ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 428 วิเคราะห์นิทาน
บทที่ 428 วิเคราะห์นิทาน
เมื่อเห็นข้อความของหมายเลขสาม ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปชั่วขณะ และเข้าใจคำพูดของหมายเลขสามได้ไม่ยาก
เมื่อเปรียบเทียบกับฉู่หยวนเจิ่นลูกศิษย์ในนามของนิกายมนุษย์ หลี่เมี่ยวเจินเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ รวมถึงคนที่เบื้องหน้าเป็นสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเว่ยเยวียน ซึ่งเป็นลูกชายของเขาจริงๆ กับสวี่ชีอันที่ภายนอกเป็นทหารชั้นต่ำ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นศิษย์ผู้สันโดษของเจ้าสำนักจ้าวโส่ว
เห็นได้ชัดว่าหมายเลขหก เหิงหย่วนเป็นดั่งตั๊กแตนที่ถูกบดขยี้ให้ตายได้อย่างง่ายดาย
จึงไม่น่าแปลกใจที่จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งคนมาจัดการกับเขา
หมายเลขหก ‘หมายเลขถามพูดถูก อาตมาก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน อาตมามีเมตตาต่อผู้อื่น นอกจากองค์จักรพรรดิแล้วอาตมาก็ไม่เคยทำให้ใครขุ่นข้องหมองใจ’
หมายเลขสี่ ‘ไต้ซือเหิงหย่วน หลังรุ่งสางท่านสามารถไปจากเมืองหลวงได้ทันที ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็ก ข้าจะเป็นธุระดูแลให้ท่านเอง เป้าหมายของพวกเขาคือท่าน หากท่านไม่อยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก เด็กๆ และผู้เฒ่าก็ไม่เป็นอะไร’
ฉู่หยวนเจิ่นให้คำแนะนำที่สมเหตุสมผล
ในตอนนี้เอง หมายเลขหนึ่งที่ไม่แสดงตัวในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีมานาน ก็ส่งข้อความมาทันทีว่า ‘ฝ่าบาทต้องการจัดการเจ้า แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ขาดเหตุผลรองรับ บางทีเขาอาจจะเห็นแก่ลั่วอวี้เหิง จึงไม่ได้รังควานเจ้า
‘หากเจ้าสงบเสงี่ยมเจียมตัว เขาก็จะยอมหลับตาข้างหนึ่ง แต่หากเจ้าเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องนี้ เป็นไปได้ที่จะดึงดูดการแก้แค้นจากเขา เทพธิดานิกายสวรรค์ก็เช่นกัน ข้าไม่แนะนำให้พวกเจ้าออกหน้า’
หมายเลขสอง ‘จักรพรรดิหยวนจิ่งเวรเอ๊ย รอแม่ได้ขั้นหนึ่งก่อนเถิด จะเข้าไปกระซวกถึงเมืองหลวงเชียว’
เมี่ยวเจินเอ๋ย คำพูดของเจ้าไม่ต่างอะไรกับคำพูดติดปากที่ว่า ‘พรุ่งนี้จะลดน้ำหนัก’ ในชาติที่แล้วของข้าแม้แต่น้อย เป็นเพียงลมปากวันยังค่ำ…สวี่ชีอันบ่นในใจ
พลังต่อสู้ขั้นสี่ของหลี่เมี่ยวเจิน ไม่สามารถบุกเข้าไปในพระราชวังได้ด้วยซ้ำ เมื่อนางไต่เต้าไปถึงขั้นหนึ่งแล้ว นางก็จะตัดขาดจากรัก โลภ โกรธ หลงในโลกมนุษย์ และไม่หลงเหลือความคิดที่จะสังหารจักรพรรดิอีกต่อไป
หมายเลขหนึ่งเมินคำพูดหยาบคายของหลี่เมี่ยวเจินไปอย่างไม่น่าเชื่อ และส่งข้อความไปอย่างไม่สนใจผู้ใด ‘ทางสถานรับเลี้ยงเด็กข้าจะจัดหาคนมาเฝ้ายามให้ อืม แค่เฝ้ายามอย่างเดียวนะ’
‘แค่ช่วยเฝ้ายามให้เท่านั้น แสดงว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็จะไม่ลงมือทั้งนั้น’ ทุกคนรู้ความหมายที่หมายหนึ่งสื่อ แต่ก็เข้าใจได้
หมายเลขหนึ่งเป็นคนในราชสำนัก เขา (หรือนาง) ไม่อาจตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับจักรพรรดิหยวนจิ่งได้อย่างโจ่งแจ้ง หากเรื่องนี้ถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งจับได้ ก็อาจจะเป็นโชคร้ายครั้งใหญ่หลวง
หลังจากสิ้นสุดการประชุมภายในของพรรคฟ้าดิน พรรคฟ้าดินก็เก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพี มองไปยังจงหลีที่ขดตัวอยู่บนเตียงเล็ก พร้อมกับกุมลูกท้อกลมกลึงไว้ในมือ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหยางเชียนฮ่วน
ศิษย์พี่หยางมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร
เป็นเพราะช่วงชีวิตที่สุดจะทานทนจนไม่อยากหวนระลึกถึงในตอนนั้นหรือเปล่า ที่หล่อหลอมนิสัยการปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นของเขาในทุกวันนี้
หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์พี่จงจะกลายเป็นเช่นนั้นในอนาคตหรือไม่
หลังจากวาดภาพจงหลีในอนาคตขึ้นมาในสมอง จงหลีก็คิดว่า กินขมในขม จึงจะเป็นคนเหนือคน ศิษย์พี่จงอดทนตรากตรำต่อไปน่ะดีแล้ว
ไต้ซือเหิงหย่วนจะเจอปัญหารุมเร้าในอนาคตอันใกล้ แม้ว่าตบะของเขาจะไม่ได้อ่อนแอ ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นสี่อยู่ดี แต่กลับมาพัวพันในข้อพิพาทระดับสูงเช่นนี้อีก จะว่าไป ในพรรคฟ้าดินนอกจากหมายเลขหนึ่งที่ไม่รู้ตัวตนแล้ว หมายเลขหกคือคนที่ธรรมดาสามัญที่สุดแล้ว…
การที่นักบวชเต๋าจินเหลียนดึงเขาเข้ามาในพรรคฟ้าดิน คงไม่ได้ทำไปโดยไร้เหตุผล เพียงแต่ไม่รู้ว่าความสามารถพิเศษของไต้ซือเหิงหย่วนคืออะไร…เหอะ พิเศษ
ข้าไม่เคยสัมผัสถึงความพิเศษอะไรเลย แต่ก็ช่างน่าสงสาร ศิษย์น้องที่เลี้ยงดูมาจนโตถูกสังหาร อยู่ที่วัดมังกรเขียวก็ไม่เข้าพวก…
เขาครุ่นคิดแล้วก็ผล็อยหลับไป
ในช่วงครึ่งหลังของคืนนั้น จู่ๆ ก็มีสายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ทำให้ท้องฟ้าและพื้นดินสว่างขึ้นในทันใด ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังสนั่น
สวี่ชีอันสะดุ้งตื่น ผุดตัวลุกขึ้นนั่งทันที
จงหลีเองก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงฟ้าร้อง นางผงกหัวขึ้นมา หันซ้ายหันขวาตัวสั่นงันงก ราวกับกระต่ายน้อยขี้ตกใจ
จากนั้นดวงตาดำขลับราวกับนิลกาฬจ้องมองสวี่ชีอันผ่านเส้นผมกระเซอะกระเซิงของนาง เห็นเขาสวมรองเท้าลงจากเตียงนอนเดินไปจุดเทียนที่โต๊ะ รัศมีสีส้มอันอบอุ่นนำแสงวูบไหลสาดทับภายในห้อง
‘เปาะ แปะ เปาะ แปะ…’
พายุฝนในฤดูร้อนโหมกระหน่ำ กระทบสันหลังคา กระทบหน้าต่าง เกิดเสียงเปาะ แปะ
โลกทั้งใบถูกกลบด้วยเสียงฝน
กลางดึกในคืนฤดูร้อน สายฝนตกกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว แต่ภายในห้องกลับสงบเงียบ ท่ามกลางแสงเทียนสีส้มสลัวอบอุ่น จงหลีบิดเอวโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ในใจก็พลันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ขณะที่อารมณ์ของสวี่ชีอันกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง เขานั่งลงที่โต๊ะ เปิดสมุดปกสีฟ้าที่ฝูเซียงเคยให้เขาไว้ ในหัวมีเพียงสองคำเท่านั้น ‘ฉิบหาย!’
เขารู้แล้วว่าเบื้องหลังที่ซุกซ่อนอยู่ในนิทานเรื่องนั้นคืออะไร
คดีซังผอ!
คดีซังผอมีเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ามาเกี่ยวข้องและวางแผน เมื่อมองจากมุมมองของฝูเซียง ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าเดิม และได้เห็นรายละเอียดและเรื่องราวที่ซุกซ่อนบางอย่างที่เขามองไม่เห็น
คดีซังผอ เป็นคดีที่มีฝูเซียงเป็นตัวเกี่ยวข้องหลัก
เสือเป็นสัตว์ร้ายแห่งขุนเขา ราชาแห่งพงไพร เช่นนั้นเสือเฒ่าที่ล้มป่วยก็อุปมาเป็นจักรพรรดิหยวนจิ่ง
สุนัขจิ้งจอกที่ล่อลวงสัตว์เล็กสัตว์น้อย หมายถึงผิงหย่วนป๋อที่ควบคุมสมาคมนายหน้าและทำการค้ามนุษย์
ความทะเยอทะยานของผิงหย่วนป๋อนั้นสูงเทียมฟ้า ดังนั้นเขาจึงร่วมมือกับพรรคเหลียงสังหารท่านหญิงผิงหยาง โจมตีอวี้อ๋องอย่างหนัก เพื่อให้อวี้อ๋องถอนตัวจากการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้ากรมทหาร
ดังนั้นกระต่ายน้อยสีขาวผู้สูงศักดิ์ก็หมายถึงท่านหญิงผิงหยาง
“เสือเฒ่าเลือกที่จะปิดตาและปกป้องสุนัขจิ้งจอก…ที่แท้จักรพรรดิหยวนจิ่งก็รู้ทุกอย่าง เขารู้เห็นทั้งสิ้น…” สวี่ชีอันกล่าวพึมพำ
“ราชาวานรผู้ปราดเปรื่องหมายถึงเว่ยเยวียน ใช่แล้ว ต้องเป็นเว่ยเยวียนแน่ๆ”
สวี่ชีอันจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยถูกมองข้ามไปก่อนหน้านี้ได้ หลังจากการตายของผิงหย่วนป๋อ เว่ยเยวียนได้ส่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปจับผู้นำกลุ่มเล็กๆ ของสมาคมนายหน้าทันที ซึ่งดำเนินการรวดเร็วจนชวนให้ตกตะลึง
ในเวลานั้นสวี่ชีอันรู้สึกทึ่งในทักษะที่ยอดเยี่ยมของเว่ยเยวียน และทึ่งในสามารถอันโดดเด่นของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
เมื่อมานึกย้อนในตอนนี้ เว่ยเยวียนตามสืบเรื่องของผิงหย่วนป๋อและสมาคมนายหน้ามานานแล้ว
รายละเอียดที่พบชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า…
“เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้ถูกเปิดเผย เสือเฒ่าจึงตัดสินใจฆ่าคนปิดปาก และให้งูเหลือมไปบอกหมีดำว่าลูกหมีดำถูกสุนัขจิ้งจอกกิน”
“เหิงฮุ่ยไม่ใช่หมีดำ เพราะเหิงฮุ่ยเองก็เป็นเหยื่อของผิงหย่วนป๋อเช่นกัน เขารู้ดีว่าใครคือศัตรูของเขา ไม่จำเป็นต้องให้งูเหลือมมาบอกเขา นอกจากนี้หมีดำยังสังหารเพียงสุนัขจิ้งจอก ไม่ได้ฆ่าล้างตระกูลจิ้งจอก”
“แล้วใครเป็นคนฆ่าจิ้งจอกผิงหย่วนป๋อ คนนั้นคือเหิงหย่วนนั่นเอง หมีดำคือเหิงหย่วน ลูกหมีดำคือเหิงฮุ่ย เพื่อตามหาเหิงฮุ่ยที่หายตัวไป เหิงหย่วนจึงบุกเข้าไปในจวนของผิงหย่วนป๋อ และสังหารเขา”
สวี่ชีอันตัวสั่นเทา เป็นเพราะเขาได้เปิดเผยความจริงอีกด้านของคดีซังผอหรือ ไม่ใช่ เพราะเขาเปิดเผยความจริงอีกด้านของคดีฆาตกรรมท่านหญิงผิงหยางต่างหาก
คดีท่านหญิงผิงหยางเป็นข้อต่อรองสำหรับความร่วมมือระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจและอดีตเจ้ากรมพิธีการ และตัวตนของฝูเซียง…ดังนั้นนางจึงมองเห็นเรื่องราวภายในที่คนอื่นมองไม่เห็น
ฝูเซียงใช้นิทานเรื่องนี้เป็นสื่อกลางในการบอกข้อมูลสองชิ้นแก่เขา ประการแรก ผิงหย่วนป๋อเป็นผู้บงการกลุ่มค้ามนุษย์ เพื่อรับใช้จักรพรรดิหยวนจิ่ง
ประการที่สอง จักรพรรดิหยวนจิ่ง ‘ล้มป่วย’ ลงแล้ว ต้อง ‘กิน’ อย่างต่อเนื่อง
“นอกจากบันทึกของจักรพรรดิองค์ก่อนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่แล้ว ข้ายังต้องสืบหาเบาะแสอื่นที่สาวไปถึงตัวจักรพรรดิหยวนจิ่ง แต่ผิงหย่วนป๋อตายไปแล้ว ทั้งตระกูลก็ถูกสังหารจนสิ้น แล้วข้าจะทะลวงเส้นกั้นนี้ไปได้อย่างไร”
เหิงหย่วน?!
ร่างกายของสวี่ชีอันสั่นเทา
เขากลับไปที่เตียงอีกครั้ง และหยิบเศษหนังสือออกมาจากใต้หมอน เขาเคลื่อนไหวอย่างเร่งร้อน จึงเกิดการกระทบกระเทือนไม่น้อย จนทำให้จงหลีสะดุ้งตื่นเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
สวี่ชีอันใช้นิ้วเขียนข้อความส่งไป
หมายเลขสาม ‘ไต้ซือเหิงหย่วน ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน’
ไม่มีการตอบสนองใดๆ กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีเงียบสนิท เหิงหย่วนเองก็ไม่ตอบสนอง
สีหน้าของสวี่ชีอันซีดเผือด
…………………………………………………….