ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 429 ความลับของเหิงหย่วน
บทที่ 429 ความลับของเหิงหย่วน
หมายเลขสอง ‘ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีก แหกปากอะไรของเจ้า’
แม้จะดูผ่าน ‘หน้าจอ’ ของหนังสือปฐพีแต่ก็สัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน ตอนนี้นางคงจะอยู่ในชุดคลุม นั่งอยู่ข้างโต๊ะ พร้อมทั้งอ่านข้อความด้วยความเกียจคร้าน และรำคาญใจปะปนกัน
ฉู่หยวนเจิ่นที่อยู่อีกฝั่ง รู้สึกว่าท่าทีของหลี่เมี่ยวเจินค่อนข้างจะไม่เหมาะสม อย่างไรเสียหมายเลขสามสวี่ฉือจิ้วและหลี่เมี่ยวเจินก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่สามารถชื่นชมหรือด่าทอกันได้ตามอำเภอใจ
นอกจากนี้หลี่เมี่ยวเจินยังอาศัยชายคาจวนสกุลสวี่อยู่ ทว่าหลี่เมี่ยวเจินมีนิสัยของชาวยุทธภพสูง ทำอะไรตามใจตนเอง เวลาเข้าสังคมจึงขาดการควบคุมอารมณ์
หมายเลขสี่ ‘เอ๊ะ ไต้ซือเหิงหย่วนไม่ตอบ…’
ผ่านไปสักครู่หมายเลขหกเหิงหย่วนก็ยังไม่ตอบกลับมา ประกอบกับก่อนหน้านี้ที่เขาเคยบอกว่ามีคนซุ่มโจมตีรอบสถานรับเลี้ยงเด็ก ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
สวี่ชีอันส่งข้อความไปว่า ‘เกิดเรื่องกับเหิงหย่วนแล้ว เขามีส่วนพัวพันในคดีใหญ่คดีหนึ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งคนมาตามล่าเขา ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้แค้น แต่อาจจะถึงขั้นฆ่าปิดปากได้’
พัวพันกับคดีใหญ่ ฆ่าปิดปาก เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง?!
ทุกคนในพรรคฟ้าดินต่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าหมายเลขสามได้ข้อสรุปนี้ออกมาได้อย่างไร ถึงได้พูดออกมาแบบนี้
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความ ‘หมายเลขสาม เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเหิงหย่วนกันแน่ เจ้าค้นพบอะไรบางอย่างใช่หรือไม่’
เขาถามในสิ่งที่พรรคฟ้าดินทุกคนสงสัย แต่ไม่มีใครพูดขึ้นมา ทั้งจอมยุทธ์หญิงผู้ใจร้อน นักกินสาวน้อยผิวคล้ำ หมายเลขหนึ่งผู้สูงศักดิ์ รวมถึงนักบวชเต๋าจินเหลียนที่เฝ้าหน้าจอเงียบๆ ต่างก็รอคอยให้หมายเลขสามเอ่ยปากอธิบาย
หมายเลขสาม ‘อธิบายรวบรัดตัดตอนไม่ได้ สิ่งที่ต้องรีบทำในตอนนี้คือไปดูลาดเลาที่สถานรับเลี้ยงเด็กในเมืองชั้นนอกก่อน’
หมายเลขสอง ‘ได้!’
ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็วางหนังสือปฐพีลง คว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวม แล้วพูดว่า “ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าก็ไปกับข้าสิ”
จงหลีพยักหน้า ลุกขึ้นจากเตียงเล็ก สวมรองเท้าปักลายต่างรองเท้าแตะ และเดินตามเขาออกไป
เสียงฝนตกลงมาบนกระเบื้องมุงหลังคา หยดลงมาตามมุมชายคา และเมื่อฟ้าแลบวาบก็เหมือนม่านมุกที่แกว่งไกว มันถูกสายลมหนาวเหน็บพัดปลิวไป ตกกระทบลงมาราวกับกลีบดอกไม้ลอยละล่องและเศษหยกที่แตกหัก
บริเวณลานบ้านมีแอ่งน้ำตื้นๆ ยามเม็ดฝนเม็ดใหญ่ตกกระทบผิวน้ำ ก็เกิดละอองน้ำขุ่นมัวสาดกระเซ็น
สวี่ชีอันหันหน้าไปทางละอองน้ำที่ชื้นแฉะ เห็นหลี่เมี่ยวเจินสวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋า และยืนอยู่ใต้ชายคาอีกด้านหนึ่งของลานบ้าน
สายตาของทั้งสองสบประสาน ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้มากความ หลี่เมี่ยวเจินโยนกระบี่บินขึ้นไปลอยคว้างกลางลานบ้าน ทั้งสามกระโดดขึ้นไปเหยียบบนกระบี่บินทันที
เทพธิดานิกายสวรรค์บีบมือข้างหนึ่ง กระบี่บินก็ส่งเสียง ‘ฟิ้ว’ ตัดผ่านม่านพิรุณ ทะยานไปสู่ท้องนภา
ตราบใดที่ท่านโหราจารย์อนุญาต การบินข้ามเมืองหลวงก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา
ในไม่ช้าพวกเขาก็บินข้ามเมืองชั้นใน มาถึงเมืองชั้นนอก หลี่เมี่ยวเจินออกแรงกดปลายเท้าของนาง ปลายดาบพุ่งลงเบื้องล่าง เบี่ยงเส้นทางไปยังทิศใต้ของเมือง
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ผลีผลามลงจอด แต่บินโฉบลงระดับความสูงต่ำครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้ยังปลอดภัยดี”
สวี่ชีอันตอบกลับ
ขณะนี้เขาจับสังเกตศัตรูไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะคนที่ซุ่มโจมตีควบคุมตัวเองได้ดี ไม่เงยหน้าขึ้นมอง ก็ต้องเป็นเพราะพวกเขาจากไปหมดแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินวิเคราะห์อย่างจริงจัง “พวกมันน่าจะซ่อนตัวอยู่ และอาจวางกับดักไว้รอให้เรามาถึง”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ความเป็นไปได้นี้ยังตัดออกไปไม่ได้ จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้ว่าเราเป็นพวกกับเหิงหย่วน ย่อมต้องวางกลยุทธ์ปิดล้อมสมรภูมิอย่างเลี่ยงไม่ได้”
“ปิดล้อมสมรภูมิ?”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยความรู้สึกทึ่ง “บรรยายได้ดีสมกับเป็นเจ้า เช่นนั้นก็ยกให้เจ้าเป็นคนนำก็แล้วกัน เจ้าเป็นถึงระดับเพชรไร้พ่าย อีกทั้ง จิตขั้นสี่ยังแตกสลายได้ยาก”
สวี่ชีอันพยักหน้าเป็นเชิงตกลง “เจ้าขึ้นไปบนฟ้าและช่วยดูแนวรบให้ข้าหน่อย”
ทั้งสองวิเคราะห์สถานการณ์และส่งยิ้มให้แก่กัน
ตอนนี้เอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบจากจงหลี “ข้างล่างไม่มีการซุ่มโจมตี ไม่มีทหารอยู่…”
สีหน้าของสวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินอึ้งเหวอ
เกือบลืมไปแล้ว่าจงหลีเป็นโหร เชี่ยวชาญวิชามองปราณ เฮ้อ เป็นเพราะภาพลักษณ์อ่อนแอในยามปกติของนางนี่แหละที่ติดตรึงในหัวของข้า…สวี่ชีอันคิดในใจ
หลี่เมี่ยวเจินก็คิดเช่นนั้น นางหยุดบินวน แล้วลงจอดท่ามกลางม่านฝน ทางเดินขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ไร้การดูแลซ่อมแซมมานาน บ้านเตี้ยๆ ที่ตั้งอยู่สองข้างทางดูรกร้างและทรุดโทรมกว่าปกติเมื่ออยู่ท่ามกลางสายฝน
ประตูหน้าสถานรับเลี้ยงเด็กปิดสนิท
สวี่ชีอันกวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่กำลังจะพูดว่า ‘ไม่มีร่องรอยการต่อสู้’ ก็ได้ยินเสียงของจงหลีและหลี่เมี่ยวเจินพูดขึ้นพร้อมกัน “มีคนตาย”
หัวใจของเขาหล่นวูบ
ทั้งสามกระโดดข้ามรั้วและเข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็ก
ลานบ้านที่เต็มไปด้วยวัชพืชรกชัฏมืดสนิท ขณะที่เม็ดฝนโปรยปรายลงมา ในห้องทางทิศตะวันออก มีแสงสลัวเล็ดลอดออกมาจากบานหน้าต่าง
ทั้งสามคนเดินเข้าไปและเห็นเตียงไม้ซอมซ่อกลางห้อง บนเตียงมีศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว สภาพศพผ่ายผอม
สวี่ชีอันมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่เหิงหย่วน แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาเลย
เจ้าพนักงานเฒ่าสองรายนั่งอยู่ข้างศพ ก้มหน้ามองพื้นด้วยความสิ้นหวัง ดวงหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความโศกตรม และหมดสิ้นหนทาง
สวี่ชีอันมาที่สถานรับเลี้ยงเด็กหลายครั้ง และรู้จักเขาดี เจ้าพนักงานเฒ่าผู้นี้แซ่หลี่ เขาเป็นชายชราผู้โดดเดี่ยว แต่ร่างกายยังแข็งแรงดี ถูกส่งมาทำงานในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้
“เฒ่าหลี่ เกิดอะไรขึ้น”
สวี่ชีอันจงใจทำเสียงฝีเท้าดังๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของเฒ่าหลี่ แต่เขากลับสะดุ้งสุดตัว ร่างกายสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชวนขวัญผวามา
“ฆ้อง ฆ้องเงินสวี่…”
เมื่อเห็นสวี่ชีอัน แววตาที่หม่นหมองของเจ้าพนักงานเฒ่าก็เปี่ยมล้นด้วยความหวัง
เขาประหลาดใจระคนยินดี ลุกขึ้นยืนตัวสั่นงันงก และกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ฆ้องเงินสวี่มาได้อย่างไร”
สวี่ชีอันจับมืออีกฝ่าย แล้วถามซ้ำ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้าพนักงานเฒ่าก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “เมื่อช่วงบ่าย มีเพื่อนบ้านวิ่งเข้ามาบอกพวกข้า ว่าข้างนอกมีคนตามหาไต้ซือเหิงหย่วนอยู่ แล้วก็ให้รูปเหมือนของท่านมา
“ข้าขอให้ไต้ซือเหิงหย่วนรีบหลบหนีออกไป พอตกค่ำก็มีกลุ่มคนลึกลับบุกเข้ามาในสถานรับเลี้ยงเด็ก พอจับตัวไต้ซือเหิงหย่วนไม่ได้ ก็ถามพวกข้าเกี่ยวกับท่าน แล้วก็จากไปทันที
“ใครเลยจะรู้ว่าพอตกดึก พวกมันกลับมาอีกครั้ง ต้อนเด็กๆ และคนแก่ไปรวมตัวกันที่หน้าประตู แล้วขู่ว่าหากไต้ซือเหิงหย่วนไม่กลับมา พวกมันจะสังหารพวกข้าทีละคน ทุกๆ หนึ่งเค่อ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฒ่าหลี่ก็ปล่อยโฮออกมา “เฒ่าจางผู้โชคร้ายถูกพวกนั้นเชือดเข้าที่คอ เขาตายอยากทุกข์ทรมาน ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นไม่หยุด เลือดไหลเจิ่งนองไปทั่ว”
“พอไต้ซือเหิงหย่วนกลับมา พวกมันก็จับตัวท่านไป ไม่รู้ว่าจับตัวไปที่ไหน ไต้ซือเหิงหย่วนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้าก็ไม่รู้…”
ใบหน้าของหลี่เมี่ยวเจินซีดเผือด
“เจ้าเห็นลักษณะของคนพวกนั้นชัดเจนหรือไม่” สวี่ชีอันถาม
“พวกมันสวมชุดคลุมและหน้ากากสีดำ มองไม่เห็นใบหน้า” เจ้าพนักงานเฒ่าคร่ำครวญ
สายลับของไหวอ๋อง!
สวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินมองหน้ากัน เพราะพวกเขาเดาได้ตั้งแต่แรก จึงไม่รู้สึกแปลกใจ แต่กลับเดือดดาลมากกว่า
หากเหิงหย่วนไม่ปรากฏตัวละก็ ทุกคนในสถานรับเลี้ยงเด็กต้องถูกฆ่าตายจนเกลี้ยงอย่างไม่ต้องสงสัย
“เราทุกคนประเมินความโหดเหี้ยมของสายลับไหวอ๋องต่ำเกินไป” สวี่ชีอันกดเสียงต่ำ
ฝูงสัตว์เลือดเย็น
ไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตมนุษย์ก็ไม่ใช่ผักปลาที่นึกอยากจะฆ่าก็ฆ่า ซ้ำร้ายยังเป็นเพียงชายชราตัวคนเดียว
“ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด”
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงลอดไรฟันที่ขบแน่น “ท่านอาจารย์ของข้าเคยกล่าวว่า คนที่ไม่เคารพชีวิตของผู้อื่น ชีวิตของมันไม่สมควรถูกเคารพเช่นกัน”
สวี่ชีอันเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปาก “คนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง เอ่อ เด็กน้อยหลังสำนักพวกนั้นล่ะ”
เจ้าพนักงานเฒ่าพยักหน้า “ก็ตกใจกลัวกันนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมากนัก นอนหลับสักตื่นเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
เด็กพวกนั้นต้องเกิดความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจตามมาอย่างแน่นอน เพียงแค่ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของเหล่าผู้ที่ถูกทิ้งขว้าง เปลี่ยวเดียวดายเหล่านี้ก็เท่านั้น
“คืนนี้พวกข้าจะพักที่นี่ เจ้าแก่แล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
สวี่ชีอันส่งเจ้าพนักงานเฒ่ากลับไปที่ห้อง และกลับไปที่โถงฝั่งตะวันออก จงหลีและหลี่เมี่ยวเจินยืนอยู่กลางห้องโถงไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย
สถานการณ์ปัจจุบันเลวร้ายมาก
เหิงหย่วนถูกสายลับของไหวอ๋องจับตัวไป และดูสถานการณ์จะดิ่งลงเหว
สมบัตินิกายปฐพี ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตกไปอยู่ในมือของจักรพรรดิหยวนจิ่ง และจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เข้าพวกกับเต๋ามารนิกายปฐพี…
พวกมันอาจถึงขั้นรีดข้อมูลภายในพรรคฟ้าดินจากปากของเหิงหย่วนออกมาก็เป็นได้ แน่นอนว่าเหิงหย่วนไม่มีทางปริปากสารภาพ แต่นิกายปฐพีย่อมมีวิธีทำให้เขาสารภาพออกมา เช่นฆ่าแล้วเรียกวิญญาณมาสอบถาม เป็นต้น
เมื่อตัวตนของสวี่ชีอันในฐานะผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีถูกเปิดเผย ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็จะตอบโต้กลับมา ผู้แข็งแกร่งลึกลับที่ปรากฏตัวในฉู่โจวแท้จริงแล้วคือสวี่ชีอัน
จักรพรรดิหยวนจิ่งน่าจะเดาออกประมาณแปดในสิบส่วนว่าสิ่งที่ผนึกอยู่ใต้ซังผออยู่ในร่างของสวี่ชีอัน
ทันใดนั้น ความกดดันก็ถาโถมเข้ามา
สวี่ชีอันเช็ดใบหน้า แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมี่ยวเจิน บอกพวกเขาว่าเหิงหย่วนถูกจับตัวไปแล้ว เป็นตายไม่ทราบได้ ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็ตกไปอยุ่ในมือของจักรพรรดิหยวนจิ่งเช่นกัน”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา และแจ้งข่าวแก่สมาชิกพรรคฟ้าดิน
หมายเลขสี่ ‘สถานการณ์ดำเนินไปในทางที่ย่ำแย่ที่สุดตามที่คาด’
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความอย่างทอดถอนใจ
หมายเลขห้า ‘ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี’
แม้แต่ลี่น่าที่ไม่ค่อยฉลาดก็ยังรู้สึกลำบากใจ
ไม่มีใครตอบนาง และตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหิงหย่วนตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ อีกอย่างคู่ต่อสู้ของพวกเขาเป็นถึงจักรพรรดิ
ในคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจวครานั้น ศัตรูก็เป็นจักรพรรดิ แต่มี ‘พันธมิตร’ ทั้งข้าราชการบู๊บุ๋นนับร้อย ท่านโหราจารย์ จ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่
สถานการณ์มันต่างกัน ตอนนั้นสามารถพูดได้เลยว่าเป็นเพราะกระแสส่วนใหญ่ จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ขวางกระแส จึงต้องพ่ายแพ้ไป
แต่คราวนี้ มีเพียงพรรคฟ้าดินเท่านั้น
ในความเงียบงันอันน่าสลดหดหู่ นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความมาทันที ‘อาตมาสัมผัสได้ว่าชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของเหิงหย่วนอยู่ไม่ไกลจากพวกเจ้า’
ดวงตาของสวี่ชีอันสว่างสดใสขึ้นในทันใด
นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้บอกว่า ‘พวกเจ้า’ ที่ว่านั้นเป็นใคร แต่สวี่ชีอันรู้ดีว่าหมายถึงพวกเขา
จริงด้วย ข้าจิตตกจึงประเมินไต้ซือเหิงหย่วนต่ำเกินไป เขาต้องสละตัวเองอย่างแน่วแน่เพื่อแลกกับชีวิตของผู้คนในสถานรับเลี้ยงเด็ก ย่อมไม่นำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีติดตัวไปด้วยอย่างแน่นอน…สวี่ชีอันหันขวับไปมองเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์
“เมี่ยวเจิน!”
หลี่เมี่ยวเจินเปิดถุงหอมคาดเอว แล้วปล่อยควันสีเขียวพวยพุ่งออกมา กลุ่มควันแผ่กระจายในลักษณะบิดงอ เสาะหาชิ้นส่วนหนังสือปฐพี โดยยึดสถานรับเลี้ยงเด็กเป็นศูนย์กลาง
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ควันสีเขียวก็ห่อหุ้มกระจกบานหนึ่งกลับมา วางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ควันสีเขียวลอยมาหยุดตรงหน้าหลี่เมี่ยวเจินและบิดงอราวกับกำลังโค้งคำนับ
“พรุ่งนี้จะให้พลังหยินเป็นสองเท่าเลย”
หลี่เมี่ยวเจินให้คำมั่นสัญญา จากนั้นจึงเปิดถุงหอม อ้าปากและกรีดร้องอย่างไร้เสียง
ทันใดนั้น กลุ่มควันสีเขียวก็ถูกเรียกพุ่งกลับลงไปในถุงหอม
“เหิงหย่วนโยนชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลงในพงหญ้าข้างทาง ห่างจากสถานรับเลี้ยงเด็กไม่ไกลนัก” เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์กล่าว และส่งข้อความบอกเล่าให้แก่สมาชิกผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือ
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความลงไป ‘ดีมาก ทุกท่าน อาตมาคิดว่า ขั้นต่อไปพวกเราต้องปรึกษากันอย่างถ้วนถี่แล้ว’
หมายเลขหนึ่ง ‘นั่นแหละที่ข้าต้องการ’
หมายเลขหนึ่งตอบกลับอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเขา (หรือนาง) ติดตามความเป็นไปของสถานการณ์อยู่ตลอด
ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความลงไป ‘หมายเลขสาม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจ้าค้นพบ สถานการณ์เป็นมาอย่างไร เจ้าควรบอกพวกเราได้แล้ว’
สวี่ชีอันส่งข้อความโดยใช้คำพูดต่างพู่กัน ‘ยังจำเรื่องที่ไต้ซือเหิงหย่วนบุกเข้าไปในจวนของผิงหย่วนป๋อ และสังหารผิงหย่วนป๋อได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าช่วยเขาไว้เอง’
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน ก่อนหน้าคดีซังผอ ทุกคนคงจำได้
หมายเลขสี่ ‘ครั้งนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งเกี่ยวข้องกับเหิงหย่วน และเรื่องนี้ด้วยหรือ’
หลี่เมี่ยวเจินเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ และเหลือบมองสวี่ชีอัน
หมายเลขสาม ‘ข้าได้รับรู้เรื่องราวหนึ่งจากแหล่งลับ ผิงหย่วนป๋อควบคุมสมาคมนายหน้า และบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความจงรักภักดีนั้นก็คือจักรพรรดิหยวนจิ่ง’
หมายเลขหนึ่ง ‘เป็นไปไม่ได้!’
หมายเลขหนึ่งปฏิเสธคำพูดของเขาอย่างเด็ดขาดด้วยถ้อยคำสั้นๆ สี่คำ
หมายเลขสี่ ‘แม้ว่าข้าจะเกลียดจักรพรรดิหยวนจิ่ง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะบงการสมาคมนายหน้า และเป็นผู้ร้ายตัวจริงเบื้องหลังการค้ามนุษย์ เพราะเขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้’
จักรพรรดิเป็นใคร
เขาคือคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจในราชสำนัก ใครหน้าไหนจะมีอำนาจเหนือกว่าเขา ไม่มีอีกแล้ว แม้ว่าท่านโหราจารย์จะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ในแง่ของอำนาจย่อมไม่อาจเอาชนะได้ อำนาจในมือของจักรพรรดินั้นยิ่งใหญ่ที่สุด
อย่าว่าแต่ราษฎรสามัญชน เฉพาะเชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนาง จักรพรรดิก็มีสิทธิ์ตัดสินชะตาของพวกเขา
ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นนี้ จำเป็นต้องค้ามนุษย์ด้วยหรือ
ข้ารู้ว่ามันไม่น่าเชื่อ เหมือนบอกว่าแจ๊ก หม่าต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการขโมยแบตเตอรี่รถยนต์ไปขายอย่างไรอย่างนั้น…สวี่ชีอันบ่นในใจ
เขาส่งข้อความต่อ ‘ศิษย์พี่ฉู่ ท่านเป็นปัญญาชน แต่ปัญญาของท่านยังไม่เฉียบแหลมพอ ที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทำเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล’
หมายเลขเก้า ‘เหตุผลอะไร’
คราวนี้นักบวชเต๋าจินเหลียนเปิดฉากถามก่อนเป็นคนแรก ดูเหมือนว่าเขาจะอยากรู้อยากเห็นพอสมควร
หมายเลขสาม ‘ข้าไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่ข้ารู้ว่าสมาคมนายหน้าจะส่งกลุ่มคนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าไปในวังเป็นประจำ กระบวนการนี้เกิดขึ้นมานานเท่าใด ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ แต่ที่แน่ใจคือน่าจะเกิดขึ้นหลายปีแล้ว’
เขาไม่หยุดพัก แล้วส่งข้อความต่อ
‘ผิงหย่วนป๋อคิดว่าตนเองกุมความลับที่จะใช้เล่นงานจักรพรรดิหยวนจิ่งได้ เกิดจิตมักใหญ่ใฝ่สูง หมายจะครอบครองอำนาจและตำแหน่งที่สูงขึ้น จึงร่วมมือกับพรรคเหลียง ปลิดชีพท่านหญิงผิงหยาง
‘ในคดีนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้เห็นทั้งหมด แต่เขาเลือกที่จะปกป้องผิงหย่วนป๋อ กระทั่งผิงหย่วนป๋อไม่รู้จักเจียมตัว จนดึงดูดความสนใจของเว่ยเยวียนเข้า เพื่อปกปิดเรื่องนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงคิดหาทางใช้ประโยชน์จากคดีของท่านหญิงผิงหยาง มาฆ่าปิดปากผิงหย่วนป๋อเสีย’
หลี่เมี่ยวเจินเงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง สีหน้าที่ตกตะลึงอย่างสุดขีดบ่งบอกว่านางคาดเดาสิ่งที่ตามมาได้แล้ว
หมายเลขหนึ่ง ‘ความหมายของเจ้าคือ เหิงหย่วนกลายเป็นเครื่องมือของฝ่าบาท ในการสังหารผิงหย่วนป๋อสินะ’
นอกจากลี่น่าแล้ว สติปัญญาของสมาชิกพรรคฟ้าดินล้วนอยู่เหนือระดับมาตรฐาน
แน่นอนว่าพลังต่อสู้ของลี่น่าเองก็อยู่เหนือมาตรฐานเช่นกัน ป้าอ๋องน้อยแห่งซินเจียงตอนใต้ ผู้เคลื่อนภูผา แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สุดในโลก
หมายเลขสี่ ‘เช่นนั้น ที่สายลับของไหวอ๋องจึงพุ่งเป้ามาที่เหิงหย่วน ก็เป็นเพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งต้องการฆ่าปิดปากเขาหรือ ไม่สิ ถ้าคิดจะฆ่าปิดปากจริงๆ ก็น่าจะฆ่าไปนานแล้ว เหตุใดต้องรอคอยมาจนถึงตอนนี้ด้วย’
หมายเลขสาม ‘ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว การฆ่าปิดปากนั้นขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา และความจำเป็น ลองคิดดูสิ เหิงหย่วนเป็นใคร ก็แค่จอมยุทธ์ภิกษุคนหนึ่งจากวัดมังกรเขียว เขาเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งในคดีท่านหญิงผิงหยาง ไม่ได้มีความสลักสำคัญอันใด หมากที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง จำเป็นต้องฆ่าปิดปากด้วยหรือ’
หมายเลขสี่ ‘แต่ตอนนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องฆ่าปิดปากเขาแล้ว’ ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความไป
หมายเลขสาม ‘ถูกต้อง เช่นนั้นเหตุผลที่ทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่ตัดสินใจฆ่าปิดปากเขาคืออะไรล่ะ ทุกท่านลองนึกถึงสิ่งที่ไต้ซือเหิงหย่วนทำเมื่อไม่นานมานี้สิ’
หยุดทหารรักษาวัง และปกป้องเมล็ดบัวจากเจี้ยนโจว!
สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างตะลึงงัน
หมายเลขสาม ‘ไต้ซือเหิงหย่วนอยู่ใกล้ชิดกับพวกเจ้าเกินไป และใกล้ชิดกับพี่ใหญ่ของข้าเกินไปด้วย แล้วพี่ใหญ่ของข้าเป็นใครล่ะ เป็นคนสนิทของเว่ยเยวียนที่ไม่มีคดีไหนบนโลกนี้ที่เขาไขไม่ได้
‘ในคดีสังหารหมู่ฉู่โจว จักรพรรดิหยวนจิ่งได้เปิดเผยหลายสิ่งหลายอย่างออกมา พอถึงตอนนี้ เขาค้นพบว่าไต้ซือเหิงหย่วนคลุกคลีกับพวกเจ้าก็เกิดความกังวล และความหวาดกลัวขึ้น จึงตัดสินใจฆ่าปิดปากเขา
‘และสาเหตุของการฆ่าปิดปากนั้น ข้าเดาว่าไต้ซือเหิงหย่วนค้นพบเบาะแสสำคัญบางอย่างในขณะที่เสาะหาศิษย์น้องเหิงฮุ่ยที่หายตัวไป ตัวเขาเองอาจจะไม่ตระหนักถึงมัน แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งเองก็กลัวว่าเขาจะเปิดเผยออกไป’
หมายเลขหนึ่ง ‘ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่ข้ายังสงสัยอยู่สองอย่าง อย่างแรกฝ่าบาทจะลักตัวราษฎรในเมืองไปเพื่ออะไร อย่างที่สอง การรักษาความปลอดภัยในวังนั้นเข้มงวดอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเข้าหรือออกย่อมมีบันทึกเอาไว้ กลุ่มอำนาจในวังนั้นสลับซับซ้อนมีสายตาจับจ้องจากทุกฝ่าย ทั้งท่านโหราจารย์ ราชครู เว่ยเยวียน และพรรคต่างๆ
‘ต่อให้ฝ่าบาทคิดจะส่งคนเข้าไปก็ใช่ว่าจะส่งเข้าไปได้ดื้อๆ นี่ยังไม่ได้พูดถึงจำนวนคนที่มากถึงเพียงนั้นอีก’
จะว่าไปแล้วเส้นทางการสัญจรมันก็ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ในตอนนี้เองลี่น่าก็ส่งข้อความเข้ามา ‘เรื่องนี้ง่ายจะตายไป ขุดเส้นทางลับเสียก็จบ’
สาวน้อยหน้าโง่สรุปในหนึ่งคำพูด…
กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีเงียบกริบ
หากเป็นช่องทางลับ ผิงหย่วนป๋อต้องรู้แน่ แต่ผิงหย่วนป๋อตายไปแล้ว เช่นนั้นใครล่ะที่จะรู้ได้ หัวหน้ากลุ่มย่อยในสมาคมนายหน้าหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น เว่ยกงเอ๋ยเว่ยกง ท่านชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว…อืม ก็ไม่แน่เสมอไป เส้นทางลับควรจะเป็นความลับสุดยอด ผิงหย่วนป๋อจะปล่อยให้ลูกน้องล่วงรู้ได้อย่างไร…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว แล้วส่งข้อความต่อ
‘สิ่งที่พวกเราควรพิจารณาในตอนนี้ไม่ใช่ความลับของจักรพรรดิหยวนจิ่ง แต่จะทำอย่างไรกับไต้ซือเหิงหย่วนต่างหาก’
ไม่มีใครตอบเขา เพราะว่าทุกคนไม่เข้าใจอะไรเลย
ท่ามกลางบรรยากาศเคร่งขรึม นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความไปว่า ‘หาที่อยู่ของเขาให้เจอเสียก่อน ส่วนเรื่องความปลอดภัยของเขา พวกเจ้าไม่ต้องกังวลมากก็ได้ เหิงหย่วนไม่ตายหรอก’
‘เหตุใดเจ้าถึงได้มั่นใจนัก’
ทุกคนในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีต่างตั้งคำถามขั้นในใจโดยพร้อมเพรียง
หมายเลขเก้า ‘นี่เป็นความลับของเหิงหย่วน ข้าเปิดเผยไม่ได้ เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาตจากเขา แต่ข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้ว่านี่คือเหตุผลที่ข้าเลือกเขาให้เป็นผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
‘แน่นอนว่าถึงอย่างไรก็ต้องตามหาเขาให้เจอ ตอนนี้ไม่เกิดเรื่อง ใช่ว่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้นในภายหลัง’
หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเปิดเผยตัวตนเป็นการชั่วคราว และไม่ต้องหอบครอบครัวหนีไปจากเมืองหลวง…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วส่งข้อความต่อ
‘เรื่องนี้ให้พี่ใหญ่ข้าจัดการเถิด หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรับผิดชอบลาดตระเวนตามท้องถนน ย่อมหาบันทึกการเข้าออกของสายลับไหวอ๋องได้อยู่แล้ว’
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวเสริม ‘หาวิธีที่จะล่อลวงสายลับของไหวอ๋องออกไปฆ่านอกเมืองและให้เมี่ยวเจินเรียกวิญญาณมาสอบสวนด้วย’
หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อย พรรคฟ้าดินก็ยุติการสนทนาที่ยาวนานนี้
…
หลังรุ่งสางหลี่เมี่ยวเจินและสวี่ชีอันกลับไปที่เมืองชั้นใน คนหลังไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและมอบหมายให้ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวตรวจสอบบันทึกการเข้าออกของเมืองชั้นในและเขตพระราชฐานเมื่อวานนี้
พร้อมทั้งนัดแนะว่าจะไปฟังเพลงที่หอคณิกาในวันถัดไป เสร็จแล้วก็ไปจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
สวี่ชีอันขี่แม่ม้าน้อยสุดที่รักห้อตะบึงกลับจวน จากนั้นก็ออกมาเพียงลำพัง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ และรูปลักษณ์ที่หอคณิกาเรียบร้อยแล้วก็จากไป หลังจากเดินวกวนอยู่นาน ในที่สุดเขาก็มาถึงเรือนของแม่ม่ายมู่หนานจือ
เคาะประตูอยู่นานแต่ไม่มีใครตอบ
หลังจากเคาะอีกหลายครั้ง ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากในบ้าน
‘เอี๊ยด!’
ประตูลานบ้านเปิดออก พระมเหสีแหงนหน้าเหม่อมองท้องฟ้า ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง นางยืนอยู่บนธรณีประตูด้วยสายตาง่วงเหงาหาวนอน
“มาเปิดประตูช้าแบบนี้ แอบเล่นชู้อยู่ในบ้านหรืออย่างไร” สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด
พระมเหสีกลอกตาใส่เขาหนึ่งที
สวี่ชีอันก้าวเข้าไปในลานบ้าน และถูกดึงดูดด้วยปราณวิญญาณจางๆ ในทันใด เขามองไปยังอ่างเก็บน้ำในลานบ้านด้วยความประหลาดใจ
น้ำในอ่างใสแจ๋วและมีตะกอนตื้นๆ ทับถมอยู่ รากบัวส่วนเล็กๆ ฝังอยู่ในตะกอนครึ่งหนึ่งและมีรากฝอยงอกออกมา
มันงอกเงยแล้วจริงๆ
…………………………………………………………….