ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 427 นิทานของฝูเซียง
บทที่ 427 นิทานของฝูเซียง
เหมยเอ๋อร์ยื่นห่อผ้าเล็กๆ ให้เขาด้วยมือทั้งสองข้าง หลังจากโค้งคำนับ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “คุณชายสวี่ เช่นนั้น…บ่าวขอลาไปก่อนนะเจ้าคะ”
“เดี๋ยว!”
สวี่ชีอันรับห่อผ้ามา แต่ยังไม่ได้เปิดดู เขามองสาวใช้ที่หน้าตาสะสวย พลางถามว่า “บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด?”
“บ้านของทาสอยู่ที่เขตเจียวสือเจ้าค่ะ” เหมยเอ๋อร์กล่าวกระซิบ
เขตเจียวสืออยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือในเขตเมืองหลวง หากออกเดินทางจากทิศเหนือ และจ้างรถม้าหนึ่งคัน ก็จะถึงในสองวัน
หลังจากที่เหมยเอ๋อร์ถูกตัดสินว่าไม่ใช่ผู้กระทำความผิด นางก็ถูกครอบครัวขายเข้าไปในสำนักสังคีต
สาวใช้ที่ถูกขายเข้าไปในสำนักสังคีตที่เมืองหลวงเช่นนาง มักจะเป็นครอบครัวยากจน ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ก็รอบๆ เมืองหลวง เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเดินทางเป็นพันลี้หมื่นลี้มาที่เมืองหลวงเพื่อขายลูกสาว หากมีค่าเดินทางขนาดนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องขายลูกสาวแล้ว
สำหรับพ่อแม่ของนาง ตอนที่ขายนางเข้าไปในสำนักสังคีตปีนั้น เป็นเพราะหมดหนทางล้วนๆ ภัยพิบัติในปีนั้น ทั้งครอบครัวแทบจะไม่มีข้าวกิน ถึงอย่างไร การขายนางก็ยังพอมีทางเอาตัวรอดได้
แม้ว่าฝูเซียงจะมีเงินทิ้งไว้ให้นาง แต่สถานที่ที่กินคนไม่เหลือซากกระดูกอย่างสำนักสังคีต ย่อมใช้โอกาสที่นางไถ่ตนเองมารีดไถนางอย่างแน่นอน นางเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง หากเงินที่นำกลับมาน้อยเกินไป เกรงว่าสมาชิกในครอบครัวคงไม่ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี…
เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่นางสวมทั้งเรียบง่ายและธรรมดาเกินไป สวี่ชีอันก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในหน้าอก และสัมผัสกระจกเบาๆ หยิบธนบัตรมูลค่าห้าสิบตำลึงจำนวนหนึ่งใบออกมาและยื่นให้นาง
“คุณชายสวี่ ข้ารับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ” เหมยเอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างต่อเนื่อง
“การที่ข้าได้ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้คู่นายบ่าวอย่างพวกเจ้า ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหมยเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า พลางกล่าวสะอึกสะอื้น “ช่วงที่นายหญิงฝูเซียงป่วยหนัก บ่าวรู้สึกเกลียดชังท่านมาก เกลียดที่ท่านใจจืดใจดำ บ่าวผิดไปแล้ว ท่านเป็นผู้ชายที่มีน้ำใจจริงๆ นายหญิงฝูเซียงโชคร้าย ไม่มีวาสนา…”
สวี่ชีอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เขารู้มานานแล้วว่าฝูเซียงป่วยหนัก เพียงแต่เขาไม่รู้จะเผชิญหน้ากับนางอย่างไร
สำหรับตัวตนของนาง ตั้งแต่จงหลีเปิดโปงเรื่องวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ของอีกฝ่าย ในฐานะที่เขาเป็นตำรวจมานาน ตอนนั้นจึงได้เชื่อมโยงความสงสัยหลายประเด็นก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน
อย่างเช่น เหตุใดเผ่าปีศาจถึงรู้ว่าโชคชะตาอยู่ในตัวเขา…
อย่างเช่น เหตุใดเผ่าปีศาจต้องแอบนำมือที่ถูกตัดของเสินซูมาซ่อนไว้ในบ้านของเขา…
โดยทั่วไป บุคคลที่มีจิตวิญญาณไม่สมบูรณ์ ไม่มีทางที่จะอยู่รอดปลอดภัย ถ้าไม่สมองเสื่อม ก็ต้องเป็นนิทรา
หลังจากส่งเหมยเอ๋อร์ไปแล้ว สวี่ชีอันก็นั่งอยู่ที่ห้องโถงด้านนอกและเปิดห่อผ้าออก
ข้างในมีจดหมายสองฉบับ หนังสือหนึ่งเล่ม และกำไลข้อมือหยกหวงโหยว
จดหมายฉบับหนึ่งเขียนตอนเดินทางผ่านชิงโจว ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังอวิ๋นโจว จดหมายอีกฉบับเขียนตอนที่เดินทางผ่านเขตหวงโหยวของเจียงโจว เพื่อไปสืบคดีที่ฉู่โจว
สวี่ชีอันกำลังจะวางกำไลข้อมือและจดหมายทั้งสองฉบับลง แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ เขาเปิดจดหมายฉบับชิงโจว และเทกลีบดอกบัวที่เหี่ยวแห้งจำนวนหนึ่งออกมา
สวี่ชีอันผู้ที่รู้สึกเสียใจกับการตายของฝูเซียงเพียงเล็กน้อยในตอนแรก จู่ๆ ก็มีความรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก
ที่แท้ตั้งแต่แรกจนกระทั่งตอนนี้ สิ่งที่ข้ามอบให้เจ้า ก็มีเพียงของเหล่านี้เท่านั้น…
เขาเปิดจดหมายและอ่านมันอย่างเงียบๆ หวนนึกถึงอดีตของคณิกาท่านนั้นก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่เป็นเวลานาน
ตอนที่ออกไปเดินเล่นก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ยินคนพูดบนเวทีว่า ความเศร้าอาดูรที่แท้จริงไม่ใช่ฉากร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนักด้วยความโศกเศร้า แต่เป็นนมครึ่งกล่องที่อยู่ในตู้เย็น ต้นพลูด่างบนขอบหน้าต่างที่แกว่งไปตามลม ผ้านวมที่ถูกพับอยู่บนเตียง และเสียงเครื่องซักผ้าอันเงียบสงบในยามบ่าย
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเก็บจดหมายและกำไลข้อมือไว้อย่างดี จากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับหนังสือ
หนังสือที่มีปกสีน้ำเงินปราศจากชื่อ หลังจากเปิดอ่านแล้ว ก็พบว่าเป็นนิทานแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งที่จดบันทึกโดยลายมืออันประณีตและงดงามของฝูเซียง
ในหนังสือกล่าวว่า มีนกอินทรีเฒ่าตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในหน้าผาสูงเทียมเมฆ นกอินทรีมีลูกอยู่หกตัว อยู่มาวันหนึ่ง ลูกของนกอินทรีถูกรังแก และกลับมาร้องไห้คร่ำครวญกับนกอินทรี
นกอินทรีไม่สนใจ มันเพียงแค่ยืนอยู่บนหน้าผาอย่างเงียบๆ และมองลงไปยังผืนดิน
ด้วยเหตุนี้ ลูกนกอินทรีจึงบินหนีไป และไม่กลับมาอีกเลย
ด้านล่างหน้าผา เป็นป่าที่เต็มไปด้วยอันตราย ในป่ามีเสือเฒ่าอยู่ตัวหนึ่ง มันกำลังป่วย และไม่สามารถล่าเหยื่อได้อีกต่อไป ดังนั้น มันจึงส่งสุนัขจิ้งจอกที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของมันไปล่อลวงสัตว์ตัวเล็กๆ เข้ามาในถ้ำ เพื่อมาเติมเต็มความหิวกระหายของเสือเฒ่า
สุนัขจิ้งจอกคิดว่าเสือเฒ่าขาดมันไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ มันจึงค่อยๆ ขยายฝูงให้ใหญ่ขึ้น มันยังร่วมมือกับฝูงหมาป่ากินกระต่ายขาวตัวน้อยที่มีฐานะอันสูงศักดิ์
เสือเฒ่ารู้ดี แต่ก็เลือกที่จะมองข้าม และช่วยปกปิดความผิดของสุนัขจิ้งจอก
ราชาลิงผู้เฉลียวฉลาดในป่าพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงส่งลิงภายใต้บังคับบัญชาไปตรวจสอบสุนัขจิ้งจอก เพื่อไม่ให้เรื่องที่สุนัขจิ้งจอกล่อลวงสัตว์เล็กถูกเปิดโปง เสือเฒ่าจึงพูดกับงูหลามว่า
เจ้าจงไปหาหมีดำใหญ่ และบอกว่าลูกของเขาถูกสุนัขจิ้งจอกกินไปแล้ว
เมื่อหมีดำใหญ่รู้เข้าก็โกรธมาก มันจึงบุกเข้าไปฆ่าสุนัขจิ้งจอกถึงในบ้าน
“หมายความว่าอะไร?”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว และครุ่นคิดเป็นเวลานาน เขาคิดไม่ออกว่าเรื่องนี้กำลังจะเปิดเผยอะไร
มีความรู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ชั่วขณะหนึ่ง เขากลับคิดไม่ออก
เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันมาก และกลับเข้าไปด้านใน ลับคมดาบและฝึกฝนดาบเดียวตัดฟ้าดิน
หลังรับประทานอาหารกลางวัน เขาขี่แม่ม้าน้อยไปที่หอคณิกา ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นั่นและเดินเท้าออกไป หลังจากนั้นก็ถึงบ้านส่วนตัวตามที่นัดหมายกันไว้ และเข้าไปในรถม้าของหลินอัน
ล้อรถม้าขององค์หญิงหมุนไปตามทาง กระทั่งเข้าสู่เขตพระราชฐาน
เมื่อเข้าใกล้บริเวณพื้นที่ประทับของสมาชิกในราชวงศ์ ฝั่งตรงข้ามมีรถม้าหรูที่ทำจากไม้จันทน์สีแดงคันหนึ่งกำลังแล่นเข้ามา
“หยุดรถ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับรถม้าที่แล่นเข้ามาใกล้ เสียงเย็นชาของฮว๋ายชิ่งก็ดังขึ้น
รถม้าทั้งสองคันหยุดลง ฮว๋ายชิ่งที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างเปิดหน้าต่างขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าสวยเพียงครึ่งเดียว นางกล่าวว่า “หลินอัน เจ้าบอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยสบายไม่ใช่รึ แล้วนี่กำลังจะไปที่ใด?”
แย่แล้วไง…สวี่ชีอันนั่งอยู่ในรถม้าด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
แอบนัดพบกับน้องสาว แต่ถูกพี่สาวจับได้กลางทางเสียแล้ว
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว และกล่าวว่า “ทำไมไม่พูด?”
สิ่งที่ข้าต้องการคือบทเรียนการบริหารเวลาของไต้ซือลัว ไม่ใช่บทเรียนล้มเหลวของไต้ซือลัวสักหน่อย…
ขณะนั้นในหัวของสวี่ชีอันมีแต่ความว่างเปล่า เขาพยายามบีบคอเพื่อออกเสียงไอเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ตอบกลับฮว๋ายชิ่ง และสั่งคนขับรถม้าด้วยเสียงแหลมเล็ก
“ไป”
หลังจากเลื่อนสู่ขั้นห้า เขาสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมทั้งน้ำเสียง การออกเสียงแหลมเล็กของผู้หญิงเพียงชั่วคราวจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา สำหรับจะเหมือนหรือไม่เหมือนนั้น ก็มีเสียงไอเป็นฉากบังหน้า เสียงของหลินอันที่ไม่ค่อยสบายอาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
หวังว่าฮว๋ายชิ่งจะไม่สังเกตเห็น…
เขาใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายเกลือกกลั้วอยู่กับหลินอัน พูดคุยกับนาง เล่นหมากรุก ดื่มชา สัมผัสร่างกายนางเป็นครั้งคราว ทำให้ทั้งสองมีความคุ้นเคยและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ยามเซิน เข้าก็ออกจากจวนของหลินอัน โดยนั่งรถม้าของยายตัวร้ายออกจากเขตพระราชฐาน ในขณะที่เพิ่งออกจากประตู สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงอันเย็นชาที่คุ้นเคยอีกครั้ง
“หยุดรถ!”
แย่แล้วไง…สวี่ชีอันเกือบจะสูญเสียความสามารถในควบคุมการแสดงออกของสีหน้าไปแล้ว เขารีบชิงบีบคอ และไอออกมา ไอออกมา โดยไม่รอให้ฮว๋ายชิ่งพูด…
จากนั้น เขาก็ไอจนกระทั่งฮว๋ายชิ่งเข้ามา
องค์หญิงคนโตสวมชุดกระโปรงสีขาว งดงามราวกับรูปภาพ บุกเข้ามาในรถม้าและจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา ดวงตาใสราวกับสระน้ำในปลายฤดูใบไม้ร่วงคู่นั้นเต็มไปด้วยความขี้เล่นและความโกรธเคือง
“องค์…องค์หญิงฮว๋ายชิ่ง…”
สวี่ชีอันฝืนยิ้มออกมา แม้จะไม่มีกระจก แต่เขาก็รู้ว่าการแสดงออกของตนเองในตอนนี้อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพียงใด
“คุณชายสวี่ช่างกล้าหาญเสียจริง แอบเข้ามาในเขตพระราชฐาน นัดพบกับองค์หญิงเป็นการส่วนตัว ไม่กลัวเสด็จพ่อจะตัดศีรษะเจ้าเลยรึ” น้ำเสียงของฮว๋ายชิ่งเยือกเย็นอย่างยิ่ง ใบหน้าสวยราวกับน้ำค้างแข็งที่เปล่งประกายระยิบระยับ
“ข้าระวังตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เขาชี้ไปที่ใบหน้าของตนเอง ซึ่งเป็นใบหน้าของน้องชายสวี่เอ้อร์หลาง
เขาตกลงกับหลินอันแล้ว หากเกิดปัญหาขึ้น ให้อนุมานไปว่านางหาซู่จี๋ซื่อมาอธิบายความหมายของพระคัมภีร์ที่กำลังศึกษาอยู่ สำหรับจะมีการ ‘เรียนส่วนตัว’ ในกระบวนการนั้นหรือไม่ อย่างไรก็คัดนางกำนัลทุกคนออกไปหมดแล้ว ย่อมไม่มีใครรู้
ฮว๋ายชิ่งยิ้มด้วยความเย็นชา และกล่าวว่า “เจ้ามาพบกับหลินอัน เพราะมีนางกำนัลและทหารถูกคัดออกใช่หรือไม่?”
“แน่นอน”
“บ่อยครั้งเช่นนี้รึ?”
“ใช่แล้ว”
ดวงตาคู่สวยของฮว๋ายชิ่งมองมาที่เขาอย่างสงบ และกล่าวเสียงเบาว่า “หลินอันไม่ได้รู้ดีไปกว่าข้า ทหารและนางกำนัลในจวนของนางล้วนเป็นคนของสนมเฉิน ตัวนางเองอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ สมาชิกราชวงศ์หาซู่จี๋ซื่อมาอธิบายความหมายของพระคัมภีร์ ยังไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็ถูกไล่กลับไปทุกครั้ง ข้ากล้ายืนยันได้เลยว่าสนมเฉินรู้เรื่องนี้แล้ว แต่นางเพียงแค่รอดู เจ้าทำให้สนมเฉินขุ่นเคืองใจมากในคดีของพระสนมฝู เจ้าจะปล่อยให้นางจับจุดอ่อนแล้วไปฟ้องจักรพรรดิ นี่เจ้าอยากตาย หรือว่าจะผลักสวี่ฉือจิ้วออกมารับผิด?”
วันนี้ข้าเพิ่งบอกไปว่าต้องลดความถี่ในการนัดพบ…
สวี่ชีอันพยักหน้า “ขอบพระทัยองค์หญิงที่เตือนสติ”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “จากนี้ไป เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พบหลินอันอีก”
สวี่ชีอันมองนางด้วยสายตาตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ฮว๋ายชิ่งอธิบายอย่างเอาจริงเอาจัง “ข้าบอกแล้วอย่างไร นางไม่ได้รู้ดีไปกว่าข้า รอบๆ ตัวนางมีคนจับตามองอยู่มากเท่าใด นางเองยังไม่รู้เลย มันเสี่ยงเกินไปที่เจ้าจะพบนางเป็นการส่วนตัว ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไร ก็สามารถถ่ายทอดผ่านข้าได้ อืม ถ้าต้องพบนางจริงๆ ก็มาที่จวนฮว๋ายชิ่ง ข้าจะช่วยนัดหลินอันออกมาให้เจ้า”
ถ้าเช่นนี้ ทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของเจ้า แล้วข้าจะจับมือเล็กๆ ของยายตัวร้ายได้อย่างไร…สวี่ชีอันบ่นพึมพำในใจ และกล่าวว่า “หรือว่าในจวนของฝ่าบาทไม่มีคนจับตามองเลยงั้นรึ?”
ฮว๋ายชิ่งชายตามองเขา และยิ้มอย่างเหยียดหยาม
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาอย่างที่คาดไว้จริงๆ ทักษะยอดเยี่ยม แข็งแกร่งกว่าองค์หญิงหลินอันเป็นร้อยเท่า” สวี่ชีอันกล่าวประจบประแจงทันที
ฮว๋ายชิ่งไม่สนใจคำเยินยอของเขา และกล่าวต่อไปว่า “อีกสามวัน ราชวิทยาลัยหลวงจะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมที่ทะเลสาบลู่ในเขตพระราชฐาน เกี่ยวกับเรื่องสงครามแดนเหนือ รวมไปถึงความคับข้องใจทางประวัติศาสตร์ระหว่างต้าฟ่งและสำนักพ่อมด เจ้าไปเข้าร่วมเป็นเพื่อนข้า ในฐานะของสวี่ฉือจิ้ว”
“ยอดเยี่ยม!”
สวี่ชีอันทำได้เพียงพยักหน้า
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อีกสองฤดูกาลข้างหน้า ฤดูร้อนจะสิ้นสุดลง ราชสำนักอาจต้องทำสงคราม ในทุกสงคราม เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เสนาบดีเล็กจะบริจาคเงินและเสบียง คุณชายสวี่มีความเห็นอย่างไร?”
ตั้งแต่จักรพรรดิหยวนจิ่งบำเพ็ญธรรม ก็สิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคนของชาติ และเพื่อเติมเต็มคลังหลวงที่ว่างเปล่า จึงได้คิดวิธีการมารีดไถเสนาบดีเล็ก
เอ๋? แล้วข้าจะมีความเห็นอะไรได้ ข้าไม่ใช่แม้แต่เสนาบดีเล็ก…
ขณะที่สวี่ชีอันคิดเช่นนั้น ก็ได้ยินฮว๋ายชิ่งกล่าวด้วยความเย็นชาว่า “คุณชายสวี่ร่ำรวยเงินทองมาก บริจาคสักหน่อยไม่ดีรึ”
“บ…บริจาคเท่าไร?”
“แปดพันตำลึงเป็นอย่างไร”
สีหน้าของสวี่ชีอันเฉื่อยชาลงอย่างฉับพลัน…
ข้าไม่สามารถบริจาคเงินได้ ทั้งชีวิตนี้ก็จะไม่บริจาคเงิน
…
พลบค่ำ สวี่ชีอันลากร่างกายที่เหนื่อยล้ากลับบ้าน
หลังรับประทานอาหารกลางวัน เขานอนทอดกายอยู่บนเตียงและได้ยินเสียงเปิดประตู เป็นจงหลีที่กลับมาหลังจากอาบน้ำ
“บ่ายวันนี้เจ้ายังปลอดภัยดีใช่หรือไม่? ไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใดกระมัง” สวี่ชีอันถาม
“ไม่ ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็แค่เกือบตาย” จงหลีกล่าวเสียงเบา
“?”
สวี่ชีอันลุกขึ้นนั่งอย่างทันทีทันใด และถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
จงหลีรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที และกล่าวราวกับจะร้องไห้ “ข้าฝึกฝนอยู่ในบ้านดีๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาบหักของเจ้า จู่ๆ มันก็เกิดคลั่งขึ้นมา ตรงเข้ามาแทงข้า อีกแค่หนึ่งเซนติเมตร หัวข้าก็จะทะลุแล้ว”
สวี่ชีอันกล่าวปลอบใจว่า “ยังดี ยังดี”
“ยังไม่จบ ดาบหักของเจ้ายังไล่ฟันข้าตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำหลี่มาช่วยข้าได้ทัน ข้าก็คงตายไปแล้ว”
“ยังดี ยังดี”
“ยังไม่จบ ในระหว่างที่ผู้นำหลี่กำลังปราบมัน ก็บังเอิญใช้วรยุทธ์ผิด วิญญาณของข้าแตกกระจาย นางใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายกว่าจะเรียกข้ากลับมาได้”
“ยังดี ยังดี”
“ยังไม่จบ หลังจากเรียกวิญญาณกลับมา ข้าก็เพิ่งจะค้นพบว่าตัวเองถูกเด็กในบ้านของเจ้ายัดเค้กข้าวเหนียวใส่ปากจนข้าเกือบขาดอากาศหายใจตาย”
“ยังพูดไม่จบอีกรึ?”
“จบแล้ว”
ข้าควรจะช่วยเจ้าอย่างไรดี ศิษย์พี่ห้าของข้า…สวี่ชีอันแสดงสีหน้าเศร้า ก่อนจะกวักมือเรียกดาบไท่ผิง และกล่าวตำหนิว่า “เหตุใดเจ้าถึงรังแกนาง”
ดาบไท่ผิงสั่นสะเทือนดังหึ่งๆ
จู่ๆ ไม่รู้ทำไมข้าเห็นนางแล้วอารมณ์ไม่ดี…ความคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดไปให้สวี่ชีอัน
จู่ๆ ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะโทษดาบไท่ผิงหรือเจ้าดี!
สวี่ชีอันแสดงสีหน้าเศร้าอีกครั้ง และกล่าวด้วยความนุ่มนวลว่า “ศิษย์พี่จง ข้าให้จ้านอนเตียงข้าก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะนอนที่ตั่งเอง”
จงลี่ส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง พลางนอนขดตัวอยู่บนตั่งเล็กๆ ของตนเองด้วยความรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
เวลานี้เอง อาการใจสั่นที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น สวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากใต้หมอนตามจิตใต้สำนึก ก่อนจะจุดเทียนและดูข้อความในหนังสือปฐพี
หมายเลขหก ‘สถานรับเลี้ยงเด็กถูกจับตามองแล้ว มีคนต้องการจัดการอาตมา’
นี่คือข้อความที่เหิงหย่วนส่งมา
มีคนต้องการจัดการไต้ซือเหิงหย่วนงั้นรึ? เขาไม่น่าทำให้ใครขุ่นเคืองใจกระมัง?
สวี่ชีอันตะลึงงันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบสนองอย่างฉับพลัน คนที่เหิงหย่วนทำให้ขุ่นเคืองใจ คือจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ใช่รึ ไม่ว่าจะเป็นทหารรักษาวังที่มาขัดขวางตอนที่ฆ่ากั๋วกงทั้งสอง หรือว่าจะเป็นเจี้ยนโจวที่ปกป้องเม็ดบัว ทั้งหมดล้วนเป็นศัตรูกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง
หมายเลขสอง ‘เจ้าอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กหรือ? มีอันตรายหรือไม่? ข้าจะไปทันที’
จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินพยายามช่วยผู้อื่นเมื่อมีปัญหาอย่างเร่งด่วนมาโดยตลอด และการช่วยเหลือของนางก็เต็มไปด้วยความชอบธรรมอย่างชัดเจน
หมายเลขหก ‘อาตมาไม่ได้อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กแล้ว วันนี้มีคนสืบข้อมูลเกี่ยวกับข้าที่เมืองทางใต้ ชาวบ้านที่ข้าเคยช่วยไว้ก่อนหน้านี้แอบมารายงานข้า ข้าออกจากสถานรับเลี้ยงเด็ก และซ่อนตัวอยู่ในบ้านใกล้ๆ หลังพลบค่ำ จะมีคนซุ่มโจมตีใกล้ๆ สถานรับเลี้ยงเด็ก’
หมายเลขสี่ ‘ไม่ต้องสนใจพวกเขา เปลี่ยนสถานที่ซ่อนตัว’
ฉู่หยวนเจิ่นให้คำแนะนำ
หมายเลขหก ‘อาตมากังวลว่าพวกเขาจะลงมือกับและผู้สูงอายุในสถานรับเลี้ยงเด็ก’
หมยายเลขสี่ ‘รู้หรือไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามคือใคร?’
หมายเลขหก ‘ไม่รู้’
สวี่ชีอันใช้นิ้วเขียนแทนพู่กัน และส่งข้อความว่า ‘เดาไม่ยาก เป็นคนของฝ่าบาทของพวกเรานั่นแหละ’
……………………………………………………