมากทำลายยังคงต้องเอาไว้สุดท้าย สมุหราชเลขาธิการหวางตกอยู่ในอันตรายในครั้งนี้ ก็ต้องรอดูว่าเขาต่อสู้กลับอย่างไรแล้วล่ะ
“เว้นแต่เขาจะสามารถรวมทุกกงของท้องพระโรงได้ แต่เหนือท้องพระโรง พรรคหวางก็ไม่สามารถใช้อำนาจปิดบังหูตาฝูงชนได้ด้วยมือเดียว”
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้ว หงุดหงิดเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
ตอนแรกก็นึกถึงหวางซือมู่ ความรู้สึกต่อมาก็คือการตรวจสอบข้าราชสำนักในปีนั้น การต่อสู้ระหว่างพรรคช่างดุเดือดและรุนแรง การตรวจสอบข้าราชสำนักในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ การแข่งขันต่อสู้ของพรรคก็ยังคงดุเดือดอยู่เช่นเดิม
หลังจากการต่อสู้ระหว่างพรรคก็ยังคงเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคพวก และหลังจากการต่อสู้ระหว่างพรรคพวกก็ยังคงเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคอีก
มีสักกี่คนที่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ และทำเพื่อราชสำนัก?
ที่สำคัญ คนที่ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ แท้จริงแล้วคือจักรพรรดิองค์นั้นที่หลงใหลในการบำเพ็ญธรรม
…
วันรุ่งขึ้น เรื่องราวก็เฟื่องฟูตามที่คิดไว้
เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยงได้เขียนหนังสือยื่นกล่าวหาสมุหราชเลขาธิการหวางอีกครั้ง นับการรับสินบนของสมุหราชเลขาธิการหวางรวมๆ แล้วก็มีหกความผิดใหญ่ๆ และยังมีใบรายชื่อแสดงอีกส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องของขุนนางพรรคหวางรวมทั้งหมดสิบสองคน
รองเจ้ากรมกรมทหารฉินหยวนเต้ายังคงกล่าวหาสมุหราชเลขาธิการหวางต่อไป ฐานยักยอกเงินเดือนทหารและเสบียงทหาร และยังสร้างใบรายชื่ออีกส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน
จักรพรรดิหยวนจิ่ง ‘กราดเกรี้ยวยิ่งขึ้น’ พร้อมกับสั่งสอบสวนอย่างเข้มงวด
เหตุการณ์วุ่นวายนี้เริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแม้แต่น้อย ทั้งรวดเร็วและรุนแรงราวกับดาบในมือของนักดาบ
พรรคหวางถูกฆ่าโดยไม่ทันได้ตั้งรับ คลื่นใต้น้ำก็ซัดสาดเข้ามาในแวดวงราชการอย่างรุนแรง
สวี่เอ้อร์หลางลาครึ่งวัน และขี่ม้าไปที่จวนสกุลหวาง เพื่อไปเยี่ยมคุณหนูใหญ่ตระกูลหวาง หวางซือมู่
คนเฝ้าประตูของจวนสกุลหวางคุ้นเคยกับสวี่เอ้อร์หลางอยู่แล้ว พูดคุยกันครู่หนึ่งก็เข้าเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นอยู่นาน ก็วิ่งเหยาะๆ กลับออกมา พลางพูด
“ใต้เท้าสวี่ได้โปรดตามข้ามา”
สวี่เอ้อร์หลางถูกเชิญพาไปที่ห้องรับแขก และได้พบกับคุณหนูตระกูลหวางที่สวยเพียบพร้อม อ่อนโยน และนุ่มนวล
เธอยังคงสวยสง่าและว่องไวเหมือนอย่างเคย แต่มีความรู้สึกเศร้าลึกๆ ปรากฏอยู่ระหว่างคิ้วของเธอ
หลังจากที่หวางซือมู่โบกมือให้คนรับใช้ออกไปจากห้องโถง สวี่เอ้อร์หลางก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “สองวันมานี้ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับท้องพระโรงแล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่การตีแบบง่ายๆ ฝ่าบาททรงลงมืออย่างเอาจริงเอาจังแล้ว”
‘เอ้อร์หลางนี่เฉลียวฉลาดอย่างที่คิดไว้จริงๆ’ หวางซือมู่ฝืนใจยิ้มและพูด
“เมื่อวานนี้ท่านพ่อครุ่นคิดอย่างหนักทั้งคืนในห้องหนังสือ และข้าก็รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ดูท่าจะไม่ดี”
“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการนั้นจัดการเรื่องนี้ได้อย่างช่ำชองและชั่วร้าย มีประสบการณ์เปี่ยมล้น จะต้องมีแผนรับมือแน่” สวี่เอ้อร์หลางพูดปลอบโยน
หวางซือมู่ฝืนยิ้มพลางส่ายหัว “วิกฤตครั้งนี้พุ่งมาอย่างน่ากลัวและโหดร้าย เกรงว่าจะไม่มีเวลาให้เตรียมตัว วันนี้มีขุนนางกลุ่มหนึ่งเข้าคุก พรุ่งนี้อาจเป็นท่านพ่อของข้าแล้วก็ได้ ฝ่าบาทคงไม่ปล่อยโอกาสให้ท่านพ่อได้ตอบโต้…ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า วันก่อนฝ่าบาททรงเรียกให้รองเจ้ากรมกรมทหารฉินหยวนเต้าและเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยงเข้าพบ พวกเขามีอุปกรณ์เตรียมพร้อมมาด้วย ในคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว ท่านพ่อและเว่ยเยวียนได้ร่วมมือกับขุนนางหลายร้อยคน เพื่อบีบคั้นฝ่าบาทให้ทรงออกกฤษฎีกาต้องโทษ ตอนนี้ฝ่าบาททรงตอบโต้กลับหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว”
สวี่เอ้อร์หลางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูด “เหตุใดใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการไม่ร่วมมือกับเว่ยกงเล่า?”
หวางซือมู่ส่ายหัว “ความคิดเห็นทางการเมืองของเว่ยกงและท่านพ่อไม่ลงรอยกัน พวกเขาเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาไม่คอยตีซ้ำเติมก็ต้องขอบคุณฟ้าดินมากๆ แล้วล่ะ”
สวี่เอ้อร์หลางไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง นี่ไม่ใช่สถานการณ์ในคดีฉู่โจวเมื่อสมัยนั้น ที่ขุนนางร้อยคนทั้งหมดจะอยู่ในแนวรบเดียวกัน ต่อสู้กับอำนาจของจักรพรรดิ
สำหรับขุนนางคนอื่นๆ รวมถึงเว่ยเยวียน การล่มสลายของพรรคหวางถือเป็นข่าวดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งนี่หมายถึงว่าจะมีตำแหน่งว่างเพิ่มขึ้นมาอีก
ทั้งหมดนี้เป็นผลประโยชน์ที่มองเห็นได้และเป็นผลประโยชน์ที่จับต้องได้
ฉวยโอกาสจากการล่มสลายของพรรคหวางเพื่อเสริมความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งให้ตัวเอง จึงจะมีอำนาจในคำพูดและทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
“เว้นเสียแต่ว่าท่านพ่อจะรวมพรรคพวกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ จึงจะมีโอกาสมีหนทางรอด แต่สำหรับพรรคต่างๆ การนั่งรอให้ฝ่าบาทจัดการควบคุมท่านพ่อ เป็นประโยชน์และเป็นการดีที่สุด” หวางซือมู่ถอนหายใจอีกครั้ง พลางพูดอย่างอ่อนโยน
“เอ้อร์หลาง นี่ควรจะทำอย่างไรจึงจะดี?”
สวี่เอ้อร์หลางอ้าปาก แต่ไร้คำพูดใดออกมา
…
หอเฮ่าชี่
หนานกงเชี่ยนโหรวนั่งเป็นเพื่อนพ่อบุญธรรมอยู่ข้างโต๊ะชา บุคลิกที่ดูเย็นชาเป็นนิจของคนรูปงาม เวลานี้กลับนำพาซึ่งรอยยิ้มเยาะ
“ท่านพ่อบุญธรรม ต่อให้ครั้งนี้พรรคหวางไม่ล้ม ก็ต้องพ่ายแพ้สงครามจนเสียกำลังทหารไป ตั้งแต่นี้ไป ไม่มีใครขวางทางท่านได้แล้ว”
หวางเจินเหวินและท่านพ่อบุญธรรมความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน อีกฝ่ายคอยขัดขวางท่านพ่อบุญธรรมของเขาไม่ให้เผยแพร่นโยบายใหม่ไปทุกที่ หลังจากต่อสู้กันมานานหลายปี หินที่ขัดขวางเท้าก้อนนี้ก็หายไปในที่สุด
“คนที่ขัดขวางข้ามาตลอดนั้นไม่ใช่หวางเจินเหวิน” เว่ยเยวียนก้มหน้าลง จ้องดูส่วนหนึ่งของแผนที่ พร้อมกับพูด
“แต่ล้มลงก็ดีเหมือนกัน พรรคหวางล่มลงแล้ว ข้าก็มีเวลาอย่างน้อยห้าปี”
เขาหยุดพูดอย่างกะทันหัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ถอนหายใจเบาๆ
“อีกสองเดือนก็จะถึงการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สนามรบของข้าไม่ได้อยู่บนท้องพระโรงแล้ว แล้วแต่พวกเขาเถอะ”
‘ท่านพ่อบุญธรรมกำลังคิดที่จะเข้าควบคุมอำนาจการทหารหรือนี่…’ หนานกงเชี่ยนโหรวรู้สึกจิตใจสั่นคลอนขึ้นมา
เขารู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ถูกต้อง การจู่โจมสำนักพ่อมดหลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง เป็นแผนที่ท่านพ่อบุญธรรมวางแผนไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว แต่ความหมายในคำพูดครั้งนี้ของเขาก็คือ ในอนาคตจากนี้ไปอีกเป็นเวลานาน เขาจะไม่อยู่ในท้องพระโรงอีก
‘นี่หมายความว่า การจู่โจมกับสำนักพ่อมดนั้นไม่ใช่การต่อสู้เล็กๆ ท่านพ่อบุญธรรมตั้งใจจะปล่อยให้การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อออกไปเป็นเวลานานอย่างนั้นหรือ?’
ความสงสัยผุดขึ้นในใจของหนานกงเชี่ยนโหรว
แล้วเหตุผลล่ะ?
…………………………………………………………