ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 433-2 ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เผยหม่านซีโหลว (2)
บทที่ 433 ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เผยหม่านซีโหลว (2)
วันรุ่งขึ้น คณะทูตปีศาจเข้าวังไปพบนักบุญ ผ่านประตูอู่ ข้ามสะพานจินสุ่ยและไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิที่ตำหนักกระดิ่งทอง
ตลอดทาง หวงเซียนเอ๋อร์ไม่มีความประหม่าในการเข้าเฝ้าจักรพรรดิแม้แต่น้อย นางใช้ท่าทางเขินอายหลอกล่อทหารรักษาพระองค์ ขุนนางชั้นสูงและผู้ชายทุกคนระหว่างทาง
เมื่อเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทอง ทั้งสองฝั่งเป็นข้าราชการระดับสูง จักรพรรดิหยวนจิ่งยืนเหนือเก้าอี้มังกร
หวงเซียนเอ๋อร์เก็บท่าทางโปรยเสน่ห์เล็กน้อย แต่ยังคงเข้าเฝ้าจักรพรรดิด้วยท่าทางออดอ้อน
จากนั้นทั้งสองเผ่าปีศาจกับอนารยชนก็ถวายเครื่องบรรณาการให้จักรพรรดิหยวนจิ่ง นอกจากเครื่องบรรณาการแล้ว ยังมีหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกที่หน้าตางดงามอีกสามคน ซึ่งมีคุณภาพสูงสุด
เวลาเผ่าพันธุ์อื่นถวายเครื่องบรรณาการ ในเครื่องบรรณาการย่อมมีหญิงงามเป็นเรื่องปกติ
เมื่อขันทีชราขับบทกวีเสร็จ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตรัสอย่างพึงพอใจว่า
“ได้ยินว่าสงครามทางเหนือนั้นราวกับไฟป่า ข้าเป็นกังวลมาก ทว่าฤดูเก็บเกี่ยวใกล้มาถึงแล้ว ประชาชนต่างก็ยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยว ข้าจึงไม่อาจส่งกองกำลังขึ้นไปทางเหนือได้ ข้าจะรวบรวมหนังสือการทหารที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินให้และหวังว่ามันจะช่วยพวกเจ้าต่อต้านศัตรูภายนอกได้”
เผยให้เห็นความยากลำบากของราชสำนักก่อน ฤดูเก็บเกี่ยวใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว จึงไม่เหมาะจะทำสงคราม จากนั้นก็ส่งหนังสือการทหารไป เพื่อแสดงความแข็งแกร่งทางการทหารของต้าฟ่ง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! ขอให้ต้าฟ่งกับเผ่าเทพของกระหม่อมทำพันธสัญญากันตลอดไป เพื่อสัมพันธไมตรีจะคงอยู่ตลอดกาล” เผยหม่านซีโหลวคุกเข่าลงบนพื้นอย่างเคารพนอบน้อม
หลังเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้า เผยหม่านซีโหลวก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องขอความช่วยเหลือสักประโยคจนกระทั่งจากไป
จิตใจช่างสงบนิ่งนัก!
ขุนนางในราชสำนักต่างก็ประหลาดใจ เยาะเย้ยและสัพยอก
ในมุมมองของพวกเขา ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่หยาบคายกว่าทหาร การขอร้องอย่างเร่งรีบในท้องพระโรงให้ราชสำนักส่งกองทัพไปช่วยจึงเป็นวิธีการเปิดที่ถูกต้อง
คิดไม่ถึงว่าเผยหม่านซีโหลวผู้นี้จะมีจิตใจที่สงบนิ่ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น สุดท้ายเขาก็ยังต้องเปิดปากและแสดงความสุขุมออกมาในท้องพระโรง ซึ่งไม่ค่อยสลักสำคัญนัก
หลังออกจากวัง ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรง เสวียนอินก็กลั้นไม่ไหวอีกต่อไปและรีบถามว่า
“พี่ใหญ่เผยหม่าน ท่านบอกว่าตำราพิชัยสงครามของต้าฟ่งนั้นเลอะเทอะไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านต้องการเอาชนะพวกเขาในเขตแดนที่พวกเขาภาคภูมิใจมากที่สุดและได้รับความเคารพหรอกหรือ เหตุใดเมื่อสักครู่ท่านถึงไม่พูดอะไรเลย”
หวงเซียนเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก
“เจ้าโอ้อวดให้คนเหล่านั้นดูจะมีความหมายอะไร แม้ว่าจะโอ้อวดจนถึงสรวงสวรรค์ พวกเขาก็เมินเฉย”
นางหันไปมองเผยหม่านซีโหลวและถามว่า “ท่านวางแผนจะจัดการผู้ใดก่อน”
เผยหม่านซีโหลวเอ่ยเสียงเรียบ “ราชวิทยาลัยหลวง!”
…
พ้นยามบ่ายไปก็มีข่าวจากราชวิทยาลัยหลวงว่า หัวหน้าคณะทูตเผ่าอนารยชน เผยหม่านซีโหลวไปเยี่ยมเยียนราชวิทยาลัยหลวง ประลองความรู้กับมหาเสนาธิการและชนะ
‘ชายผู้นี้ฉลาดล้ำลึก ข้าไม่อาจเทียบได้…’ มหาเสนาธิการประเมิน
เขาไม่ได้จากไปในทันที เขาบรรยายที่ราชวิทยาลัยหลวงอย่างโจ่งแจ้งและทิ้งหนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ ที่ตัวเองเขียนไว้ที่ราชวิทยาลัยหลวง
‘เป็นแค่คนป่าเถื่อนยังจะเขียนหนังสืออีกหรือ’
ตอนแรกบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงก็โกรธจัด แต่เมื่อเสียงวิจารณ์ของหนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ บ่มเพาะขึ้น เสียงด่าทอก็ค่อยๆ สงบลงและตกตะลึงกับความรู้ของคนป่าเถื่อนมากยิ่งขึ้น
หนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ นั้นมีจำนวนมาก ความกว้างขวางของเนื้อหากับสาระสำคัญก็น่าทึ่งและไม่ใช่สิ่งที่สามารถเรียบเรียงได้ในชั่วข้ามคืน
ปกติหนังสือระดับนี้มีเพียงราชสำนักเท่านั้นที่จะเรียบเรียง เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะถูกเรียบเรียงโดยชายหนุ่มเผ่าอนารยชนคนเดียว
อาศัยหนังสือเล่มนี้เพียงเล่มเดียว เผยหม่านซีโหลวก็สามารถติดอันดับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าได้
สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจมากที่สุดคือในหนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ หลายเล่มบันทึกประวัติศาสตร์ของเผ่าปีศาจกับเผ่าอนารยชนไว้อย่างละเอียด ที่มาและวิวัฒนาการของทั้งสองเผ่า โดยเฉพาะรายละเอียดของประวัติศาสตร์แปดร้อยปีในยุคปัจจุบัน ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าหนังสือประวัติศาสตร์ที่ต้าฟ่งเรียบเรียงเลย
เขาตบราชวิทยาลัยหลวงกับปัญญาชนของต้าฟ่งเสียงดังก้อง
เผยหม่านซีโหลวมีชื่อเสียงมากมายไปชั่วขณะ
“ไม่น่าเชื่อ เผ่าอนารยชนที่หยาบคายมีนักวิชาการเช่นนี้ด้วยหรือ”
“เผยหม่านซีโหลวเป็นคนของกลุ่มผมขาว ซึ่งกลุ่มผมขาวเลื่องชื่อด้านความเฉลียวฉลาด แต่คนที่เหมือนกับเขานั้นมีน้อยมากๆ”
“หากข้าสามารถเขียนหนังสือเล่มนี้ได้ ข้าต้องได้บันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน คนป่าเถื่อนผู้นี้เก่งเกินไปแล้ว”
“น่าละอายยิ่งนัก ตอนที่ข้าอายุเท่าเขา ข้ายังศึกษาเล่าเรียนอยู่เลย ตอนนี้ข้าอายุมากแล้ว จึงไม่มีเรี่ยวแรงจะเขียนหนังสืออีก”
“คนคนนี้ช่างน่ารังเกียจ ก่อนอื่นเขาประลองความรู้กับมหาเสนาธิการ หลังจากนั้นก็แสร้งทำเป็นทิ้งหนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ ไว้อย่างเอื้อเฟื้อ นี่เป็นการตบหน้าปัญญาชนของต้าฟ่งของพวกเรา”
เป็นเพราะตัวตนในฐานะเผ่าอนารยชนและความรู้ของอีกฝ่าย จึงแสดงให้เห็นถึง ‘ความไร้ความสามารถ’ ของปัญญาชนของต้าฟ่ง เพราะปัญญาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำผลงานเช่นนี้ออกมาได้
“หากมีใครในหมู่ผู้เยาว์มีความรู้เทียบเท่ากับคนคนนี้ คงมีเพียงองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเท่านั้น”
“องค์หญิงฮว๋ายชิ่งศึกษาเล่าเรียนที่ราชวิทยาลัยหลวงและสำนักอวิ๋นลู่ตามลำดับ ทว่าคนคนนี้เกิดในเผ่าอนารยชนและไม่มีอาจารย์ชี้แนะ ใครสูงกว่าใครต่ำกว่ามองปราดเดียวก็รู้แล้ว”
การมาเยือนเมืองหลวงของคณะทูตปีศาจนั้นได้รับความสนใจอย่างมาก ไม่เพียงแต่ข้าราชการกับนักปราชญ์เท่านั้นที่ให้ความสนใจ ประชาชนในเมืองหลวงก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เดิมทีหัวข้อสนทนาของพวกเขาคือราชสำนักควรส่งกองทัพไปช่วยปีศาจหรือไม่และข่าวที่คนป่าเถื่อนทางเหนือมีความรู้ก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปยังภัตตาคาร หอนางโลมและสถานที่อื่นๆ
“ไร้สาระ คนป่าเถื่อนต่ำช้าจะไปมีความรู้และทำให้มหาเสนาธิการแห่งราชวิทยาลัยหลวงยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร ไอ้โง่คนไหนกุข่าวลือขึ้นมา”
สำหรับข่าวลือดังกล่าว คนที่ได้ยินต่างก็ไม่มีใครเชื่อและพากันดูถูกดูแคลน
ในสายตาของประชาชน ราชวิทยาลัยหลวงเป็นสถานศึกษาหลวงและเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะด้านวรรณกรรม
สถานะของปัญญาชนจึงสูงมาก
แต่ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากข่าวได้รับการยืนยัน เสียงก่นด่าก็ดังไปทั่วตลาด หลังเวลาอาหาร ประชาชนในเมืองหลวงก็ไม่คุยกันอีกว่าจะส่งกองทัพไปหรือไม่ แต่พากันโจมตีราชวิทยาลัยหลวงและก่นด่าพวกเขาว่าทำให้ศักดิ์ศรีของอาณาจักรเสื่อมเสีย ทำให้ต้าฟ่งเสื่อมเสีย
รับแต่เงินเดือนไม่ยอมทำงาน พวกคนไร้ประโยชน์
“ฆ้องเงินสวี่เป็นทหารยังสามารถเป็นนักกวีของต้าฟ่งได้ เห็นได้ชัดว่าปัญญาชนของราชวิทยาลัยหลวงย่ำแย่เพียงใด พวกคนไร้ประโยชน์”
“คำพูดนี้ฟังดูแล้วเหมือนเจ้ากำลังดูถูกฆ้องเงินสวี่”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงแค่โกรธพวกคนไร้ประโยชน์ในราชวิทยาลัยหลวง”
“ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก พ่ายแพ้ให้กับคนป่าเถื่อนด้านความรู้ ช่างน่าอัปยศอดสู ต้าฟ่งของข้าไม่เหลือใครแล้วหรือ”
…
ศาลาพักม้า
ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรง เสวียนอินกลับมาจากข้างนอก บนบ่าแบกกล่องหนังสือกล่องเล็กไว้ เขาจงใจวางมันลงอย่างแรง เดินไปทางเผยหม่านซีโหลวกับหวงเซียนเอ๋อร์ที่อยู่ในลานและหัวเราะเสียงดัง
“พวกนักวิชาการไร้ประโยชน์แห่งราชวิทยาลัยหลวง ข้าเพียงแค่บอกว่าจะยืมหนังสือให้พี่ใหญ่เผยหม่าน พวกเขาก็ไม่กล้าขวางข้าแล้ว ข้างนอกก่นด่าพี่ใหญ่อย่างหนัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขากลัว กลัวความรู้ของท่าน”
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าการเรียนนั้นไร้ประโยชน์ แต่สามารถทำลายความฮึกเหิมของเผ่ามนุษย์ด้านการเรียนได้ ช่างรู้สึกดีและอิ่มอกอิ่มใจจริงๆ
“เพียงแค่แลกเปลี่ยนหนังสือเท่านั้น แค่แลกเปลี่ยนหนังสือเท่านั้น…”
เผยหม่านซีโหลวหยิบหนังสือในกล่องขึ้นมาราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า
“มหาเสนาธิการอะไรนั่นเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุด แม้แต่เขาก็สู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ดูเหมือนปัญญาชนของเผ่ามนุษย์ก็มีแค่นี้” เสวียนอินหัวเราะเสียงดัง
ช่างอิ่มอกอิ่มใจนัก!
“มหาเสนาธิการมีความรู้ล้ำลึก แต่วรรณกรรมของเผ่ามนุษย์นั้นเจริญรุ่งเรือง เขาไม่อาจเป็นตัวแทนของเผ่ามนุษย์ทั้งหมดได้ ในพระราชวังมีสตรีพิเศษ ความรู้ของนางเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม”
เผยหม่านซีโหลวหยิบคำอธิบายสี่ตำราขึ้นมาและอ่านอย่างเพลิดเพลิน
หลังจาก ‘สนทนาเต๋า’ ที่ราชวิทยาลัยหลวงก็ผ่านมาสามวันแล้ว เหล่าปีศาจในคณะทูตทั้งตกใจและประหลาดใจเมื่อพบว่าหัวหน้าของพวกเขา เผยหม่านซีโหลวก้าวกระโดดจนกลายเป็นบุคคลยอดนิยม
กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการสนทนาและสร้างความตกใจให้กับเผ่ามนุษย์อย่างมาก
หวงเซียนเอ๋อร์เล่นสีชาดที่ซื้อมาจากร้านค้าและเอ่ยปากถาม “ตอนนี้ท่านมีชื่อเสียงมากพอแล้ว ต่อไปก็เจรจาหรือ”
สองสามวันมานี้ นางไม่ได้นิ่งเฉยและยัดจิ้งจอกสาวที่มีรูปโฉมงดงามให้กับขุนนางของต้าฟ่งมากมาย
“ยังไม่พอ”
เผยหม่านซีโหลวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นและอ่านหนังสือพลางกล่าวว่า
“ข้าได้ยินมาว่าที่เขตพระราชฐานจะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมในวันมะรืน ซึ่งเกี่ยวกับสงครามทางเหนือพอดี งานชุมนุมวรรณกรรมนั้นขึ้นชื่อมาก เซียนเอ๋อร์ เจ้าจงกระจายข่าวออกไปว่า ข้าจะไปหารือตำราพิชัยสงครามกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ จางเซิ่นที่งานชุมนุมวรรณกรรมและหวังว่าเขาจะเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมได้”
“ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่อาจไม่สนใจเจ้า” หวงเซียนเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
“ส่งจดหมายท้าประลองไป หากไม่มาก็เสียรู้ให้กับข้าเปล่าๆ ไม่ดีหรือ” เผยหม่านซีโหลวยิ้ม จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้และเอ่ยว่า
“จริงสิ พวกเราขึ้นไปที่ภูเขาชิงหยุนไม่ได้ หากไปจะถูกสะกด ไปหาสวี่ซินเหนียน ข้าสืบทราบมาว่า เขาเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่”
“ได้!”
ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขารู้สึกได้ว่า ในสายตาของมนุษย์เหล่านี้ พี่ใหญ่เผยหม่านดู ‘ทรงพลัง’ ขึ้น
แผนของพี่ใหญ่เผยหม่านกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น
…
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เหล่านักปราชญ์ยังคงศึกษาและคัดลอก ‘พิธีเป่ยไจ’ พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับความกว้างขวางของงานประพันธ์ชิ้นนี้และถูกวีรกรรมที่เผยหม่านซีโหลวจะไปหารือตำราพิชัยสงครามกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ จางเซิ่นทำให้ตกใจอีก
คนป่าเถื่อนผู้นี้นี่มันอย่างไรกัน
หลังจากตบหน้าราชวิทยาลัยหลวงแล้วยังต้องการตบหน้าสำนักอวิ๋นลู่อีกหรือ
คราวนี้ครึกครื้นขึ้น ส่วนวิธีการของเผยหม่านซีโหลว ปัญญาชนของราชวิทยาลัยหลวงต่างก็ทั้งโกรธทั้งคาดหวัง
สำนักอวิ๋นลู่ไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ
คนป่าเถื่อนนั่นจะไปหารือตำราพิชัยสงครามกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่จางเซิ่น โดยไม่สนว่ายากเพียงใด ช่างแกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ
พวกเขาเพียงแค่หวังว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่จะลดความเย่อหยิ่งลงชั่วคราว หากไม่ไยดีและปฏิเสธ ‘การหารือ’ ของคนป่าเถื่อน มันก็จะกลายเป็นหนทางไปสู่ชื่อเสียงของคนป่าเถื่อนนั่น
ห้องทรงพระอักษร การประชุมเล็ก
จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวใหญ่และกวาดตามองเหล่าขุนนางด้านล่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องเมื่อเร็วๆ นี้”
แน่นอนว่าเขาหมายถึงวิธีการโอ้อวดของเผยหม่านซีโหลว ใช้ความรู้ควบคุมราชวิทยาลัยหลวง โยน ‘พิธีเป่ยไจ’ ออกมาเพื่อสร้างชื่อเสียงในฐานะนักปราชญ์และต้องการหารือกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นที่งานชุมนุมวรรณกรรม
“คนคนนี้ตั้งใจจะสร้างชื่อเสียงที่เมืองหลวง เขาเพียงแค่อยากสร้างชื่อเสียงเพื่อเพิ่มเบี้ยต่อรองในการเจรจา”
“หึ คิดว่าทำเช่นนี้ ราชสำนักจะยอมอ่อนข้อหรือ ละเมอเพ้อพก”
“แม้เขาจะชนะจางเซิ่นจริง พวกเราก็จะไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อยเช่นกัน”
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว พวกเขายิ่งพูดเช่นนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขากลัวเผยหม่านซีโหลวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยถือเขาเป็นคนใหญ่คนโตและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
หากสภาพจิตใจมีปัญหาก็จะเปลี่ยนไป เมื่อเจรจาก็จะได้รับผลกระทบ
การเจรจากับเด็กน้อยที่ไม่เป็นที่รู้จัก แทนที่จะเจรจากับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า สภาพจิตใจจะเหมือนกันได้อย่างไร
สมุหราชเลขาธิการหวางก้าวออกมาและเอ่ยเสียงขรึม “หากต้องการยับยั้งอิทธิพลของเขา โจมตีพลังของเขาจะดีที่สุดและทำลายอิทธิพลที่เขาสร้าง”
จักรพรรดิหยวนจิ่งแค่นเสียงเย็น “ตอนนี้คงทำได้เพียงรอคอยจางเซิ่น”
เว่ยเยวียนหลุดยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า
…
พระตำหนักฮว๋ายชิ่ง
ฮว๋ายชิ่งที่สวมชุดชาววังอันสง่างามถือ ‘พิธีเป่ยไจ’ ที่ยืมมาจากราชวิทยาลัยหลวงไว้ในมือและอ่านอย่างมุมานะ
สวี่ชีอันกับหลินอันนั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน คนหนึ่งขมวดคิ้วแน่น คนหนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
ยายตัวร้ายฉวยโอกาสที่ฮว๋ายชิ่งไม่สนใจ ปอกองุ่นยัดใส่ปากสวี่ชีอัน สวี่ชีอันคายเมล็ดออกมาและถามว่า “หนังสือขาดๆ เล่มนี้มีอภินิหารเช่นนั้นจริงหรือ”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อยและพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “หากเผยหม่านซีโหลวเกิดที่ต้าฟ่ง เขาจะกลายเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอนและทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์”
สวี่ชีอันสูดหายใจเข้าลึกๆ “คนคนนี้สามารถเรียบเรียง ‘พิธีเป่ยไจ’ ออกมาได้ ต้องคุ้นเคยกับตำราพิชัยสงครามมากเป็นแน่ กล้าท้าทายจางเซิ่น แสดงว่าเขามีความมั่นใจอย่างมาก ‘กลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการ’ ของจางเซิ่นแพร่หลายอย่างกว้างขวาง เผยหม่านซีโหลวรู้จักจางเซิ่น แต่จางเซิ่นไม่รู้จักเขา”
หากพูดอย่างเป็นกลาง เขาไม่อยากเห็นเผ่าอนารยชนได้รับผลประโยชน์ ทว่าต้าฟ่งจำเป็นต้องส่งกองทัพไป แต่ไม่อาจเสียผลประโยชน์ให้ปีศาจทางเหนือเช่นนี้ได้
ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ปีศาจปล้นสะดมชายแดนอยู่บ่อยๆ เผาพระบัญญัติ แม้กระทั่งกินคน ตอนฉู่โจว สวี่ชีอันได้เห็นประชาชนที่หลบหนีกับตา ทั้งพลัดถิ่นและนอนกลางดินกินกลางทราย
เขาเห็นเหล่าครอบครัวยากจนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะสงคราม
เมื่อพิจารณาดูต้าฟ่ง ฉู่โจวเป็นหนึ่งในมณฑลที่ยากจนที่สุดและทนทุกข์จากการทำสงครามตลอดทั้งปี ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเผ่าอนารยชนทั้งสิ้น
ฮว๋ายชิ่งเม้มริมฝีปากอมชมพู น้ำเสียงแฝงความตึงเครียดไว้อย่างหาพบได้ยาก
“ท่านอาจารย์จางเคยผ่านสนามรบมาก่อน จากนั้นก็ลาออกเพราะไม่พอใจในความก้าวหน้าทางตำแหน่งราชการ เขามีความรู้ด้านตำราพิชัยสงครามอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายสิบปีก่อน ในช่วงหลายสิบปีมานี้ เขาอยู่อย่างสันโดษที่สำนัก เกรงว่าจะลืมเลือนการทหารไปแล้ว”
ภายในใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง
อันที่จริงหากพูดถึงตำราพิชัยสงคราม ตำราพิชัยสงครามเล่มเดียวที่เขารู้จักในชาติก่อนคือตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ ไม่เพียงแค่รู้จักเท่านั้น แต่เขายังท่องจำมันอีกด้วย
แน่นอนว่า สวี่ชีอันไม่ได้ท่องจำของแบบนี้ด้วยตัวเอง นี่เป็นของผู้เขียนนอกหลักสูตรที่อาจารย์นำมาอธิบาย
เวลาผ่านไปหลายปีเช่นนี้ ก็ลืมไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว
ทว่าหลังได้รับประโยชน์จากระดับหลอมวิญญาณ จิตเดิมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและอยู่เหนือคนทั่วไป เขาจึงจดจำรายละเอียดของตำราพิชัยสงครามซุนจื่อได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ จิ่วโจวมีพลังพิเศษ ในความคิดของเขา ตำราพิชัยสงครามของโลกนี้มีแนวโน้มจะเปิดกว้างและกำลังทหารบ้าระห่ำกว่า ตัวอย่างเช่น บนสนามรบ ยอดฝีมือขั้นสี่สามารถทิ้งทหารม้าที่ก่อตั้งจากทหารธรรมดาทั่วไปได้
ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับยุทธวิธีมากเกินไป
โดยตำราพิชัยสงครามซุนจื่อที่เกิดในโลกของคนธรรมดาก็เอนเอียงไปทาง ‘ควบคุมเล็กน้อย’ ซึ่งให้ความสำคัญกับรายละเอียดมากกว่า
“งานชุมนุมวรรณกรรมในวันมะรืน เจ้าจงไปเข้าร่วมกับข้า” ฮว๋ายชิ่งกล่าว
“หากจางเซิ่นเข้าร่วม เอ้อร์หลางต้องเข้าร่วมแน่นอน ข้าไม่อาจแปลงโฉมเป็นเขาได้” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นก็แปลงโฉมเป็นคนอื่นและทำหน้าที่เป็นทหารรักษาพระองค์ของข้า” ฮว๋ายชิ่งปรับความคิดและให้คำแนะนำ
“พ่ะย่ะค่ะ”
……………………………………………………………..