ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 423 อาลักษณ์ที่หายไป
บทที่ 423 อาลักษณ์ที่หายไป
“เจ้าจะไปทำอะไรที่คลังเอกสารของกรมปกครอง” สมุหราชเลขาธิการหวางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หาใครคนหนึ่ง”
สวี่ชีอันเป่าลมเหนือน้ำชาแล้วดื่มลงไปพลางเอ่ยอย่างสบายๆ “วางใจเถิด ข้าไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้ท่านหรอก ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการมิต้องเป็นกังวลไป”
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า อยู่ในคลังเอกสารจะไปก่อเรื่องอะไรได้ กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือเผาสำนวนคดี แต่ทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์ต่อสวี่ชีอันเลยสักนิด
เขาเพียงอยากรู้ว่าสวี่ชีอันคิดจะทำอะไร
“ข้ากำลังสืบคดี” สวี่ชีอันกล่าว
‘สืบคดี? ตอนนี้เขาไม่มีตำแหน่งขุนนางแล้ว แล้วมีคดีใดที่ต้องสืบต้องหาอีก’…แววตาของสมุหราชเลขาธิการหวางฉายความสงสัยและแปลกใจ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนิ่งๆ
“ข้ารู้ได้หรือไม่”
“แน่นอนขอรับ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการอยู่บ้าง” สวี่ชีอันยิ้ม
สมุหราชเลขาธิการหวางนิ่งไป ท่านั่งที่ผ่อนคลายสบายอารมณ์ในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นนั่งตัวตรงขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น ราวกับเข้าสู่สถานะว่าราชการ
จากนั้นเขาก็เห็นสวี่ชีอันหยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววางมันไว้เบาๆ บนฝ่ามือ จากนั้นจดหมายลับก็ลอยหล่นลงมาตรงหน้าเขา
สมุหราชเลขาธิการหวังเปิดจดหมายอ่านด้วยจิตใจงุนงงสงสัย เขาชะงักนิ่งไป แล้วขมวดคิ้วมุ่นต่อราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็เหลือเพียงความสับสนเท่านั้น
สมุหราชเลขาธิการหวางวางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วมองสวี่ชีอัน “ข้าจำไม่ได้แล้ว…”
อย่างที่คิด! สวี่ชีอันไตร่ตรองดูพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นซูหังที่อยู่ในจดหมายผู้นี้ ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการคุ้นๆ บ้างหรือไม่”
“ข้าก็ไม่รู้สึกคุ้นอะไรกับคนผู้นี้ด้วย”
สมุหราชเลขาธิการหวางส่ายหน้า เมื่อเอ่ยจบก็ขมวดคิ้วพักหนึ่ง จากนั้นก็มองสวี่ชีอัน น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย “คุณชายสวี่ เจ้ากำลังสืบคดีอะไรอยู่ เนื้อหาในจดหมายลับนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เขาจำไม่ได้เลยว่าเมื่อปีนั้นตนเคยร่วมงานกับเฉากั๋วกงด้วย จึงยังรู้สึกสงสัยในเนื้อหาของจดหมายอยู่
สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากชั่งน้ำหนักในใจแล้วเขาก็ตัดสินใจเปิดเผยความลับเล็กน้อย เขาพยักหน้าเอ่ย
“เนื้อหาในจดหมายถูกต้องจริงๆ ขอรับ ส่วนที่ว่าทำไมใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการถึงได้ลืมเลือน นั่นก็เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโหรและความลับของสวรรค์ที่ถูกซุกซ่อนไว้ ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องจึงสูญเสียความทรงจำเรื่องนี้ไป”
‘เกี่ยวข้องกับโหร ความลับของสวรรค์ก็ถูกลบไป’ …สีหน้าของสมุหราชเลขาธิการหวางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารับรู้ได้ว่าสถานการณ์นี้ร้ายแรงเพียงใด ร่างกายจึงค่อยๆ โน้มไปข้างหน้า
“คุณชายสวี่พูดให้ชัดกว่านี้ได้หรือไม่”
สวี่ชีอันเล่าเรื่องคดีเก่าของซูหังออกมาแทบจะในทันที เพียงกล่าวว่าตนได้รับปากเพื่อนคนหนึ่งไว้ว่าจะตามหาความจริงที่บิดาของนางถูกตัดหัวในตอนนั้นให้แทน และได้ค้นพบจดหมายลับของเฉากั๋วกงโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อพิจารณาจากลายมือที่ถูกลบไปและประสบการณ์ในการตัดสินคดีในอดีตแล้ว คดีนี้คาดว่าคงมีผู้เกี่ยวข้องอยู่มากมายจนถึงขั้นต้องอาศัยโหรระดับสูงมาช่วยลบความลับของสวรรค์
หลังจากสมุหราชเลขาธิการหวางฟังจบก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ไร้วาจาจะกล่าวเป็นเวลานาน
“คนเดียวในสำนักโหราจารย์ที่มีความสามารถซ่อนเร้นความลับของสวรรค์ได้ มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้น” สมุหราชเลขาธิการหวางนวดหว่างคิ้ว เขาเอ่ยขึ้นราวกับกำลังถาม แต่ก็เหมือนกับถามตัวเอง “จุดประสงค์ที่ท่านโหราจารย์ทำเช่นนี้คืออะไรกัน”
ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร นี่ก็กำลังสืบอยู่ไม่ใช่หรือ…สวี่ชีอันส่ายหน้า
“ข้าจะให้จดหมายลายมือแก่เจ้าฉบับหนึ่ง เจ้าใช้มันเข้าออกกรมปกครองได้เสมอ ต่อไปหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกมาได้” สมุหราชเลขาธิการหวางจดจ้องหน้าสวี่ชีอันแล้วเอ่ย
“แต่ข้ามีข้อแม้อย่างหนึ่ง หากคุณชายสวี่สืบความจริงออกมาได้ ก็หวังว่าจะบอกข้าด้วย อืม ข้าก็จะสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ เช่นกัน”
ในปีนั้นราชสำนักเกิดเรื่องใหญ่และเรื่องนั้นก็ถูกปิดกั้นโดยความลับของสวรรค์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ล้วนแต่ไร้ความทรงจำและลืมมันไปแล้ว
เรื่องที่สามารถทำให้ท่านโหราจารย์ยื่นมือมาปกปิดความลับของสวรรค์ได้ ย่อมเป็นเรื่องใหญ่มาก
สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณอย่างสุภาพ
…
หลังจากส่งสวี่ชีอันจากไปแล้ว สมุหราชเลขาธิการหวางก็เรียกผู้ดูแลบ้านเข้ามาเอ่ยด้วน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เอ้อร์หลางสกุลสวี่ยังอยู่ในจวนหรือไม่”
เมื่อวานนี้เขาบอกกับหวางซือมู่ว่าต้องการให้สวี่เอ้อร์หลางอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันที่บ้าน
“ขอรับ บ่าวจะไปเรียกเขาเข้ามาขอรับ”
ผู้ดูแลบ้านเข้าใจความหมายของนายท่านทันที เขาโค้งตัวแล้วถอยออกไป
ครู่หนึ่ง สวี่เอ้อร์หลางผู้ปากแดงฟันขาวและสวมชุดสีขาวก็ก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามา จากนั้นจึงโค้งคำนับด้วยท่าทางไม่ต่ำต้อยทว่าก็ไม่เย่อหยิ่ง “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ”
สมุหราชเลขาธิการหวางกำลังยกพู่กันขึ้นเพื่อเขียนลงบนกระดาษเซวียนจื่อที่แผ่กางไว้ เขาเอ่ยพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ความตั้งใจของเอ้อร์หลางคือสิ่งใด”
คำเรียกว่า ‘เอ้อร์หลาง’ นี้ช่างเรียกได้เป็นธรรมชาตินัก ไม่มีความเขินอายใดๆ สักนิด
“หือ?”
สมุหราชเลขาธิการหวางเงยหน้าโดยไม่รอคำตอบ และพบว่าสวี่เอ้อร์หลางกำลังจดจ้องตนเองเขม็ง…
มุมปากของสมุหราชเลขาธิการหวางกระตุกขึ้น “ความตั้งใจดี”
เขาวางพู่กันลงแล้วมองตัวอักษรบนกระดาษแล้วเอ่ยยิ้มๆ “หากไม่ใช่เพราะพี่ชายของเจ้าลงมืออย่างชอบธรรม ข้าคงจะลาออกจากราชการแล้ว ในแวดวงขุนนางนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรู้จักเดินหน้าและถอยออกมา
ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจชาญฉลาดสักแค่ไหน หรือมีพรรคพวกมากเท่าไหร่ แต่ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็สามารถตัดสินเป็นตายของเจ้าได้ด้วยคำพูดเดียว สมุหราชเลขาธิการคนก่อนสามารถใช้วัยชราได้อย่างสุขสงบก็เพราะเขาเรียนรู้คำสั่งสอนมาจากคนรุ่นก่อน”
‘สมุหราชเลขาธิการคนก่อน? พวกขยะที่รู้จักแต่การยักยอกและเยินยอจักรพรรดิน่ะหรือ’…สวี่ซินเหนียนคิดในใจ
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวต่อ “สองร้อยปีก่อนในการต่อสู้ชิงแคว้น สำนักอวิ๋นลู่ได้ถอนตัวออกจากราชสำนัก ปราชญ์เอกได้สร้างจารึกขึ้นในสำนักศึกษาและเขียนถึงการตอบแทนความเมตตาของจักรพรรดิด้วยการตายอย่างชอบธรรม ทั้งหมดนี้ได้แสดงให้ศิษย์รุ่นหลังเห็นอยู่เรื่องหนึ่ง จักรพรรดิก็คือจักรพรรดิ ขุนนางก็คือขุนนาง ต้องรักษาระดับขั้นนี้ไว้ เจ้าจึงจะสามารถก้าวไปสู่แนวหน้าในราชสำนักได้”
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “หากข้าไม่ทำเช่นนั้นเล่า”
สมุหราชเลขาธิการหวางหัวเราะเริงร่า “ไม่ทำ แล้วเจ้ามาเป็นขุนนางทำไมกัน”
สวี่เอ้อร์หลางคำนับและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
เขาเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์และเข้าใจคำพูดของสมุหราชเลขาธิการหวางได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใดต่างก็มีขุนนางทรงอำนาจนับไม่ถ้วน แต่หากจักรพรรดิอยากจะจัดการกับเขา แม้ว่าในมือจะมีอำนาจเท่าใด แต่จุดจบสุดท้ายก็คือการออกจากราชการอยู่ดี
สมุหราชเลขาธิการหวางพลันถอนหายใจออกมา “บุคลิกนิสัยของพี่ใหญ่เจ้านั้นทำให้คนเลื่อมใสจริงๆ แต่เขาไม่เหมาะกับราชสำนัก ดังนั้นอย่าเรียนรู้จากเขาเลย”
‘ช่วงนี้พี่ใหญ่มักจะมาขอคำแนะนำจากข้า แล้วข้าจะไปเรียนรู้จากเขาทำไม’ สวี่เอ้อร์หลางเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งแล้วกล่าว “ข้าทราบแล้วขอรับ”
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า “ตอนเย็นอยู่กินข้าวด้วยกันสิ”
…
ณ กรมปกครอง คลังเอกสาร
สวี่ชีอันที่เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์เป็นสวี่ซินเหนียนก็ได้รายชื่อของบัณฑิตขั้นสูงที่เข้ามาในปีหยวนจิ่งที่สิบ โดยมีเจ้าพนักงานคอยช่วยเหลือ
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ จอหงวนในปีหยวนจิ่งที่สิบ กลับเป็นสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน
ปั้งเหยี่ยน[1]ชื่อ หลู่ว์อัน
ทั่นฮวา[2]เว้นว่าง ไม่มีนาม
เจอแล้ว…สวี่ชีอันจดจ้องพื้นที่เว้นว่างอยู่นานโดยไม่พูดอะไร
อาลักษณ์ที่ถูกลบชื่อออกผู้นั้นคือทั่นฮวาในปีหยวนจิ่งที่สิบและเป็นบัณฑิตขั้นสูง เขาเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงถูกปิดความลับของสวรรค์ คนคนนี้ยังอยู่หรือตายไปแล้ว? ในเมื่อเข้าสู่ราชสำนักเป็นขุนนาง เช่นนั้นก็ไม่ใช่ท่านโหราจารย์รุ่นแรก
มีเพียงท่านโหราจารย์รุ่นแรกเท่านั้นที่ทำได้ แต่ทำไมท่านโหราจารย์ต้องทำแบบนี้ด้วย อาลักษณ์ไร้นามและซูหังมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ชื่อของซูหังไม่ได้ถูกลบออกไป นั่นแสดงว่าเขาไม่ใช่อาลักษณ์ผู้นั้น แต่มันต้องมีความเกี่ยวข้องกันแน่นอน
จากเบาะแสที่มีอยู่ ทำให้เขาตั้งสมมติฐานคร่าวๆ ได้ว่า
ราชสำนักในปีนั้นมีพรรคอยู่พรรคหนึ่ง ซูหังเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของพรรคนี้ ส่วนอาลักษณ์ที่ถูกลบชื่อทิ้งผู้นั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นหัวหน้าของพรรค
พรรคนี้แข็งแกร่งมาก จึงถูกฝ่ายต่างๆ รุมโจมตี สุดท้ายก็จบลงด้วยความหดหู่ ชะตากรรมของซูหังคือเครื่องพิสูจน์
แต่สิ่งที่สวี่ชีอันไม่เข้าใจก็คือ ถ้าหากเป็นเพียงการต่อสู้ทางการเมืองธรรมดาๆ แล้วเหตุใดท่านโหราจารย์ต้องลบชื่อของอาลักษณ์ผู้นั้นออกไปด้วย และทำไมต้องปิดกั้นความลับสวรรค์?
ตรงนี้จะต้องมีความลับที่ลึกยิ่งกว่าซ่อนเอาไว้แน่
สัญญาณชาตบอกข้าว่าเรื่องเก่านี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เอ่อ นี่มันคำพูดไร้สาระ ยังไงก็ต้องสำคัญอยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้นท่านโหราจารย์จะลงมือปิดกั้นมันได้อย่างไร เฮ้อ ข้าล่ะเกลียดการสืบคดีเก่าๆ นัก ไม่สิ เกลียดพวกโหรมากกว่า แต่โหรน่ารักอย่างจงหลีกับไฉ่เวยไม่นับ
สวี่ชีอันออกจากกรมปกครองแล้วขี่แม่ม้าน้อยแสนรักของตนไปตามถนน
แม่ม้าน้อยเข้าใจจิตใจคนได้อย่างดี มันจึงรักษาความเร็วแบบที่ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป ทำให้สวี่ชีอันสามารถถือโอกาสนี้ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ โดยไม่ต้องสนใจกับการขี่ม้ามากนัก
ตอนที่สืบคดีซังผอครั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับท่านโหราจารย์รุ่นแรก ในบันทึกประวัติศาสตร์ก็ไม่มีบันทึกเอาไว้ด้วย สุดท้ายก็คือฮว๋ายชิ่งที่เย็นชาและชาญฉลาด ผู้สามารถหาเบาะแสของวัดมังกรเขียวได้จากความอ่อนแอของสำนักพุทธเมื่อห้าร้อยปีก่อน ทำให้ข้านึกได้ว่าไต้ซือเสินซูเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ และเกี่ยวข้องกับความรุ่งเรืองของสำนักพุทธในที่ราบภาคกลางเมื่อห้าร้อยปีก่อนด้วย
วิธีการของฮว๋ายชิ่งสามารถนำมาใช้กับอาลักษณ์ผู้นี้ได้เช่นกัน ข้าสามารถตรวจสอบเรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในปีนั้นได้ แล้วหาเบาะแสออกมาจากตรงนั้น
หลังจากสรุปความคิดได้แล้ว เขาก็นึกถึงเรื่องของจักรพรรดิหยวนจิ่งต่อ
ก่อนหน้านี้ที่เขาต้องการตรวจสอบจักรพรรดิหยวนจิ่ง เป็นเพราะสัญชาตญาณของนักสืบเก่าที่คิดว่าหากทำไปเพื่อยาวิญญาณอย่างเดียว นั่นไม่มีทางพอพอให้จักรพรรดิหยวนจิ่งยอมเสี่ยงร่วมมือกับอ๋องสยบแดนเหนือเพื่อสังหารล้างเมืองหรอก
เพราะถึงอย่างไร ยาวิญญาณก็ไม่ใช่สมบัติที่กินไปสามคำไม่แก่เฒ่า ไม่ต้องถึงขั้นฆ่าล้างเมืองเลย
หลังจากเดินทางไปเจี้ยนโจว เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งมีปัญหา ผู้ที่มีโชคชะตาไม่อาจอายุยืนได้ แล้วทำไมจักรพรรดิเฒ่าถึงได้ยังนอนสบายอยู่ได้
ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของอาณาจักร เขาไม่มีทางไม่รู้ความลับเรื่องนี้แน่ จักรพรรดิเกาจู่และอู่จงคือตัวอย่าง
ตอนนี้ขอแค่หาเบาะแสจากบันทึกและต้องเป็นบันทึกของจักรพรรดิองค์ก่อนด้วย ถ้าจักรพรรดิหยวนจิ่งมีความลับซ่อนอยู่จริง เขาจะต้องจัดการกับมันอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่สามารถลบร่องรอยออกไปได้หมด อย่างเช่นจักรพรรดิองค์ก่อนที่บางทีอาจจะซ่อนเบาะแสสำคัญอะไรเอาไว้ แต่ทว่าไม่เตะตา หรือคนอื่นๆ ไม่ค้นพบ จะต้องให้คนที่มีข้อมูลเฉพาะมาอ่านเท่านั้นถึงจะเข้าใจ
หากไม่มีเงื่อนงำจากจักรพรรดิองค์ก่อนด้วย ข้าก็ได้แต่ต้องไปหาน้องสะใภ้แล้ว น้องสะใภ้สอนให้จักรพรรดิหยวนจิ่งบำเพ็ญธรรมมาหลายปี ไม่มีทางไม่เห็นเงื่อนงำอะไรหรอก
แล้วจากนั้นก็คือเรื่องของท่านโหราจารย์รุ่นแรก ข้าต้องหาข้อมูลของสถานที่อย่างสวี่โจวออกมาให้ได้ก่อน อืม เว่ยกงกับเอ้อร์หลางช่วยหาได้ จริงสิ พรุ่งนี้ตอนที่นัดกับยายตัวร้ายก็ต้องให้นางช่วยเอ่ยปากส่งข่าวบอกฮว๋ายชิ่งด้วย แล้วให้นางช่วยสืบเรื่องสวี่โจวอีกแรง
ต้องใช้พวกคงแก่เรียนมาทำงานแทนข้าให้เป็นประโยชน์ จริงสิ ความคืบหน้าเรื่องการตระหนักรู้ ‘จิต’ ก็จะปล่อยไม่ได้ ถึงข้าจะยังไม่มีความรู้สึกชี้นำอะไรเลยก็ตาม พรุ่งนี้หยุดพักหน่อยแล้วกัน ไปฟังดนตรีที่หอคณิกาสักหน่อยดีกว่า รู้สึกคิดถึงฝูเซียงนิดหน่อยแล้ว…
มีเรื่องให้คิดเยอะชะมัด…สวี่ชีอันขี่แม่ม้าน้อย ร่างกายกระเทือนเป็นจังหวะขึ้นๆ ลงๆ
…
เมื่อกลับมาถึงจวนสกุลสวี่ เขาก็เห็นซูซูกำลังนั่งอยู่บนหลังคาจากที่ไกลๆ พร้อมกับถือร่มสีแดงเอาไว้ ราวกับผีสาวกลางภูเขาแสนสวนที่คอยดึงดูดผู้คนที่ผ่านไปมา
ไม่สิ แต่เดิมนางก็เป็นผีอยู่แล้ว
พวกนางกลับมาแล้วสินะ…สวี่ชีอันกระโดดขึ้นไปบนหลังคาแล้วนั่งลงข้างผีสาว
“อะไรเนี่ย!” ซูซูกลอกตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
สวี่ชีอันจิ้มหน้าอกของนางแล้วได้ยินเพียงเสียง ‘โผละ’ ดังออกมา ขาดแล้ว
เขาพลันรู้สึกผิดหวังขึ้นมา “เจ้าควรไปขอกายเนื้อจากซ่งชิงที่สำนักโหราจารย์ได้แล้วนะ”
“ชิ เจ้าลามก!”
ซูซูก้มหน้ามองหน้าอกของตัวเองแล้วสบถใส่เขา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ข้าไม่ต้องการกายเนื้อแล้ว นายท่านบอกว่าหากได้กายเนื้อตอนนี้จะโดนเจ้าลากเข้าห้องนอน ข้าคิดว่านางพูดมีเหตุผล ดังนั้น ไว้เจ้าสืบความเรื่องในคดีบิดาของข้าได้เมื่อไหร่ข้าค่อยไปขอกายเนื้อแล้วกัน”
“นายของเจ้าพูดผิดแล้ว”
“ใช่หรือ” ซูซูมองเขาอย่างสงสัย
“จริงสิ ข้านอนกับเจ้าตรงนี้เลยก็ได้ ใครบอกว่าต้องลากเข้าห้องนอนก่อน”
“ไปให้พ้นเลย” ซูซูสบถใส่เขา
สวี่ชีอันกระโดดลงจากหลังคาแล้วเดินผ่านลานหน้าบ้าน เห็นพ่อครัวกำลังเชือดห่านอยู่นอกครัว สวี่หลิงอินทำผมทรงซาลาเปาสองลูกกำลังนั่งยองๆ มองดูตาใส
อาจารย์ของนาง สาวผิวคล้ำจากซินเจียงตอนใต้ก็นั่งอยู่ข้างๆ เช่นกัน
คนหนึ่งตัวเล็กคนหนึ่งตัวใหญ่ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“หลิงอิน พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” สวี่ชีอันตะโกนบอก
เสี่ยวโต้วติงไม่สนใจเขา แต่ตั้งใจดูห่านที่ถูกฆ่าตายและโดนถอนขน…
นางกำลังเพ้ออยู่ว่าจะเริ่มกินตั้งแต่ตรงไหนใช่หรือไม่ เจ้าเด็กโง่คนนี้ ในหัวมีแต่เรื่องกิน…สวี่ชีอันบ่นในใจแล้วเข้าไปในห้องโถงด้านใน
หลี่เมี่ยวเจินกับอาสะใภ้นั่งพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง บนโต๊ะมีขนมสีใสเหลืออยู่ไม่กี่ชิ้น
อาสะใภ้เมื่อเห็นหลานชายเข้ามาก็เชิดหน้างดงามขึ้นแล้วพูดว่า “ขนมบนโต๊ะนี้หลิงอินเหลือไว้ให้เจ้ากิน นางกลัวว่าถ้าตัวเองอยู่ที่นี่แล้วเห็นขนม นางจะกินจนหมด ก็เลยวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว”
สวี่ชีอันหันหน้าไปมองนอกประตูอย่างรวดเร็วแล้วหัวเราะออกมา
“เอ้อร์หลางล่ะ วันนี้วันพักผ่อน พวกเจ้าออกไปด้วยกันแล้วเหตุใดไม่เห็นเขากลับมา” อาสะใภ้เงยหน้ามองไปข้างนอกแล้วเอ่ยถาม
“สมุหราชเลขาธิการหวางเลี้ยงอาหารเย็นเขาอยู่ วันนี้คงจะไม่กลับมาแล้วล่ะ” สวี่ชีอันหัวเราะ
หลังพลบค่ำ ประตูเขตพระราชฐานก็ปิดลง วันนี้สวี่เอ้อร์หลางกลับมาไม่ได้แล้ว
“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการเลี้ยงอาหารเขาหรือ…” อาสะใภ้ตกตะลึง
แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ต้าหลางจะเปิดเผยความสัมพันธ์ ‘ลับๆ’ ระหว่างเอ้อร์หลางและคุณหนูหวางอย่างไม่ปรานีออกมาแล้ว แต่อาสะใภ้ก็ไม่คิดว่าจะพัฒนาไปไกลขนาดนี้
ยิ่งคาดไม่ถึงว่าสมุหราชเลขาธิการหวางจะเลี้ยงอาหารเอ้อร์หลางด้วย
“เหมาะสมกันที่ไหนล่ะ ปัดโธ่ จริงๆ เลย…” อาสะใภ้หงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็จนปัญญา “แต่งกับลูกสาวบ้านสมุหราชเลขาธิการเช่นนี้ มิใช่แต่งพระเข้าบ้านหรืออย่างไร”
“อาสะใภ้ ท่านเป็นนายหญิงใหญ่ของบ้าน ลูกสะใภ้แต่งเข้ามาเช่นนี้ก็อยู่ที่ท่านจะฝึกนางแล้ว” สวี่ชีอันเติมเชื้อไฟ
ด้วยนิสัยและทักษะของหวางซือมู่ เมื่อเข้ามาในบ้านในอนาคต จะต้องรังแกอาสะใภ้จนร้องไห้ทุกวันแน่ แบบนั้นต้องน่าสนใจสุดๆ…สวี่ชีอันตั้งตารอชีวิตในอนาคต
อาสะใภ้ยืดอกแล้วเอ่ยอย่างภาคภูมิ “ย่อมเป็นเช่นนั้น ต่อให้นางเป็นลูกสาวของสมุหราชเลขาธิการ แต่เมื่อแต่งเข้ามาบ้านสกุลสวี่แล้วก็ต้องเชื่อฟังข้า”
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองนางและไม่พูดอะไร
…
พลบค่ำ สำนักสังคีต
ที่ห้องนอนใหญ่ของหออิ่งเหมยมีเสียงไอรุนแรงดังออกมา
สาวใช้นั่งอยู่ใต้ชายค้าและเฝ้าเตาเล็กๆ เอาไว้ และนั่งฟังเสียงไอข้างหญิงสาวที่ดังมาจากด้านใน
นายหญิงฝูเซียงป่วยมาพักหนึ่งแล้ว กว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมา หออิ่งเหมยไม่มีการประชุมชาแล้ว และตั้งแต่นั้นนายหญิงก็นอนซมอยู่บนเตียงมาตลอด นับวันก็ยิ่งซีดเผือดมากขึ้น
แม่ใหญ่ได้เชิญหมอมีชื่อมากมายมาตรวจอาหารของนายหญิงฝูเซียงแล้ว แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย จากนั้นแม่ใหญ่ก็ไม่ได้เชิญหมอมาหาอีก
จากแรกๆ ที่เรียกลูกสาวอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ต่อมากลับพูดจาเย็นชาราบเรียบ สุดท้ายก็หยุดมาเยี่ยมเยียนเสียแล้ว ถึงขั้นยังย้ายสาวใช้และผู้คุ้มกันที่อยู่ในเรือนออกไปด้วย
ไม่มีความจำเป็นต้องให้พวกเขามาคุ้มกันคนป่วยที่เหลือแค่ครึ่งลมหายใจอีกแล้ว
“แต่ก่อนนายหญิงเฉิดฉายขนาดไหน เป็นถึงหัวเรือใหญ่ของสำนักสังคีต เป็นคณิกาอันดับหนึ่ง และมีความสัมพันธ์อันดีต่อฆ้องเงินสวี่ ตอนนี้ถึงคราวตกต่ำแล้ว ไม่มีใครมาเยี่ยมนางเลย ฆ้องเงินสวี่ก็ไม่มีข่าวคราวและไม่ได้มาสำนักสังคีตนานมากแล้วด้วย”
“ฮึ่ม จะต้องเป็นคนกระดาษนั่นแน่ๆ ที่ลอบแทงหลังนายหญิงของข้า” สาวใช้นั่งอยู่ข้างกองไฟ มือหนึ่งปาดน้ำตาพลางครุ่นคิดอย่างโกรธเคือง
…………………………………………………
[1] ผู้สอบจิ้นซื่อที่ได้คะแนนเป็นอันดับสอง รองจากจอหงวน
[2] ผู้สอบจิ้นซื่อที่ได้คะแนนเป็นอันดับสาม