ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 424 สัญญาไถ่ตัว
บทที่ 424 สัญญาไถ่ตัว
เพราะหลี่เมี่ยวเจินและลี่น่ากลับมา อาสะใภ้จึงให้ห้องครัวเชือดห่าน ปรุงอาหารมื้อใหญ่ที่เลิศรส
แสงเทียนส่องสว่าง มุมห้องทั้งสี่ด้านในห้องโถงมีอ่างน้ำแข็งหลายอ่างวางไว้เพื่อขับไล่ความร้อน ของหวานก่อนมื้ออาหารเป็นเหล้าหมักหวานแช่เย็น ทั้งหวานฉ่ำ และเย็นชุ่มคอ
เสี่ยวโต้วติงก็ยกดื่มอึกๆ หนึ่งถ้วย เด็กคนนี้ตั้งแต่ตนเองตามลี่น่าบำเพ็ญกำลังวิชาออกกำลังของฝ่ายกู่ ความอยากอาหารจึงยิ่งเพิ่มขึ้น และระบบย่อยอาหารของกระเพาะอาหารก็แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว
ไม่ต้องกล่าวถึงเหล้าหมักหวาน แม้จะเป็นสุรา นางก็สามารถดื่มได้หลายจอก แน่นอนว่า เครื่องดื่มผู้ใหญ่ที่ทำให้เด็กอย่างเสี่ยวโต้วติงสงสัยเช่นนี้ นางจะไม่ดื่ม
ในระหว่างงานเลี้ยง ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคุยถึงเรื่องของเจี้ยนโจว
อารองสวี่ใช้ประสบการณ์และ ‘ความรู้’ ที่มากมายของตนเองเล่าให้แก่เหล่ารุ่นหลังฟังถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของเจี้ยนโจว อย่าคิดว่าเจี้ยนโจวมั่นคงที่สุด แต่ความจริงแล้วอำนาจที่ราชสำนักควบคุมเจี้ยนโจวนั้นอ่อนแออย่างน่าสงสาร
ที่นั่นแออัดไปด้วยราษฎรทั่วไป สมัยนั้นผู้นำเฉาชิงหยางคือคนที่คนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าไม่มีทางรับมือได้
อาสะใภ้ฟังอยู่นานแล้ว ก็หาโอกาสกล่าวแทรก “นายท่าน กระบี่เล่มนั้นของหนิงเยี่ยนเป็นอาวุธวิเศษเชียวนะ ข้าได้ยินเอ้อร์หลางบอกว่ามีมูลค่ามหาศาล”
อารองสวี่ดื่มเหล้าหมักหวานไปด้วย พยักหน้าไปด้วย “อาวุธวิเศษแน่นอนว่าต้องมีมูลค่ามหาศาลอยู่แล้ว…พรืด!”
เขาพ่นเหล้าหมักหวานใส่หน้าเสี่ยวโต้วติงที่อยู่ด้านข้าง จ้องเขม็งกล่าว
“เจ้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ทราบหรือไม่ว่าอะไรคืออาวุธวิเศษ กระบี่เล่มนั้นของหนิงเยี่ยนแหลมคมไร้เทียมทาน แต่ไม่ใช่อาวุธวิเศษ อย่าไปฟังคำไร้สาระแล้วมาใช้มั่วๆ”
เสี่ยวโต้วติงยื่นมืออ้วนเล็กออกมา เช็ดไปที่เหล้าหมักหวานบนใบหน้า อดไม่ได้ที่จะเลียฝ่ามือ แล้วเลียอีกครั้ง เลียมันอย่างเงียบๆ…
อาสะใภ้ไม่พอใจ ดวงตาสวยเบิกกว้าง กล่าวอย่างโกรธเคือง “เอ้อร์หลางเป็นคนกล่าวเช่นนี้ มันยังบินได้ด้วย หากท่านไม่เชื่อก็ไปถามเอ้อร์หลางสิ”
อารองสวี่หันไปมองสวี่ชีอันทันที พลางจ้องเขาเขม็ง
สวี่ชีอันดีดนิ้วหนึ่งครั้ง กล่าวอัญเชิญ “ไท่ผิง!”
ฟิ้ว…กระบี่ไท่ผิงบินเขามาในห้องโถง และวนอยู่รอบๆ เหนือศีรษะของทุกคน
อารองสวี่เงยหน้าขึ้น มองไปที่กระบี่ไท่ผิงด้วยท่าทางงุ่มง่าม เหมือนหินแกะสลักที่ขยับไม่ได้
“เป็น เป็นอาวุธวิเศษจริงๆ หรือ…” ครึ่งค่อนวันแล้ว อารองยังบ่นพึมพำเหมือนถอนหายใจก็มิปาน
“ก็บอกไปแล้วว่ามีมูลค่ามหาศาล ต่อไปมันก็จะเป็นมรดกสืบทอดของบ้านสกุลสวี่ของพวกเราแล้ว” อาสะใภ้กล่าวด้วยความดีใจ
“ใช่ ใช่ มรดกตกทอด มันคือมรดกสืบทอดตระกูล” อารองตื่นเต้นมากจนจับชามไม่มั่น
หลี่เมี่ยวเจินก้มศีรษะลง ถือชามไว้ กินข้าวคำเล็กๆ ฟังเสียงพูดฉอดๆ ไม่หยุดของครอบครัวหนึ่ง
นางค่อนข้างอิจฉาสวี่ชีอัน แม้บิดามารดาของเจ้านี่จะเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก และมักจะเยาะเย้ยตัวเองที่อาศัยอยู่กับคนอื่น หรือไม่ก็กล่าวว่าอาสะใภ้ปฏิบัติต่อเขาไม่ดี
หลังจากที่อาศัยอยู่บ้านหลังนี้ หลี่เมี่ยวเจินก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นายหญิงท่านนี้มีความคิดที่เกินกว่าหญิงสาว ดังนั้นจึงขาดคุณสมบัติของมารดาที่เมตตา แต่ความจริงแล้วก็ปฏิบัติต่อสวี่หนิงเยี่ยนไม่แย่เลย
แค่นิสัยค่อยข้างแข็งกระด้างไปหน่อย สวี่หนิงเยี่ยนไม่มีใจเคารพนาง นางก็จะโกรธมาก ปากบอกว่าเขาไม่ดี ซ้ายก็บอกว่าเฮงซวย ขวาก็บอกว่าไอ้เด็กสารเลว
ความจริงแล้ว การกิน เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การเดินทาง มักจะจำส่วนนั้นของหลานชายได้อยู่เสมอ
นิสัยของอารองสวี่ดูจะไม่ใส่ใจ แค่ได้ยินภรรยาและหลานชายทะเลาะกันก็จะปวดหัว ดังนั้นจึงชอบเสแสร้ง แต่หลี่เมี่ยวเจินมองออกว่า ความจริงแล้วเขาปฏิบัติต่อสวี่หนิงเยี่ยนดีที่สุดในบ้านหลังนี้แล้ว
บุคลิกของสวี่เอ้อร์หลางคล้ายกับมารดาของเขา ต่างก็ปากอย่างใจอีกอย่าง รังเกียจที่พี่ใหญ่และบิดาเป็นทหารที่หยาบคาย ขณะเดียวกันก็กอดพวกเขาด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
หากเป็นสวี่หลิงเยวี่ย หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกว่านางชื่นชมสวี่หนิงเยี่ยนมากเกินไป ประมาณว่าในภายภาคหน้าได้แต่งงานก็จะดียิ่งนัก จิตใจคงอยู่ที่สามี
ส่วนสวี่หลิงอิน นางก็หวังพึ่งสวี่ชีอันมากเช่นเดียวกัน ขนมแห้วเมื่อตอนบ่ายน้ำตาคลอ เลียรอบใบหน้า สุดท้ายยังตัดสินใจเหลือให้พี่ใหญ่กิน…
อืม เรื่องนี้จะบอกสวี่หนิงเยี่ยนไม่ได้
‘หลี่เมี่ยวเจินเอ๋ยหลี่เมี่ยวเจิน สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นกรรมเวร หากอยากอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน และเจริญรุ่งเรืองสืบไป ก็จำเป็นต้องกำจัดความรัก ความเกลียดชัง และความเกลียดชังที่อยู่ในโลกมนุษย์ให้หมดสิ้น ต้องเรียนรู้ที่จะเฉยเมย อืม ความรักที่ลึกซึ้งไม่มีวันยั่งยืน’ นางกำลังเตือนตนเองในใจอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็คิดอีกว่าสวี่หนิงเยี่ยนคนนี้ สมบัติที่ปล้นออกมาจากบ้านพักส่วนตัวของเฉากั๋วกงยังไม่ได้แบ่งให้ ต้องการเปิดโรงทานโจ๊กเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนแล้ว…
อาสะใภ้ดื่มเหล้าหมักหวานได้ครึ่งถ้วย รู้สึกค่อนข้างเลี่ยนก็ไม่อยากดื่มแล้ว กล่าว “นายท่าน ท่านดื่มแทนข้าแล้วกัน อย่าให้ต้องเสียของ”
อารองสวี่กำลังพินิจกระบี่ไท่ผิงอย่างใจจดใจจ่อ ฟังจบไม่คิดอะไรก็ผลักเหล้าหมักหวานครึ่งถ้วยที่เหลือของอาสะใภ้ให้สวี่หลิงอิน
สวี่หลิงเยวี่ยเช็ดริมฝีปาก และมองไปทางสวี่ชีอันอย่างคาดหวัง “พี่ใหญ่ ข้าก็ดื่มไม่ไหวแล้ว…”
“พี่ใหญ่ช่วยเจ้าเอง” สวี่ชีอันรับถ้วยมา วางไว้ตรงหน้าเสี่ยวโต้วติง “พี่ดื่มให้หลิงอินแทนเจ้า”
เสี่ยวโต้วติงมีความสุขมาก
ลี่น่ามองไปทางลูกศิษย์ เผยท่าทางอิจฉาออกมา
…
ในช่วงเช้าตรู่ ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ภายในสำนักสังคีต สาวใช้เหมยเอ๋อร์ถูกเสียงไอของฝูเซียงทำให้ตื่นอีกครั้ง
เธอขยี้ตาแล้วลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะและเทน้ำหนึ่งแก้ว เดินด้วยฝีเท้าที่เบาไปทางขอบเตียง กล่าวเสียงเบา “เหนียงจื่อ ดื่มน้ำหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของฝูเซียงซีดราวกับกระดาษ นางลุกขึ้นนั่งด้วยการพยุงตัวของนาง จิบน้ำ และกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนแรง “เหมยเอ๋อร์ ข้าหิวแล้ว”
“เหนียงจื่อ ท่านพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปตักโจ๊กที่โรงครัว”
เหมยเอ๋อร์คลุมเสื้อคลุมแล้วก็เดินออกจากห้องไป พอไปถึงโรงครัว ก็พบว่าในหม้อว่างเปล่า ไม่มีใครตื่นเช้ามาทำอาหาร
หออิ่งเหมยมีนางระบำหกคน หญิงสาวดื่มสุราเป็นเพื่อนแขกแปดคน สาวใช้ทำงานเบ็ดเตล็ดเจ็ดคน ผู้ติดตามรับใช้ที่ดูแลหอสี่คน คนใช้เฝ้าประตูหนึ่งคน
ฝูเซียงเป็นคณิกาที่ป่วยมาเป็นเวลานาน ผู้ติดตามรับใช้ นางระบำ และหญิงสาวดื่มสุราเป็นเพื่อนแขกเหล่านั้นถูกส่งไปหออื่นแล้ว เหลือสาวใช้ทำงานเบ็ดเตล็ดไว้หนึ่งคน
ช่วงนี้สาวใช้เบ็ดเตล็ดคนนั้นมักจะขาดความรับผิดชอบ บ่นไปทุกอย่าง และไม่พอใจกับสิ่งที่ตนเองต้องพบเจอ เมื่อไปที่หออื่น นานๆ ครั้งจะได้รับเงินเป็นการชื่นชม
อยู่ดูแลคนป่วยคนหนึ่งในหออิ่งเหมยนี้ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง
เหมยเอ๋อร์บุกไปยังห้องนอนของสาวใช้อย่างโกรธเกรี้ยว พบว่านางนอนขี้เกียจอย่างสบายอยู่บนเตียง
“ลุกขึ้น เจ้าลุกขึ้นมา!”
เหมยเอ๋อร์มีใบหน้าที่เย็นชา ลากนางลงมาจากเตียง ถามเสียงดัง “ช่วงที่เหนียงจื่อรุ่งโรจน์ก็ปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างดีที่สุดแล้ว มีครั้งไหนที่ให้เงินตบรางวัลไม่เยอะไปกว่าที่หออื่น?”
“ตอนนี้นางป่วย อยากจะกินโจ๊กร้อนๆ ก็ไม่มี มโนธรรมของเจ้าถูกหมากินไปหมดแล้วหรือ”
สาวใช้เท้าสะเอวด่านาง “บอกไปแล้วว่าคือเมื่อก่อน เมื่อก่อนที่เหนียงจื่อรุ่งโรจน์ พวกเราคอยปรนิบัติอยู่ข้างกาย ทำงานเช่นวัวเช่นม้าข้าก็ยอมทำ แต่ตอนนี้นางใกล้จะตายแล้ว มีสิทธิ์อะไรยังต้องให้ข้าไปปรนนิบัตินาง”
เหมยเอ๋อร์กราดเกรี้ยว “เหนียงจื่อเพียงแค่ป่วยเท่านั้นเอง นางจะต้องดีขึ้น รอให้นางดีขึ้น ก็รอดูกันว่านางจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
สาวใช้พูดย้อนอย่างประชดประชัน “พอเสียทีเถอะ ในสำนักสังคีตใครไม่ทราบบ้างว่านางใกล้จะตายแล้ว หากยังมีโอกาสสักนิด ท่านแม่ก็คงไม่ย้ายทุกคนออกไป”
กล่าวถึงตรงนี้แล้ว นางส่งเสียงเย็น “พี่เหมยเอ๋อร์ เจ้าปรนนิบัติเหนียงจื่ออย่างยากลำบาก ความจริงแล้วก็เพื่อเงินสะสมส่วนนั้นของเหนียงจื่อกระมัง เจ้าก็อย่าเขินจนกลายเป็นโกรธเลย สำนักสังคีตมีความสัมพันธ์อะไรที่ต้องกล่าวถึงหรือ เหล่าพี่น้องมีวันใดบ้างที่ไม่ได้เฮฮาผสมโรง?”
“เพราะทราบดีว่าผู้ชายเพียงต้องการแค่เรือนร่างของพวกเราเท่านั้น หากอยากคิดจะมีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับลูกค้า นั่นก็คือคนโง่ เหนียงจื่อฝูเซียงก็เป็นคนโง่เช่นนั้น”
“ตอนแรกฆ้องเงินสวี่เข้ามาดื่มในหอทั้งคืน แม้แต่เหรียญเดียวก็ยังไม่จ่าย เพื่อเขาแม้แต่ลูกค้าเหนียงจื่อก็ไม่ต้อนรับแล้ว อีกทั้งยังออกเงินตนเองมอบให้สำนักสังคีตอีก คนอื่นยกยอนางไม่กี่คำก็คิดจริงจังว่าตนเองและฆ้องเงินสวี่เป็นรักแท้ เจ้าว่าน่าขันหรือไม่เล่า”
“ตอนนี้นางป่วย และใกล้จะตายแล้ว คนคนนั้นเคยมาเยี่ยมนางหรือไม่”
คำพูดเหล่านี้เสียดแทงจิตใจของเหมยเอ๋อร์ยิ่ง นางกัดฟันกล่าว “นางชั้นต่ำ ข้าจะฉีกปากเจ้า”
ทั้งสองเริ่มตบตีกันแล้ว
“หยุดนะ!”
ภายนอก ฝูเซียงที่สวมชุดสีขาวราวกับอ่อนแอจนยืนไม่มั่นพยุงประตู สีหน้าซีดเผือด
การทะเลาะได้หยุดลง สาวใช้ก้มศีรษะ ไม่กล่าวอะไรสักคำ แม้หญิงสาวคนนี้จะป่วยอยู่แล้ว ทั้งยังดูเหมือนจะล้มลงเมื่อลมพัดมา แต่ความรุ่งเรืองของนางเมื่อครั้งอดีตสร้างความประทับใจไว้อย่างลึกซึ้งจนไม่อาจลบเลือนให้หมดไปได้
“กลับไป…”
เพิ่งกล่าวสองคำนั้นเสร็จ ร่างกายฝูเซียงก็โอนเอนไปมา และล้มหมดสติลงบนพื้น
ไม้จันทน์ที่อยู่ในห้องนอนมีควันลอยขึ้น ฝูเซียงตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ เห็นท่านหมอเฒ่าชราแก่หง่อมนั่งอยู่บนเตียง เหมือนเพิ่งฝังเข็มให้ตนเองเสร็จ หันไปกล่าวกับเหมยเอ๋อร์
“ชีพจรอ่อนแอ อวัยวะภายในทั้งห้าล้มเหลว ยาและเข็มหินใช้ไม่ได้ผลแล้ว เตรียมจัดงานศพไว้เถอะ”
เหมยเอ๋อร์ก้มหน้า สะอื้นไห้เบาๆ
…
ฝูเซียงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเหลือลมหายใจอยู่ไม่มากแล้ว…ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วสำนักสังคีตในชั่วพริบตา
มีคนแอบดีใจอยู่เงียบๆ และบางคนทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม
หลังอาหารกลางวัน สำนักชิงฉือ
ในห้องนั่งเล่นที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่ผ้า เหล่าคณิกาที่สวมชุดขนนกสีสันสดใสนั่งดื่มน้ำชายามบ่ายอยู่ที่โต๊ะ
บนโต๊ะมีผลไม้และสุราลูกพลัมแช่เย็นวางอยู่
คณิกาหมิงเยี่ยนที่แต่งหน้าอย่างวิจิตรกวาดสายตามองไปยังเหล่าพี่น้องที่อยู่ตรงนั้น รวมนางด้วยก็มีคณิกาทั้งหมดเก้าคน ต่างก็เคยร่วมนอนเตียงเดียวกันกับฆ้องเงินสวี่มาแล้วทั้งนั้น
“นึกถึงตอนที่นางรุ่งโรจน์อย่างไร ฆ้องเงินสวี่ร้องเพลงยกยอให้นางเป็นคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เหล่านายท่านที่อยู่ด้านนอกต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อให้ได้เจอนางสักครา นักปราชญ์เจ้าสำราญจากต่างถิ่นแดนไกลรีบมาเมืองหลวง ต้มไขมันบนไฟที่ลุกในช่วงเวลาหนึ่ง ก็ยังเหลือไฟที่ลุกไหม้อยู่”
คณิกาเสียวหย่าที่มีอารมณ์อ่อนโยน สวมดอกปิ่นหยก และสวมประโปรงสีคราม
คณิกาเสียวหย่าเป็นคนมีความรู้ และเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ปัญญาชน
“บัดนึ้ฝูเซียงกลายเป็นคนอาภัพแล้ว ช่างน่าเห็นใจเสียจริง”
ผู้ที่กล่าวคือสาวงามใบหน้ารูปเมล็ดแตงโมที่สวมกระโปรงสีเหลืองท่านหนึ่ง นามแฝง ‘หิมะตกในฤดูหนาว’ เสียงหวานดั่งนกขมิ้น เสียงร้องเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสำนักสังคีต
“ตอนนั้นข้ายังอิจฉาที่นางได้รับความรักจากฆ้องเงินสวี่คนเดียว เมื่อเห็นนางในสถานการณ์เช่นนี้ ทรมานจนกินข้าวไม่ลง” สาวงามอีกท่านถอนหายใจ
“กล่าวถึงเรื่องนี้ ฆ้องเงินสวี่ก็ไม่ได้มาเยี่ยมนางนานแล้วกระมัง”
“ข้าจำได้ว่า หลังฆ้องเงินสวี่ไปฉู่โจวสามเดือนแล้ว ก็ไม่มาที่สำนักสังคีตอีก และไม่เคยไปหออิ่งเหมยด้วย”
“เมื่อมาคิดให้ดีแล้ว ช่วงที่ฆ้องเงินสวี่จากฉู่โจวกลับมายังเมืองหลวง ก็เป็นช่วงที่ฝูเซียงล้มป่วยพอดี…”
เหล่าคณิกาส่งเสียงถอนหายใจ ฝูเซียงล้มป่วยอยู่บนเตียง ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ฆ้องเงินสวี่คงหลงลืมนางแล้ว
ผู้ชายที่มาหาพวกนางก็เพื่อตามหาความสนุก มิฉะนั้น คงไม่ล้มป่วยก่อนปรนนิบัติกระมัง ฆ้องเงินสวี่ก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาเท่านั้น
คณิกาหมิงเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ “พี่สาวฝูเซียงมีความรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อฆ้องเงินสวี่…”
นางหันไปมองสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย กล่าวสั่ง “ส่งคนไปแจ้งข่าวที่บ้านสกุลสวี่เถอะ บ้านสกุลสวี่ห่างจากสำนักสังคีตไม่ไกล รีบไปรีบกลับ”
สาวใช้วิ่งออกไป
หมิงเยี่ยนส่งสายตากวาดไปยังเหล่าคณิกา กล่าวเสียงเบา “พวกเราไปเยี่ยมพี่สาวฝูเซียงกันเถอะ”
…
“ระหว่างข้ากับเจ้านั้นเป็นเจ้านายกับสาวใช้ หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว เงินในตู้เจ้าก็รับไว้เอาไว้ไถ่ให้ตนเอง จากนั้นแต่งงานกับคนดีๆ สักคน สุดท้ายแล้วสำนักสังคีตก็ไม่ใช่ที่พึ่งพิงสุดท้ายของหญิงสาว”
“จำไว้ว่าให้นำสิ่งของที่ข้าทิ้งไว้ให้ฆ้องเงินสวี่ไปด้วย ห้ามลืมเสียล่ะ”
ฝูเซียงเอนตัวอยู่บนเตียง กำลังมอบหมายเรื่องงานศพ
เหมยเอ๋อร์นั่งบนเก้าอี้ทรงกลม ทั้งสะอื้นไห้ทั้งพยักหน้า
เสียงฝีเท้าที่ทั้งเบาและอลหม่านดังมาจากนอกประตู หมิงเยี่ยน เสียวหย่า และคณิกาคนอื่นเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ ยิ้มแย้มสดใสกล่าว “พี่ฝูเซียง เหล่าพี่น้องมาเยี่ยมท่านแล้ว”
ฝูเซียงเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าที่ขาวราวกับกระดาษ เสียงแหบแห้ง “รีบนั่งเร็วเข้า”
เหล่าคณิกานั่งลง คุยเล่นกันอย่างสงบ ทันใดนั้นหมิงเยี่ยนก็ปิดปาก และสะอื้นไห้ “สภาพร่างกายของพี่สาว พวกเราทราบแล้ว”
ฝูเซียงยิ้มอย่างสบายๆ “สำหรับข้าแล้ว นี่เป็นเพียงจุดสิ้นสุดของการเดินทางช่วงหนึ่งของชีวิตก็เท่านั้น นานมาแล้วที่เหมือนว่าข้าได้ออกจากที่นี่”
เมื่อเหล่าคณิกาได้ยินต่างรู้สึกเช่นเดียวกันว่าบรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาดูร
หมิงเยี่ยนกล่าวอย่างอ่อนโยน “พี่สาวโปรดให้อภัย น้องสาวตัดสินใจเอง ให้คนไปแจ้งฆ้องเงินสวี่แล้ว”
ฝูเซียงขมวดคิ้ว น้ำเสียงค่อนข้างรีบร้อน “เจ้าเรียกเขามาทำไม ข้าไม่อยากเจอเขา ข้าไม่อยากเจอเขาในเวลานี้”
เหมยเอ๋อร์ยืนข้างเตียง ร้องไห้กล่าว “เขาช่างไร้มโนธรรมเสียจริงนะเจ้าคะ ตั้งแต่ไปสู้รบที่ฉู่โจว ก็ไม่กลับมาอีกสักครั้ง คงเคยได้ยินว่าเหนียงจื่อป่วยหนัก จึงทอดทิ้งเหนียงจื่อของข้าแล้ว ในตอนที่เขายังเป็นฆ้องเงิน มักจะพาเพื่อนร่วมงานมาดื่มสุราที่สำนักสังคีตบ่อยๆ มีครั้งใดบ้างที่เหนียงจื่อจะต้อนรับไม่ดี…ฮือๆๆ”
เหล่าคณิกาต่างมองหน้ากัน และส่งเสียงถอนหายใจ
หมิงเยี่ยนกล่าวอย่างอ่อนโยน “พี่สาวกำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
ฝูเซียงไม่ได้กล่าวอะไร กลับหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง มองไปยังท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล
หญิงสาวของสำนักสังคีต ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่สามารถหลุดพ้นจากชนชั้นต่ำ ออกไปจากสถานที่แห่งดอกไม้ไฟนี้ เงยหน้าปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์
เหล่าคณิกาเข้าใจความหมายของนางแล้ว กลับทำได้เพียงถอนหายใจ
ราคาไถ่ตัวของฝูเซียงมีมูลค่าสูงถึงแปดพันตำลึง
หออิ่งเหมยอาจไม่ได้คึกคักเช่นนี้มานานแล้ว ฝูเซียงพูดคุยเก่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ใจของนางก็ค่อยๆ เริ่มไม่อยู่กับตัวแล้ว มักจะมองออกไปนอกประตูบ่อยๆ ราวกับรออะไรบางอย่าง
เหล่าคณิกาต่างทราบดีว่านางกำลังรอใครอยู่
คิดถึงทุกวันแม้ไม่ได้พบหน้า
คณิกาหมิงเยี่ยนเหลือบไปเห็นน้ำรั่วในห้อง ดวงตาคู่สวยฉายแววโศกเศร้าเล็กน้อย ชายคนนั้นท้ายที่สุดแล้วก็คงไม่มา
“ดึกมากแล้ว พวกน้องๆ ขอตัวกลับก่อน…” น้ำตาในดวงตาของนางเกือบจะเอ่อล้น “พี่ฝูเซียง ดูแลตัวเองด้วย”
เห็นน้ำตาพร่ามัว หมิงเยี่ยนพบว่าสายตาของฝูเซียงมองไปนอกหน้าต่างตลอด ใบหน้าที่ขาวซีดปรากฏสีแดงเป็นเลือดฝาดเหมือนคนเมา
ทันใดนั้นร่างกายของหมิงเยี่ยนก็แข็งทื่อ
คณิกาเสียวหย่าเม้มริมฝีปาก
คณิกาคนอื่นๆ สังเกตเห็นความผิดปกติของฝูเซียง พวกนางกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว และค่อยๆ หันกลับไปมอง
ตรงปากประตูมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ สวมชุดขงจื๊อสีขาว ตรงเอวแขวนหยกเขียวมรกตชิ้นหนึ่ง รูปร่างไม่ดีไม่แย่
“ชุดใส่ไม่พอดีตัว แต่ข้าให้สาวใช้แก้ให้แล้ว” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน
น้ำตาของฝูเซียงเอ่อล้นออกมา ชุดนี้เป็นชุดจากตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก
เดือนสิบปีที่แล้ว ชายหนุ่มที่สวมชุดขงจื๊อสีขาวพระจันทร์คนหนึ่งมายังหออิ่งเหมย ก่อนจะถลำลึกเข้ามาในชีวิตของนาง
หากเพียงชีวิตคนเราเป็นดั่งเช่นแรกพบกัน
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มที่อบอุ่น และเสียงที่อ่อนโยน “มาถึงสำนักสังคีตทั้งที กลับต้องมาทำธุระเสียแล้ว”
เขาเดินไปที่โต๊ะ วางสิ่งของบางอย่างลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา
สายตาของเหล่าคณิกามองไปยังโต๊ะ ไม่สามารถหันไปไหนได้อีกต่อไป เพราะสิ่งนั้นคือสัญญาไถ่ตัว
…………………………………………..