ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 42 รองปราชญ์เอกกับภรรยาของเขา
ลมหนาวที่ยอดเขาพัดผ่านผืนป่า กิ่งไม้แห้งส่งเสียงคร่ำครวญเศร้าโศกออกมา
บนทางเล็กๆ ที่ปูด้วยแผ่นหิน สวี่ชีอันหันไปมองสวี่ซินเหนียน แขนเสื้อกับผมสีดำของเขาปลิวไสว ญาติผู้น้องที่รูปลักษณ์ภายนอกหล่อเหลาจนทำให้ผู้คนริษยาคนนี้ ราวกับเทพลงมาจุติยังโลกมนุษย์
เขาชี้น้ำตกที่อยู่ไกลๆ และแนะนำว่า “ที่นี่คือสถานที่บรรลุธรรมของผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสำนัก ข้างๆ น้ำตกจะมีแผ่นหิน ซึ่งบันทึกชีวิตของผู้อาวุโสท่านนั้นไว้”
ในฤดูหนาวจะขาดน้ำ ทำให้น้ำตกที่ไหลลงมานั้นเบาบางและอ่อนแรง มันพุ่งลงแอ่งน้ำอย่างไร้จิตวิญญาณ น้ำลึกใสสะอาดจนมองเห็นก้นแอ่ง
ข้างๆ แอ่งน้ำมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ เป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์นั่งขัดสมาธิ จารึกที่อยู่บนแผ่นหินคือเรื่องราวชีวประวัติของปัญญาชนที่ชื่อว่าเฉียนจง ชายผู้นี้เกิดเมื่อหกร้อยปีก่อน มีบทบาทและเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งราชวงศ์ต้าฟ่ง
เวลานั้นกษัตริย์ของราชวงศ์ก่อนโง่เขลาเบาปัญญา ข้าราชการทุจริต กลุ่มผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งประชาชน เกิดการจลาจลอยู่ทั่วทุกหนแห่งในที่ราบตอนกลาง พวกกบฏพากันแบ่งแยกดินแดน
ในตอนนั้นราชสำนักต้าโจวกับกองทัพกบฏทั่วประเทศต่อสู้กันอย่างสูสียืดเยื้อนานถึงสิบกว่าปี ประชาชนชนชั้นล่างต่างก็ทุกข์ยากเดือดร้อน
เฉียนจง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสอง เดินทางไปต่างถิ่นเป็นเวลาสามปี และได้พบเห็นภาพที่ราษฎรเดือดร้อนจนไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตาของตัวเอง เขานำความคับข้องใจของประชาชนมายังเมืองหลวงของต้าโจวด้วยความโกรธ และทำลายความมั่นคงของชาติที่มีเพียงหยิบมือของต้าโจวด้วยเลือดเนื้อของเขาเอง
จากนั้นก็ก่อตั้งประเทศต้าฟ่งขึ้น ทำให้สงครามยุติ และนำสันติกลับมาสู่โลกอีกครั้ง
“ระดับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงพลังขนาดนี้เลยหรือ” สวี่ชีอันตั้งคำถาม “เหตุใดข้าจึงไม่เห็นคำว่า ‘โคตรเจ๋ง’ ในตัวของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามเลยล่ะ”
สวี่ซินเหนียนไม่รู้ว่า ‘โคตรเจ๋ง’ หมายถึงอะไร แต่คงเป็นคำหยาบคายอย่างไม่ต้องสงสัย ได้แต่ท่องในใจว่าพี่ชายเพิ่งจะมีส่วนร่วมแต่งบทกวีจึงอดทนไม่เยาะเย้ยเขา และตอบว่า
“ใครบอกเจ้าว่าพวกอาจารย์อยู่ระดับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสอง พวกเขาอยู่ระดับวิญญูชนขั้นสี่เท่านั้น”
สวี่ชีอันไม่อยากเชื่อ “เช่นนั้นยังมีหน้าเรียกตัวเองว่าเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกหรือ”
สวี่ซินเหนียนย่อตัวลงข้างๆ แอ่งน้ำ เขาล้างมือและอธิบายว่า “ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มีความหมายสองประการ ประการที่หนึ่งคือปัญญาชนผู้มีความรู้ล้ำลึกและมีชื่อเสียง อีกประการหนึ่งที่เฉพาะเจาะจงกว่าคือระดับที่สองของลัทธิขงจื๊อ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักเราเป็นความหมายประการแรก”
แบกรับความคับข้องใจของประชาชนเพื่อทำลายความมั่นคงของชาติ แม้ว่าความมั่นคงในช่วงปรายราชวงศ์จะอ่อนแอลง แต่ก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่กำลังมนุษย์จะทำได้ ระดับสองของลัทธิขงจื๊อนั้นแข็งแกร่งเพียงใด? ถ้าเช่นนั้นแล้วระดับหนึ่งล่ะ?
สวี่ชีอันจมอยู่ในห้วงความคิดเป็นเวลานาน จึงถามด้วยน้ำเสียงเจือความเครพ “สำนักอวิ๋นลู่มีปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสองหรือไม่”
สวี่ซินเหนียนส่ายหน้า และตอบกลับอย่างเสียใจ “สองร้อยปีที่ผ่านมา อย่างมากที่สุดก็มีเพียงระดับสามเท่านั้น ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสามเป็นระดับก่อชะตา ข้าได้ยินมาจากปากอาจารย์ตอนส่งฆราวาสจื่อหยางวันนั้นด้วย เจ้าสำนักของเราก็อยู่ในระดับก่อชะตาขั้นสาม”
น้ำเสียงของสวี่ชีอันผ่อนคลายลง และแสดงความคิดเห็นตามใจ “ก็ไม่เลว”
อุปนิสัยของสุภาพบุรุษสามคนนั้นดูโอ้อวดและไม่เหมาะสม ขาดความใจเย็นและจริงจัง สวี่ชีอันบอกการประเมินของตัวเองให้สวี่เอ้อร์หลางฟัง
เอ้อร์หลางไตร่ตรองกับตัวเองครู่หนึ่ง “พวกเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน หลังจากระดับวิญญูชน ก็เป็นระดับก่อชะตาขั้นสาม… นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับระดับก่อชะตา”
“อืม เมื่อก่อนฆราวาสจื่อหยางก็เป็นเช่นนี้ แต่จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนอารมณ์และบคลิกไปราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ข้าได้ยินมาจากอาจารย์ว่า ฆราวาสจื่อหยางอยู่ห่างจากระดับก่อชะตาเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น”
สองพี่น้องเดินเล่นไปอย่างไร้จุดหมายในสำนัก สวี่ซินเหนียนพาเขาเที่ยวชมปูชนียสถานอันเลื่องชื่อ ในฐานะสำนักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงหนึ่งพันสองร้อยปี หากปกติไม่มีการห้ามคนไม่มีหน้าที่เข้าไปด้านใน เพราะจะรบกวนการเรียนของนักเรียน ภูเขาชิงหยุนคงกลายเป็นจุดชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวแน่นขนัดแน่นอน
“พี่ใหญ่…” ขณะที่เดิน สวี่ซินเหนียนก็ตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำกะทันหัน
สวี่ชีอันหยุดมองเขา
สวี่ซินเหนียนมองเขา และเบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์รอบๆ “เมื่อวานข้าคิดอยู่นาน หากไม่ใช่เพราะเจ้า ท่านพ่อคงถูกตัดหัวไปแล้ว ญาติผู้หญิงเองก็คงถูกส่งเข้าไปอยู่สำนักสังคีต หากไม่ใช่เพราะเจ้า เมื่อวานน้องหลิงเยวี่ยก็คงตกอยู่ในอันตราย เป็นไปได้มากว่าจะถูกคนแซ่โจวรังแก หากไม่ใช่เพราะเจ้า บ้านสกุลสวี่อาจจะยังจมอยู่ในความบังเอิญที่รอดชีวิตมาได้ รอวันที่จะถูกล้างบาง”
หลังจากพูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้า เดินไปหลายสิบเมตร และพูดโดยไม่มีเสียงว่า ‘ขอบคุณ!’
…
ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก
สวี่ชีอันเดินขึ้นบันไดตามญาติผู้น้องไป ผ่านกระถางธูปเดินเข้าไปในห้องโถง เสาทาเคลือบด้วยสีแดงสูงเจ็ดเมตรประคองหลังคาโดม รองปราชญ์เอกที่ประดิษฐานอยู่ในราชวิทยาลัยคือผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาอวิ๋นลู่
ในเปลวเทียนเรียว รองปราชญ์เอกสวมชุดจีนสีคราม สวมมงกุฎขงจื๊อทรงสูง มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มือข้างหนึ่งวางอยู่ที่เอว สายตามองออกไปไกลๆ
ถัดจากรองปราชญ์เอกคือกวางสีขาวที่ว่องไวและสง่างาม บนขนสีขาวจะเห็นลายเมฆรางๆ
สวี่ซินเหนียนชี้ไปที่กวางสีขาวตัวนั้น และพูดว่า “มันคือที่มาของชื่อสำนักอวิ๋นลู่”
สวี่ชีอันพูดว่า “ปัญญาชนก็มีรสนิยมดี มีกวางสีขาวเป็นพาหนะ”
สวี่ซินเหนียนมองญาติผู้พี่ และแก้ไขว่า “นี่ไม่ใช่พาหนะ แต่เป็นภรรยา”
“!!!” สวี่ชีอันพินิจรองปราชญ์เอกอีกครั้ง และพึมพำในใจว่า ก็ไม่ต่างกัน
ประโยคนี้เขาไม่กล้าพูดออกมาดังๆ
สวี่ซินเหนียนราวกับรู้ว่าญาติผู้พี่ของเขากำลังคิดอะไรจึงพูดว่า “ใน ‘บันทึกอวิ๋นลู่’ ของสำนักบันทึกไว้ว่า กวางสีขาวตัวนี้เป็นปีศาจ ขณะที่นั่งฟังพระคัมภีร์กับนักปราชญ์ ปีศาจก็แปลงกายเป็นคน จากนั้นก็อยู่เคียงข้างรองปราชญ์เอก คนกับปีศาจอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกของพวกเขานั้นบริสุทธิ์มาก สุดท้ายจึงแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ในขณะนั้นความรักระหว่างคนกับปีศาจไม่เป็นที่ยอมรับในโลก…ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น แต่หลังจากที่นักปราชญ์รู้ก็ไม่ได้บังคับให้เลิกกัน และรับรองการแต่งงานของพวกเขา นักปราชญ์กล่าวว่า ‘ความรักไม่มีพรมแดน เห็นชัดว่าขอเพียงแค่มีความรัก คนกับปีศาจก็อยู่ร่วมกันตลอดไปได้’ ”
ตั้งแต่สมัยโบราณความรักของคนกับปีศาจมีชื่อเล่นอยู่ ตัวอย่างเช่น ฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นชื่อเล่นของรองปราชญ์เอกผู้นี้คืออะไร
หากเปรียบกวางเป็นม้า… ม้าสุดที่รักเหรอ? สวี่ชีอันประสานมือไปทางรูปปั้นรองปราชญ์เอก
ขณะที่สวี่ซินเหนียนโค้งคำนับรองปราชญ์เอกด้วยความเคารพ สายตาของสวี่ชีอันก็หันไปทางห้องโถง พบแผ่นหินที่สูงเท่ากับคนตั้งอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของห้องโถง
ด้านหนึ่งว่างเปล่า อีกด้านหนึ่งเป็นจารึก
เขาเดินไปด้านหน้าแผ่นหิน และอ่าน “เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของจักรพรรดิในการยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ตายเพื่อความยุติธรรม[1] ชื่อเสียงและคุณงามความดีจะเป็นอมตะชั่วนิรันดร์ ผู้แต่ง เฉิงฮุ่ย”
ลายมือมีความเรียบร้อย สง่างาม ไม่เลอะเทอะ ไม่เกินจริง ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และสง่างามของวิญญูชนให้แก่ผู้คน
“นี่คือรองปราชญ์เอกของราชวิทยาลัยหลวงที่อาศัยอยู่ที่นี่” สวี่ซินเหนียนเดินเข้ามา และยืนเคียงข้างญาติผู้พี่ด้านหน้าแผ่นหิน
“รองปราชญ์เอกของราชวิทยาลัยหลวง…จริงสิ ข้าไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับความคับแค้นระหว่างราชวิทยาลัยหลวงกับสำนักอวิ๋นลู่นัก” สวี่ชีอันสนใจมาก ดวงตาเขียนคำว่า ‘กินแตงโม[2]’ เอาไว้
สวี่ซินเหนียนมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอยู่ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงต่ำ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งในประเทศเมื่อสองร้อยปีก่อน”
“ความขัดแย้งในประเทศหรือ” แม้ว่าสวี่ชีอันจะโง่ประวัติศาสตร์ แต่เขาก็ยังรู้ความหมายของความขัดแย้งในประเทศ
องค์รัชทายาทซึ่งเป็นรากฐานของประเทศ!
ความขัดแย้งในประเทศก็คือการแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท
“เวลานั้นเหรินจงขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งองค์รัชทายาทว่างไปกว่าสิบปี องค์ชายทั้งสองจึงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งในขณะนั้น คนหนึ่งเป็นองค์ชายใหญ่ที่เกิดจากจักรพรรดินี อีกคนหนึ่งเป็นองค์ชายที่เกิดจากพระสนมที่มาจากครอบครัวขุนนาง พระสนมท่านนั้นมีเสน่ห์มาก จึงเป็นที่โปรดปราณของเหรินจง เหรินจงตั้งใจจะแต่งตั้งให้องค์ชายที่เกิดจากพระสนมเป็นองค์รัชทายาท ตอนนั้นจึงต้องประสบกับการต่อต้านของฝ่ายพลเรือนและทหาร เหรินจงมีราชโองการอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกสำนักราชเลขาธิการปฏิเสธทุกครั้ง และคนที่เป็นผู้นำพลเรือนและทหารในตอนนั้น ก็คือปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ ยืนข้างลูกคนโตไม่ใช่ลูกคนเล็ก ยืนข้างองค์ชายใหญ่ไม่ใช่ลูกพระสนม แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่อาจฝ่าฝืนกฎที่มาตั้งแต่สมัยโบราณได้ พี่ใหญ่ เจ้าพูดถูกมาก ‘ระบบพิธีการ’ คือ ‘กลยุทธ์ปราบมังกร’ ที่ปัญญาชนใช้เป็นประจำ ความขัดแย้งในประเทศครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ จึงต่อสู้กันนานถึงหกปีเต็ม ในช่วงเวลานั้น หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการถูกเปลี่ยนไปสี่คน ขุนนางในท้องพระโรงถูกถอดไปทีละกลุ่ม พวกขุนนางในเมืองหลวงและส่วนท้องถิ่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมีมากถึงสองร้อยกว่าคน”
…………………………………………………………
[1] ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ตายเพื่อความยุติธรรม สำนวนจีน แปลว่า ยึดมั่นในศีลธรรมและยอมตายเพื่อความยุติธรรม
[2] กินแตงโม คำยอดนิยมที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตจีน มีความหมายเดียวกับคำว่า ‘กินเผือก’ ของไทย หมายถึง กินแตงโมรอเสพดราม่า