ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 434-2 งานชุมนุมวรรณกรรม (2)
บทที่ 434 งานชุมนุมวรรณกรรม (2)
แก่นของงานชุมนุมวรรณกรรมนี้ ที่แท้คือต้าฟ่งต้องการทำลายภาพลักษณ์ของเผยหม่านซีโหลว และบีบบังคับให้เขาพ่ายแพ้ยับเยิน
แต่วิธีการไม่ค่อยดีนัก ไอ้หมอนี่พูดจาฉะฉาน คารมคมคายมาก เข้ายึดครอง ‘สัจจะ’ ที่จำเป็นต้องส่งกองกำลังออกไป
ชั่วพริบตาเดียว สวี่ซินเหนียนก็พบว่าผู้บัญชาการทหารจำนวนมากมีท่าทีกระตือรือร้นที่จะลองดู ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ขมวดคิ้วและเงียบไป
ต่อให้จะรู้จักข้อบกพร่องของตนเองเป็นอย่างดี ผู้บัญชาการทหารที่เอาแต่ตำหนิผู้อื่นกลุ่มนี้ก็ยังจะประมาท และคิดจะโต้เถียง? แม้ว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์ในการนำทัพอย่างโชกโชน ก็เถียงสู้เผยหม่านซีโหลวไม่ได้ โธ่เอ๊ย ทหารหยาบคาย…
“ปกติตอนอยู่ที่ท้องพระโรง พวกขุนนางชั้นสูงเหล่านี้ปากคอเราะร้ายมากไม่ใช่รึ ตอนที่มหาราชครูตีมือข้า ก็สามารถอธิบายได้ไม่ใช่หรืออย่างไร เหตุใดไม่มีใครพูดอะไรเลย” ยายตัวร้ายกล่าวด้วยความวิตกกังวล
“มหาราชครูจะลงสนามได้อย่างไร เขาคือผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ลำดับอาวุโสต่างกันเกินไป ถึงแม้จะชนะก็ไม่สมศักดิ์ศรี ผู้คนจะพูดได้ว่าต้าฟ่งอาศัยอำนาจของผู้อาวุโสกลั่นแกล้งผู้น้อย ขุนนางชั้นสูงก็เช่นกัน นอกจากนี้ ถ้าขุนนางชั้นสูงลงสนาม ข้ากล้ารับประกันเลยว่า เผยหม่านซีโหลวจะมีความคิดริเริ่มที่จะแข่งขันด้านวิชาความรู้กับพวกเขาแน่นอน…”
เป็นเรื่องยากสำหรับฮว๋ายชิ่งที่จะอธิบายคำพูดมากมายให้น้องสาวที่โง่เขลาฟัง
“วิชาความรู้ของขุนนางชั้นสูง นอกจากปราชญ์มหาสำนักจำนวนหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ล้วนใช้การไม่ได้”
ยายตัวร้ายเบิกตาโพลง และบ่นพึมพำว่า “งั้นจะทำอย่างไรดี? ข้าโกรธจะตายแล้ว”
สีหน้าของบัณฑิตราชวิทยาลัยหลวงหนักอึ้ง บรรดาบัณฑิตหัวกะทิของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจเช่นกัน สีหน้าของทุกคนดูไม่ดีอย่างยิ่ง
สมุหราชเลขาธิการหวางถอนหายใจ “ความฉลาดปราดเปรื่องของเผยหม่านซีโหลวน่าทึ่งมาก ทำให้ข้าประหลาดใจได้จริงๆ”
ท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของขุนนางหนุ่มแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินตอนที่เข้าสู่สถานที่ในตอนแรก ช่างแตกต่างกับท่าทีเงียบขรึมและเอาจริงเอาจริงในตอนนี้อย่างชัดเจน
หวางซือมู่หันไปมองสวี่เอ้อร์หลางบ่อยครั้ง และคาดหวังให้เขายืนแสดงตัวออกมา
สมุหราชเลขาธิการหวางสังเกตเห็นแววตาของลูกสาวจึงกล่าวว่า “เหตุใดวันนี้เอ้อร์หลางเงียบเช่นนี้เล่า?”
หวางซือมู่ขมวดคิ้ว
ในขณะที่ทุกคนกำลังน้ำท่วมปากและครุ่นคิดเกี่ยวกับมาตรการรับมือ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นเหนือทะเลสาบลู่ และจางเซิ่นที่สวมเสื้อคลุมขงจื๊อและมงกุฎขงจื๊อก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป
หลังจากนั้น เขาก็ตกลงมาที่พื้นผิวทะเลสาบ
แสงสว่างส่องประกายอีกครั้ง จางเซิ่นปรากฏตัวขึ้นในศาลาพักร้อน ท่าทางของเขายังหลงเหลือความกลัวอยู่เล็กน้อย
สิ่งที่เขาคุยโวโอ้อวดจะต้องเป็น สถานที่ที่ข้าอยู่ไม่ใช่สำนักอวิ๋นลู่ หรือทะเลสาบลู่ ดังนั้นจึงเกือบตกลงไปในทะเลสาบแล้ว…สวี่ชีอันวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดอยู่ในใจ
“ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางมาแล้ว”
“ในที่สุดท่านจางก็มา ข้ารู้ว่าท่านจางต้องไม่พลาด”
บรรดาศิษย์ที่อยู่รอบๆ ต่างโห่ร้องดีใจขึ้นมาด้วยความโล่งใจ
ขุนนางชั้นสูงหัวเราะขึ้นมา คนที่มีมิตรภาพกับจางเซิ่นต่างก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่จิ่นเหยียน ท่านมาแล้ว”
จางเซิ่นพยักหน้าด้วยความเฉยเมย เมื่อเห็นราชครู ก็รีบโค้งคำนับทันทีทันใด “ศิษย์จางเซิ่น คำนับมหาราชครูขอรับ”
มหาราชครูตอบรับ “อืม” ในที่สุดใบหน้าที่บึ้งตึงมาโดยตลอดก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “จางจิ่นเหยียน หนุ่มผมขาวท่านนี้ต้องการขอคำแนะนำเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามกับเจ้า เจ้าจงชี้แนะเขาเสีย”
บรรยากาศภายในศาลาพักร้อนครึกครื้นขึ้นอย่างกะทันหัน
จางเซิ่นมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่เผยหม่านซีโหลวผู้มีผมขาวราวกับหิมะ และกล่าวว่า “เจ้าคือเผยหม่านซีโหลว ผู้เขียนหนังสือพิธีเป่ยไจรึ?”
เผยหม่านซีโหลวยืนขึ้นเป็นครั้งแรก พลางโค้งคำนับและกล่าวว่า “ข้าทำความเคารพท่านจางของรับ”
จางเซิ่นโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องพิธีรีตองให้มาก เจ้าต้องการดวลตำราพิชัยสงครามกับข้ารึ?”
ในศาลาเงียบลงชั่วขณะ ทุกคนต่างก็มองฉากตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
หวงเซียนเอ๋อร์นั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย เขาหรี่ตาลง พลางจ้องปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ท่านนี้
ชายหนุ่มที่มีรูม่านตาแนวตั้งยับยั้งความเย่อหยิ่งของตนเองลง ยอดฝีมือระดับสี่ของระบบลัทธิขงจื๊อท่านนี้ คือ ‘ศัตรู’ ในงานชุมนุมวรรณกรรมครั้งนี้ของศิษย์พี่เผยหม่าน ถึงแม้เขาจะดูถูกปัญญาชน แต่ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ไม่อยู่ในขอบเขตของการถูกดูหมิ่น
แม้ว่าระบบลัทธิขงจื๊อจะเสื่อมโทรมมาเป็นเวลาหลายปี แต่อำนาจและความยิ่งใหญ่ยังคงอยู่
“ข้าความรู้น้อย รู้เพียงงูๆ ปลาๆ อยากให้ท่านชี้แนะด้วยขอรับ” รอยยิ้มของเผยหม่านซีโหลวทั้งอ่อนโยนและมั่นใจ ราวกับวางแผนมาเป็นอย่างดี
จางเซิ่นกลอกตาไปมาราวกับเบื่อหน่าย
“เจ้าทำตัวเป็นอันธพาลไม่ใช่รึไง ข้าไม่ได้นำทัพมายี่สิบกว่าปีแล้ว แทบจะลืมไปแล้วว่าสวมชุดเกราะนอนบนหมอนนั้นรู้สึกอย่างไร ข้าพูดไปพูดมาก็เป็นเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว เจ้าจะคุยเรื่องตำราพิชัยสงครามอะไรกับข้า ทำไมเจ้าไม่ไปหารือเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามกับเว่ยเยวียนล่ะ ตาเฒ่าผู้นี้นั่งบัญชาการอยู่ที่ท้องพระโรง มีบุตรในเงามืดอยู่ทุกที่ทั่วใต้หล้า วางแผนกลยุทธ์ตลอดยี่สิบปีไม่เคยหยุดนิ่ง รอวันที่การสะสมบรรลุผลและปะทุออกมา”
เผยหม่านซีโหลวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านกล่าวเช่นนี้ ก็ทำตัวเป็นอันธพาลเช่นกันไม่ใช่รึ?”
ชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งอดที่จะแทรกแซงไม่ได้ เขากล่าวด้วยความเย็นชาว่า “เหตุใดเจ้าไม่ปล่อยให้ศิษย์พี่เผยหม่านดวลกับท่านโหราจารย์เล่า”
คราวนี้ เผยหม่านซีโหลวไม่ได้ตำหนิชายหนุ่ม และถามด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นข้าจะไม่ขอคำแนะนำเกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม อันที่จริง ข้าชื่นชมตำราทางทหารของท่านมานานแล้ว ได้ยินว่าท่านเชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม ตำรากลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง และได้รับการยกย่องชื่นชมจากทุกคน หลังจากเรียนรู้จากตำราท่านแล้ว ข้าเองก็เขียนตำราทางทหารขึ้นมาเล่มหนึ่งเช่นกัน ตำราเล่มนี้ใช้เวลาเขียนหลายปี ไม่เพียงแต่ผสมผสานกับตำราพิชัยสงครามของเมืองหลวงเท่านั้น ยังมียุทธวิธีการทำสงครามของทหารม้าเผ่าอนารยชนอีกด้วย ขอท่านได้โปรดชี้แนะ”
ในขณะที่พูด ก็หันไปมองชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งที่อยู่ข้างๆ
เสวียนอินเปิดกล่องไม้ขนาดเล็กที่อยู่ข้างเท้า พลางหยิบตำราเล่มหนาที่มีชื่อว่า บันทึกทางทหารเป่ยไจ ออกมาจากกล่อง
ทางด้านต้าฟ่ง ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน ว่าบุคคลนี้ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม แต่ยังเขียนตำราทางทหารด้วย?
ปัญญาชนให้ความสนใจกับการเขียนชีวประวัติเสริมภาพลักษณ์ แม้แต่ผู้มีวิชาความรู้ขั้นสูง ก็ยังต้องรอบคอบในการเขียนตำราเป็นอย่างมาก ตำราหนึ่งเล่มมีการปรับเปลี่ยนและแก้ไขเป็นเวลาหลายปี ถึงจะสามารถเผยแพร่สู่สาธารณะ และกระจายข่าวเป็นกว้างขวาง
สำหรับเรียงความหรือบันทึกบางส่วน อันที่จริงยังไม่นับว่าเป็น ‘ตำรา’ ในเวลานี้
ตัวอย่างเช่น สวี่ชีอันอ่านตำราต้าโจวเก็บข้อสงสัยที่สำนักอวิ๋นลู่ ก็คือบันทึกย่อ ยังเรียกว่าตำราไม่ได้
ดังนั้น ทุกคนจึงเชื่อครึ่งหนึ่ง สงสัยครึ่งหนึ่งสำหรับคำพูดของเผยหม่านซีโหลว
สีหน้าของมหาราชครูจมมืดลงอย่างเห็นได้ชัด
สมุหราชเลขาธิการหวางและผู้อาวุโสอื่นๆ ที่อยู่ในสถานที่ ต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมไปตามๆ กัน และเริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ด้วยความเคารพต่อตำรา จางเซิ่นยื่นสองมือออกไปรับด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง สายลมในทะเลสาบพัดมาอย่างกะทันหัน หน้าตำราสั่นสะเทือนและพลิกผ่านอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของจางเซิ่นเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ทุกคนที่อยู่ในสถานที่เห็นความตกตะลึง ตามด้วยความชื่นชม จนกระทั่งความตื่นเต้นในสายตาของเขา
เผยหม่านซีโหลวถามว่า “ท่านคิดว่า ตำราเล่มนี้เป็นอย่างไร?”
จางเซิ่นไม่ตอบในทันที เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “ยอดเยี่ยม”
“ตำราเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามตอน ตอนแรกคือยุทธวิธีในการทำสงคราม บรรยายว่าตำราพิชัยสงครามเป็นอย่างไร สงครามเป็นอย่างไร ต่อให้เป็นผู้ที่ไม่เคยผ่านสงครามมาก่อน ก็สามารถเข้าใจได้ว่าสงครามคืออะไร มีการจับจุดสำคัญและชี้สาระสำคัญออกมาแล้ว ตอนที่สองคือการกบฏ การยุทธไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว เฉกเช่นน้ำซึ่งหามีรูปลักษณะอันแน่นอนไม่ กองทัพที่สามารถชิงชัยตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของศัตรู คือกองทัพแห่งเทพ อธิบายได้ดีมาก สิบสองกลยุทธ์การจู่โจม ทำให้คนถึงกับต้องตบโต๊ะชื่นชม ที่หาได้ยากกว่านั้นคือตอนที่สาม การจัดกองกำลังและรูปแบบการรบอย่างรอบคอบ บรรยายแนวทางการจัดกองทหารหลากหลายรูปแบบสำหรับการร่วมมือกันระหว่างนักรบและทหารธรรมดา ทำให้ทหารธรรมดาสำแดงประโยชน์ออกมาได้อย่างเต็มที่”
เผยหม่านซีโหลวเป็นปัญญาชนที่น่าทึ่งจริงๆ ยุทธวิธีในการทำสงคราม จางเซิ่นแพ้แล้ว ลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับแนวคิดและความเข้าใจ และเขาก็ไม่ใช่คนที่ตายโดยไม่ยอมรับความผิดพลาด
จะว่าไป หากแพ้ในงานชุมนุมวรรณกรรมแล้ว คนที่เสียหน้ามากที่สุดคือจักรพรรดิหยวนจิ่งและราชสำนัก สำนักอวิ๋นลู่ถูกขับไล่ออกจากราชสำนักนานแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องฝืนใจตนเองเพื่อไว้หน้าพวกขี้เมาหยำเปแห่งราชวิทยาลัยหลวง
จางเซิ่นถอนหายใจอย่างหนัก “ตำรากลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการของคนแก่อย่างข้า ไม่ดีเท่าตำราพิชัยสงครามเป่ยไจเล่มนี้ของเจ้า ข้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ”
“ว่ากันว่าปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่มีคุณธรรมอันสูงส่ง สมคำร่ำลือตามที่คาดไว้ไม่ผิดจริงๆ”
เผยหม่านซีโหลวยิ้มด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง
ทำไมเขาถึงเลือกจางเซิ่นเป็นบันไดสู่เป้าหมาย? มีเหตุผลสามประการ จางเซิ่นมีชื่อเสียงมากพอ จางเซิ่นอยู่อย่างสันโดษมานานกว่ายี่สิบปี จางเซิ่นเป็นปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ เขาย่อมแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาและยังมีคุณธรรมเป็นหลักประกัน ตราบใดที่ตำราทางการทหารของตนเองสามารถโน้มน้าวฝ่ายตรงข้ามได้ จางเซิ่นย่อมไม่ทำผิดมโนธรรมอย่างแน่นอน
สุภาพชนสามารถถูกหลอกได้ ด้วยเหตุผลนี้เอง
ในศาลาพักร้อนเงียบสงัด ทุกคนต่างก็เสียความรู้สึก
เสวียนอินชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ว่ากันว่าต้าฟ่งเจริญรุ่งเรืองด้านการบริหารปกครองด้วยกฎหมายและวิชาการ เต็มไปด้วยผู้มากความรู้ ดูๆ ไปแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่าศิษย์พพี่เผยหม่านของข้า ศิษย์พี่ รอท่านกลับไปแดนเหนือแล้ว ท่านจะเป็นฆ้องเงินสวี่แห่งเผ่าเทพของพวกเรา”
เขาหมายถึงจะเป็นที่ชื่นชอบและเคารพยกย่องเฉกเช่นสวี่ชีอัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงที่อยู่นอกศาลาพักร้อนก็ทั้งอับอายทั้งโกรธ อยากจะตอบโต้ แต่กลับรู้สึกละอายที่จะพูด การด่ากระทบรังแต่จะทำให้ยิ่งน่าอายมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความโกรธ
บรรดาบัณฑิตหัวกะทิของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินต่างก็หน้าแดงด้วยความอับอาย
ในสาขาวิชาการอื่นๆ พวกเขายังสามารถอภิปรายและโต้วาทีได้ แต่ในด้านสงครามและการต่อสู้ บัณฑิตหัวกะทิเหล่านี้ไม่เคยแม้แต่ผ่านสนามรบ จึงไม่มีสิทธิ์พูดแม้แต่น้อย การพูดถึงยุทธวิธีทางการทหารบนกระดาษมีแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะ
หวงเซียนเอ๋อร์หัวเราะขึ้นมา ไม่รู้ว่าดีใจหรือเยาะเย้ยกันแน่
“งานชุมนุมวรรณกรรมนี้ไม่มีความหมายอะไรแม้แต่น้อย หากข้ารู้ก่อนก็คงไม่มา” มีผู้หญิงบ่นพึมพำขึ้นมา
พวกนางมาด้วยความคาดหวังและกระตือรือร้นที่จะได้เห็นเผ่าอนารยชนพ่ายแพ้ยับเยิน ไม่ใช่มาเห็นเผ่าอนารยชนแข่งขันกับปัญญาชนของต้าฟ่งอย่างดุเดือด
ฮว๋ายชิ่งถอนหายใจยาว นางเป็นผู้หญิง ไม่เหมาะสมที่นางจะลงสนามนี้ มิเช่นนั้น มันจะกลายเป็นการตบหน้าบรรดาปัญญาชนของต้าฟ่ง และสำหรับยุทธวิธีทางการทหาร นางก็เคยอ่านตำราทางทหารมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เผยหม่านซีโหลวเป็นนายน้อยของกลุ่มผมขาว เขาผ่านสงครามมานักต่อนัก ประสบการณ์ด้านการทำสงครามก็โชกโชน ระดับของเขาต้องสูงกว่านางมากอย่างแน่นอน
“ประคองข้ากลับ!”
มหาราชครูหยิบไม้เท้าเคาะที่พื้นสามครั้ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
สีหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความผิดหวัง
…
ในห้องบรรทม
ขันทีชราวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าวิตกกังวล
ม่านถูกลดระดับลง จักรพรรดิหยวนจิ่งที่อยู่บนตั่งเหลือบตามองเขา แต่กลับไม่พูดอะไร
ขันทีชรากล่าวกระซิบว่า “จางเซิ่น ยอมแพ้แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
‘เพียะ!’
จักรพรรดิหยวนจิ่งโยนตำราใส่ใบหน้าของขันทีชรา
…
ในศาลาพักร้อน ริมทะเลสาบลู่
เผยหม่านซีโหลวโค้งคำนับทุกทิศทางด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เป็นการชนะที่ปราศจากความหยิ่งผยอง “ขอบคุณสำหรับการชี้แนะของทุกท่าน สมแล้วที่ต้าฟ่งเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองด้านการบริหารปกครองด้วยกฎหมายและวิชาการ จนทำให้ผู้คนใฝ่หาที่จะมาถึง”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกราวกับถูกเยาะเย้ย ไม่สิ นี่คือการเยาะเย้ย
สีหน้าของมหาราชครูจมมืดราวกับทะเลลึก และเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว
ขุนนางชั้นสูงทยอยลุกขึ้นทีละคน และเดินออกไปจากโต๊ะอย่างเงียบๆ
‘ปึก!’
เสียงแก้วสุราวางลงบนโต๊ะดังขึ้นอย่างหนักแน่น ดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง
สวี่เอ้อร์หลางยืนขึ้นอย่างสง่างาม ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “พี่ชายใหญ่ของข้ามีกวีบทหนึ่ง กล่าวว่า ทนมองเด็กน้อยกลายเป็นคนมีอำนาจ โกรธาจนขึ้นสังเวียนแล้วลงมือ”
เสียงของเขาแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
มหาราชครูหยุดฝีเท้า และหันกลับไปมอง
บรรดาขุนนางชั้นสูงและผู้เรืองอำนาจหันไปมอง
บัณฑิตราชวิทยาลัยหลวงหันไปมอง
เผยหม่านซีโหลวหันไปมองขุนนางหนุ่มของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินที่กล่าวยั่วยุด้วยความประหลาดใจ
สวี่ซินเหนียนหันไปมองคนเผ่าอนารยชนผมขาว และกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะโต้แย้งตำราพิชัยสงครามกับเจ้า”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ออกมา ก็เกิดความโกลาหลทั่วสารทิศ
“ฉือจิ้ว!”
บรรดาสหายของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินต่างก็ใช้สายตาเป็นสัญญาณ เพื่อบอกเขาว่าอย่าหุนหันพลันแล่น
สวี่ฉือจิ้วมีชื่อเสียงที่ดีในแวดวงทางการ ซึ่งชื่อเสียงทั้งหมดนั้นสั่งสมอยู่ในคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว และตอนที่ปิดกั้นประตูอู่เหมินลงโทษไหวอ๋อง
ชื่อเสียงนี้ได้มาอย่างยากลำบาก และคงจะน่าเสียดายมาก หากต้องถูกทำลายลงเพราะความขุ่นเคืองและความหุนหันพลันแล่นในช่วงเวลาหนึ่ง
“แม้แต่ท่านจางซึ่งเป็นอาจารย์ของเจ้าก็ยังแพ้ สวี่ฉือจิ้วคิดว่าตัวเองจะชนะรึ?”
“ทำไมต้องไปเสียหน้าอีก ตำราทางทหารที่เผยหม่านซีโหลวเป็นผู้เขียน แม้แต่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางก็ยังสู้ไม่ได้ และชื่นชมอย่างมาก”
“ข้าก็ไม่พอใจกับความไม่ยุติธรรม เพียงแต่ เพียงแต่สวี่ฉือจิ้วประมาทเกินไปแล้ว”
เหล่าบัณฑิตราชวิทยาลัยหลวงต่างก็พูดคุยแสดงความเห็น
เผยหม่านซีโหลวสงสัยว่าตนเองได้ยินผิด หลังจากจ้องสวี่ซินเหนียนชั่วครู่ เขาก็นึกออกทันทีว่า คนนี้คือลูกศิษย์ของจางเซิ่น
เพียงแต่…อาจารย์ก็แพ้ราบคาบไปแล้ว ลูกศิษย์ยังอยากจะกู้สถานการณ์กลับมารึ?
เสวียนอินผู้มีรูม่านตาแนวตั้งยกยิ้มด้วยความเย็นชา และหวงเซียนเอ๋อร์ก็หมุนแก้วสุราด้วยท่าทีเบื่อหน่าย พลางกล่าวพึมพำว่า “น่าเบื่อชะมัด”
หวางซือมู่เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นางคิดไม่ถึงว่าสวี่ซินเหนียนที่อดกลั้นมานาน ที่แท้ก็เพื่อช่วงเวลานี้รึ?
‘ใช้แต่อารมณ์จริงๆ!’ หวางซือมู่รู้สึกโกรธในใจมาก
“ใต้เท้าสวี่ ท่านเคยฝึกทหารมาก่อนหรือไม่?” เผยหม่านซีโหลวถามด้วยรอยยิ้ม
สวี่ซินเหนียนส่ายศีรษะ
“เคยผ่านสงครามมาแล้วหรือยัง?” เผยหม่านซีโหลวถามอีกครั้ง
สวี่ซินเหนียนยังคงส่ายศีรษะ
ปัญญาชนที่เกิดในเผ่าอนารยชนท่านนี้ส่ายศีรษะเล็กน้อย “แม้ว่าวิชาเอกของท่านคือตำราพิชัยสงคราม แต่กลับพูดคุยเรื่องยุทธวิธีทางทหารบนกระดาษ แล้วท่านจะโต้แย้งกับข้าเรื่องตำราพิชัยสงครามได้อย่างไร”
เสวียนอินชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งหัวเราะเยาะ และกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าก็เขียนตำราทางทหาร เลยจะนำมันออกมาวัดกับศิษย์พี่ของข้างั้นรึ?”
เมื่อเห็นสวี่ซินเหนียนถูกเผ่าอนารยชนเย้ยหยัน ทุกคนก็รู้สึกเสียหน้า
จางเซิ่นมองลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของตนเองด้วยความประหลาดใจ พลางคิดในใจว่าเด็กนี่สมองกลับแล้วรึ? อาจารย์ก็พ่ายแพ้จนอับอายขายขี้หน้าไปทั่ว เขาจะกระโดดออกมาทำอะไรกัน? แก้แค้นให้ข้ารึ
อย่างไรก็ตาม ปล่อยให้เขารับความพ่ายแพ้สักหน่อยก็ดี ชีวิตสวี่ฉือจิ้วราบรื่นเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานครอบครัว การศึกษาเล่าเรียน ตำแหน่งราชการ เขาไม่เคยได้รับความพ่ายแพ้หรือล้มเหลวเลยสักครั้ง
สวี่ซินเหนียนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ใช่แล้ว ข้ามีตำราทางทหารจริงๆ ขอศิษย์พี่เผยหม่านโปรดให้คำชี้แนะ”
“!!!”
ทุกคนรวมทั้งจางเซิ่น ต่างก็มองไปที่สวี่ซินเหนียนด้วยความตกตะลึง แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอึ้ง เฉกเช่นเดียวกับเผยหม่านซีโหลว พวกเขายังสงสัยว่าหูของตนเองอาจจะกำลังมีปัญหา
สวี่ซินเหนียนไม่สนใจทุกคน พลางหยิบตำราร้อยด้ายสีน้ำตาลเล่มหนึ่งออกมาจากทรวงอก
เผยหม่านซีโหลวเห็นหน้าปกตำราเขียนว่า ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ
เขาเป็นคนอ่านกวีนิพนธ์และตำราเต็มรูปแบบ จึงไม่ค่อยประทับใจชื่อตำราเล่มนี้นัก และยิ่งไม่ใช่ตำราทางทหารที่แพร่หลาย ไม่ใช่ตำราทางทหารที่มีแต่คำพูดซ้ำซากที่ราชสำนักเพิ่งซ่อมแซมและมอบให้เขาเป็นของขวัญ
แต่เขาเป็นคนรักตำรา เขาจึงไม่ดูถูกตำราเล่มใดเพียงเพราะชื่อตำรา จากนั้นก็ยกมือขึ้นไปหยิบตำราด้วยรอยยิ้มบางๆ
‘การทหารเป็นงานใหญ่ของชาติ คือความเป็นความตาย คือหนทางแห่งการคงอยู่หรือดับสูญ พึงพิเคราะห์อย่างรอบคอบ…’
บทนำถือว่าไม่เลว แถลงถึงความสำคัญของสงครามอย่างเรียบง่าย และค่อนข้างแทงใจดำ
เขาอ่านต่อไป
‘การทำศึกมีองค์ห้า พึงพิจารณาโดยรวมเพื่อเข้าใจในสภาวการณ์ที่แท้จริง หนึ่งคือธรรม สองคือกาละ สามคือเทศะ สี่คือขุนพล ห้าคือกฎเกณฑ์’
เผยหม่านซีโหลวพยักหน้าเล็กน้อย และเก็บความดูหมิ่นที่อยู่ในใจออกไป พลางพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขียนประโยคเช่นนี้ออกมาได้ ผู้เขียนย่อมมีทักษะในการทำสงครามอย่างแท้จริงอยู่บ้าง
เมื่อเขาเห็นประโยค ‘ยุทธการทางทหาร คือศาสตร์แห่งการใช้เล่ห์เหลี่ยมไหวพริบ’ ในที่สุดเขาก็เคลื่อนไหว รูม่านตาของเขาหดตัวเล็กน้อย ‘ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก! ประโยคนี้ยอดเยี่ยมมาก’
เผยหม่านซีโหลวอ่านตำราด้วยท่าทีกระตือรือร้นอย่างมาก เขาค่อยๆ จมดิ่งลงไปในทะเลสายธารแห่งปัญญาอย่างเพลิดเพลิน กระทั่งละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
ตำราเล่มนี้มีสิบสองบท ใจความของเนื้อหากว้างขวางและลึกซึ้ง มันไม่เพียงแต่อธิบายทฤษฎีสงครามและประสบการณ์การทำสงคราม แต่ยังสรุปกฎเกณฑ์ในการทำสงครามด้วย
ตำราเล่มนี้ได้ก้าวข้ามขอบเขตของเล่ห์เหลี่ยม สิ่งที่ระบุไว้ในตำรา ไม่เพียงแต่จำกัดไว้ที่กลอุบายทางการทหารแบบเรียบง่าย แต่เป็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และลำดับสูงกว่า
ตัวอย่างเช่น ในตำรากล่าวว่า การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของสงคราม เผยหม่านซีโหลวรู้สึกราวกับตนเองได้ตรัสรู้
เผ่าอนารยชนก่อสงครามเพื่อปล้นสะดมเท่านั้น เผยหม่านซีโหลวคิดว่าสู้รบก็สู้รบ ปัจจัยภายนอกสนามรบมีความสำคัญแน่นอน แต่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของสงคราม ท้ายที่สุดกลับเป็นช่องว่างระหว่างอำนาจการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย
จำนวนอักษรในตำราทางทหารเล่มนี้มีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับตำราเล่มหนาของเขาแล้ว มันกลับเป็นตำราที่เรียบง่ายอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ทุกตัวอักษรร้อยเรียงเป็นสำนวนที่งดงาม ทุกประโยคล้วนควรค่าแก่การครุ่นคิดไปอีกนาน
ในทางกลับกัน ทุกยุทธวิธีสู้รบที่ตนเองคัดลอก ล้วนเป็นถ้อยคำที่พยายามวิเคราะห์รายละเอียดต่างๆ กล่าวโดยสรุปคือ ทุกฝ่ายต้องเน้นความสำคัญของพลทหาร…
แน่นอนว่าตำราเล่มนี้ก็มีจุดบกพร่องเช่นกัน อย่างเช่น ไม่มีการกล่าวถึงบทบาทของนักรบและวิธีการใช้ศิลปะการต่อสู้ตลอดทั้งเล่ม
หลังจากเวลาผ่านไปนาน ในที่สุดเผยหม่านซีโหลวก็หลุดพ้นจากการอ่านอย่างดื่มด่ำ และแสดงท่าทีพอใจอย่างลึกซึ้ง “ได้ประโยชน์มาก ได้ประโยชน์มากจริงๆ…”
จากนั้น เขาก็พบว่าคนต้าฟ่งที่อยู่รอบข้างต่างก็มองตรงมาที่เขา
ทุกคนตกอยู่ในความมึนงง
สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเผยหม่านซีโหลวเมื่อสักครู่ ปรากฏให้พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนว่า ‘เบิกบานใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง’ ‘ทึ่งจนอ้าปากค้าง’ ‘เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอย่างขีดสุด’
ทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ว่าในตำราเล่มนั้นเขียนอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้บุคคลที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้
เผยหม่านซีโหลวเหลือบมองสวี่ซินเหนียน ก่อนจะก้มลงไปมองตำราพิชัยสงครามซุนจื่อที่อยู่ในมืออีกครั้ง เขาลังเลเล็กน้อย ทุรนทุรายเล็กน้อย ในที่สุดก็ถอนหายใจยาว และก้มโค้งคำนับอย่างจริงใจ
“ใต้เท้าสวี่ ข้าน้อยแพ้แล้ว ข้าน้อยไม่ต้องการสิ่งอื่น ขอเพียงใต้เท้าสวี่ได้โปรดให้ข้าคัดลอกตำราเล่มนี้ ข้าน้อยเต็มใจมอบตัวเป็นศิษย์ เรียกใต้เท้าว่าท่าน”
ตำราเล่มนี้เหนือกว่าตำราพิชัยสงครามเป่ยไจที่เขาเขียนมากจริงๆ เขาปากแข็งไปก็ไร้ประโยชน์
เสวียนอินชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้ง เบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง “ศิษย์พี่ ท่าน ท่าน…”
หวงเซียนเอ๋อร์ที่งดงามหยาดเยิ้ม ในเวลานี้ ใบหน้าอันทรงเสน่ห์ของนางก็เปลี่ยนไปและสูญเสียความมั่นใจไปในที่สุด
เกิดความโกลาหลไปทั่ว ราวกับมีระเบิดปะทุขึ้นในศาลาพักร้อนอย่างไรอย่างนั้น
เผยหม่านซีโหลวยอมรับความพ่ายแพ้ เมื่อเทียบแล้ว เขาสู้ไม่ได้จริงๆ
นอกจากนี้ เพื่อที่จะคัดลอกตำราทางทหารที่สวี่ฉือจิ้วเป็นผู้เขียน เขาถึงกับยอมเป็นศิษย์ของฉือจิ้ว
ผู้เรืองอำนาจ และผู้บัญชาการทหารต่างก็จ้องตำราทางทหารในมือของเผยหม่านซีโหลวตาไม่กะพริบ ราวกับเป็นสิ่งน่าดึงดูดที่สุดในโลก
สมุหราชเลขาธิการหวางมองสวี่เอ้อร์หลางอย่างลึกซึ้ง แววตาและท่าทางของเขาราวกับถูกแช่แข็งไว้อย่างไรอย่างนั้น
หวางซือมู่หัวใจเต้นรัวราวกับกลอง และมองสวี่เอ้อร์หลางที่ยืนอยู่ในสนามอย่างภาคภูมิใจด้วยความหลงใหล
มหาราชครูถือไม้เท้า ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะหรี่ตาลงและกวาดสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จากนั้นก็กระแทกไม้เท้าลงไปที่พื้นสองครั้ง พลางลูบเคราและหัวเราะร่า “นี่ถึงจะเป็นปัญญาชนแห่งต้าฟ่งของข้า นี่ถึงจะเป็นดาวรุ่งที่แท้จริง”
องค์หญิงสามและองค์หญิงสี่มองสวี่ฉือจิ้วด้วยสายตาเปล่งประกาย
“ตระกูลสวี่คือตระกูลของปรมาจารย์อย่างแท้จริง สวี่ชีอันก็แพรวพราวอย่างหาที่เปรียบมิได้ ส่วนสวี่ฉือจิ้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย” มีคนกล่าวด้วยความชื่นชม
จางเซิ่นคว้าตำราทางทหารมาจากมือของเผยหม่านซีโหลว และเปิดอ่านด้วยความรู้สึกสับสน
การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับเผยหม่านซีโหลวเมื่อสักครู่นี้
เขาอ่านเสร็จแล้วก็อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
“ไม่ ไม่ใช่ ใครเป็นคนเขียนตำราทางทหารเล่มนี้? ฉือจิ้ว ใครเป็นคนเขียน?” จางเซิ่นถามด้วยความตื่นเต้น
ลูกศิษย์ตนเองอยู่ในระดับใด เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร? สวี่ฉือจิ้วโดดเด่นในตำราพิชัยสงครามก็จริง แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเขียนตำราทางทหารที่มีระดับทะลุฟ้าทะลวงดินเช่นนี้
ผู้เขียนตำราทางทหารเล่มนี้ ต้องเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน
จางเซิ่นอยากรู้ว่าใครเป็นผู้เขียนต้นฉบับตำราเล่มนี้จนแทบอดใจรอไม่ไหว ต้าฟ่งมีบุคคลเช่นนี้ด้วยรึ
สวี่ซินเหนียนพยักหน้าช้าๆ “ข้าไม่ใช่คนเขียนตำราทางทหารเล่มนี้จริงๆ”
เกิดความโกลาหลขึ้นไปทั่วทั้งในและนอกศาลาพักร้อน ทุกคนมองมาที่เขาด้วยความมึนงงสับสน ก่อนจะมองจางเซิ่นอีกครั้ง
หลังจากค่อยๆ ตระหนักเรื่องราวนี้ ตำราทางทหารที่ทำให้เผยหม่านซีโหลวถึงกับยอมแพ้ ผู้เขียนจะเป็นใครไปได้?
“เว่ยเยวียน ใช่เว่ยเยวียนหรือไม่?” จางเซิ่นถามอีกครั้ง
ทุกสายตาจับจ้องไปที่สวี่เอ้อร์หลาง
‘เว่ยเยวียน…’ เผยหม่านซีโหลวพึมพำกับตัวเอง
เว่ยเยวียน! ฝูงชนตระหนักได้ในทันใด
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเว่ยเยวียน?”
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองทุกคน และกล่าวเสียงดังว่า “นี่เป็นตำราทางทหารที่พี่ใหญ่ของข้าเป็นผู้เขียน “
ทันใดนั้น ทั้งในและนอกศาลาพักร้อน ริมฝั่งทะเลสาบลู่ ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินเสียงเข็มหล่น
…………………………………………………………….